๑๖

รุ่งขึ้นเช้าข้าพเจ้าก็ไปยังสะเตชั่นรถไฟตามนัด เจอะเฟอร์รารีเดินส่ายซึมอยู่บนยกพื้นริมราง พอรถจวนจะออกก็ขึ้นรถแล้วโชงกหน้ามาทางหน้าต่าง กวักมือให้ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบว่า

“อย่าลืม! ไว้ใจให้ท่านเปนผู้ปกปักรักษาหล่อน!”

“อย่าวิตก;” ข้าพเจ้าตอบ “ฉันจะพยายามอย่างที่สุดที่จะแทนที่ท่านได้!”

เขายิ้ม ยิ้มอย่างไม่ใช่ยิ้มซึ่งเปนผลแห่งความศุข เปนยิ้มอย่างไรไม่รู้ แล้วเขาบีบมือข้าพเจ้า. นี่เปนคำที่สุดที่เราพูดกัน. โหวดรถไฟวี๊ดเข้าแก้วหู รถไฟก็เคลื่อนจากที่ในนาฑีเดียวก็แล่นหายลับคันไป. ข้าพเจ้ายืนอยู่แต่ผู้เดียว—ผู้เดียวที่จะทำอะไรทำได้—จะทำอะไรกับนางเมียก็ทำได้ จะไปบ้านในค่ำวันนั้นและแสดงตนว่าข้าคือผัว-หาว่าไม่ซื่อตรงต่อและเอามีดแทงให้ตายก็ทำได้—ถึงจะต้องไปขึ้นศาลก็ไม่เปน ไร ศาลอิตาเลียนเห็นว่าเปนยุติธรรม ไม่มีผิด ถึงจะมีผิดก็ไม่มีโทษกรณ์อะไรหนักนัก. แต่เหตุไร ? ทำไมจะให้คนขึ้นชื่อลือนามได้ว่าฆ่าคนตาย ? ไม่ควร ไม่ควร; สู้ให้มันเรื่อยไปตามที่ได้เริ่มดีกว่า. คิดแล้วก็หันหน้ามาทางโฮเต็ลเจอคนใช้ที่กลางทาง วิ่งกระหืดกระหอบเอาจดหมายโน้ตส่งให้ บนหลังซองสลักว่าการด่วน เปนจดหมายของภรรยาข้าพเจ้า ความในจดหมายนั้นมีว่า

“โปรดมาเดี๋ยวนี้ให้ได้ ดาราน้อยเจ็บหนักและบ่นหาท่าน.”

“นี่ใครเปนคนเอามา” ข้าพเจ้าถาม เดินสาวท้าวพลางกวักมือให้วิเช็นโซเดินเคียงขึ้นมา.

“อิตาเถ้าเกียโชโมขอรับ ใต้เท้า. มาถึงก็มาทำตาดำตาแดงไม่ใคร่จะเผยปากได้เลย พูดละล่ำละลักกว่าจะเอาความได้นายคนเล็กไว้ในคอหอยได้เสียเวลาหลายอึดใจ. เกิดมีอาการหนักขึ้นเมื่อเที่ยงคืนนี่เองขอรับ แต่ยายพี่เลี้ยงแกว่า ๆ เห็นจะไม่เปนไร ครั้นตกเช้าตอนเช้านี่สิเพียบแปล้ค่อนข้างจะเปนรองเสียแล้ว.”

“ไม่ได้ตามหมอดอกหรือ ?”

“ได้ตามขอรับ. เกียโชโมว่าได้ตามหมอ แต่—”

“แต่อะไร!” ข้าพเจ้ารีบซักเร็ว.

“เปล่าขอรับ! ตานั่นแกว่าหมอมาช้าไป.”

