๒๕

ดวงจันทร์แล่นลับเข้าในกลีบเมฆ แสงสว่างที่ส่องให้เห็นที่ทางก็หายไปตามดวงจันทร์ด้วย พอเห็นอย่างขมุกขมัวรัว ๆ อย่างนั้น. ครั้นมาถึงประตูห้องซุ้ย ข้าพเจ้าก็ไขประแจประตูก็เปิดออกไปเอง จนกระทบกำแพงดังปึงใหญ่ และหล่อนผู้ที่ข้าพเจ้าได้กอดไว้ด้วยวงแขนอันแข็งแรงประดุจทำด้วยเหล็ก สดุ้งและดิ้นจะออกจากวงแขนให้ได้

“นี่เธอจะพาไปไหน ?” หล่อนพูดด้วยเสียงกระเส่าเบา ๆ ดิฉัน—ดิฉันกลัวเข้อะ บอกตามจริง!”

“กลัวอะไรเดี๋ยวนี้นี่หล่อนก็?” ข้าพเจ้าพูด และพยายามที่จะ ไม่ให้เสียงสั่นได้ “เพราะเห็นว่ามืดหรือ ? จุดไฟเดี๋ยวนี้และ—เดี๋ยวหล่อนจะเห็น—หล่อน—หล่อน - -” และข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจตัวของตัวเองที่หัวเราะดังก้องออกมา “ไม่เห็นจะน่ากลัวอะไรเลย. มาม้ะ !”

ข้าพเจ้ายึดหล่อนข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างในโดยรวดเร็ว. เข้าไป ข้างใน ซ้าธุ! แล้วก็ปิดประตูลั่นกุญแจ! และหัวเราะอันมิได้ตั้งใจจะหัวเราะเลยดังก้ากก้องออกมาอีกครั้งหนึ่ง. แม่นีนนาแอบตัวเข้ามาชิดข้าพเจ้าทีเดียว.

“ทำไมเธอจึงหัวเราะเช่นนั้น” หล่อนร้องพูดดังเสียงน่าเกลียจพิลึก.”

ข้าพเจ้าหักใจหยุดหัวเราะทันที.

“อย่างนั้นหรือจ๊ะ? ฉันมีความเสียใจ—เสียใจมาก. หัวเราะเพราะ....เพราะว่า คารามีอา การที่เราเดินมาด้วยกันในแสงจันทร์ทำให้ปลื้มใจ.....ให้เพลิดเพลิน.....จริงหรือไม่ ?”

ว่าดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็กระหวัดตัวเข้ามาชิด แล้วก็จูบหล่อนอย่างแรง

“เอ้อ” ข้าพเจ้ากระซิบพูด “มาจะอุ้มไป.....ขั้นกระไดมันหยาบนัก จะคายเท้าอันอ่อนนุ่มหล่อน. มาจะอุ้มหล่อนไปอุ้มสิ่งที่เต็มไปด้วยความหอมหวานชื่นใจ....จ๊ะ จะอุ้มไปให้ถึงที่ที่เก็บเพ็ชร์พลอยอันมีค่ายิ่ง—แม้เพ็ชร์พลอย! จะเปนของหล่อนทั้งสิ้น—ของหล่อน ของเมียที่รักของฉัน !”

ข้าพเจ้าอุ้มหล่อนขึ้นปลิว ดูเหมือนหล่อนเปนเด็กเล็ก ๆ เมื่ออุ้มไปนั้นหล่อนได้ดิ้นหรือยอมให้อุ้มดี ๆ ก็จำไม่ได้เสียแล้วพาหล่อนลงบันไดอันชื้นด้วยรานั้นไป ขณะที่ก้าวลง ๆ ไปนั้นรู้สึกว่าหล่อนกอดข้าพเจ้าแน่น ดูเหมือนหล่อนจะกลัวจนถึงกับเลือดแล่นเย็น ภายหลังลงไปถึงขั้นล่างที่สุด—เท้ากระทบพื้นห้องซุ้ยข้าพเจ้าก็วางแม่โฉมเอกลง แล้วก็คลายวงแขนออกหยุดยืนหอบฮั่ก ๆ อยู่สักครู่ แต่แม่นีนนาจับมือไว้แน่น แล้วพูดกระซิบด้วยเสียงเครือว่า

“นี่ที่อะไรกัน ? ไหนไฟที่พูดนั้นอยู่ที่ไหน ?”

ไม่ตอบว่าอย่างไรมิได้ เดินออกจากข้างหลอน ควักไม้ขีดไฟออกจากกระเป๋าเสื้อจุดเทียนเล่มใหญ่ซึ่งเตรียมไปด้วยเข้าหกเล่ม แล้วก็ไปเที่ยวตั้งไว้ทุกมุมห้องซุ้ย. เมื่ออยู่ในที่มืดเปนนานและได้แสงไฟสว่างแจ๊ดเช่นนั้น ตาก็ตื่นไฟ ปลาบเข้ามามองดูอะไรไม่เปนอะไร ข้าพเจ้ายืนจ้องพิจารณาหล่อนอยู่แต่ตัวข้าพเจ้าเองนั้นยังมิได้เปลื้องเสื้อคลุมชั้นนอกมิได้.

สักครู่หนึ่ง หล่อนสดุ้งตกใจกลัว เมื่อเห็นสถานที่นั้น - แสงเทียนส่องให้เห็นแท่นหิน เห็นกำแพงสกปรก เห็นโลงที่ผุพัง เห็นผ้าขี้ริ้วที่ตกเรี่ยราดอยู่ ร้องกรีดวิ่งผวาเข้ามากอดข้าพเจ้ายืนนิ่งแข็งอยู่ราวกับว่าเปนตุ๊กตาหิน แขนกระหวัดรอบคอข้าพเจ้าเหื่อเย็นซึมออกมาตามเส้นขน.

