๑๘

อยู่มาวันหนึ่งวินเช็นโซได้ส่งถาดจดหมายต่าง ๆ มาให้ข้าพเจ้า บางฉบับเปนจดหมายมาแต่พวกผู้หญิง บางฉบับเปนจดหมายมาแต่ชาวบ้าน ขอเกียรติยศให้ไปยังบ้าน ในหมู่หนังสือนั้นตาข้าพเจ้าไปจับเอาจดหมายฉบับหนึ่งริมดำ และมีดวงตราไปรสนีย์ประทับตราฆ่าแสตมปบอกว่า โรมา “อาฮา ได้การ” ข้าพเจ้าคิดในใจแล้วเหลียวหน้ามาทางคนใช้ที่กำลังเช็ดถ้วยกาแฟอยู่และบอกว่า—

“วินเช็นโซ ไปข้างนอกเถอะ” เขาก้มศีร์ษะกระทำคำนับแล้วก็เดินออกจากห้องไป. ค่อยเอามีดฉีกริมซอง; จดหมายเปนของกีโด เฟอร์รารีจริงดังนึก.

“เพื่อนดีที่สุด” ขึ้นต้นดังนั้น เมื่อท่านเห็นธงดำที่มุมซองก็คงทำนายได้ว่าเปนข่าวดีที่ฉันจะเล่าให้ฟัง ลุงตายแล้วสิ้นเคราะห์ไปเถอะ ขอบใจพระเจ้า! ฉันเปนคนริบมรฎกเหี้ยน เดี๋ยวนี้ฉันเปนโสตแก่ตัวแล้วนาท่านนา และจะกลับมาเมืองเนเปิลซ์ในเร็วๆ นี้ พอจัดการเล็ก ๆ น้อยอีเหละเขะขะแล้วเปนกลับ นึกว่าคงจัดการสำเร็จ และกลับถึงเมืองในราววันที่ ๒๓ หรือ ๒๔ เดือนนี้ ถ้าตกลงวันไหนแน่จะส่งโทรเลขให้ท่านทราบ บางทีจะบอกชั้นชั่วโมงที่จะถึง แต่ขอสักอย่างเถอะ ไหว้ละ อย่าบอกเคานเตสให้รู้เลยนะ ฉันจะจู่ไปโผล่ขึ้นดูประหลาดใจเล่น. โอ๊ย! อยากดูทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เข้าใจไหมเพื่อนเอ๋ย หรือเห็นเล่นเปนบ้า. แต่ส่วนตัวท่านนั้น ครั้นจะไม่บอกก็จะว่าได้ว่ายิ่งมีขึ้นยิ่งขี้ตืดเสียดายอัฐค่าไปรสนีย์ จริง ๆ นา อย่าบอกให้นีนนารู้เรื่องที่จะกลับได้ แม้! หล่อนจะดีใจ เออ—ฉันไม่เคยรู้สึกออกเบาใจอะไรเหมือนคราวนี้ เห็นจะเปนที่น้ำหนักที่ทับอกมันร่นไปอยู่กระเป๋าหรือยังไรแหละ ฉันดีใจเหลือแหล่ที่มั่งมีขึ้น พอจะได้เท่าเทียมหล่อนขึ้นไปบ้าง ถึงโดยจดหมายหล่อนทั้งหลายแหล่ ซึ่งมีมาเสมอๆ อ่อนหวานเหลือ แต่ความรู้สึกในใจของฉันว่าหล่อนจะคิดในส่วนตัวฉันมากขึ้น โดยเหตุที่ตำแหน่งขึ้นเสมอไหลเสมอบ่ากันเข้า แหละส่วนข้างท่านก็เถอะ เมื่อถึงเมืองวันไรต้องจัดการใช้หนี้ต้นและดอกเบี้ยกันใหญ่เสียที ท่านจะได้มีความคิดใหม่ในสมองของท่านด้วยเรื่อง

