๑๗

เรา (ภรรยากับข้าพเจ้า) ได้รับหนังสือจาก กีโด เฟอร์รารี เนืองๆ ส่วนหนังสือที่เขามีมาถึงภรรยาข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นเปนแท้เที่ยง. แต่อย่างไร ๆ ก็ดีหล่อนได้บอกแก่ข้าพเจ้าหล่อนได้รับหนังสือจากเฟอร์รารี ในหนังสือว่ามีความเศร้าโศกเสียใจมากเมื่อทราบข่าวว่าแม่ดาราน้อยมาถึงแก่กรรมลงฉนี้ แต่ฉบับที่มีมาถึงข้าพเจ้านี้คนละความ ในจดหมายว่า—“ท่านคงไม่ทราบเลยคอนเต้ ว่าฉันไม่เสียใจในเรื่องที่บุตรีสาวฟาบีโอตายเลยสักนิดเดียว ถ้ามีชีวิตอยู่บอกท่านตามจริงว่าคอยเตือนใจถึงสิ่งที่ฉันอยากละลืมเสียอยู่ร่ำไป เขาไม่ชอบฉัน เปนหอกข้างแคร่ ตายเสียสิ้นเคราะห์ไปที.”

อยู่มาอีกหน่อยได้รับจดหมายอีกมีความว่า—

“ลุงจวนจบแล้ว แต่ถึงแม้นประตูแห่งความตายเปิดโร่คอยรับอยู่แล้วก็ดี แกยังทำกระบิดกระบวน ไม่อยากจะเข้าประตูเลย. พวกหมอ ๆ เขาว่าไม่อยู่นานกี่วันดอก—ฉันคงไม่ให้ต้องคอยท่านานดอก อยากกลับยังเมืองเนเปิลซ์ยังกะอะไรดี คิดถึงแม่เจ้าประคุณดังใจจะขาด ข้างลุงแกก็แกล้งไม่ใคร่จะตายได้เลย ตั้งแต่มาอยู่นี่ไม่มีความศุขเลย จิตรใจไปอยู่ที่แม่นีนนา ถึงรู้แล้วว่าอยู่ในปกครองท่านคงจะไม่เปนไร แต่นั่นแหละอดเปนห่วงไม่ได้ เปนของธรรมดา.”

ข้าพเจ้าได้อ่านตอนสำคัญนี้ให้แม่นีนนาฟัง อ่านเน้นถ้อยคำไปพลาง พลางสังเกตดูหน้าแลอากัปกิริยาของหล่อน หล่อนนิ่งฟังประเดี๋ยวโลหิตแล่นขึ้นหน้า อายด้วยความถือตัวเปนประมาณ คิ้วขมวดเข้าดูความรู้สึกหงุดหงิดในใจซึ่งเปนสิ่งที่ข้าพเจ้าเจนกันดี. ริมฝีปากค่อยผายออกเปนยิ้มหน่อย ๆ แล้วว่า

“ดีฉันขอบใจท่านมาก ที่เอาความในใจของซินยอเฟอร์รารีออกมาตีแผ่แก่ดีฉันฉนี้. นึกประหลาดใจมากว่าเหตุไรหนอเขาจึงสามารถเขียนจดหมายมาถึงท่านอย่างนี้ได้; โดยที่แท้สามีดีฉันที่ถึงแก่กรรมนั้นก็มีความรักใคร่เอ็นดูเขามาก ฉนั้นเขาจึงถือวิสาสะซึ่งความชอบธรรมที่จะเปนผู้ดูแลดีฉัน—เขานึกเหมือนกับที่ฉันเปนน้องสาว และตัวเขานั้นบังคับบัญชาว่ากล่าวอย่างฉันพี่ชาย. ออกเสียใจเสียแล้วที่ยอมให้มากเกินไป.”

จริงซี. ข้าพเจ้านึกในใจ และยิ้มนอกหน้า. ถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่จะเดินแต้มแล้ว.