“พาไปที พาไปให้พ้น!” ซบหน้าลงครวญครางที่หน้าอกข้าพเจ้า “ห้องซุ้ย - โอ ซันตีสสิมา มาโดนา! ที่สำหรับคนตาย! เร็ว—เร็วเข้า! พาดิฉันไปเดี๋ยวนี้—ไปบ้าน—ไปบ้านเทียว-”

ประโยคที่พูดนั้นขาดห้วน เห็นข้าพเจ้ายิ่งนิ่งหล่อนยิ่งตกใจกลัวใหญ่ มองดูข้าพเจ้าด้วยตาเหลือกลานลุกพอง และเปียก

“เซซาเร! เซซาเร! พูดซี! เปนอะไรไป ? ทำไมจึงพามานี่ ? ถูกตัวฉันซี! ยังไงเล่า—จูบซีเอ้า! พูดอะไรบ้าง—อะไร ๆ ก็พูด—ขอให้พูดนิด!

ที่ตรงทรวงอกนูนขึ้นบุ๋มลง ร้องไห้สอึกสอื้นด้วยความตกใจกลัว.

เอามือผลักหล่อนออกไปให้ห่าง แล้วพูดด้วยเสียงอันมีสำเนียงบังคับหน่อย ๆ ดุนิด ๆ ว่า “อะไร้ ขอเสียทีเถอะน่า! นี่ไม่ใช่ที่ที่จะฝากบำเรอกัน ขอให้ตรวจดูสถานที่ให้ดี! หล่อนคาดถูกทีเดียววานี่เปนห้องซุ้ย!…. ถ้าฉันไม่ผิดแล้ว—นี่น่าจะเปนห้องซุ้ยของตระกูลโรมานี.”

เมื่อได้ยินดังนั้นสอื้นของหล่อนหยุด ราวกับจะเย็นแข็งคาอยู่ในคอไม่สามารถพ้นขึ้นมาได้ เพ่งดูข้าพเจ้าด้วยความกลัวและประหลาดใจมาก

“ที่นี่” ข้าพเจ้าพูดต่อไป “ที่นี่เปนที่ที่บูรพชนแห่งตระกูลของสามีของหล่อนนอน ท่านเหล่านั้นล้วนแต่ใจคอกล้าหาญและเปนคนซื่อสัตย์อยู่ในศีลในธรรม และณที่นี่เนื้ออันนิ่มอ่อนลมุนของหล่อนจะต้องอยู่ด้วยเหมือนกัน ที่นี่” เสียงข้าพเจ้าหนักและซึ้งมากขึ้น “ที่นี่ ประมาณหกเดือนมาได้เขาได้เอาสามีของหล่อน ฟาบีโอ โรมานี มาฝังไว้.”

หล่อนมิได้พูดออกเสียงประการใด นิ่งจ้องดูข้าพเจ้าอยู่เมื่อพูดไปถึงเท่านั้นแล้วข้าพเจ้าก็นิ่งฟังสิว่าจะตอบประการใด สักครู่ใหญ่ๆ ริมฝีปากอันแห้งของหล่อนได้ผายให้เสียงอันแหบเครือและจะถ้อยชัดคำแล่นออก

“เธอนี่คงคลั่งเสียแน่แล้ว” หล่อนพูดด้วยสำเนียงนั้นโกรธและกลัว.

ครั้นเห็นข้าพเจ้าไม่กระดุกกระดิกตัว หล่อนก็เข้ามาใกล้เอามือจับข้อมือข้าพเจ้าเปนเชิงบังคับครึ่งๆ ชวนครึ่งๆ.

“ไปเทอเข้อะ” หล่อนอ้อนวอน “ไปเดี๋ยวนี้เถอะเข้อเธอ.” แล้วแลไปดูรอบ ๆ ทำหน้าตาล็อกแล็ก “มาไปให้พ้นที่นี่เถอะอยู่ไม่ได้แล้วเรื่องเพ็ชร์พลอยนั้น ถ้าแม้เธอเก็บไว้ที่นี่ก็ให้มันอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ ดิฉันไม่เปนคนที่จะเอาไปแต่งกายแล้ว ไปเถอะเข้อะ โท่!”

ข้าพเจ้าไม่ยอม กำข้อมือหล่อนไว้แน่น แล้วหันมาทางของดำ ๆ ที่วางอยู่บนดินใกล้เรา—โลงแตกที่ใส่ข้าพเจ้านั่นเอง ฉุดหล่อนเข้ามาจนใกล้.

“เชิญดู.” พูดกระซิบ “นี่อะไร ? พิจารณาให้เลอียดโลงทำด้วยไม้แมวอะไรมิรู้ โลงสำหรับใส่ศพอหิวาตะกะโรค ตัวหนังสือที่เขียนบนโลงนั่นอ่านว่ากระไร ? เอ้า อย่าสดุ้ง. มีชื่อสามีหล่อนอยู่บนโลง เขาถูกฝังในนี้ แต่เหตุไรโลงนั้นเปิดอยู่ฉนี้ ? และตัวเขาไปอยู่ไหน ?”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวหล่อนโยกเยก ขาของหล่อนไม่แรงพอที่จะรับรองตัวอยู่ได้ ตัวหล่อนก็คุกลงไปบนพื้น และได้ยินหล่อนพูดพึมพำว่า—

“ตัวเขาไปอยู่ไหน ? ตัวเขาไปอยู่ไหน ?”

“อือ !” ข้าพเจ้าพูดดังก้องห้องซุ้ย “อือ! ตัวเขาไปอยู่ไหน ? โออนิจจาเจ้าผัวบ้าน่าสังเวช บ้าจนนางเมียคบชู้อยู่ในชายคาเรือนของตัวก็ไม่รู้สึก หลงรักหลงเชื่อไว้วางใจหล่อน! อือไปอยู่ที่ไหน ? นี่! นี่!” แล้วก็จับมือหล่อนดึงให้ลุกขึ้นยืน “ฉันได้สัญญาไว้ว่าจะให้หล่อนเห็นฉันที่เปนธรรมดา! ฉันได้สบถว่าคืนวันนี้ฉันจะกลับเปนหนุ่มเพราะความเห็นแก่หล่อน…. ดูซีฉันพูดอะไรแล้วไม่คืนคำ! มองดูฉัน แม่นีนนา—ดูฉันซีแม่เมียแต่งงานสองครั้ง....ดูให้เต็มตา ?... อะไรไม่รู้จักผัวหรือว่ากระไร ?”

