๑๓

ครั้นเฟอร์รารีไปแล้ว ข้าพเจ้าก็กระทำธุระต่าง ๆ ซึ่งจะพึงทำเพื่อให้คนทั้งหลายในเมืองเนเปิลซ์ นับหน้าถือตามากขึ้น. ในวันนั้นข้าพเจ้าได้จ้างคนใช้คนหนึ่งชื่อ วินเช็นโซ ฟลัมมา วินเช็นโซ ฟลัมมา นี้เปนคนมีกิริยามารยาตรเรียบร้อย ใจคอซื่อสัตย์กตัญญูต่อผู้เปนนายนัก และข้อสำคัญคือไม่เปนคนปากบอนเก็บความนี่ไปพูดโน่น เก็บความโน่นมาพูดนี่. ข้าพเจ้ามีความพอใจมากในคนใช้คนนี้โดยเหตุที่เปนคนคงแก่เรียนในจรรยาบ่าวจริงๆ. พอรับการมอบธุระหน้าที่ให้เขาแล้ว เหลียวดูนาฬิกาสิ เวลาช่างแล่นเร็วประดุจมีปีกบินโบยได้ จวนถึงเวลากำหนดนัดไว้กับเฟอร์รารีในตอนบ่ายแล้ว จึงจัดแจงลุกขึ้นเดินออกจากโฮเต็ลไปทางบ้านเฟอร์รารี. รู้จักมานมนานครั้งโบราณ—ไม่จำเปนจะต้องดูตำบลบ้านซึ่งแจ้งอยู่ในใบก๊าด. เมื่อก่อนแต่งงานข้าพเจ้าได้เคยมามีเวลาศุขที่นี่เนืองๆ ไม่มีธุระอะไรจะทำก็เอาหนังสือดี ๆ มานอนอ่านเล่น หรือมิฉนั้นก็มานั่งดูเขาเขียนรูปเขาไม้และรูปอะไรต่างๆ และรูปเหล่านี้ข้าพเจ้าช่วยเอื้อเฟื้อซื้อไปทิ้งไว้ ณ บ้านก็หลายรูป. พอถึงบ้านก็เคาะประตูเรียก บัดเดี๋ยวประตูก็เปิดออก เฟอร์รารีเปิดรับข้าพเจ้าเองด้วยความรีบร้อนตะลีตะลาน.

“เชิญเข้ามาข้างใน เชิญ!” เขาพูด “บ้านช่องไม่สู้จะเรียบร้อย แต่หวังใจว่าท่านจะไม่ถือ. ด้วยไม่ใคร่จะมีแขกเหรื่อไปมานานมาแล้ว ระวังขั้นกระไดนาท่าน!—เต็มทีที่ตรงนี้มืดนัก-มืดยังกะเข้าถ้ำ—คนมาสดุดจะคอหักตายเสียนักต่อนัก. บ้านคนจนจะเอาดิบดีถึงไหน แต่ได้เพียงนี้ก็ประเสริฐแล้ว.”

พูดไปพลางหัวเราะไปพลาง เขานำข้าพเจ้ามาทางระเบียงอันมืดและเข้าในห้องโถงซึ่งเคยทำการเขียนของเขา. ชำเลืองดูปร๊าดเดียวก็เห็นได้ทันทีว่าเขามิได้นำพาห้องนี้นานแล้ว เข้าของวางทิ้งเกลื่อนกลาด แต่จัดลำดับเข้าเพื่อรับรองข้าพเจ้าในคราวนี้แล้ว ยังเพียงนี้ถ้าธรรมดาจะเพียงไหน.

บนโต๊ะใหญ่กลางห้องมีที่ดอกไม้ใหญ่ตั้งอยู่อันหนึ่ง ในนั้นดอกไม้งาม ๆ ประดับประดาอย่างประณีตด้วยฝีมือช่างอย่างดี เกิดสังหรณ์ในใจว่านี่คงไม่ใช่ฝีมือคนอื่นที่ไหน คงเปนฝีมือภรรยาข้าพเจ้าทำมาให้ ส่วนในการเขียนนั้น ไม่เห็นว่าเขาได้เขียนต่อไปอีกเลย เห็นแต่ก่อนยังไรก็คงค้างอยู่อย่างนั้น จำได้ดีทุกสิ่งทุกประการ

ในตอนเช้านั้นเฟอร์รารีสรวมเสื้อดำ แต่ครั้นเวลาเย็นสรวมเสื้อกำมหยี่ดำ และมีดอกกล้วยไม้ติดรังดุมดูสวยเก๋พิลึก ข้าพเจ้ายอมว่าเขาสวยมากในวันนี้. ออกนึกเชื่อเอาเปนแน่เกือบได้ว่าผู้หญิงเกียจคร้านหน่อย ๆ หาความเพลิดเพลินนิด ๆ คงจะงวยงงหลงด้วยรูปร่างและหน้าตาของเขา. ข้าพเจ้าพูดส่วนของความคิดนี้ออกมาดังๆ ว่า

“อา ท่านนี้ไม่ใช่แต่เปนช่างเขียนอย่างเดียว ซินยอเฟอร์รารี—ท่าน—ง่า-”

เขาอายหน้าแดงและยิ้ม

“ท่านอยู่ข้างจะยอมากเกินไป” เขาตอบด้วยความยินดีในออกหน้า “ง่า—แต่ก่อนที่จะลืมเสีย ฉันต้องบอกท่านว่า ฉันได้กระทำตามคำสั่งท่านแล้ว.”