“ฉันคิดว่า แมดาม” ข้าพเจ้าพูดลอย ๆ ในขณะที่พับจดหมายฉบับนั้นใส่ในสมุดพก “ซินยอ เฟอร์รารี คิดมากกว่าที่จะคิดเปนพี่ชาย”

โอ ความหน้าไหว้หลังหลอกของผู้หญิงที่หนึ่งอย่างนี้! ความจริงใจอย่างหนึ่ง ทำให้คนเห็นท่าทางและได้ยินด้วยน้ำเสียงเปนอื่นไปได้. แม้ผู้หญิงของเราคนนี้ไม่แสดงทำพิรุธสักนิด—กลับทำมองดู เหมือนมีความประหลาดใจอย่างยิ่ง—แล้วก็ทำเปนหัวเราะเยาะ.

“อ้อ—ยังนั้น!” หล่อนพูด “ถ้ายังงั้นซินยอเฟอร์รารีควรแล้วที่จะได้รับความเสียใจจดลงทะเบียฬได้. จริงนะเจ้าค่ะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินมาใกล้ “ท่านหมายจะบอกดีฉันว่าเขาเอื้อมสูงถึง—น่าหัวเราะ ถึงกะจะมาเปนผัวเฉันยังงั้นหรือเคอะ ?”

“เข้าใจว่าอย่างนั้น เขาได้ขยายความลับแก่ฉันมากอยู่ ?”

“แม้ดีฉันได้รับเกียรติยศยิ่ง. แต่ท่านคอนเต้ ท่านนึกแล้วหรือว่าดีฉันจะพอใจด้วย ?”

ข้าพเจ้านิ่ง สมองตัน เปนการยากที่จะสู้หน้ากับคนคดเช่นนี้. อะไร ไม่มีความรู้สึกบ้างทีเดียวหรือ ? ความที่กอด ที่จูบเพราะรัก คำสัตย์ปฏิญาณสาบาลตนอย่างนั้นอย่างนี้ต่าง ๆ นา ๆ ไม่มีค่าราคาอะไร. อะไรระหลุดไปจากหัวใจรวดเร็วราวกะรอยดินสอพองที่อยู่บนกระดานชนวน พอกระทบน้ำลูบปราดก็หายสูญทีเดียวหรือ ? นึกๆ ก็สมเพชกีโด! เคราะห์ของเขาอยู่ในกำมือของหล่อนอย่างเดียวกับเคราะห์ของข้าพเจ้าเคยอยู่ เหตุไรจะมาประหลาดใจ ? เหตุไรจะต้องมาสงสาร! ไม่ใช่ของที่คิดไว้แล้วหรือ? นี่ไม่ใช่ส่วนของความพยาบาทหรือ?

“ขอให้บอกตามจริงหน่อยเถิดท่านคอนเต้ว่า คนชั้นซินยอเฟอร์รารีนั้นควรคู่กับดิฉันแล้วหรือ ?” หล่อนชอ้อน.

“ฉันเห็นควร คือในชั้นที่หนึ่งเขาเปนคนหนุ่มแน่นปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่สวย ในชั้นที่สองพอลุงตายแล้วทรัพย์สมบัติทั้งหลายแหล่ก็เปนมรฎกของกีโดสิ้น—ก็แม่จะต้องการอะไรอีกนอกจากนี้เล่า ? อีกประการหนึ่ง เขาก็เปนสหายอันสนิทของสามีเก่า—”

“เพราะอย่างนั้นนาซี ฉันจะรับเปนผัวไม่ได้เปนอันขาด!” หล่อนทลุขึ้นมากลางปล้อง “ถึงจะให้ชอบให้ใจขาดีฉันก็ไม่ (โอหญิงกระบถ) โลกจะได้ติฉินนินทาตายลาซี.”