ว่าดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็เปลื้องเครื่องแต่งตัวชั้นนอก ยืนปราศจากสิ่งใดที่แปลงให้หล่อนแปลก คำที่พูดนั้นดูประหนึ่งว่าเปนโรคอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นแก่ภรรยาข้าพเจ้าโดยประจุบันทันที ความสวยความงามของหล่อนหายไปกับตา หน้าชักเศร้าและขมวดย่นยู่ดูเกือบแก่—ริมฝีปากกลายเปนเขียว ไนยตากลายเปนถมึงทึง มือที่ยกขึ้นดูแห้งผอมลงไปราวกับมือผี ได้ยินเสียงอะไรดังอยู่ในคอดิ้นออกจากมือข้าพเจ้าซุกลงไปยังพื้น คลำคลานดูเหมือนจะหาช่องในแผ่นดินแทรกหนีให้พ้นไนยตาข้าพเจ้า.

“โอ! ไม่จริง ไม่จริง!” หล่อนร้องครวญคราง “ไม่ใช่ฟาบีโอ!—ไม่จริง เปนไปไม่ได้....ฟาบีโอตายแล้ว—ตาย! และเธอ!...เปนบ้า!….เล่นรังแกอย่างไม่มีเวทนาอย่างนี้ทนไม่ไหว—เล่นหลอกให้ตกใจอะไรมิรู้!”

ภรรยาข้าพเจ้าพยายามจะลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้าก็เข้าไปใกล้ประคองให้ยืนขึ้นด้วยกิริยาอันดี พอถูกตัวรู้สึกว่าตัวสั่นริกไปทั้งสารพางค์กาย ค่อยยืนขึ้นตรงแล้วก็เอามือเสยผมที่ลงมาปรกอยู่ที่หน้าผากกลับไป แต่ตายังเพ่งดูข้าพเจ้าอยู่ไม่วาง ในชั้นต้นดูออกสงไสย ๆ แล้วออกกลัวๆ ในที่สุดเชื่อว่าเปนจริง เพราะหล่อนเอามือปิดตามิดทั้งสองข้าง โดยจะไม่ให้เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็นและร้องไห้ครวญครางระงม เหมือนกับคนซึ่งมีความเจ็บปวดรวดเร้ามาก. ข้าพเจ้าหัวเราะเยาะ

“อาฮา! หล่อนจำผัวได้หละหรือ” ข้าพเจ้าร้องพูด “จริงฉันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ผมเผ้าแต่ก่อนดำ ตามที่หล่อนจำได้เปนสีขาวไปเดี๋ยวนี้ ขาวเพราะความตกใจกลัวซึ่งเหลือที่หล่อนจะคาดคะเนได้ว่าเพียงไร ถึงโดยจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงเท่านั้น ฉันเชื่อว่าหล่อนคงจะจำผัวได้ดี! ดีแล้ว ดีใจที่ความจำของหล่อนยังเปนปรกติ.”

เสียงร้องไห้ปนสอื้นดังออกมาจากปากหล่อน.

“ไม่จริง ไม่จริง!—มันเปนไปไม่ได้! คงเปนการเท็จทั้งสิ้น—ทำอุบายอะไรกันเช่นนี้—เปนความจริงไม่ได้แท้ จริง โอพระผู้เปนเจ้า! ชั่วร้าย ร้ายกาจเหลือเกิน.”

ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ แกะมือที่ปิดไนยตานั้นออกมายึดไว้ “ฟังพูดก่อน! ฉันทนนิ่งมารู้ว่านานกี่มากน้อย ผีสางเทวดาเปนพยาน แต่มาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้พูดออกได้. จ้ะ!....คิดว่าฉันตาย—มีเหตุที่จะคิดว่าตายจริง—มีพยานที่จะอ้างว่าตายจริง. หล่อนก็ดีใจที่พระยามัจจุราชมาแยกเอาผัวไป นึกว่าสิ้นห่วงสิ้นใยเสียที....หมดที่จะกีดขวางหนรู่หนทาง! แต่แม่เอ๋ย ฝังผัวเสียทั้งเปน ๆ !” หล่อนร้องกรีด สบัดจะให้หลุดจากกำมือ แต่เท่ากับยุให้กำให้แน่นขึ้นอีกเท่านั้น. “เธอจงคิดดู แม่เมียของฉัน! เพียงสลบไปก็นึกว่าตาย ดีใจปล่อยให้เขาเอาลงบรรจุโลง ตีตะปูมิดชิดไม่ให้แสงสว่างหรือลมเข้าได้ นึกเสียว่าเปนสิ้นวาศนากันที! ใครจะนึกจะฝันบ้าง ว่าชีวิตนั้นยังอยู่ในร่าง—ชีวิตแรงพอที่จะทำลายแผ่นกระดานที่ขังได้ ดังปรากฏอยู่กับตาที่นี่!”

หน้าซีดและตาเขียวบอกความว่าโกรธมาก.