หัวใจข้าพเจ้าเหี่ยวสลดเหลือนิดเดียว สอื้นวิ่งขึ้นมาอึ้กๆ อยู่ที่คอหอย. ได้ใช้ให้วินเช็นโซไปเรียกรถเช่าที่คลานต้วมเตี้ยมอยู่ข้างถนนมาคันหนึ่ง. บอกตำแหน่งให้คนรถรีบขับไปอย่างเร็ว แล้วหันหน้ามาบอกวินเช็นโซว่าวันนี้ไม่ต้องคอย จะไม่กลับโฮเต็ลทั้งวัน. พอรถขับมาถึงประตูใหญ่หน้าบ้านเห็นประตูเปิดโร่อยู่ ดูเหมือนเปิดไว้คอยท่า เกียโชโมถลันออกมาหาข้าพเจ้าที่รถ

“เปนอย่างไรบ้าง ?” ข้าพเจ้ากระหืดกระหอบถาม

เกียโชโมไม่ตอบ เปนแต่โคลงศีร์ษะไปมา แล้วก็เอามือชี้คนที่เดินลงบรรไดมา—เห็นก็จำได้ทันทีว่าเปนหมออังกลิษเปนคนมีชื่อเสียงมากในบริเวณนั้น. ข้าพเจ้าถามคำถามอย่างนั้นแก่เขาซ้ำอีกพลาง พลางควักเงินส่งให้คนรถ จะเปนเท่าไรไม่ทราบ เชื่อว่าคงไม่น้อยไปด้วยมิได้ยินมันต่อว่า. ท่านหมอกวักมือให้ข้าพเจ้าเข้าไปในห้องข้างบรรได แล้วบอกว่า—

“เรื่องมาเปนอย่างนี้” เขาพูดสั้นๆ “เปนเพราะปล่อยเพลิดไม่เอาใจใส่ดูแล. เด็กนี้ไม่สบายมานานแล้ว จึงเปนโอกาศให้โรคไม่ว่าอะไรมีช่องที่จะกำเริบได้. ถ้าแม้รู้เสียเนิ่น ๆ สักหน่อยก็พอจะรับได้ นี่ยายพี่เลี้ยงแกบอกว่าแกไม่กล้าจะไปปลุกแมดามในเวลาที่เขานอนแล้ว กลัวถูกเอ็ดบ้านทลาย—เปนเคราะห์ร้ายอย่างนี้นี่แหละ มาเดี๋ยวนี้มันเหลือมือเสียแล้ว.”

ข้าพเจ้านิ่งฟังราวกับคนที่สติลอย หมอเห็นข้าพเจ้านิ่งอยู่ก็พูดต่อไปว่า—

“เด็กร้องขอพบท่าน ฉันจึงขอให้เคานเต็สให้คนไปตาม เคานเต็สไม่ใคร่จะยอม ว่าๆโรคพรรณนี้มันติดกันได้ หน่อยจะพลอยติดท่านด้วย อ้ายข้อนี้ก็เปน ๆ อยู่”

“ฉันไม่ใช่คนขี้ขลาดดอกท่าน” ข้าพเจ้าทลุกลางปล้อง “ถึงโดยว่าพวกเราชาวอิตาเลียน จะเปนคนขี้ขลาดเข็ดคร้ามโรคอหิวาตะกะก็จริง แต่ยังมียกเว้นเปนคน ๆ บ้าง”

หมอยิ้มแล้วน้อมศีร์ษะ “ถ้ากระนั้นก็ไม่พูดอีก ถ้าท่านไปหาคนไข้ได้ก็เปนการดี ส่วนตัวฉันจะต้องลากลับสักครึ่งชั่วโมง พอครึ่งชั่วโมงล่วงแล้วจะกลับมาใหม่.”

“ประเดี๋ยวก่อนพ่อหมอ” ข้าพเจ้าเอามือยึดแขนไว้ “หมดที่หวังเทียวหรือ ?”

แกยกไหล่ทำตาละห้อย “น่ากลัว”

“ไม่มีอะไรจะแก้ได้แล้ว ?”