“เรื่องเคานเตสโรมานีหรือ ?”

“ก้ออะไรเสียอีกเล่า แม้ความดีใจและประหลาดใจของหล่อนเหลือที่จะพรรณาด้วยปากได้ น่าดู๊ น่าดู น่าดูกิริยาอาการของหล่อนที่พอใจในของกำนันนั้น.”

“นี่ท่านหวังแขกคนอื่นอีกหรือเปล่า ?” ข้าพเจ้าถาม

“ไม่ทราบแน่ว่าจะมีใครมาบ้างหรือไม่มา—แต่” ได้ยินกระดิ่งดังกร่าง, เฟอร์รารีพูดค้างแล้วขอโทษ—รีบวิ่งไปเปิดประตูรับ ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้....ทราบทีเดียว ทราบว่าใครมา อุส่าห์ระงับใจ ระงับเส้นประสาธ กดแว่นตาดำให้กำชับตาให้ดี เสียงฝีเท้าเฟอร์รารีขึ้นบันไดมา....และได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ตามมาด้วย.... ได้ยินเสียงกระซิบ ในทันใดนั้นเฟอร์รารเปิดประตูกว้างออกและกระทำกิริยาอย่างเรียบราบ ราวกับว่าเปิดประตูรับนางพระยา. ได้ยินเสียงสร่ายแพร—ได้กลิ่นหอมฉุยๆ—แล้ว แล้ว - -ประเจอะหน้ากับ—ภรรยาของข้าพเจ้า!

หล่อนช่างสวยบาดตานี่กระไร! ข้าพเจ้ายืนมองตลึงอยู่ราวกับเมื่อข้าพเจ้าเห็นหล่อนในคราวแรก. เครื่องแต่งตัวนั้นล้วนแต่ดำและมีผ้าย่นดำคลุมหน้า ยิ่งแต่งตัวอย่างไว้ทุกข์และกิริยาเหงาหงอยยิ่งทำให้ดูงามมากขึ้น. แม่หม้ายสาวสวยอย่างนี้! ข้าพเจ้าผู้เปนสามีของหล่อนที่ถึงแก่กรรม ยังรู้สึกออกรัก ๆ ในท่าทางของหล่อน? หล่อนยืนหยุดอยู่ตรงประตูสักครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วมองดูข้าพเจ้าแล้วว่า—

“ฉันคิดว่าฉันผิดตัวไม่ได้โดยแท้ ?” นี้ดีฉันพูดกับท่านเคานต์เซซาเร โอลิวา ไม่ใช่หรือค้ะ ?”

ข้าพเจ้าพยายามที่จะพูด แต่พูดไม่ออก. ปากแห้งด้วยความตื่นเต้น คอหอยตันด้วยความแค้นและเสียใจมาก ได้แต่ก้มศีร์ษะกระทำคำนับแทนคำรับ หล่อนเดินเข้ามาใกล้ยื่นมือออกมาให้สัมผัสทั้งสองข้าง ซึ่งเปนกิริยาอันข้าพเจ้าเคยชอบมาก.

“ดิฉันชื่อเคานเตสโรมาน” หล่อนว่าทั้งยิ้ม “ฉันได้ทราบจากซินยอเฟอร์รารีว่าท่านจะมายังออฟพิศบ่ายวันนี้ เพราะฉนั้นดีฉันจึงอุส่าห์มาถึงนี่ เพื่อจะแสดงความขอบคุณในของซึ่งกรุณาให้แก่ดีฉันนั้น. เพ็ชร์พลอยเหล่านั้นช่างงามนี่กระไร ที่ฉันยังไม่เคยเห็นงามกว่านี้ไปเลย ขอท่านจงอนุญาตให้ดีฉันขอบใจในการที่ให้นี้โดยเต็มที่.”

ข้าพเจ้าจับมือทั้งสองข้างที่ยื่นมานั้นบีบหนัก—หนักจนรู้สึกว่าแหวนที่หล่อนสรวมอยู่นั้นกดเนื้อจนบู้ แต่หล่อนเปนคนชาติเด็ดลูกชาติลูกตระกูลหล่อนจึงไม่ร้องโวยวาย พอข้าพเจ้าได้สติขึ้นมาก็ตั้งต้นจะต่อการซึ่งได้เริ่มมาแล้วนั้นไปอีก.