“ปล่อย!” ภรรยาข้าพเจ้าพูด “อ้ายบ้า อ้ายโกหก - ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”

ข้าพเจ้าวางมือหล่อนทันทีและมายืนนิ่งจ้องหน้าอยู่ “ไม่บ้าไม่บ้าหร็อกแม่ และรู้ดีเท่ากับฉัน รู้ว่าคำที่ฉันพูดมาเมื่อกี้นี้จริงทั้งนั้น เมื่อฉันออกจากโลงแล้ว ยังเจอะตัวของตัวเองติดขังอยู่ในห้องซุ้ยนี่อีก—ในเรือนของท่านผู้เปนต้นตระกูล” เสียงสอื้นของหล่อนหายเงียบลงทันที เพ่งตามองจับตาข้าพเจ้า “แม่เจ้าประคุณอยู่คืนยังรุ่ง” ข้าพเจ้าพูดต่อไป “ทนทรมานอยู่ในห้องนี้ นึกว่าไม่อดเข้าตายก็คงจะอยากน้ำคอแตกตายอะไรอย่างหนึ่ง เมื่อจะตายคงกระวนกระวายอย่างที่ไม่มีเปรียบได้โดยแท้ แต่เดชะบุญคุณพระไม่เปนไปอย่างนึก ไปเจอะช่องหนีรอดได้ พอออกข้างนอกได้ถึงแก่ร้องไห้ ร้องไห้โดยความปิติขอบใจพระผู้เปนประธานในโลกที่อนุเคราะห์ให้ออกจากกำมือพระยามัจจุราชมา มาให้มีชีวิตคงอยู่! โอแต่ฉันเห็นตัวฉันเปนฟุลเดี๋ยวนี้!—ตายเสียในคราวนั้นจะร้อยดีพันดีกว่าที่จะรอดกลับมาเห็นบ้านเปนอย่างนั้น!”

ริมฝีปากหล่อนเปิดแล้วปิดแล้วเปิดปิดอีก แต่มิได้พูดประการใด ตัวสั่นเหมือนกับอาบน้ำแช่น้ำแข็งมาใหม่ ๆ ข้าพเจ้าฉุดหล่อนเข้ามาใกล้.

“บางทีหล่อนจะสงไสยคำเรื่องที่ฉันเล่าให้ฟังว่าไม่จริง ?” หล่อนไม่ตอบว่าประการใด ความโกรธแล่นฉิวขึ้นมาทันที “พูด!” ข้าพเจ้าตวาด “ให้ตายต่อหน้าพระไปเถอะเอ้า จะต้องทำให้พูด!” ว่าดังนั้นแล้วก็ชักเอากริสที่เหน็บไปในเสื้อออกมา “พูดความจริง ถึงจะไม่มากก็แต่สักครั้งเดียว มิฉนั้นจะได้เห็นกันเดี๋ยวนี้—ต้องตอบเดี๋ยวนี้! ตอบซี เชื่อหรือไม่เชื่อว่าเปนผัว—ผัวที่ไม่ตาย ฟาบีโอ โรมานี ?”

หล่อนผงะ หยุดหายใจ เห็นท่าทางข้าพเจ้าโกรธจัด เห็นกริสแปรบปราบเข้าตา - ถ้ากิริยาข้าพเจ้ากระดิกเร็วเข้าก็แปลความว่าอันตราย ไม่ใช่อื่น หล่อนทิ้งตัวลงที่เท้าข้าพเจ้ายังกับจะว่า “โอ้ ว่า พ่อทูลกระหม่อมแก้ว จะไม่เม็ตตาแล้วหรือไฉน” แต่—หาได้พูดเปนคำกลอนอย่างนั้นไม่.

“เอ็นดูเถิด กรุณาดิฉันด้วย” หล่อนพูด “โทท่านอย่า อย่า อย่าฆ่าให้ตายเสียเลย จะทำประการใดก็จะยอมทุกอย่าง ขอแต่อย่าเพิ่งให้ตายเลย ยังสาวเกินไปที่จะตาย! เข้อะ เข้อะ! ดิฉันทราบว่าเธอหน้ะเปนฟาบีโอ—โอ!” แล้วหล่อนก็ร้องไห้สอึกสอื้นพิราบร่ำไร “เธอบอกแก่ดิฉันวันนี้เองว่าเธอรักฉัน.....เมื่อเธอแต่งงานแก่ดิฉัน! ทำไมถึงมาแต่งงานแก่ดิฉันเล่า ? ดิฉันก็เปนภรรยาก่อนแล้ว—ทำไมต้องมาแต่งงานกันอีก—ทำไม ? โอเต็มทียังงี้ ทนไม่ไหว! อ้อเห็นแล้ว—เข้าใจหมดแล้ว! แต่อย่าเข้อะ อย่าเพ่อให้ดิฉันตายเลย คิดถึงความดีที่ได้ทำไว้บ้าง ฟาบีโอ—ดิฉันกลัวตายนัก โท่ โท่!”

ว่าดังนั้นแล้วก็ซบศีร์ษะลงที่เท้า โทษะหายไปเร็วราวกับที่เกิดเปน ข้าพเจ้าเหน็บกริสกลับไว้อย่างเก่า สกดเสียงลงให้ราบรื่นและพูดเปนเยาะ ๆ ว่า.

“อย่าตกอกตกใจไปเลยแม่ชื่นใจ ฉันไม่มีความมุ่งหมายที่จะเอาชีวิตหล่อนสักนิดเดียว ใจฉันใช่โหดร้ายไพร่กระดุมภีที่จะเปนคนร้ายฆ่ามนุษย์ได้ เอ้าหล่อนลืมเสียแล้ว ชาวเนเปิลซ์ไม่ใช่จะโทโสโมโหร้ายไปทุกรูปทุกนามเมื่อไร ย่อมมีดีมีชั่วบ้าง ที่ฉันได้พาหล่อนมาจนถึงที่นี่นั้นก็เพื่อประสงค์จะเล่าให้ฟังว่าฉันยังอยู่ ยังไม่ตาย มาให้เห็นพยานต่างที่จะส่อให้เห็นความจริง. ลุกขึ้น ฉันขอให้หล่อนลุกขึ้น เรามีเวลาที่จะพูดกันถมไป ระงับใจสักหน่อยฉันจะเล่าแจงสี่เบี้ยให้หล่อนซึมตลอดแต่ต้นจนปลาย—ลุกขึ้น!” หล่อนเชื่อข้าพเจ้า ลุกขึ้นยืนและถอนใจใหญ่ เมื่อหล่อนยืนขึ้นแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ.