“เต็ม—ได้อย่างเดียวจะให้เงียบและอุ่นไว้. ยามอบไว้กะยายพี่เลี้ยงก็มี สำหรับหยอดแก้กระวนกระวาย จะแก้ได้ก็รู้กันในเมื่อกลับมา ในเวลานั้นพิษขึ้นเต็มที่ ถ้าไม่เปนอะไรก็ไม่เปนไร” ว่าแล้วก็ลงเรือนไป.

ข้าพเจ้าค่อยๆ ย่องมาเจอะนางสาวใช้เข้าจึงถามว่า “คอนเตสซาอยู่ไหน ?”

“คอนเตสซาหรือเจ้าค้ะ ? อยู่ในห้องนอนท่านแน่ะเจ้าคะ ท่านไม่ออกมาข้างนอกดอกเจ้าค่ะ ท่านกลัวโรคมันติดท่าน.”

ข้าพเจ้านึกหยาบ ๆ ในใจเท่าใดนั้นไม่จำเปนต้องกล่าว.

“ไม่ได้ออกมาดูลูกเลยเทียวหรือ ?”

“ตั้งแต่ล้มเจ็บหนะหรือเจ้าค้ะ เปล่าเจ้าค่ะ ?”

ข้าพเจ้าสกดใจไว้ย่องตรงไปห้องคนไข้. ที่ข้างที่นอนมีแอสซันตานั่งซึมอยู่. พอเข้าไปใกล้แกก็เงยหน้าขึ้นพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า,

“ดูเถอะ มันเปนยังงี้แหละ ผีสางเทวดาแหละรู้ฉลาดแท้เลือกเอาแต่คนดีไปใช้ มาเอาพ่อไปแล้ว ยังจะมาเอาลูกไปอีก—ทิ้งแต่พวกระยำ ๆ ไว้หนักแผ่นดิน.”

“ป้าป๋า!” เสียงครางอ่อน ๆ และแม่ดาราน้อยลุกขึ้นนั่งพิงหมอน ลืมตาโพลง ริมฝีปากผายสำหรับหายใจ. เมื่อเห็นหน้าเข้าใจจะขาดเสียเพราะความสงสารให้ได้ จึงเอามือโอบรอบตัวเด็กนั้น แม่ดาราน้อยก็พยายามที่จะจูบข้าพเจ้า ต่างคนก็ต่างจบกัน.

“ดาราน้อยต้องอุส่าห์สกดใจให้เงียบ—ดาราต้องนอนลงให้ราบ ความปวดจึงจะค่อยบรรเทา ดี๊ดี เออ! ว่าง่ายอย่างนั้นซี” ข้าพเจ้าคุกเข่าอยู่ริมที่นอน ดูแอสซันตาเอาสำลีชุบยาหยอดและทาตามริมฝีปาก. เสียงของเด็กนั้นอ่อนลงไปทุกที ลมให้หายใจก็ถี่ขึ้นแทบทุกนาฑี.

“ท่านเปนป้าป๋าของดาราไม่ใช่หรือ ?” เด็กถาม. ข้าพเจ้ามิได้ตอบว่าประการใด เปนแต่ยกเอามืออันร้อนด้วยพิษไข้ขึ้นจูบ แอสซันตาสั่นศีร์ษะ.

“โธ่ๆ! จวนแล้ว—เห็นพ่อ. น่าหร็อก. รักกันหนักหนา—มาคอยรับเอากันไปขึ้นเมืองฟ้า.”

แล้วยายแก่นั่นก็คุกเข่าลงสวดอ้อนวอนและชักประคำพึมพำอยู่คนเดียวของแก. แม่ดาราน้อยเอามือกอดคอข้าพเจ้า—ลืมตาปรือๆพูดและหายใจดูยิ่งลำบากขึ้น.

“ดาราเจ็บคอแท้ ๆ ป้าป๋า;” หล่อนพูดน่าสงสาร “โธไม่ช่วยแก้บ้างนี่ ยังงี้ดาราก็ตายซี ?”