“ตรงกันข้ามเสียอีก แมดาม” ข้าพเจ้าตอบด้วยเสียงห้าว ๆ “ความชอบจะต้องจากฉันจึงจะถูก เพราะให้เกียรติยศในข้อที่รับของ ถึงแม้ว่าเปนแต่เล็กน้อยเท่านี้.—ขอให้เชื่อเถอะ ว่าฉันมีความทุกข์ด้วยในข้อที่แม่มีทุกข์ ถ้าหากว่าสามีของแม่ยังมีชีวิต เพ็ชรพลอยเหล่านี้คงเปนของแม่วันยังค่ำ ฉันมีความเหิมใจมากเมื่อคิดที่คนอย่างแม่จะรับของจากมืออันไม่คู่ควรอย่างมือของฉันนี้ ในขณะที่ข้าพเจ้าพูด เห็นสีหน้าของภรรยาข้าพเจ้าซีดสลดไปทันที สดุ้งเยือกและมองดูตลึงอยู่. หล่อนค่อย ๆ ชักนิ้วออกไปจากมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไปยกเก้าอี้มาตั้งให้หล่อนนั่ง แล้วข้าพเจ้าก็นั่งลงใกล้ ๆ หล่อนยังจ้องหน้าข้าพเจ้าอยู่ไม่วางตา ส่วนเฟอร์รารีนั้นกำลังวนในการจัดเอาน้ำชาออกมาเลี้ยงดูเรา. ครั้นตั้งจานขนมและจานผลไม้เสร็จแล้ว เขาหันหน้ามาหัวเราะ.

“ฮา ฮา ตกหลุม!” เขาหันหน้ามาพูดแก่ข้าพเจ้าอย่างสนุก “ขอให้ท่านพึงเข้าใจเถอะว่าเรารู้กัน คิดแปลนอันนี้ไว้ดักท่าน แมดามกับฉันด้วยกันคิดทำให้ท่านประหลาดใจเล่นอย่างนั้นแหละ ท่านอยากไม่กะเขตร์ว่าจะไปเยี่ยมเคานเตสเมื่อไร และทั้งเจ้าหล่อนก็ดิ้นรนอยากจะมาพบมาปะให้ได้ในวันในพรุ่ง ฉันจึงคิดจัดการให้พบกันที่นี่ มีอะไรดีกว่านี้ไปหรือ ท่านคอนเต้. อา รับสารภาพเสียดี ๆ เถอะว่า ท่านเปนคนคุยสนุกมาก สนุกมาก.”

“แน่ละซีฉันเปนคนคุยสนุก!” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงประชดหน่อย ๆ “มีใครบ้างที่จะไม่เปนคนคุยสนุกในต่อหน้าความสาวแหละความสวยเช่นนี้ อนึ่ง เคานเตสโรมานีให้เกียรติยศฉันอย่างเอกอุที่จะ กระทำซึ่งความคุ้นเคยในระหว่างทุกข์. เพราะฉนั้นฉันต้องแสดงตัวไว้เปนคนช่างคุย.”

ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้สีหน้าภรรยาข้าพเจ้าสลดและดูโศรกลงทันที.

“เฮ้อ! คิด ๆ ก็เศร้าใจเมื่อนึกถึงฟาบีโอ” หล่อนถอนใจใหญ่ “แม้ นี่ถ้ายังมีชีวิตอยู่แล้วคงจะยินดีรับรองท่านสนัด! เขานับถือยำเกรงบิดาหนัก นี่ท่านก็เปนเพื่อนของบิดา โธ่ โธ่! น่าเสียใจ น่า ใจหาย อะไรเห็นกันอยู่หรัด ๆ ประเดี๋ยวสิได้ข่าวว่าเสียเสียแล้ว ความเศร้าใจเห็นจะตั้งอยู่ในหัวใจที่ฉันไม่รู้หาย”

เมื่อว่าดังนั้นแล้วน้ำตาก็ซึมออกมาอยู่เต็มหน่วยตาทั้งสองข้าง—ข้อนั้นไม่ทำให้ข้าพเจ้ามีความประหลาดใจเลยสักนิดเดียว เพราะว่าธรรมาดผู้หญิงมักนึกจะให้น้ำตาไหลเมื่อไร น้ำตาก็ต้องไหลเมื่อนั้น อาไศรย์หัดแต่ทีแรก ๆ เสียหน่อย ๆ ภายหลังเรียกเมื่อไรก็มา พวกผู้ชายเราหน้ะสิโง่ ไม่รู้จักจะเรียกน้ำตาอย่างไร ครั้นเห็นน้ำตาเข้า เมื่อตัวของตัวเองทำไม่ได้แล้วก็เชื่อเอาเปนจริง หลงนึกสมเพชปลอบโยนด้วยประการต่าง ๆ ผู้หญิงไม่ใช่เล่นนา. ข้าพเจ้าชำเลืองดูเฟอร์รารีแล้วชำเลืองดูภรรยา—ท่าเจ้าผู้ชายไม่สนิทเท่านางผู้หญิง. หลุดกันมาก.