“อะไร! เหตุไรไม่พูดคำรักอย่างหวานแก่ฉัน ?” ข้าพเจ้าพูด “ไม่จูบ ไม่ยิ้มแย้ม ไม่พูดเชื้อเชิญในการกลับมา ? หล่อนว่าหล่อนจำฉันได้—ดีแล้ว ไม่ดีใจบ้างเทียวหรือที่เห็นหน้าผัวกลับมา ?—หล่อน—แม่หม้าย ฮือ!”

ภรรยาข้าพเจ้าเปลี่ยนสีหน้าไปอีก - - บีบนิ้วมือของตัวลั่นดังเปาะ ๆ แต่ก็มิได้พูดประการใด.

“ขอให้ฟัง!” ข้าพเจ้าพูดต่อไป “มีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอีกเมื่อฉันหนีพ้นความตายรอดมาได้ ครั้นมาถึงบ้าน—ฉันเจอะมีผู้เข้ามาครองตำแหน่งว่างของฉันเสร็จแล้ว มาทันเห็นเปนพยานแก่ตาที่ในสวนทางมีต้นไม้สองข้างทาง—หล่อนผู้เปนเมียของฉันกับกีโดผู้เปนสหายของฉัน ว่าอะไรกันกลุ้ม” นีนนาเงยหน้าขึ้นและร้องกรีดกราดใหญ่ด้วยความกลัว ข้าพเจ้าก็ก้าวเข้าไปใกล้สักสองก้าวได้แล้วก็พูดโดยเร็ว.

“ได้ยินไหม! เดือนหงายส่องสว่าง และนกไนติงเกลส่งเสียงจ้า—จ้ะ เห็นหมด ครบบริบูรณ์! ดูตั้งแต่ต้นจนที่สุด—ขอให้คิดว่าในใจคนที่ยืนดูอยู่นั้น จะเปนประการใดบ้าง. ได้รู้สิ่งซึ่งไม่ได้รู้มามากต่อมาก ได้ทราบว่าผู้หญิงซึ่งมีใจใหญ่—และมีความรู้สึกมาอย่างหล่อนฉนี้ ผัวคนเดียวไม่เปนที่พอใจ” ณะตรงนี้ข้าพเจ้าวางมือลงบนไหล่หล่อนและเพ่งดูหน้า ซึ่งบอกว่าตกใจกลัวมาก “ภายในสามเดือนที่ได้อยู่กินกับฉันนั้น หล่อนคบชายอื่นอีก. อย่าอย่าปฏิเสธ ให้ปฏิเสธอย่างไรก็ไม่หลุด กีโดเฟอร์รารีเปนผัวหล่อนทุกสีทุกอย่าง เว้นอยู่อย่างเดียวแต่ในนาม. กลต้องซ้อนกล อุบายต้องอุบาย นอกนั้นไม่ต้องพักกล่าวให้เสียเวลา ด้วยหล่อนรู้อยู่เต็มใจแล้ว ในหน้าที่เคานต์โอลิวา หล่อนปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันเล่นไม่ดี! เกี้ยวหล่อนครั้งที่สอง แต่ไม่สู้ร้อนฮึ่ดมากเท่ากับหล่อนเกี้ยวฉัน! แต่งงานกันอีกเปนครั้งที่สอง ใครจะกล้าพูดได้ว่าหล่อนหน้ะไม่เปนสิทธิ์ของฉันแท้—ของฉันวันยังค่ำ ทั้งกายทั้งและวิญญาณ จนกว่าความตายจะแยกเราให้จากกัน!”

ข้าพเจ้าปล่อยมือ. ภรรยาข้าพเจ้าบิดตัวไปมาราวกับงูที่เขาเอาไม้กดศีร์ษะไว้. น้ำตาที่ไหลอาบแก้มนั้นแห้งหายไป สีหน้าซีดขาวราวกับหน้าคนตาย แต่ไนยตา ๆ ยังเปนมันพองบอกว่าใจร้ายแรงอยู่. ข้าพเจ้าก็เดินไปหน่อยหนึ่ง พลิกโลงของข้าพเจ้าคว่ำลงแล้วขึ้นนั่งตามสบาย ดูเหมือนกับนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขก แต่ตามองแม่โฉมงามไม่วาง เห็นสีหน้าขึ้นอยู่ริ้ว ๆ มา ชะดีชะร้ายคงจะมีความคิดอะไรใหม่. หล่อนค่อย ๆ ย่างออกจากผนังที่ยืนนิ่งอยู่ เท้าค่อยย่าง แต่ตาจับตาข้าพเจ้าไม่วาง ดูเปนทีกลัวอุกฤษฐ์ ข้าพเจ้าก็นั่งนิ่งเฉย ไม่ปราดถนาจะกระดุกกระดิกทำไมให้ป่วยการ.

ค่อย ๆ ก้าวทีละก้าว พอพ้นหน้าข้าพเจ้าไปก็วิ่งปรื่อขึ้นบันได กระโดดขึ้นไปที่ละสามขั้นได้อยากจะว่า. ข้าพเจ้านึกยิ้มในใจ! ได้ยินเสียงสั่นประตูเหล็กข้างบนโครม ๆ และตะโกนให้คนช่วยอยู่หลายหน ไม่มีใครขานตอบ นอกจากความก้องของห้องซุ้ยจะเลียนเสียงหล่อนเท่านั้น. ภายหลังหล่อนร้องกรี๊ดดังใหญ่ ร้องราวกับเสียงแมวร้องเมื่อคลั่ง—ประเดี๋ยวได้ยินเสียงส่ายแพรดังซึ่ดๆ ลงบันไดกลับมากระโดดแผลวมายืนอยู่ตรงหน้า ทำนองคล้ายกับเสือกระโดด.