เพื่อนที่รักของท่าน

กีโด เฟอร์รารี

จดหมายนั้นเปนฉนี้ ข้าพเจ้าอ่านจดหมายฉบับนั้น ทวนไปทวนมาหลายฉบับ บางถ้อยคำในจดหมายนั้นร้อนราวกับไฟ “จดหมายหล่อนทั้งหลายแหละซึ่งมีมาเสมอๆ อ่อนหวานเหลือ!” โอ อ้ายบ้า บ้ายิ่งกว่าข้าบ้าอีก! หล่อน แม่เจ้าโวย แม่ตัวเอกใหญ่ ประสงค์จะไม่ให้ระแวงสงไสยหึงหวงในชั่วเวลาที่ไม่อยู่ แกล้งเขียนถ้อยคำไปแต่ละคำ หวานราวกะแช่น้ำผึ้งมาสักกึ่งชาติ เขียนไปทั้งรู้อยู่กับใจว่า ได้มั่นจะรับข้าพเจ้าเปนผัวแล้ว—ข้าพเจ้า—ตายมัน ตายมัน !

“เมื่อถึงเมืองวันไหนต้องจัดการใช้หนี้ต้นและดอกเบี้ยกันใหญ่เสียที” (หนี้ใหญ่แน่ลาซีพ่อมหาจำเริญ ใหญ่จนไม่รู้ว่าใหญ่เพียงไหน) ข้าพเจ้านั่งซึมคิดอะไรต่ออะไรอยู่นาน จึงลุกขึ้นไปนั่งจับปากกาเขียนจดหมายตอบดังนี้:-

“คาโร เอมิโค! ยินดีที่ได้ทราบข่าวดีของท่านและยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ทราบว่าจะกลับมาเร็ว นึกชมแปลนที่ต้องการจะล้อเคานเตสเล่นนั้น และที่ห้ามมิให้ฉันปริปากแก่หล่อนเรื่องจะมานั้นฉันจะทำตาม แต่นี่แนะ แต่ฝ่ายท่าน ท่านจะต้องทำอะไรตอบให้ชอบใจฉันสักหน่อยจะได้หรือไม่:- ท่านย่อมทราบอยู่กับใจว่าตั้งแต่ท่านไปเสีย พวกเราอยู่ข้างหลังนี้ก็หงอยเหงา ฉันนึกจะตั้งต้นการสนุกใหม่ คือให้ดินเนอร์ในวันที่ ๒๔ (รุ่งขึ้นตรุสฝรั่ง) ในเกียรติยศที่ท่านกลับเมือง—ผู้ชายล้วน. เพราะฉนั้นขอให้ท่านกำหนดวันที่จะมาในวันนั้น เมื่อมาถึงเมืองเนเปิลซ์ขอให้ตรงมายังโฮเต็ลนี้ฉันจะได้มีความพอใจและยินดีอย่างยิ่งในข้อที่จะเปนคนที่หนึ่งจะรับรองท่าน ขอให้โทรเลขตอบ และบอกเวลาที่รถไฟจะมาถึง จะได้สั่งรถให้ไปรับ เวลารับประทานอาหารนั้นจะเลื่อนเข้าออกตามแต่จะเหมาะเวลาแก่ท่าน เวลาสองทุ่มเปนยังไร ? รับประทานแล้วจะได้ไปเยี่ยมเคานเตสตามชอบใจ

หวังใจว่าท่านจะไม่ปฏิเสธเพื่อจะให้คนแก่ได้รับความเสียใจ.

ของท่านชั่วคราว

เซซาเร โอลิวา”