“อย่างไร แมดาม ? รับประทานโทษ ไม่เข้าใจจริงแท้จะว่าโง่เง่าก็ยอม”

ท่านไม่เห็นหรือ คอนเต้ ?” หล่อนพูดด้วยเสียงอันจะขอให้คนเชื่อ “ถ้าฉันไปได้กับคนที่นับว่าเปนสหายอันสนิทของสามีที่เสีย การสโมสรก็จะเปนการเลวทรามมาก—เขาก็จะนึกมิดีมิร้ายอะไรเล่นต่าง ๆ ไม่ฟังลาซี คงนึกว่านี่มิกระไรกันก่อนผัวตายแล้วหรือ—เขาคงใส่เอาป่นปี้อย่างนี้ ดีฉันทนไม่ไหว ทนไม่ได้แท้ ๆ!”

“ไม่มีใครกล้ามาติฉันยินร้ายดอก คอนเตสซา ถ้าฉันยังอยู่เปนไม่ยอมให้ใครดูหมิ่นเปนแท้” หล่อนน้อมศีร์ษะและยิ้มงาม “แต่” ข้าพเจ้าพูดต่อ “ข้อที่ว่าไม่ชอบซินยอเฟอร์รารีนั้นจริงลาหรือ ?”

“จริงซีเค้อะ !” หล่อนพูดเน้นคำออกมา. “หยาบคายร้ายกาจไม่มีผู้ดีติดเสียเลย; บางทีเมาหยำเปมาที่นี่ เมาจนต้องหามะนาวกับเกลือให้แก้. ไม่ได้ ดีฉันกลัวเต็มที่!”

ข้าพเจ้าจ้องมองดูหล่อน เห็นหน้าซื่อและมือที่ควักไหมพรมอยู่นั้นสั่นหน่อย ๆ.

“ถ้าเช่นนั้น” ข้าพเจ้าพูดต่อไปช้า ๆ “ถึงโดยฉันจะมีความเสียใจแทนเฟอร์รารี คนกรรม! จะเสียใจไม่ใช่น้อยก็จริง! ฉันสารภาพตามจริง ฉันมีความดีใจในส่วนอื่น. เพราะ-”

“เพราะอะไร!” หล่อนชิงถาม.

“อะไรเล่า” ข้าพเจ้าตอบด้วยใส่กระบวนตะบิดตะบอยเพราะว่าจะได้มีโอกาศสำหรับชายอื่น ๆ ผู้แสวงหาสนใจอยากได้คอนเตสซาโรมานี่สาวสวยสมบูรณพร้อมทุกสิ่งทุกประการ เปนภรรยาบ้างน่าซีจ้ะ.”

หลอนสั่นศีร์ษะและมีสีหน้าอันบอกว่าเสียใจ ว่า “ท่านว่า ‘ชายอื่น ๆ’ คงจะไม่มีความมุ่งหมายสูงดอกกระมัง” พูดแล้วก็ถอนใจใหญ่ “ก็เมื่อซินยอเฟอร์รารีคิดว่าเปนหน้าที่ของเขาที่จะระวังรักษาคุมดีฉันออกแจอย่างนี้ เห็นได้ว่าเขาจะคุมดีฉันไว้สำหรับตัวเอง—ดูบ้าพิลึก! มีแก้ไขได้อย่างเดียวเท่านั้น คือจะหนีไปเสียจากเมืองนี้ก่อนเขากลับ.”

“ด้วยเหตุไร ?” ข้าพเจ้าถาม

หล่อนอายหน้าแดง “อยากจะหลบเขา” ขอบอกท่านตามจริงว่าเขากวนใจดิฉันมากเต็มที แต่ที่ฉันสู้กลืนไว้. ดีฉันไม่อยากให้การมันเปนไปได้ดังความประสงค์ของเขา ฉันกลัวเขา. ถ้าอยู่ใต้ความ ปกครองของท่านแล้วที่ฉันก็เปนที่อุ่นใจ เชื่อได้ว่าจะพ้นซึ่งอันตราย แต่จะได้รับความศุขอันนั้นตลอดไปไม่ได้...”

