๒๔

ห้องเต้นรำนั้นแต่งประดับวิจิตรพึงชมด้วยธงเที่ยวและพวงดอกไม้โคมไฟระย้าย้อย ดูประหนึ่งว่าห้องนั้นเปนท้องพระโรงของพระมหากระษัตริย์องค์หนึ่ง ท่านผู้มีบรรดาศักดิ์ในอิตาลีหลายท่านได้มาในที่สโมสรอันนั้น ล้วนแต่น่าอกเต็มด้วยเครื่องอิศริยาภรณ์ประดับด้วยเพชรพลอยอันมีค่า และแพรผ้าสายสพายอันเปนเกียรติยศยิ่ง ผู้หญิงอย่างที่น่ารักมากก็เลื่อนลอยไปบนพื้นอันขัดไว้แล้วลื่นมัน ดูดังที่พวกเรามักฝันถึงเนือง ๆ ว่าเทพธิดาเมืองฟ้าคงจะเปนประดุจเดียว.

สวยที่สุดในพวกสวย วางท่าทางเก๋ที่สุดในพวกเก๋ สนทนาเพลิดเพลินในพวกสนทนาดี คือภรรยาข้าพเจ้า. ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นภรรยาข้าพเจ้างามเหลือเกินเหมือนในคืนวันนั้นเลย. ชีพจรของข้าพเจ้าเต้นเร็ว เลือดอุ่นขึ้น เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นความยิ้มแย้มความสดชื่นของหล่อน หล่อนเปนนางฟ้าของนางฟ้า ใสสดชื่นประดุจน้ำค้างบนใบบอน แปลบปลาบตาคมประดุจแสงอาทิตย์อันฉายทอมาจาก กระจกเงา. เสื้อผ้าของหล่อนทำด้วยผ้าลูกไม้อย่างเลอียดดี รองใน แพรต่วน และมีไข่มุกประดับเปนเฟื่อง เพ็ชรประดับอยู่ที่ตัวเสื้อส่องแสงแววรับราวกับแสงอาทิตย์เมื่อต้องระลอกน้ำ เพ็ชร์ของอ้ายโจรแว่บวั่บอยู่รอบคออันขาวและที่หูหล่อน ที่บนมวยผมสีทองนั้นมีวงจันทร์เล็กฝังด้วยเพ็ชร์สีชมพู ซึ่งข้าพเจ้าจำได้ดีว่าเปนของของมารดาบังเกิดเกล้าของข้าพเจ้า. สิ่งที่แวววาวมากกว่าเพ็ชร์พลอยทั้งหลายที่หล่อนแต่งนั้นคือไนยตาของหลอน ดำขลับราวกับนิลและวาวราวกับดวงดาว สิ่งที่เลอียดอ่อนยิ่งกว่าเส้นใยซึ่งทอเปนเสื้อผ้า ผิวขาวประหนึ่งไข่มุกตรงคอหล่อนซึ่งปรากฏแก่จักษุ.

ตามธรรมเนียมของผู้หญิงอิตาเลียนแล้ว ไม่เปิดตรงทรวงอกให้คนแปลกหน้าดู เช่นกับธรรมเนียมหญิงอังกลิษหรือฝรั่งเศส เยอร์มัน ถ้าหญิงใดบังอาจแต่งตัวลดเสื้อลงมาโชว์จนถึงกึ่งทรวงแล้ว จะเข้าไปในการเต้นรำหลวงในวัง ปาลาสซา ควีรีนาล ไม่ได้เลยเปนอันขาด เขาถือกันว่าเปนหญิงในพวกที่เปนปัญหา ถึงจะเปนคนผู้ลากมากดีมีตระกูลสูงก็ผ่านประตูวังเข้าไปไม่ได้ ดังมีเรื่อง ๆ หนึ่ง ครั้งหนึ่งมีผู้มีตระกูลดีชาวอังกลิษผู้หนึ่งได้รับเกียร์ติยศไปในการเต้นรำหลวง แต่ท่านเลดีผู้นั้นไม่ซึมในธรรมเนียมของชาวอิตาเลียน จึงแต่งตัวเสื้ออย่างลดลงต่ำ ไม่มีแขนเสื้อมีแต่โยงบ่านิดหนึ่งเท่านั้น นายประตูไม่ยอมให้ผ่านเข้าวัง ได้พูดจาชี้แจงแล้วเท่าไร ๆ ก็ไม่ยอม ถ้าแหละกลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสียใหม่แล้วจึงจะไม่ขัดขวาง ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านเลดีคนนั้นได้รีบกลับไปเปลี่ยนตามคำแนะนำของนายประตู.