ลายมือที่เขียนนั้นแกล้งทำขยุกขยิกป้าย ๆ ไม่ให้เหมือนกับลายมือเดิมได้ ครั้นพับผนึกตีตราจ่าหลังแล้วเรียกวินเช็นโซให้ไปทิ้งไปรสนีย์ทันที. ในวัน ๆ นั้นข้าพเจ้าไม่ยอมให้วันล่วงไปเปล่าโดยไม่มีประโยชน์ ข้าพเจ้าจึงจัดดอกไวโอเลตขาวใส่กระเช้ากาไหล่ทองทำของกำนัน ขึ้นรถของข้าพเจ้าเองไปยังบ้านแม่นีนนา กลิ่นดอกไม้ในกระเช้าในรถข้างตัวนั้น หอมให้ระลึกขึ้นได้ถึงกลิ่นในเวลาเช้าวันที่แม่ดาราน้อยเกิด ขันจริง แต่ก่อนก็ไม่ระลึกถึงขึ้นมา ดูบอกเปนลางยังไรๆ พอถึงบ้านเจอะฟิอองเซของข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่งตัวล้วนแต่แพรขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้กำมหยี่หน้าเตาไฟอ่านหนังสืออยู่ พอได้ยินคนใช้บอกว่าข้าพเจ้ามา หล่อนก็กระโดดขึ้นรับรองอย่างที่เคยทันที. ข้าพเจ้ายื่นกระเช้าดอกไม้ของกำนันให้และพึมพำคำเยินยอซึ่งได้คิดและถ้องขึ้นใจไว้นั้น สองสามคำพอเปนพิธี ครั้นสาวใช้ออกไปนอกห้องแล้วก็พูดเบา ๆ ว่า

“ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะเล่าให้หล่อน—พูดเปนไปรเวตได้ไหม?”

หล่อนยิ้ม และกระทำมือด้วยกิริยาอันอ่อนละไมงามบอกใบ้ให้ข้าพเจ้านั่ง.

“ฉันได้จดหมายจากเฟอร์รารี” ข้าพเจ้าพูด.

หล่อนสดุ้งหน่อยแต่นิ่งมิได้พูดว่ากระไร แต่ก้มศีร์ษะและเลิกคิ้ว เปนอย่างประหนึ่งว่า “อ้อ! ก็จะมีคดีเกี่ยวข้องอะไรกับดีฉัน!” ข้าพเจ้านิ่งสังเกตเลอียดทุกกระดิกตัว แล้วพูดต่อไปว่า “เขาจะกลับในสองสามวันนี่แหละ เขาว่าเปนมาแน่” ตรงนี้ข้าพเจ้าหัวเราะ “หล่อนคงมีความยินดีที่จะได้พบเขา.”

คราวนี้หล่อนขยับขึ้นจากที่นั่ง ริมฝีปากเหมือนกับแย้มจะพูด แต่ก็นิ่งอยู่ กลับนั่งลงที่เก้าอี้กำมหยี่อย่างเดิม.

“ถ้า” ข้าพเจ้าทุกต่อไป “หล่อนมีเหตุที่จะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะทำความรำคาญใจให้แก่หล่อนเมื่อได้มาทราบเข้าว่า เรามั่นกันประการใดแล้ว ฉันขอเตือนให้หล่อนหลบไปเยี่ยมพวกพ้องเพื่อนฝูงเสียสักสองสามวัน จนโทษะของเขาเดือดหายซาลงแล้วจึงกลับมาใหม่ วิธีนี้หล่อนเห็นอย่างไร ?”

หล่อนนิ่งตรองอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วแหงนหน้าชายตาขึ้นมาพูดว่า “ต้องทำตามเธอคิด เซซาเร! ซินยอเฟอร์รารีเปนคนมุทลุโมโหร้ายไม่น้อย บางทีสามารถถึงกับจะ...แต่เธอไม่ได้คิดถึงตัวเธอเองบ้าง! เธออยู่ในอันตรายเหมือนกัน น่าจะถูกเขาหมิ่นประมาทได้ ?”

“ข้อนั้นยกไว้พนักงานฉันเองหล่อนเอ๋ย รักษาตัวได้ดอก !” ข้าพเจ้าพูดเรื่อย ๆ “ถึงยังไร ๆ ก็พอสู้ทนอดกลั้นเอาได้ ข้อนี้เปนสิ่งใช่ฝืนนิสัย. เปนอย่างธรรมดา นึก ๆ ก็ออกสมเพช “ปู้โถ!” ข้าพเจ้า ถอนใจใหญ่และโคลงศีร์ษะ “ง่า—อ้อ—เขาว่าเขาได้รับจดหมายหล่อนหลายฉบับ