“เปิดประตูเดี๋ยวนี้” หล่อนกระทืบเท้าบังคับ “ชาติใจร้าย ทมิฬ! ชาติกระบถ! ข้าเกลียดเอ็งแล้วขอให้รู้ไว้ เกลียดเสมอ! เปิดประตูปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ ได้ยินไหม! ดูหรีไม่ทำตามสั่ง! เจ้าไม่มีอำนาจอันชอบธรรมอย่างไรที่จะมาฆ่าข้า!”

ข้าพเจ้ามองดูเฉย คำร้ายแรงและขู่ที่ภรรยาข้าพเจ้าพูดก็หยุดทันที บางที่จะเห็นกิริยาหน้าตาอะไรสักอย่างหนึ่ง ตัวสั่นและถอยห่างออกไป.

“อ้อ ไม่มีอำนาจอันชอบธรรม” ข้าพเจ้าเยาะ “ฉันมันผิดกับหล่อน ชายผู้ใดแต่งงานอยู่กินเปนผัวเปนเมียกับหญิงครั้งหนึ่งแล้ว ชายผู้นั้นก็มีอำนาจอันชอบธรรมเหนือภรรยาตนบ้าง แต่ทว่าชายผู้ใดแต่งงานเปนผัวเมียกับหญิงคนเดียวถึงสองครั้งแล้ว อำนาจเปนสิ่งไม่ต้องสงไสย ว่าจะไม่ทวีขึ้นอย่างน้อยเปนสองเท่า!”

ว่าดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ลุกทลึ่งเข้าไปใกล้ ความโทษะแล่นขึ้นตามเส้นเลือด ยึดแขนอันขาวผ่องของหล่อนไว้แน่นทั้งสองมือ

“พูดถึงฆ่า รึ!” คำรามด้วยโทษะ “หล่อน-หล่อนแหละได้ฆ่าคนถึงสองคนแล้ว โลหิตสุมอยู่บนศีร์ษะ! ถึงโดยฉันจะมีชีวิตอยู่ แต่จะเปรียบกับแต่ก่อนแล้วก็เสมอเพียงอ้ายทรากที่ไหวเลื่อนได้เท่านั้น—ความหวัง ความซื่อ ความศุข ความสบาย-สิ่งที่ดีที่ใหญ่ในกายตัวฉันนั้นหล่อนสังหารเสียหมดแล้ว ส่วนกีโด—”

นีนนาร้องไห้สอื้นพูดสอดเข้ามาว่า “เขารักฉัน! กีโดรักฉัน!”

“อ้อ เขารักหล่อน อ้อ ชาติกาก! เขารักอ้อ อ้อ! มานี่ มา!” ข้าพเจ้ากระชากตัวภรรยาข้าพเจ้าปลิวไป ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกได้ในภายหลังว่าเสียกิริยาอยู่หน่อย แต่เวลานั้นความโทษะเปนเจ้าเรือน.

“เธอฆ่ากีโดตาย จะมาโทษใครเดี๋ยวนี้!” หันหน้าไปไม่มองดูข้าพเจ้า.

“ดูเอาซิกลับมาว่าเขาฆ่า! ไม่จริง. ไม่จริง! หล่อนฆ่า ไม่ใช่ฉัน! กีโดตายเมื่อได้รู้เข้าว่าหล่อนไม่ตรงต่อ—เมื่อรู้ว่าหล่อนเล่นเท็จแก่เขาด้วย เห็นแก่จะแต่งงานกับคนที่เข้าใจว่าเปนคนมั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สฤงคาร—ลูกปืนของฉันนั่นช่วยสงเคราะห์ให้เขาพ้นจากความทรมานลำบากลำบนเสียอีก. หล่อนดีใจเสียอีกที่เขาตายจากไป—หล่อนดีใจเหมือนกับเมื่อคราวฉันตายจากไป! พูดถึงฆ่าฟัน! โอหญิงสามาญ! ถ้าหากว่าฉันฆ่าได้จริง ฆ่าแล้วฆ่าอีก ฆ่าอีก ฆ่าแล้ว สักยี่สิบครั้ง แล้วจะยังไง ? น้ำหนักของความบาปของหล่อนยังมากกว่าน้ำหนักของการทำโทษ!”

ว่าดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เหวี่ยงตัวหล่อนไปให้พ้นด้วยกิริยากันขยะแขยง กระเด็นออกไปฟุบอยู่ที่พื้น เสื้อคลุมขนสัตว์ของหล่อนหลุดออกและเสื้อข้างในหรูหราได้แสดงออกมา เพ็ชร์พลอยก็พราวแพรวแววรับจับตาพราย นอนนิ่งอยู่ด้วยความดิ้นรนในใจ ด้วยความโกรธ และด้วยความกลัว.

“ยังไม่เห็น” หล่อนพูดอ่อยๆ “ว่าเหตุไรจะมาลงโทษนั้น! ฉันไม่เลวไปกว่าหญิงสามัญอื่น ๆ เลย.”