แสงแวววับของเงินทองเช่นนั้น แสงระยับของเพ็ชร์พลอยเช่นนั้น เสียงส่ายกระทบพื้นเช่นนั้น หอมน้ำหอมกลิ่นต่างๆ เช่นนั้น และสิ่งอื่น ๆ อีกในคืนวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้าวิงเวียนศีร์ษะรู้สึกว่ามันเผาสมองข้าพเจ้าเสมอกับเอาดวงใต้เข้าจอ เออ! จนตราบเท่าวันตาย คืนวันนั้นคงจะไม่ไปจากความจำข้าพเจ้า. ก็ถึงเมื่อตายแล้วใครจะบอกได้ว่าอ้ายคืนวันนั้นมันจะไม่กลายเปนอ้ายตัวแมงอะไรขลุกกลับมาเต้นเยาะข้าพเจ้าอีกได้. อ้อ ข้าพเจ้าจำได้ว่าอะไรทำให้สดุ้งตกใจตื่นจากฝันใน คือเสียงเบาและมีเสียงหัวเราะขัน ๆ ของภรรยาข้าพเจ้า.

“เธอต้องเต้นรำ เซซาเร” หล่อนพูด “เธอลืมหน้าที่ที่จะควรทำเสียแล้ว เธอต้องเปิดบอลกับดิฉัน.”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นอย่างตัวเปนเครื่องจักร์.

“เต้นเพลงอะไรกันจ๊ะ ?” ข้าพเจ้าถาม และฝืนยิ้มออกมา “ฉันเต้นไม่ดีนาหล่อนนาบอกเสียก่อน เปนคู่เต้นยุ่มย่ามเซ่อซ่าไม่รับประกันด้วย.”

หล่อนทำหน้านิ่วปากยื่น. “โอ คงไม่เปนเช่นนั้น เธอคงจะไม่ทำให้ดิฉันขายหน้า ? - ต้องอุส่าห์เต้นให้ดีสักครั้ง เต้นครั้งเดียวนี่เท่านี้แหละ ดิฉันจะไม่สบายใจเลยแม้เธอทำผิดจนแต่นิดหน่อย. ดนตรีจะทำเพลงควอดรีลล์เดี๋ยวนี้ ฉันไม่ชอบมันไม่ดี สั่งให้ทำเพลงวอลซ์ฮังกาเรียนแทน ดิฉันบอกเธอให้รู้ล่วงหน้าเสียก่อนว่า ถ้าเธอวอลซ์ไม่ดีแล้วเปนโกรธเกือบตายเทียว—ไม่มีอะไรน่าเกลียดและบาด ไนย์ตาเท่าเสียหละ.”

ข้าพเจ้ามิได้ตอบประการใด เอาแขนโอบรอบเอวหล่อนแล้วยืนคอยเสียงเพลงอยู่ หลบตามิให้ดูหล่อนได้มากเท่าไรเปนดี เพราะดูทีไรมันเพิ่มความลำบากที่จะหักใจไว้ได้ขึ้นทุกที ข้าพเจ้าอยู่ในระหว่างรักกับชัง ยากใช่น้อย. ถ้าแหละจะประกาศความชั่วของหล่อนออกในต่อหน้าทาระกำนัน ต่อหน้าเพื่อนฝูงอันมีตระกูลและยศศักดิ์ ให้หล่อนได้ความอาย แล้วก็ละทิ้งหล่อนไปเสีย ถึงหากข้าพเจ้ารู้ว่าจะพูดขึ้นต้นลงท้ายดีอย่างไร—จะเล่าพงษาวดารของข้าพเจ้าและของหล่อนให้คนทั้งหลายฟัง—เขาก็เห็นว่าข้าพเจ้าเปนบ้า และผู้หญิงเช่นอย่างนีนนานั้น ไม่มียางอายหมดหิริโอตะปะเสียแล้ว จะรู้สึกเจ็บ อะไรก็เปล่าทั้งสิ้น นิ่งเสียดีกว่า.