ข้าพเจ้าถามคำถามนี้อย่างลอย ๆ แต่ทว่ากระทำให้หล่อนประหลาดใจมาก หล่อนหยุดหายใจทันที จ้องมองดูข้าพเจ้าไม่วางตา บอกอาการว่ามีความตกใจมาก ครั้นเห็นหน้าข้าพเจ้าเปนปรกติอยู่จึงค่อยคลายความวิตก แล้วตอบว่า “เขียนไปจริงข้ะ! จำเปนต้องเขียนไปถึงสองสามครั้งด้วยธุระเกี่ยวข้อง ด้วยเรื่องสามีเก่าของฉัน เจ้าก๊รรมเจ้ากรรมที่ฟาบีโอมอบหน้าที่ธุระให้แก่คนชนิดนี้ ดูๆเหมือนหนึ่งเขาจะมีอำนาจเหนือดีฉัน แต่ทว่าที่จริงก็เปล่าทั้งสิ้น. ไม่ต้องสงไสยละซีในข้อที่คิดเพิ่มจำนวนของจดหมายที่ดีฉันเขียนถึงขึ้นเปนเท่านั้นเท่านี้ อุ๊ยนึก ๆ ก็น่าหัวเราะ”

“ก็หล่อนจะคิดยังไรเล่า ? ข้าพเจ้าถาม หล่อนจะคงอยู่ ณ ที่เรือนนี้หรือ หรือจะหลีกตัวเสียสักสองสามวัน ๆ”

หล่อนลุกจากเก้าอี้มาคุกเข่าลงข้างเก้าอี้ข้าพเจ้า เอามือเกาะแขนข้าพเจ้า “ถ้าเธอจะอนุญาตให้แล้ว” หล่อนพูดเสียงอ่อย ๆ “ดีฉันจะไปอาไศรยอยู่เสียในสำนักนิ์แม่ชีที่เคยได้เล่าเรียนมาแต่ก่อน. ทางไกลจากนี้เพียงเจ็ดแปดไมล์, นึก ๆ ก็อยากจะรักษาศีลกินเพนรักษาใจให้บริสุทธิเสียสักพักก่อนที่จะแต่งงานใหม่เปนครั้งที่สอง เธอจะเห็นยังไงเค้อะ แม่ชีเหล่านั้นคงจะดีใจมากที่ได้พบดีฉัน ข้อนี้เชื่อว่าเธอคงจะไม่ขัดขวาง ด้วยเปนทางบุญทางกุศล ไปข้างหน้าอานิสงษ์อันนี้จะได้นำความศุขมาถึงเราทั้งสองยังไงเค้อะ ยอมอนุญาตนาเค้อะ เธอ!”

“แน่ลาซีหล่อนจ๋า!” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงห้าว ๆ “ควรแล้วที่จะเตรียมตัวไว้เสียก่อน ในเวลานี้ยังบอกไม่ได้ว่าการข้างหน้าจะเปนอย่างไร ยังไม่รู้แน่ว่าเราจะได้มีชีวิตเห็นหน้ากันอีก หรือจะตายจากกันไป ควรแล้ว ควรที่สร้างบุญสร้างกุศลไว้! ฉันนึกชมความคิดอันนี้ของหล่อน แม่ชื่นใจพี่ช่างคิดดีไม่น้อย! เชิญแม่ เชิญไปยังวัดแม่ชี! ถ้าความเรียบร้อยแล้ว ฉันจะไปเยี่ยมที่วัด! เชิญไปอยู่ในวัด ในท่ามกลางคนที่มีใจบริสุทธิ และเมื่อสวดมนต์สำหรับความดีของตัวหล่อนแล้ว จงตรวจน้ำแผ่กุศลไปให้สามีหล่อนที่ถึงแก่กรรมแล้วนั้น—และ—ถึงฉันด้วย! กุศลที่ได้แผ่ มนต์ที่ได้สวดจากริมฝีปากอันบริสุทธิของหล่อนแล่นเร็วขึ้นสู่สวรรค์ชั้นพรหม! และส่วนกีโดนั้น—วางใจเสียเถอะ—สัญญาว่าจะไม่ให้ตามมารางควาญหล่อนได้เปนอันขาด.”