“ถ...โ...! อยากช่วยออกจะตาย ดารา จ.....๋า...! ” ข้าพเจ้าพึม “ถ้าทนความลำบากนี้ได้แทนดาราน้อยแล้ว จะทนแทนให้ทีเดียว.”

หล่อนนิ่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วว่า “อะไรช่างทิ้งดาราน้อยไปไหนเสียนาน; เดี๋ยวนี้ดาราเล่นกะป๋าไม่ได้เสียแล้ว ดาราเจ็บ เจ็บมาก” แล้วมีสีหน้าออกยิ้มๆ “ดู ตู ตู๋ ซี;” พูดเสียงอ่อนๆ ในขณะที่เห็นตุ๊กตาตัวเก่าที่แต่งตัวเปนตลก ซึ่งวางพิงอยู่ริมปลายเท้าที่นอน “สงสารตูตู๋; ตูตู๋จะคิดว่าดาราน้อยไม่รักตูตู๋อีกแล้วเพราะว่าดาราเจ็บคอ ป้าป๋าส่งตูตู๋มาที; โท้ป๋ากลืนน้ำลายก็เจ็บ.”

ครั้นได้รับตุ๊กตาแล้ว แม่ดาราก็เอาไปกอดไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง. อีกข้างหนึ่งยังกอดคอข้าพเจ้าอยู่ และพูดต่อไปว่า

“ดูตูตู๋ซี ตูตู๋จำป้าป๋าก็ได้ จำได้ไหม ป้าป๋าซื้อมาจากเมืองโรมยังไงล่า ตูตู๋รักป้าป๋าเหมือนกัน-แต่ไม่เท่าดารารัก.” และไนยตาบอกว่าพิษขึ้นจัด เหลียวไปเห็นแอสซันตากำลังคุกเข่าหมอบสวดมนต์อยู่ก็เรียก

“แอสซันตา!”

หญิงแก่เงยหน้าขึ้น ถามว่า “ว่ากระไรแม่!”

“ร้องไห้ไปทำไม” แม่ดาราถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่อยากเห็นป้าป๋าหรือยังไง ?”

พูดไม่ใคร่จะขาดคำดี เสลดหางงัวก็ตีครอกขึ้นมาชักตาตั้งหน้าหงายมือกำ ทลึ่งทั้งตัว เจียนขาดใจ แอสซันตากับข้าพเจ้าช่วยกันพยุงให้พิงหมอน! ความอึดอัดค่อยบรรเทาลงแต่หน้ายังซีดสลด เม็ดเหงื่อเม็ดใหญ่อยู่ตามหน้าผากราวกับประพรมด้วยลอองน้ำ ข้าพเจ้าก้มลงไปกระซิบปลอบ “ดาราจ๋า ไม่ต้องพูด ดาราต้องนิ่ง คอจึงจะไม่เจ็บ

หล่อนนิ่งมองดูข้าพเจ้าอยู่สักสองสามนาฑี พูดว่า. “จูบดาราเสียที. ดาราจะเปนเด็กดี !” ข้าพเจ้าก้มลงจูบ. สิบนาฑี ยี่สิบนาฑี สามสิบนาฑีล่วงไป ก็ยังนอนนิ่งเงียบอยู่ พอได้สามสิบนาทีก็พอหมอโผล่ประตูเข้ามา. แกมายืนอยู่มองดูนิ่งอยู่ที่ปลายที่นอน ในบัดใจเด็กตื่นขึ้น และยิ้มกับเราทั้งสามคน.

“ยังเจ็บอีกหรือ ?” ข้าพเจ้าถาม

“ปล...เ-่า...!” เสียงที่พูดนั้นอ่อนแผ่วเต็มที ดูราวกับว่าพูดมาแต่คนละห้อง “สบายดีแล้ว. แอสชันตาต้องเอาเครื่องแต่งตัวชุดขาวมาแต่งให้ดาราต่อหน้าป้าป๋าเดี๋ยวนี้ ดาราว่าแล้วว่าป้าป๋าจะกลับมา กลับมาจริงๆ น่าแหละ...” ว่าดังนั้นแล้วก็แหงนหน้าขึ้นมามองดูข้าพเจ้าด้วยไนย์ตาอันแจ่มใส.