เสียงจังหวะเพลงวอลซ์ฮังกาเรียนขึ้นอย่างช้า ๆ ยั่วยวนให้ใจของผู้ประชุมเหิมอยากเต้น. ข้าพเจ้าเองนั้นเปนคนมีชื่อว่าเต้นรำวอลซ์คนหนึ่ง จังหวะก้าวได้กับนีนนาเหมาะเจาะและสนิทสนมดียิ่งนัก หล่อนก็รู้สึกว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แหงนหน้ามองด้วยอย่างประหลาดใจ เมื่อข้าพเจ้าเต้นพาหล่อนไปตามหน้าแขกของเราสองสามรอบห้อง.

แล้วผู้อื่นก็ตั้งต้นเต้นรำตาม ในสักสองนาฑีในห้องเต้นรำนั้น ดูประหนึ่งว่าเปนสวนอันเต็มด้วยดอกไม้บาน บริบูรณ์ด้วยสีสรรสด เหมือนสีในสายรุ้ง. หัวใจข้าพเจ้าเต้นแรง สมองของข้าพเจ้าโคลงเคลง ความรู้สึกของข้าพเจ้าหวิว ๆ เมื่อรู้สึกลมหายใจอันอุ่นของนีนนาต้องแก้ม แขนที่โอบเอวนั้นกระชับเข้ามือที่จับมือหล่อนนั้นบีบตึงขึ้นกว่าก่อน หล่อนรู้สึกความบีบนี้เหมือนกัน หล่อนเงยหน้าทำตาชม้อยริมฝีปากผายนิด ๆ เปนทียิ้ม.

“เธอรักดิฉันจนได้.” หล่อนกระซิบ.

“จ้ะถูก ๆ.” ข้าพเจ้าพูดจนไม่ทราบแน่ว่าพูดอะไร “ทำไมเมื่อก่อนนี้ฉันไม่ได้รักหล่อนดอกหรือ แม่ชื่นใจ ฉันไม่ควรเปนแก่หล่อนดังฉันได้เปนในคืนวันนี้.”

หัวเราะเปนคำตอบของหล่อน.

“ฉันทราบดีแล้ว” นินนาพึมอีก เมื่อขณะข้าพเจ้าเหวี่ยงตัวหล่อนไปมิให้ชนกับคนเต้นรำคู่อื่น “เธอแกล้งทำเฉยๆ เย็นๆ แต่ทว่าดิฉันทราบว่าดิฉันจะทำให้เธอรักจงได้—อ้า รักให้หนักให้หนาทีเดียว—ดิฉันก็คิดถูก” และด้วยความอวดดีหยิ่งเย่อพูดต่อไปว่า “ดิฉันเชื่อแน่ว่าเธออาจจะตายเพราะดิฉันได้ดี.”

ข้าพเจ้าก้มลงไปจนชิด จนถึงกับลมหายใจอันร้อนเร็วเป่าผมสีทองของหล่อนไหวเผยิบ ๆ.

“ฉันได้ตายเพราะหล่อนแล้ว” ข้าพเจ้าว่า “ได้ฆ่าตัวเก่าของฉันโดยความที่เห็นแก่หล่อน.”

เท้าก็เต้นรำไปพลาง ปากก็พูดกันพลาง แขนโอบรอบเอวพาแล่นวนเวียนไปในฝูงชน หล่อนถอนใจใหญ่หลายชั้น แล้วชอ้อนถามว่า “โปรดบอกหน่อยเถอะว่าเธอหมายความว่าอย่างไร ดิฉันตื้นนัก.”