“โธ่ ๆ เธอยังไม่รู้จักฤทธิ์กีโด” หล่อนพูด.

“เอาเถอะน่า ฉันจะจัดการให้เขานิ่งให้จงได้. ถ้าหล่อนไม่ได้ให้ท่าให้เขามีความหวังแล้ว—เหตุฉนั้นกีโดไม่มีเหตุพอที่จะติเตียนหล่อนได้.”

“จริง ข้อนั้นจริง! เอ้อ—เธอจะให้ฉันไปวัดแม่ชีจริงละหรือ ?”

“นั่นสุดแล้วแต่ความสมัคของหล่อน ถ้าไปได้ก็ดีพูดได้แต่เท่านั้น เพราะฉันยังไม่มีอำนาจเหนือหล่อน ยังไม่ได้เปนนาย—ในเวลานี้ยัง! เชิญกำหนดเวลาและการไปการมาตามแต่เห็นควรเถิด.”

“ถ้ากระนั้น” พูดด้วยเสียงอย่างตัดสินตกลงในใจ “ดีฉันจะไปวันนี้. ยิ่งไปได้เร็วยิ่งดี—เพราะรู้สึกในใจว่ากีโดคงหลอกเราและไพล่มาเร็วกว่าที่มุ่งหมาย. จริงนาเค้อะ ดีฉันจะกราบลาวันนี้.”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้จะลา “ลาที หล่อนจะได้มีเวลาเก็บเข้าเก็บของเตรียมตัวไป” ข้าพเจ้าพูดอย่างกิริยาดี “ถ้าหล่อนไปถึงวัดและบอกแก่แม่สมภารีว่าฉันคือคู่มั่นของหล่อนแล้ว แม่สมภารีคงจะอนุญาตให้ฉันเข้าไปในวัดเมื่อฉันมีเวลาที่จะไปเยี่ยมบ้างบางครั้งบางคราว.”

“เข้อะ เข้อ อนุญาตซีเข้อะ ถึงกฎข้อบังคับจะแข็งแรงห้ามมิให้ผู้ชายกรายธรณีประตูวัดเข้าไปก็จริง แต่ดีฉันเปนศิษย์เก่าท่านรักใคร่เอ็นดูมาก คงยอมให้เธอเข้าไปยังค่ำ.”

“เปนธรรมดา” ข้าพเจ้าพูด “เมื่อหล่อนเข้าอยู่ในสำนักนิ์นั้นแล้ว หล่อนมิต้องจำศีลภาวนาอย่างแม่ชีทั้งหลายด้วยหรือ ?”

“เข้อะ !”

“คนที่จะถือศีลต้องเปนคนใจไม่มีมนทิลอย่างหล่อนฉนี้” ข้าพเจ้าพูดด้วยยิ้มประชดซึ่งหล่อนมองไม่เห็น “ฉันออกอิจฉากรรมสิทธิ์ของหล่อน จะบอกให้นาหล่อนนา ตัวฉันเองทำไม่ได้—เห็นจะเปนที่หล่อนใกล้จะเปนนางฟ้า มากกว่าที่คาดหมาย; จำศีลลาก้อแผ่กุศลสวดมนต์ถึงบ้างนะจ๊ะ ?”

แม่นีนนาเงยหน้าชายตามาแล้วพูดว่า “แบ่งส่วนกุศลให้เจ้าข้ะ.”

“ขอบใจ เออยังอย่างนี้จึงจะว่ารักกันจริง.” ข้าพเจ้าตอบ “ขอบใจอย่างที่สุดที่แล้ว ลาก่อนนะจ้ะ ไม่ช้าคงจะได้เจอะกันใหม่.”