“สมองเดินเสียแล้ว” หมอพูดด้วยเสียงสงสารหน่อย ๆ โคลงศีร์ษะช้าๆ “ไม่ช้าละ”

แม่ดาราน้อยไม่ได้ยินคำที่หมอพูดนี้ หล่อนเคลียอยู่ที่แขนข้าพเจ้าแล้วพูดกะซิบกะเส่า ว่า

“ไม่ได้หนีไปเพราะดาราน้อยซนไม่ใช่หรือป้าป๋า ?”

“เปล่า ยอดที่รัก!” ข้าพเจ้าตอบแล้วก็ซบหน้าลงไปศีร์ษะเด็ก

“ทำไมต้องใส่อ้ายดำ ๆ น่าเกลียดไว้ด้วย ?” เสียงที่ถามนั้นอ่อนเหลือเกินจนข้าพเจ้าเองเกือบได้ยิน “ใครทำให้ตาเจ็บหรือ ? ไหนขอดาราดูนิดเถอะป๋า! ข้าพเจ้าสองจิตร์สองใจ. จะยอมดีหรือไม่ดี? เหลียวไปมองดูคนอื่น เห็นหมอหันหน้าไปทางแอสซันตา แอสซันตาซบหน้าอยู่กับผ้าปูที่นอน สวดมนต์อะไรพึมพำอยู่! มือเร็วเท่าความคิดแล่น ลดแว่นตาลงให้บุตรีดูดวงตาดังขอ. แม่ดาราร้องออกมาด้วยความยินดีสองคำว่า “ป้าป๋า! ป้าป๋า!” แล้วก็ทิ้งแขน สอึกแรงขึ้นมาทันที แรงจนถึงเขย่าตัวไปมา. หมอทลึ่งเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าเลื่อนแว่นตาขึ้นอย่างเดิมไม่ให้ใครสังเกต. หน้าของเด็กซีดเหลืองไนยตาชักเหลือกตั้งแขง—ถอนใจใหญ่ได้ครั้งหนึ่ง—ทลึ่งสุดตัวแล้วก็ซบตัวลงกับบ่าข้าพเจ้า….จวน....ตายแล้ว. พระอาระหังช่วย ไปที่ชอบๆ ถ้าเปนเรื่องพระอะภัยมะณี ตรงนี้คล้ายกับเมื่อ ‘เปิดพระโกษฐมิ่งมิตรพิศภักตร์ โศกนักทรวงในฤไทยหมอง ฯลฯ’ ผิดกันแต่นี่ไม่ใช่เมีย เปนบุตรี แลไม่ใช่ใส่โกษฐ แต่ก็ ‘ชลเนตรตกต้องพระปรางนาง ผ้าที่ทรงลงเช็ดชลเนตร์ ฯลฯ’ นั้นหน้ะอย่างเดียวกันเทียว. ความทุกข์ของบิดาในส่วนที่บุตรีที่รักถึงแก่กรรมไปกับตานั้นมีเพียงไร เหลือที่จะพรรณาได้ นอกจากใครจะได้รับเข้าแก่ตัวเมื่อไรจึงจะทราบ. ในห้องนั้นเงียบเหลือเกิน เงียบจนนึกว่าถ้าในเวลานั้นแม้จะทิ้งปุยสำลีลงบนพื้นแทบจะได้ยินเสียงสำลีกระทบพื้น—เงียบในขณะที่พระยามัจจุราชเหาะเข้ามาในห้อง และอุ้มเอาวิญญาณของเด็กที่รักเหาะกลับไปยังวิมานเมืองฟ้า.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