เวลามาถึงแล้ว. ข้าพเจ้าก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว “ทำไมจะไม่ได้” ข้าพเจ้าพูด “ของอย่างนี้สุดแล้วแต่ตัวของหล่อนเปนประมาณ เมื่ออยากอยู่ก็ได้.”

“นี่ทานหมายความว่าอย่างไร คอนเต้” หล่อนพูดอ่างๆ กะอ้อมกะแอ้มไม่ใคร่ชัดคำ “ดีฉันยังไม่เข้าใจ!”

“ฉันหมายความตามที่ได้พูดไปแล้วนั้น” ข้าพเจ้าพูดอย่างเสียงเย็นแข็ง ก้มลงหยิบของที่หล่อนกำลังปักที่ตกลงพื้นยื่นให้ “ขออย่าเพิ่งทำใจเต้นก่อน หล่อนว่าถ้าได้อยู่ใต้ปกครองของฉันแล้วจะเปนที่อุ่นใจ แต่เกรงจะ—เกรงจะรับความศุขอันนั้นตลอดไปไม่ได้นั้น ในข้อนี้ฉันเห็นว่าได้—ได้—ถ้าเปนภรรยาฉันเสีย.”

“คอนเต้!” หล่อนพูดอ่าง. ข้าพเจ้ายกมือเปนเครื่องหมายบอกว่าให้นิ่งฟังก่อน.

“ฉันรู้ดีทีเดียวหล่อน” ข้าพเจ้าพูดต่อไป. “เราแก่กว่ากันหลายรอบนัก. ฉันไม่มีความหนุ่มแน่น หรือความสบาย หรือความสวยงาม แต่สักอย่างที่จะชวนให้หล่อนรัก แต่ทว่าฉันมีสมบัติอันจะนับว่าใช้ไม่หมดก็ว่าได้—มีตำแหน่งและมีอำนาจ—และนอกจากนี้ยังมี” ตรงนี้ข้าพเจ้ามองจับตาแม่นีนนา “มีความรัก. หล่อนต้องการอะไรนอกจากดาวกับเดือนแล้วต้องเชื่อว่าจะหามาให้สมปราดถนาทุก สิ่ง ความรักของคนแก่จะให้รุนแรงเหมือนหนุ่ม ๆ นั้นไม่ได้—โลหิตเย็นเสียแล้วและชีพจรก็เต้นอ่อน แต่สิ่งใดที่จะทำให้หล่อนมีความศุขได้ประการใด จะต้องให้ได้ความศุขจงได้.”

เมื่อพูดดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็นิ่ง—แต่ตายังจับหน้าภรรยาข้าพเจ้าอยู่. หน้าหล่อนซีดแล้วกลับแต่งขึ้นอีก และดูเหมือนจะคิดซึ้งจนลืมตัว—บัดเดียวตัวยิ้มแล่นขึ้นตามริมฝีปาก—ชำเลืองตาขึ้นมา ประสบตาข้าพเจ้า. หล่อนหยิบของที่หล่อนปักนั้นวางลงบนพื้นแล้วเดินตรงเข้ามาใกล้—ใกล้จนแก้มข้าพเจ้ารู้สึกลมหายใจอันอุ่นของหล่อน.

“ท่านหมายความว่า” หล่อนพูดด้วยเสียงอ่อย ๆ อาย ๆ ท่านเต็มใจที่จะปลูกหอร่วมฟูกกับดิฉันยังงั้นหรือ ? รักดีฉันแน่ลาหรือ?”

แม่นั้นนาได้เอามืออันขาวเกาะที่ไหล่ข้าพเจ้า—น้ำเสียงที่พูดนั้นอ่อนแต่ชัดและไพเราะ—ถอนใจใหญ่นิด ๆ. ข้าพเจ้านิ่ง—ต่อสู้กับความบ้าที่เกิดขึ้นในใจ บ้าอยากจะเอาแขนกระหวัดวัดรอบตัว เอาเข้ามากอดประทับไว้กับทรวงและจูบน้อยจูบใหญ่! แต่ข้าพเจ้าอุส่าห์กลืนความบ้าลงไปได้ และยืนนิ่งอยู่ หล่อนจ้องดูข้าพเจ้า—มือค่อย ๆ เลื่อนจากไหล่มาถึงคอข้าพเจ้า.