“อุส่าห์หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ แมดาม” ข้าพเจ้าพูด “แผลแห่งความทุกข์ซึ่งเกิดในหัวใจของคนสาวและสวยอย่างแม่นี้คงหายเร็ว! พูดส่วนตัวแล้ว ตัวฉันเองก็มีความเศร้าโศรกมากในเรื่องที่สามีของแม่ถึงแก่กรรม แต่ฉันขออ้อนวอนให้แม่ลืมเสียบ้างซึ่งความโศรก โศรกไปใช่ว่าท่านผู้ที่ถึงแก่กรรมแล้วจะคืนมีชีวิตได้ก็เปล่า มีแต่จะทำให้สังขารร่างกายทรุดโทรมลงไปเท่านั้น ชีวิตของแม่ยังอยู่—การที่ล่วงแล้วควรจะปล่อยให้เปนแล้วไป คิดสำหรับวันข้างหน้าใหม่ จงความศุขและความสบายไปเบื้องหน้ามีแก่แม่ดังได้มีมาแล้วในป่างก่อน!”

ภรรยาข้าพเจ้ายิ้มทันที น้ำตาของหล่อนก็เหือดหายไปราวกับน้ำค้างในเวลาเช้าเมื่อต้องความร้อนของดวงอาทิตย์

“ดีฉันขอบใจท่านมากในข้อที่คิดให้ดี คอนเต้” หล่อนพูด “แต่วันแห่งความศุขของดิฉันจะตั้งต้น ก็เมื่อท่านกรณาให้เกียรติยศไปเยี่ยมเยือนถึงบ้าน มาน้ะค้ะท่าน มาน้ะ! เชิญมาน้ะคะ!”

ข้าพเจ้ามีความสงไสย์; ส่วนเฟอร์รารีเห็นเปนสนุก.

“แมดามยังไม่ทราบว่าท่านเปนคนที่ไม่ชอบเข้าในอิถีลึงค์สโมสร คอนเต้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงมีเยาะๆ นิดๆ อยู่ในนั้น ข้าพเจ้ามองดูเฟอร์รารี และพูดตอบภรรยาของข้าพเจ้าว่า “ซินยอเฟอร์รารีพูดถูกทีเดียว” แล้วก็มตัวลงไปใกล้หล่อนและพูดกระซิบว่า “ฉันเก่งไม่พอจึงไม่พอใจที่จะเข้าในสโมสรของหญิงธรรมดา แต่ แม่คุณเอ๊ย เมื่อยิ้มของนางเทพธิดาโปรยปรายลงมาแล้วฉนี้ก็เหลือสติกำลังที่จะขัดคำสั่งได้”

“อุ๊ย! ฟังซี ช่างพูด หล่อนพูดด้วยเสียงอันไพเราะ “ถ้าอย่างนั้นแปลความว่า จะไปเยี่ยมฉันถึงบ้านในวันพรุ่งนี้ เทพธิดาว่ากระไรต้องเชื่อ. กี—ไม่ใช่ ขอโทษ ตั้งใจจะพูด ซินยอเฟอร์รารี นี่แน่ะท่านจงเปนผู้นำคอนเต้ไปบ้านด้วยหนา”

เฟอร์รารีก้มศีร์ษะแทนคำรับ และพูดว่า “ฉันมีความยินดีที่เห็นท่านบังคับคอนเต้โอลิวาได้ยังกะอะไร ที่แก่นั้นแหละก้อ ท่านคอนเต้เปนคนละคนเทียว”

หล่อนหัวเราะ “แน่เทียวในข้อนั้น มีผู้หญิงพวกเดียวเท่านั้นที่นึกอะไรก็สมปราดถนา—ฉันพูดถูกไหมเล่าคอนเต้ ?” เมื่อพูดดังนั้นแล้วก็ชายตามามองดูข้าพเจ้าแล้วเลยไปมองดูกีโด ซึ่งเห็นกีโดท่าทางเขิน ๆ หล่อนยิ่งเห็นสนุก ยั่วหนักขึ้น.

“จะถูกหรือผิดนั้นฉันบอกไม่ได้ แมดาม” ข้าพเจ้าตอบ “ด้วยไม่มีความรู้พอในเพศของแม่ ยังต้องการเรียนอีกมาก. แต่มานึกๆดู ในคำไรที่แม่พูดต้องเปนคำถูก ไนย์ตาของแม่ฉนี้ถ้าเปนครูสอนสาสนาก็ไม่เลว ไม่ต้องอธิบายก็มากน้อยเปนแต่เพียงชำเลืองดูเท่านั้น อาจทำให้พวกนอกสาสนามาเข้ารีตได้.”

หล่อนได้ใช้ตาเปนเครื่องล่อข้าพเจ้าอีก—แล้วก็ลุกขึ้นจะกลับไป.

“การที่ได้มาเจอะในวันนี้ ต้องถือเอาว่าเปนโชคดีของฉันอย่างยิ่ง” ข้าพเจ้าพูด.