“ไม่เลวกว่า! ยังงั้นไม่เลว!” ข้าพเจ้าร้องพูด “น่าอาย น่าขายหน้าในการที่นับเอาพวกหญิงทั้งหลายมาเปรียบกับตัวของตัว จะบอกให้ทราบสักครั้งว่า พวกผู้ชายที่มีเมียอันไม่ซื่อสัตย์ต่อผัวแล้ว พวกผู้ชายนั้นคิดว่าเมียของตนเปนอย่างไรบ้าง พูดเท่านี้ก็เข้าใจดีแล้ว นึกรู้ใจความได้ เพราะฉนั้นไม่ถูกที่จะเปรียบตัวด้วยผู้หญิงดีอื่น ๆ น่าอาย น่าอาย! นึกว่าการที่ไม่ซื่อต่อผัวนั้น ไม่มีบาปกรรมอะไร อย่างนั้นหรือ ? นึกว่าถ้าเห็นพลาดท่าพลาดทางข้าก็แต่งทนายยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ขอให้ศาลหย่าขาดจากผัวเมียกัน แล้วก็ลอยนวนได้ตามสบายใจอย่างนั้นหรือ ? ควรแหละหรือรูปก็งาม นามก็เพราะ จะคิดผิดเห็นทางรกดีกว่าทางเตียนไปได้! ขอบอกให้ทราบสักหน่อย บางทีจะนึกโอ๋แปลกมากปลาดจริง! ไม่มีสัตว์เดียรฉานชนิดใด ไม่มีสิ่งโสโครกชนิดใด ไม่มีของสิ่งใดที่ในโลกทั้งมีวิญญาณและไม่มีวิญญาณที่จะเปนสิ่งน่าเกลียดน่ากลัว สอิดเสอียนขนพองสยองเกล้าแก่ผู้ชายเท่ากับภรรยาที่นอกใจ. อ้ายคนขี้ขลาดที่แอบซุ่มอยู่ข้างประตูหรือมุมที่ลับ ลอบแทงคนที่ไม่รู้สึกตัวที่มามือเปล่า ตามความเห็นของฉันยังดีกว่าหญิงผู้ใดเอาชื่อ เกียรติยศ ตำแหน่ง ความดีของผัวมาเปนเครื่องกำบังกายของตนเอามาเปนโล่ เอาความสรวยความเก๋และอะไรต่ออะไรของตนเที่ยวจำหน่ายเปนสินค้าอย่างทารุณ. โดยไม่อยากจะกล่าวให้ยาวความ ลัดความว่าการที่ทำนอกใจผัวนั้นชั่วร้ายแรงยิ่งหนัก ถ้าไม่ร้ายกว่าโทษฆ่าคนตายก็ราว ๆ กัน จึงและควรที่จะต้องรับโทษอย่างสาหัศแม้นกัน”

“แม้—ทำโทษ!” ภรรยาข้าพเจ้าพูด “อวดดีอย่างไรจึงจะมาเปนตุลาการตัดสิน! ฉันทำอะไรให้แก่ผู้ใด! อ้อถ้าสรวยลาก้อเปนความผิดอย่างนั้นหรือเคอะ ฮึน่าหัวเราะ! ถ้าพวกผู้ชายพากันเปนบ้าเอง ก็ฉันจะทำอย่างไรได้! เธอรักฉัน—กีโดรักฉัน—ฉันจะไปห้ามได้หรือว่าอย่าให้รัก. ฉันไม่รักเขาเลย ยิ่งเธอละยิ่งใหญ่.”

“ทราบแล้ว ไม่ต้องบอกก็ทราบ” ข้าพเจ้าตอบ “ความรักมิใช่ส่วนแห่งธรรมชาติของหล่อน ทราบแล้ว. ชีวิตของผู้ชายเปนประดุจถ้วยเหล้าองุ่น สำหรับริมฝีปากเท็จของหล่อนจะจิบ. ในกาลครั้งหนึ่งรศของน้ำองุ่นเปนที่พอใจหล่อน แต่บัดนี้—บัดนี้หล่อนรู้สึกว่าไม่มีรศอะไรแปลกกว่าน้ำท่าธรรมดา.

หล่อนถอยหลังไป ศีร์ษะก้มเดินถอยไปถึงกำแพงแล้วก็นั่งลงบนแผ่นศิลา เอามือข้างหนึ่งกดที่ทรวงอก.

“ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความจำ!”

ข้าพเจ้าร้อง “เทวดาเปนพยาน! สิ่งชนิดนี้ควรแล้วหรือจะมีชีวิตอยู่และเรียกตัวของตัวว่าเปนผู้หญิง! สัตว์เดียรฉานอย่างต่ำที่สุดที่เลื้อยคลานยังมีความรู้สึกดีบ้าง ตามภาษาของมัน! เชิญฟัง. กีโดรู้ว่าฉันเปนผู้ใดก่อนเขาตาย ถึงโดยที่สุดแม่ดาราน้อย ที่หล่อนทิ้งขว้างไม่อินังขังขอบ เมื่อจะขาดใจตายก็ยังรู้จักพ่อ. ดาราเปนเด็กไม่รู้เดียงษา ก็หลับตาตายเปนศุขไป! แต่กีโด! ขอให้หล่อนเอาใจตัวเปนใจเขาบ้าง ได้รับความเจ็บปวดทรมานน้ำใจอย่างที่สุด ทราบเรื่องราวหมด! ขอให้นึกว่าเขาเมื่อจะขาดใจตายนั้นจะได้นึกแช่งชักหักกระดูกอย่างไรบ้าง ?”

หล่อนเอามือเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปจากหน้าผาก ไนยตาอันน่ากลัวเปนมันขลับเหลือกลนแข่งจับตาข้าพเจ้าอยู่ไม่วาง.

“จงดู” ข้าพเจ้าพูดต่อไป “มีพยานหลายสิ่งที่จะอ้างได้ว่าเรื่องที่เล่าให้ฟังนั้นเปนเรื่องจริงแท้. นี่สิ่งที่ได้ฝังพร้อมกับฉัน” ข้าพเจ้าโยนล้อกเก๊ตและสายสร้อยทอง ซองก๊าดและถุงเงินที่หล่อนให้ไว้ ลงไปบนตักหล่อน. “ไม่ต้องสงไสยว่าคงจำของเหล่านี้ได้นี่.” เอาไม้กางเขนของบาดหลวงออกให้ดู—“นี่วางอยู่บนทรวงอกฉันในโลง, บางทีจะเปนประโยชน์แก่หล่อนได้—หล่อนจะได้เอาไว้สวดอ้อนวอนตามสบาย !”