“เปล่า - รู้หรอกว่าเธอไม่รักดีฉันจริง” หล่อนกระซิบ “แต่จะขอบอกเธอตามความที่จริงใจว่า—ดีฉันหน้ะรักเธอแท้ๆ !”

แล้วภรรยาข้าพเจ้ายืนขึ้นเต็มตัวและยิ้มอีกเมื่อได้กล่าวคำเท็จไปพ้นปากแล้ว. ข้าพเจ้ารู้ออกแน่แก่ใจว่าเท็จทั้งนั้น—ถึงกระนั้นก็สู้ทนทำจับมือบีบ และตอบว่า—

“หล่อนรักฉันน่าหรือ ? ไม่แน่ลากระมัง—ไม่เชื่อ. อิมเทียว!”

หล่อนหัวเราะ “จริงๆ น้ะเค้อะ. แม้ตั้งแต่เห็นวันนั้นให้นึกออกรักติดตาติดใจนี่กระไร! บอกท่านตามตรงถึงสามีดีฉันที่ตายดีฉันก็ไม่รักเท่า ท่านหรือดีกว่ามีสง่าผ่าเผยและอะไรต่ออะไรต่างๆ กว่า เขาหลายร้อยเท่า. จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นตามที สุดแล้วแต่ แต่เธอเปนผู้ชายคนเดียวในโลกนี้ที่ที่ฉันได้เคยรัก!”

และหล่อนทำกิริยาอย่างที่ปราศจากความกระดาก หรือขวยแก่ถ้อยคำที่ลั่นออกมานั้นเลย.

“ถ้าอย่างนั้นหล่อนเต็มใจที่จะเปนเมียฉัน!” ข้าพเจ้าถาม

“เต็มใจ!” หล่อนตอบ “เออชื่อตัวเธอชื่อเซซาเรไม่ใช่หรือค้ะ!”

“จ้ะ” ข้าพเจ้าตอบ.

“อา เซซาเร.” หล่อนพูดอ้อยอิ่ง “จะทำให้เธอรักดีฉันให้มากให้จงได้, ไหนเธอว่ารัก เอ้อ...” หน้าหล่อนเข้ามาเคลียอยู่กับหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอดไม่ได้จำเปนต้องจูบปากอันพูดปดไม่หยุดไม่หย่อนนั้น รู้สึกขยะแขยงในใจยิ่งกว่าจูบคางคกอีก ทำให้โทษะแล่นขึ้นมาสู่สมองข้าพเจ้าเพราะจูบอันนั้น. คลายวงแขนที่กระหวัดรอบเอ็ว แล้วพาหล่อนมานั่งบนเก้าอี้และถามเสียงเกือบคล้ายดุว่า “หล่อนรักฉันจริงแน่ละหรือ ?”

“ค่ะ!”

“ฉันเปนคน ๆ แรกที่หล่อนได้เคยรักแน่หรือ ?”

“แน่ค่ะ!”

“รักเฟอร์รารีบ้างหรือเปล่า ?”

“ดีฉันไม่มีเลยละค่ะ!”

“เขาเคยจูบหล่อนอย่างฉันจูบหรือเปล่า ?”

“อุ๊ย! ดูซีช่างว่าแน่ ยังกะดีฉันเปนคนยังไง ๆ ยังงั้นแหละ จูบละเจิบละ หน้านั้นไม่มีได้พบเสียหละ !”