“เราจะเจอะกันอีกในวันพรุ่งนี้” หล่อนตอบด้วยยิ้มแย้ม “ฉันถือเอามั่นว่าเปนสัญญา ต้องมาให้ได้ ไม่เหลว พอเที่ยงแล้วไปจะมาเมื่อไรก็ตามใจ แต่มาอย่าให้บ่ายนักเปนดี จะได้เห็นแม่ดาราน้อยบุตรสาวดีฉันด้วย ช่างเหมือนพ้อ เหมือนพ่อ ราวกับแกะ, พรุ่งนี้เจอะกันใหม่ ลาที.”

หล่อนยื่นมือมาให้จับ. ข้าพเจ้าก็ยกขึ้นถึงริมฝีปาก (ธรรมเนียมฝรั่งเว้นแต่ชาติอังกฤษ มักจูบมือผู้หญิงที่มีอายุหรือยศสูงกว่าตัวเสมอไป เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความเคารพและนับถือมาก) หล่อนยิ้มเมื่อชักมือกลับไป และมองดูข้าพเจ้า จะพูดที่ถูกต้องว่ามองดูแว่นตาข้าพเจ้า และถามว่าตาเจ็บหรือ คอนเต้ ?”

“อ้า, แมดาม เคราะห์ร้ายมาก. ทนแสงสว่างไม่ได้ พอกระทบเข้าเปนเคืองแปลบปลาบ แต่ทำอย่างไรได้มันเปนของคู่กับอายุ ตามที ตามที.”

“ท่านดูยังไม่แก่เลยนี่” หล่อนพูดอย่างตรอง ๆ ตาผู้หญิงสังเกตมากไปเรื่องนี้ เห็นจะเห็นเนื้อหนังข้าพเจ้ายังไม่ย่นและเลือกฝาดยังงามอยู่เปนแน่จึงพูดดังนี้ ข้าพเจ้าจึงชิงพูดด้วยเสียงประหลาดใจว่า

“แม้ไม่แก่, ผมขาวเปนสำลียังไม่แก่.”

“คนหนุ่ม ๆ ที่แพ้ผมมีถมไป พอกลาง ๆ คนก็ขาวหมด แต่อย่างท่านนี้ขาวงามดี!”

เมื่อว่าดังนั้นแล้วกระทำกริยาลาออกจากห้อง เฟอร์รารีกับข้าพเจ้ารีบเดินตามมาด้วยจนถึงรถ ซึ่งจอดคอยอยู่ที่ประตู—รถคันม้าคู่นั้น ที่ข้าพเจ้าซื้อให้เมื่อวันเกิดหล่อน. พอถึงเจ้าเฟอร์รารีขยับเข้าไปใกล้จะพยุงหล่อนขึ้นนั่งบนรถ (ธรรมเนียมฝรั่งผู้หญิงจะขึ้นรถแล้ว ผู้ชายที่รู้จักอยู่ที่นั่นต้องช่วยพยุง) แต่หล่อนทำเปนเชิงเล่นเชิงจริง ไม่รับแขนเฟอร์รารีกลับเอื้อมเข้ามารับแขนข้าพเจ้าแทน ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้วหล่อนก็ก้มศีร์ษะแก่เราทั้งสอง รถก็เคลื่อนที่ขับกลับไปบ้าน. มองดูรถจนหายไปลับตาแล้ว หันมามองดูหน้าเพื่อน ซึ่งยืนอยู่ข้างกันเห็นสีหน้าเหี่ยวสลด คิ้วขมวด ตาลห้อย. เจ็บซี! ข้าพเจ้านึกในใจ. เจ็บที่ผู้หญิงเขาไม่อินังขังขอบ ดูดู๋ยื่นแขนให้เกาะก็ไม่เกาะมาเกาะคนที่พึ่งรู้จักใหม่ น่าน้อยใจ น่าหึง. อา—ความที่จะแก้แค้นเห็นจะไม่ยากนัก นึกยิ้มในใจ. ข้าพเจ้าเอามือจับที่ตรงไหล่ เขาสดุ้งตื่นขึ้นจากฝันและเสทำยิ้ม. ข้าพเจ้าก็ยื่นซองบุหรี่ให้.

“ฝันถึงอะไรท่าน” ข้าพเจ้าถามและหัวเราะ “เหมือนอย่างนางฮีบีเทพธิดากรีกเมื่อคอยเทพบุตรทั้งหลาย หรือเหมือนนางวีนัสเมื่อโผล่ขึ้นมากลางคลื่น ? เหมือนใคร หรือไม่เหมือนใครหมด หรือเหมือนทั้งสองนาง ? ขอแนะท่านว่าบุหรี่อาจจะทำให้มีความสบายใจได้คล้ายกับได้เห็นผู้หญิงยิ้มด้วยเทียวนา.”