หล่อนทำกิริยาท่าทางให้ข้าพเจ้าหยุดพูด แล้วพูดออกมาเหมือนกับเคลิ้มฝันว่า ! “หนีออกจากห้องซุ้ยนี้ได้ หนีอย่างไร—เมื่อไรกัน ?”

ข้าพเจ้าหัวเราะ นึกคาดความประสงค์ของหล่อน

“ไม่สำคัญอะไรหร็อก” ข้าพเจ้าตอบ “ทางออกที่ฉันพบนั้นเดี๋ยวนี้ให้เขาโบกปูนซ่อมแซมเสียดีแล้ว ฉันเปนคนมาคุมให้ซ่อมแซมเอง! ใครมาอยู่ในนี้แล้วให้วิเศษอย่างไรก็เปนหนีออกเหมือนฉันไม่ได้ การหนีเปนของอิมทีเดียว.”

ภรรยาข้าพเจ้าร้องไห้โฮใหญ่ แล่นลงฟุบกอดเท้าข้าพเจ้า “ฟาบีโอ! ฟาบีโอ! ช่วยดิฉันให้พ้นอันตรายหน่อย โท่ เอ็นดูกรุณาบ้างเถอะเจ้าประคุ้ณ! ช่วยเอาไปให้ถึงที่สว่างๆ-ลมอากาศดี-ให้คงมีชีวิตอยู่ จะฉุดลากไปประจานทั่วเมืองเนเปิลซ์-ให้ฝูงชนเขาสาบหน้าว่าเปนหญิงแพศยาอย่างไรก็ตามใจ จะตั้งชื่อให้อย่างชั่วร้ายอย่างแรงอย่างไรก็เชิญ....ขอแต่ให้ดิฉันคงรู้สึกว่าเลือดยังเดินอยู่ในเส้นชีวิตยังคงอยู่ในร่างอย่างเดียว จะให้ทำอะไร ให้พูดประจานตัวอย่างไร ให้เปนอะไร-ยอมทุกท่า-ขอแต่ให้คงมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอย่างเดียว! โท่ โท่ ดิฉันยังสาวนัก ขอถามนิดเถอะว่าดิฉันหน้ะชั่วร้ายถึงเกินไปเทียวหรือ ? มีพวกผู้หญิงถมไปนับไม่ถ้วนที่มีชู้รักนับด้วยโหล ก็ไม่เห็นมีใครว่าไม่ดี เหตุไรดิฉันจึงจะต้องทนกรรมมากกว่าไป!”

“ทำไม ทำไม?” ข้าพเจ้าร้องก้องห้องด้วยความโกรธ “เพราะว่าผัวถือกฎหมายไว้ในกำมือ—เพราะว่าต้องการตัดสินให้เปนยุติธรรม - เพราะว่าเขาสามารถที่จะทำโทษผู้ที่เอามินหม้อหมายออนเน่อร์เขาได้ด้วยพละการตนเอง! คนอย่างฉันมีมาก คนอย่างหล่อนมีน้อย! มีชู้รักกันตั้งโหล! ไม่ใช่ความผิดที่หล่อนมีแต่คนเดียว! เมื่อล่อลวงชายสองคนได้แล้วใช่จะพอใจเมื่อไร พยายามล่อลวงคนที่สามอีกต่อไป. ข้อนี้จริงหรือไม่ เมื่อคิดว่าฉันเปนเคานต์โอลิวา-ตกลงเปนมั่นเปนเหมาะที่จะแต่งงานกันแล้ว ยังมีหน้าเขียนจดหมายไปถึงกีโด เฟอร์รารีในกรุงโรมเสมออย่างยั่วยวนชื่นใจด้วย! นี่ จดหมาย” ข้าพเจ้าก็โยนจดหมายไปให้ทั้งมัด “ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ฉันอีกแล้ว-อ่านหมดแล้ว!” หล่อนมิได้เก็บมัดจดหมายนั้นขึ้นดู นิ่งกอดเท้าข้าพเจ้าอยู่ เมื่อข้าพเจ้าก้มลงไปมองเห็นสร้อยคอเพ็ชร์และกำไลเพ็ชร์แวววาวอยู่บนเนื้อขาวราวกับเปลวไฟอันมีวิญญาณ จึ่งก้มลงไปหยิบวงจันทร์เพ็ชร์ ที่อยู่บนมวยผมกระชากขึ้นมา.

“นี่ของของฉัน!” ข้าพเจ้าพูด “อย่างเดียวกับแหวนตราที่สรวมอยู่นี้-ซึ่งหล่อนได้ให้เปนของกำนันรักแก่กีโดเฟอร์รารี และแล้วได้คืนเอามาให้แก่ฉัน ผู้เปนเจ้าของโดยชอบธรรม ของเหล่านี้เปนของมารดาบังเกิดเกล้าฉัน เปนของสำหรับตระกูล ไม่ควรจะเอาไปแต่งให้เสียศิริเพ็ชร์ เพ็ชร์พลอยที่ฉันให้นั้นมันคนละอย่าง—เปนของที่ขะโมยมาได้ อ้ายมือเปื้อนเลือดเปนผู้ไปฉวยเอามา! ฉันได้สัญญาจะให้อีก! นี่แน่ดูซิถมไป!” ว่าดังนั้นแล้วก็เปิดหีบที่เปนรูปโลงผี บันจุของขะโมยของคาร์เมโลเนรีนายโจรใหญ่ ได้หยิบเอาของเพ็ชร์ ๆ ขึ้นมาล่อตาไว้ข้างบน “เห็นหรือยังเล่า” พูดต่อไป “สมบัติของเคานต์โอลิวาได้มาแต่ไหน. ฉันเจอะมาซ่อนอยู่ในห้องซุ้ยนี้ ในคืนที่เขาฝังฉันทั้งเปน. มีประโยชน์แก่ฉันมากยังอยู่ถมไป ไม่บกพร่องไปกี่มากน้อย เหลือนั้นสุดแล้วแต่แม่เถอะ!”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