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงโฮเต็ลที่พัก ก็เข้าห้องคิดอะไรและอะไรอยู่กลุ้มคนเดียว เมื่อคิดพอแล้วตั้งใจจะไม่คิดอีก สมองมันก็ไม่ยอมเปลี่ยนเรื่อง จะหักใจไปคิดถึงอะไรๆ เสียประเดี๋ยวก็กลับมาคิดถึงเรื่องนั้นอีก ที่สุดจนหยิบเอาหนังสืออ่านเล่นอย่างสนุกมาอ่าน ก็อ่านไปไม่ได้กี่บันทัด ตัวหนังสือดูมันไม่เปนหนังสือ ดูเปนตัวสาย ๆ พร่าไปทั้งหน้ากระดาด จะนับว่าได้เรื่องได้ราวแต่เพียงสักหน้าหนึ่งก็ไม่ได้ ถึงจะอ่านก็อ่านแต่ตา ใจมันไม่อ่านด้วย ลงปลายเหวี่ยงหนังสือลงบนโต๊ะโครมครามไม่รู้ว่าไปข้างไหนต่อข้างไหน. ปากอมกล้องที่ไม่มีบุหรี่อยู่ได้เปนนานสองนาน ไม่ทราบว่าจะอมไว้เอาแก้วอะไรจะหาบุหรี่มาใส่ก็ไม่หา จะวางเสียก็ไม่วาง คาบกล้องแต้อยู่ได้ ถ้ามีผู้ใดเห็นข้าพเจ้าในเวลานั้น คงจะเหมาเอาว่าข้าพเจ้าหลับใน ซึ่งเปนการตรงกันข้าม. วันค่อยคลานไปช้า ๆ และข้าพเจ้ามีความยินดี เมื่อเวลาเย็นซึ่งนึกว่าจะไม่รู้จักมาเลยอุส่าห์คลานมาถึงได้ สักครู่ก่อนเวลารับประทานอาหารเย็นวินเช็นโซ ได้นำเอาหนังสือฉบับหนึ่งมาส่งให้ข้าพเจ้าบอกว่าคนรถของเคานเตสโรมานีถือมา. บนซองหนังสือมีตราของข้าพเจ้าปรากฏอยู่. เปิดผนึกออกอ่าน จ่าตำบลข้างบนว่า “ลา ซันติสสิมา แอนนันซีเอตา” และมีข้อความดังต่อไปนี้

“คุณที่รัก! ดีฉันมาถึงที่นี่แล้ว พวกแม่ชีทั้งหลายพากันชื่นชมยินดีในการที่ได้เจอะดีฉันเปนอันมาก. ถ้าเธอจะมาเมื่อไรพวกแม่ชีเหล่านี้จะยินดีที่จะรับรองทุกเมื่อ. ดีฉันระลึกถึงเธอเสมอ—เมื่อเช้านี้ ดีฉันรู้สึกมีศุขมาก ที่เห็นว่าเธอรักฉันจริง ดีฉันระลึกถึงเธอเสมอ เธอผู้เปนที่รักแห่ง

นีนนา”

ข้าพเจ้าขยี้จดหมายฉบับนั้นด้วยความโกรธจนเปนจุณ แล้วโยนเข้าเตาไฟไป. แล้วหยิบเอาหนังสือเรื่องมาอ่าน ถึงเวลารับประทานอาหารก็อ่านหนังสือเหมือนกัน ตลอดเวลาที่รับประทานอาหารอยู่นั้น วินเช็นโซยืนประจำคอยรับใช้อยู่เบื้องหลังข้าพเจ้าด้วยกิริยาอันเสงี่ยมและสุภาพดังเคยมาแต่ก่อน. ครั้นรับประทานอาหารเสร็จแล้วสักครู่หนึ่งก็ไปนอน นอนอย่างที่ไม่เคยจะหัวค่ำเหมือนวันนั้น รุ่งขึ้นเวลาเย็นได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งความดังต่อไปนี้

จาก กีโด เฟอร์รารี, โรม, ถึง คอนเต้ เซซาเร โอลิวา เนเปิลซ์, จะกลับเนเปิลซ์วันที่ ๒๔ นี้. รถไฟถึง ๖.๓๐ ค่ำ. จะมาหาท่านตามสั่ง.”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