เขาหยิบเอาบุหรี่ฝรั่งจุดสูบ แต่หาได้ตอบว่ากระไรไม่.

“ยังไงดูท่านซึมไป” ข้าพเจ้าพูดเล่นสนุกๆ เอาแขนสอดแขนเข้าและจูงเดินขึ้นเดินลงที่ลานหน้าบ้านหลายกลับ “เขามักพูดกันว่าฝีปากคนเมื่อกระทบตาคมก็คมขึ้นด้วยทันที ก็นี่ของท่านทำไมมันตรงกันข้ามไปเล่า กลับดื้อไปหรือ ? หรือท่านไปคมเสียทางความคิด คิดให้มันซึ้งลอดสวรรค์ไปเทียว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะว่าเจ้าแม่ประคุณคนนี้ช่างสวยเสียเกินมนุษย์มนา.”

กีโดหันมามองข้าพเจ้าทันทีแล้วพูดว่า

“ฉันพูดจริงหรือเปล่าเล่า ? ได้ว่าแล้วว่าในใต้ฟ้าไม่มีเสมอสอง! ถึงตัวท่านก็เทอนา ท่านคอนเต้ ท่านไม่ชอบผู้หญิงหละ อะไรหละ ที่ไหนล่า เห็นหร็อก.”

ข้าพเจ้าพ่นควันบุหรี่ทำเชิงไก๋ ๆ “ฉันหรือ ? อะไรจะติดใจ หล่อนยังงั้นหรือ ผิดไป ไม่น่าจะเปนไปได้ แต่ขอรับเสียตรง ๆ ว่า ยังไม่เคยเห็นหญิงใดจะงามบริบูรณ์เช่นนี้เลย.”

เฟอร์รารีหยุดยืน เอาแขนออกจากแขนข้าพเจ้า แล้วมองดูตา.

“ได้บอกท่านแล้ว ต้องจำว่าได้บอกท่านแล้ว แล้วเดี๋ยวนี้ฉันเห็นว่าเปนข้อจำเปนที่จะเตือนท่านอีกหน่อย.”

“เตือนฉันหน้ะหรือ ?” ข้าพเจ้าแกล้งทำหน้าตาตื่นเปนทีตกใจ “เตือนเรื่องอะไร? ขัดข้องต่อใคร เชื่อว่าไม่เกี่ยวเคานเตสโรมานีผู้ท่านรีบร้นชักนำให้รู้จัก? หล่อนคงไม่เปนคนขี้โรคในกายตัว หรือเปนโรคที่จะติดกันได้? ขาแข้งแขนแมนคงไม่เสียหายที่ไหน หรืออย่างไร ?”

เฟอร์รารีหัวเราะในถ้อยคำที่ซักถามเพื่อป้องกันตัวให้พ้นอันตราย ฉนั้น—และหน้าตาที่ทำติดตลกดังนั้น—และดูค่อยเบาใจขึ้นหน่อย ๆ ด้วย

“เปล่า เปล่า!” เขาว่า “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นดอก ฉันเห็นว่ามันเปนหน้าที่ของฉันที่จะบอกท่านเสียก่อน ฉันเชื่อว่า เจ้าหล่อนมีกิริยาเปนเจ้าชู้อยู่นิด ๆ ในถ้อยคำและกิริยาของเจ้าหล่อนอันหวานคมมักจะทำให้ผู้ชายนึกผิดไปได้ต่าง ๆ บางทีจะนึกว่าหล่อนชอบเนื้อพอใจตัวก็ถึงกับเปนได้และ—”

ข้าพเจ้าหัวเราะก้ากใหญ่ออกมาทันที และเอามือตบหลังเปนทีสัพยอกผัวะใหญ่ “คำเตือนสตินั้นไม่เห็นเปนข้อจะจำเปนเลยเพื่อนเอ๋ย ท่านนึกหรือคนรูปร่างอย่างฉันนี้จะเปนที่พอใจของผู้หญิงสาวสวย ? ไม่มีวันเสียหละ. ถ้าจะเปนบิดาหล่อนหรือบิดาท่านนั่นแหละว่าจะไม่ถูก อ้ายเรื่องจะไปเปนชู้รักหน้ะ—เหอ เหอ เหอ ยังจะมีวันอยู่หละหรือ”

เขามองดูข้าพเจ้าแล้วพูดเสียงอ่อน ๆ เปนทีพูดแก่ข้าพเจ้าครึ่งๆ แก่ตัวเองครึ่ง ๆ “หล่อนว่าดูท่านยังไม่แก่เลย นี่”

“แน่ลาซี หล่อนยอให้สนัดใจ ฉันซึมดีทีเดียว แต่ทำพยักเพยิดไปด้วยอย่างนั้นเอง อะไร ใครจะรู้ตัวของฉันดีกว่าตัวฉันรู้ตัวเองเปนไม่มีเสียแล้ว ออกแก่หงำเหงือกยังนี้แล้วไม่รู้สำนึกตัวก็จะไปรู้เอา เมื่อไรเล่า พุทโธ่ จะเปรียบกับท่านในเวลานี้ไกลกันราวกับฟ้ากับดิน หรือจะว่าราหูกับจันทร์ก็ว่าได้ ขอรับ!”