โอย ตาย ๆ! ดูเอาหรือ ดูๆ ปดให้มันเปนครอกไปอย่างนั้นซี เออ กลัวใจๆ วางท่าทางขึงขังราวกับจริงกับจัง เออผู้หญิงคนนี้มันช่างเปนตัวนางเอกดีจริงๆ พูดโกหกโกไหว้สด ๆ ร้อน ๆ ไปได้เปนครอก เล่นเอางงได้ งงราวกับเมื่อเห็นอีตาแขกเล่นกลสาวด้ายออกทางจมูกได้ตั้งสองสามร้อยแขน. ข้าพเจ้าค่อยหยิบเอามือข้างที่มีแหวนแต่งงานวงที่สรวมไว้ให้นั้นขึ้นมา แล้วสรวมแหวนมั่นฝังเพ็ชร์สีชมภูอย่างงามเลิศทับลงไป. แหวนมั่นวงนี้ข้าพเจ้ามีอยู่ในกระเป๋าเตรียมคอยโอกาศอยู่เสมอ. หล่อนดิ้นออกจากวงแขน และร้องด้วยความยินดีว่า.

“โอ เซซาเร! แม้ งามแท้; เออ วาวดีจริง; เธอดีนัก; อย่าบอกกีโดน้ะ ? อย่าเพิ่งให้รู้ ?”

“ไม่บอก ไม่บอก;” ข้าพเจ้าทอบ “ฉันจะไม่บอกจนเขากลับ. จะบอกยังไรได้ ประเดี๋ยวจะได้ผลุบผลับทลึ่งตึงตังทัพฮ่อมาจากกรุงโรม ดีอย่างไร เรายังไม่อยากให้กลับไม่ใช่หรือ หรือหล่อนอยากให้เขากลับเล่า ?”

หล่อนนั่งอยู่กับข้าพเจ้านาน พล็กแหวนวงที่ได้ใหม่กลับไปรอบและรอบหลายรอบ แล้วแหงนหน้าขึ้นมองจับตาข้าพเจ้า “ดีฉันจะขออะไรเธอสักสิ่งจะได้หรือไม่ได้” หล่อนตั้งกระทู้ “ไม่เปนข้อสลักสำคัญอะไรเล้ย ของนิดเดียว! แต่ทว่าจะทำให้ดีฉันมีความยินดีอย่างยิ่ง!”

“ของอะไรจ๊ะ ?” ข้าพเจ้าถาม “ถ้าหล่อนบังคับแล้วจะต้องเชื่อฟังวันยังค่ำ!”

“ดีแล้ว จงเอาแว่นตาดำนั่นบอก ถึงไม่นานเพียงสักนาฑีเดียวก็เอาเถอะ! ดีฉันอยากเห็นลูกตาเธอแท้ๆ!”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาวทันที แล้วตอบว่า “ขอสิ่งอื่นจะยอมตามทุกประการ แม่ชื่นใจฉัน แต่สิ่งนี้ขอเสียทีเถิด แสงแดดเปนกระทบไม่ได้เสียเลย มันเจ็บปวดรวจเร้าดังกับจะประทุออกมาใน ทันใดนั้น—เจ็บร้ายแรงอยู่ตั้งหลาย ๆ ชั่วโมง ๆ ในเวลานี้ขอเสียทีเถิดแล้วถึงค่อยดู—”

“เมื่อไรเล่า ?” หล่อนรีบถาม

“เมื่อเย็นวันที่เราได้แต่งงานกัน” ข้าพเจ้าตอบ.

หล่อนอายและใส่จริตสบัดหน้าแล้วค้อนให้ “อ้านั่นยังอีกนานนัก!”

“ไม่นานเสียเลย หวังใจว่าไม่นานเลย” ข้าพเจ้าใส่น้ำหนักที่คำหวังใจ “นี่เราเดือนพฤศจิกายนแล้ว. อนุญาตให้ฉันกำหนดวันไหมล่า ราวเดือนกุมภาพันธ์จะเปนอย่างไรบ้าง ?”

“แต่ดีฉันยังอยู่ในระหว่างทุกข์แม่หม้าย!...แม่ดาราน้อยก็เสีย!” ...หล่อนขัดข้องด้วยเสียงอ่อย ๆ และเอาผ้าเช็ดหน้าอันร่ำด้วยน้ำหอมแตะไนย์ตา.

“พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ผัวเก่าหล่อนก็ตายได้เกือบหกเดือน” ข้าพเจ้าว่า “เท่านั้นฉันเห็นว่าพอแล้วสำหรับแม่หม้ายสาว ๆ อย่างหล่อนจะอยู่ในระหว่างทุกข์, เสียผัวแล้วมิหนำยังมาซ้ำเสียบุตรีอีกเช่นนี้ กระทำให้ความว้าเหว่ทวีขึ้น เปนธรรมดาอยู่เอง ถึงกับเรียกว่าเปนข้อจำเปน ที่หล่อนจะต้องหาผู้ปกครองอย่างเร็วอย่างที่จะหาได้. สโมสรไม่กล้าจะติฉินยินร้ายหล่อน ถึงอย่างไรฉันยังอยู่อีกทั้งคน คงจะจัดการให้พวกปากอยู่ไม่ศุขนิ่งจงได้.”

“ถ้าอย่างนั้นก็สุดแล้วแต่เธอน่าซีเคอะ เมื่อเธอ คนที่เขารู้ทั่วทั้งเมืองเนเปิลว่าเปนคนที่ไม่อะไรกะผู้หญิงยิงเรือ ชอบจะเปนคนที่รักบ้างก็แล้วแต่ใจ ดีฉันจะไปขัดขวางอย่างไรได้!”

เมื่อเราสนทนาอะไรต่ออะไรไปได้อีกสักครู่หนึ่งข้าพเจ้าจึงว่า “วันนี้ฉันต้องลาหล่อนก่อน คอนเตสซา. ดึกแล้ว ความบำรุงตัวบังคับให้ฉันต้องไปนอนหัวค่ำ ๆ หน่อย ต้องลาที.”

เราลุกขึ้นจากเก้าอี้ และหล่อนว่า “โรคร้ายคงเบียดเบียนท่านมาก? ดีฉันเสียใจด้วย! แต่บางทีได้รับความปฏิบัติพยาบาลอย่างดีคงจะหายบริบูรณ์ได้. ดีฉันจะมีความยินดีอย่างยิ่ง ถ้าความศุขและความสบายของเธอกลับคืนมาบริบูรณ์อย่างเดิมได้เพราะความประคบประหงมของดีฉัน.”

“ความศุขและความสบายใจนั้นเชื่อแน่ทีเดียวว่าจะทำให้ปราศจากซึ่งโรคร้ายได้. ถ้ากระนั้นเปนตกลง เรียบร้อยตามว่า. เออนี่แน่หล่อนอยากจะให้ฉันปิดข้อที่เรามั่นกันไว้ให้เงียบก่อนหรืออย่างไร ?”

หล่อนนิ่งคิดอยู่สักครู่ แล้วตอบว่า “ในเวลานี้เห็นว่าเงียบไว้ก่อนดีกว่า” หล่อนหัวเราะ “อยากดู๊ อยากดู อยากดูพวกผู้หญิงทั้งหลายแหล่หึงและอิจฉาเคราะห์ดีของดีฉัน! แต่ถ้า—ถ้าพูดไป กับคนนี้ก็จะรู้ถึงคนโน้น คนโน้น คนโน้น คงถึงกีโด และ—”

“เข้าใจ เข้าใจ!” ขอให้วางใจเถิด ฉันคงไม่พูดไปเปนแท้ กู๊ดไนต์คอนเตสซา”

“เธอเรียกดีฉันว่านีนนาซีเค้อะ” หล่อนชอ้อน.

“เอ้า นีนนา นีนนา กุ๊ดไนต์แม่นีนนาที่รัก! จงนอนฝันถึงฉันบ้างน้ะหล่อนน้ะ ถ้าแม้ไม่มีเรื่องสำคัญอื่นที่จะฝันถึง แล้วจงฝันถึงฉัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