กีโดหน้าแดงด้วยความยินดี แล้วพูดว่า—

“ง่า ท่านต้องให้อภัยถ้าฉันมันเปื่อยเรื่อยหลงไป. เคานเตสนั้นเปนประหนึ่งว่าน้องสาวของฉันก็ว่าได้ โดยแท้ที่จริง ที่จะให้เกิดรู้สึกเหมือนพี่น้องกันขึ้นก็เพราะฟาบีโอที่ตาย มาบัดนี้ฟาบีโอก็ตายไปแล้ว ฉันจึงถือเอาว่าเปนหน้าที่ของฉันที่จะเปนผู้ปกปักรักษาหล่อน. หล่อนยังเปนเด็ก และธรรมดาเด็กยอมใจเบา และทำอะไรก็ไม่ได้จะตริตรอง—ท่านคงเข้าใจในคำที่ฉันพูดนี่ ยังไง เข้าใจเปล่า?”

ข้าพเจ้าน้อมศีร์ษะลงกระทำคำนับ. ซึมคำที่เขาพูดนั่นดีทีเดียว เช่นนิไสยขะโมยมันไม่อยากให้มีขะโมยคนอื่นอีกในบริเวณนั้นนอกจากตัวมันเอง ด้วยเกรงจะมาแย่งขะโมยของไปเสียหมดข้อนี้ก็จริงอยู่ตามความเห็นของชะโมย แต่ข้าพเจ้าเปนเจ้าของที่ที่บริเวณนั้น เพราะฉนั้นความเห็นต้องแตกต่างไปไม่เหมือนกัน แต่ยังไร ๆ ก็ดีข้าพเจ้ามิได้ตอบประการใด และแกล้งทำเซาซึมดูประหนึ่งว่าไม่ออกสนุกในเชิงคุยเวลานั้น เมื่อเฟอร์รารีเห็นดังนั้น ก็ตั้งต้นจะเปลี่ยนเรื่องและกระทำกิริยารื่นเริงสนุกสนานขึ้นตั้งแต่ก่อน พอเวลาเย็นลงเราก็นัดเวลาโมงที่จะไปเยี่ยมเคานเตสที่บ้าน แล้วข้าพเจ้าก็ลา เฟอร์รารีกลับโฮเต็ล. สิ่งแรกที่กระทบตาพอย่างเข้าในห้องอยู่ที่โฮเต็ล คือกระเช้าผลไม้ประดับประดาด้วยดอกไม้สดและแพรริบบิ้นตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง จึงเรียกคนใช้มาถามว่ากระเช้านี้มาจากไหน ?

“แมดามคอนเตสซา โรมานี” วินเช็นโซตอบด้วยกิริยาอันเสงี่ยม “รับประทานมีก๊าดติดอยู่ที่กระเช้านั้นด้วย ถ้าใต้เท้าอ่านก็จะทราบความเลอียด.”

หยิบก๊าดขึ้นพิศดูก็จำได้ทันที ว่าเปนก๊าดของภรรยาข้าพเจ้า และบนหลังก๊าดนั้นมีอักษรตัวงามจารึกว่า

“สำหรับเพื่อนให้ท่านคอนเต้มาเยี่ยมที่บ้านในเวลาวันพรุ่งนี้ตามสัญญา”

ความโกรธฉิวขึ้นมาทันที ฉวยกระชากเอาแผ่นก๊าดนั้นออกมาขยี้โยนลงไปกลางพื้น. กลิ่นดอกไม้และกลิ่นผลไม้ปนกันมาต้องจมูกให้ฉุนโกรธมากขึ้น เกือบจะเอากระเช้าลงวางกระทืบเสียด้วยเท้า เดชะบุญได้สติขึ้นมาเสียก่อนแสดงทุภาพบุรุษกิริยาจึงหันหน้ามาพูดแก่วินเช็นโซว่า,

“ข้าไม่ต้องการแก่ของขี้ปะติ๋วเล็กน้อยเท่านี้ เอ็งจงเอาไปให้อีเด็กเล็กลูกตาเฝ้าประตูโฮเต็ลเสียไป๊ เด็ก ๆ คงจะชอบใจ เอาไปเสียเดี๋ยวนี้ เอาไปเร็ว เอาไป๊ เอาไป ๆ”

วินเช็นโซยกกระเช้าผลไม้ออกนอกห้องทันที เมื่อกลิ่นและสิ่งของอันนั้นหายลับไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงค่อยบันเทาซึ่งโทษะ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาว และนึกในใจว่านึก ๆ ก็น่าขัน นึก ๆ ก็น่าแค้นใจ ๆ ผลไม้ในสวนของข้าพเจ้าแท้ๆ มีหน้าเอามาให้เปนของกำนันแก่เจ้าของได้ อ๋อ! แมดามเริ่มต้นเสียแล้ว ดูเอาหรือดูคนที่เขาลือว่ามีเงินมีทองเหลือล้นเท่านั้นก็เปนได้ ไม่ทันจะรอให้รู้จักมักคุ้นดีเลย. เงิน เงิน แก้วสารพัดนึก! เงินจะบังคับให้คนที่จองหองเย่อหยิ่งยกมือไหว้ เงินจะบังคับคนที่ดื้อด้านให้อ่อน เงินจะช่วยกำจัดสัตรู เงินจะช่วยปิดปากคนกล่าวร้าย และเงินจะทำให้ผู้หญิงรัก แก้วสารพัดนึกคือเงินนี่เอง มีเงินแล้วจะทำอะไรย่อมสำเร็จความปราดถนาทุกสิ่งทุกประการ เมื่อนึกถึงไนย์ตาของภรรยาข้าพเจ้าในขณะที่หล่อนพูดว่า “ท่านยังไม่แก่เลยนี่” นั้นทำให้นึกอดหัวเราะไม่ได้ ไนย์ตาอธิบายคำที่พูดดีเสียยิ่งกว่าอะไร ๆ หมูด จริงนาไนย์ตาคนเรานี่ก็พิลึกมาก บอกทุกข์ บอกศุข บอกยินดี บอกเสียใจ บอกรัก โกรธ เกลียด และอะไร ๆ ได้ต่าง ๆ และบางทีบอกได้ซึ่งยิ่งกว่าถ้อยคำที่จะแสดงด้วยปากเสียอีก โอไนย์ตา! หนทางแห่งความพยาบาทของข้าพเจ้าช่างตรงละราบรื่นนัก—ราบรื่นจนเกินไป อยากจะให้มีอะไรขัดขวางจะได้ยากลำบากบ้าง แต่ช่างโล่งโถงหาสิ่งที่ขัดไม่ได้เสียเลยแหละกับที่ตั้งไว้ดักคนขบถไม่เสียหลาย ด้วยทั้งสองเดินรี่มาเข้ากับแล้วข้าพเจ้าได้นึกถามตัวของตัวเองหลายกลับว่า มีเหตุอันใดพอที่จะให้เวทนาได้บ้าง ? เขาแสดงกิริยาอันรักชาติตระกูลหรือ ? ได้แสดงความกะตัญญบ้างหรือ ? แสดงความดีในกายตัวแต่เพียงสักสิ่งสองสิ่งบ้างหรือ ? คำตอบล้วนแต่ ‘เปล่า!’ ทั้งสิ้น ใจโลเลทั้งคู่ หน้าไหว้หลังหลอกทั้งคู่ และมุสาวาททั้งคู่ รวบรวมใจความย่อ ๆ ว่าควรจะได้รับเคราะห์ทั้งสองคน. คนชนิดกีโดและภรรยาข้าพเจ้านี้หาไม่สู้ยากนัก ในหมู่คนไม่เลือกว่าคนชาติไหนชั้นไหนถ้าไม่เลวกว่าสัตว์เดียรฉานก็คงไม่ดีกว่า เหตุที่สัตว์พูดมุสาไม่ได้ ทั้งเมื่อตายแล้วหนังเขาก็ยังมีราคาบ้าง! แต่ผู้ใดจะอาศาวัดหรือชั่งน้ำหนักของความชั่วที่เกิดขึ้นเพราะลิ้นร้ายได้บ้าง ข้าพเจ้าเปนไม่รับอาศาแล้ว—และคนชาติมุสาแล้วเมื่อตายทรากศพจะหาราคาสักกึ่งเบี้ยก็ไม่ได้ ซ้ำส่งกลิ่นอันร้ายแรงไปทำร้ายผู้อื่นด้วยเสียอีก. ในคำของพระพุทธองค์เรียกมนุษย์ว่าเปนสัตว์ประเสริฐแปลวว่าดีเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย แต่มาบัดนี้เห็นแล้วว่าดีกว่าอย่างไร ดีกว่าคือมีความฉลาดโกงๆ และมีความเห็นแก่ตัวมากกว่า. เสือช้างป้องกันตัวด้วยเขี้ยวงาและเล็บ แต่มนุษย์ป้องกันตัวของตัวด้วยวาจาและกิริยาโกหกโกไหว้พลิกแพลงไปต่างๆ เมื่อมาใคร่ครวญดูสัตว์ทั้งสองจำพวกนี้ คือสัตว์ประเสริฐอย่างหนึ่ง สัตว์เดียรฉานอย่างหนึ่ง เอาความบริสุทธิ์ขึ้นชั่งตาเต็งดู—ตามความเห็นข้าพเจ้าเห็นว่าสู้สัตว์เดียรฉานไม่ได้ คนที่สู้ไม่ได้นั้นนับแต่ชั้นชนิดคนทั้งสองนั้นลงไป!

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