คุณพระช่วย. เสียงชอ้อนแบบนี้ข้าพเจ้าได้รับมาเสียนักต่อนัก เคยทำให้เรี่ยวแรงลดหย่อนไปเนืองๆ เสียงพรรณนี้กินลึก เสียงหวานวิงวอนแต่ทว่ามีบังคับอยู่ในนั้นด้วย ข้าพเจ้าเคยเสียมากแล้ว เพราะฉนั้นยาพิษถึงจะเกลือกน้ำตาลให้หนาสักกี่มากน้อยก็ยังไม่รับประทานแล้วเวลานี้.

“ฉันหมายความว่าหล่อนเปลี่ยนตัวฉันได้ แม่ยอดรัก.” ข้าพเจ้ากระซิบพูดด้วยน้ำเสียงมีดุๆ “ฉันดูเหมือนชราแล้ว—เพราะหล่อน คืนวันนี้ฉันกลายเปนหนุ่มอีก.—เพราะหล่อนโลหิตอันเย็นและช้าจะกลับร้อนและเร็วดังน้ำหินที่ไหลมาจากปล่องภูเขาไฟ—เพราะหล่อนสิ่งที่สงบเงียบอยู่นานแล้วจะชื่นขึ้นมาใหม่—เพราะหล่อนฉันจะเปนชู้รัก อย่างที่ไม่มีผู้หญิงคนใดได้เคยมี หรือจะเคยมีอีก.”

หล่อนได้ยินและกระเซาะเข้ามาชิดในเต้นรำ ถ้อยคำที่กล่าวนั้นเปนสิ่งที่พอใจหล่อน.

เพลงดนตรีนั้นค่อยช้าลง ๆ แล้วก็ทำเพลงลูกหมดข้าพเจ้าก็พาภรรยาไปนั่งที่เก้าอี้ และมอบให้แก่เจ้าองค์หนึ่งผู้จะเปนคู่เต้นรำกับหล่อนในเพลงหน้า. ครั้นแล้วก็หลีกออกจากห้องเต้นรำจะมาถามถึงวินเช็นโซ ได้ความว่าไปเสียแล้ว คนใช้ในโฮเต็ลเพื่อนของเขาไปส่งขึ้นรถไฟไปเมืองอาเวลลีโน และเมื่อจะไปนั้นได้ย่องเข้ามาที่ห้องเต้นรำ เห็นข้าพเจ้ายืนขึ้นจะเต้นกับภรรยา “น้ำตาล่อหน่วย”—ตามคำคนที่ไปส่งกลับมาเล่าให้ฟัง—แล้วก็ไปโดยไม่อาจจะล่ำลาได้.

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าดังนั้นข้าพเจ้าก็มิได้แสดงกิริยาแปลกอย่างไรให้ปรากฎ แต่ในใจนั้นรู้สึกว่างว้าเหว่เอกา. มีคนใช้อันซื่อสัตย์อยู่ด้วยเหมือนกับมีเพื่อนอยู่ด้วยคนหนึ่ง เพราะว่าวินเชนโซเปนเพื่อนตามชั้นตามตระกูลของเขา มาบัดนี้ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว คนเดียวแท้ๆ ไม่มีอะไรจะเปรียบได้—อยู่ทำการโดยลำพัง ไม่มีสิ่งใดที่จะทัดทานหรือช่วยเหลือ. มีอยู่แต่เพียงตัวข้าพเจ้าเองกับหล่อนกับพระเจ้า—สามคนเท่านี้ที่ข้าพเจ้าถือว่ามีอยู่ในโลก ความยุติธรรมจะต้องสำเร็จด้วยสามคนนี้.

เดินกลับมาสู่ห้องเต้นรำด้วยความเศร้าสลดใจ เจอะหญิงสาวพึ่งรุ่นที่ตรงประตู—เปนบุตรสาวของคนโตในเมืองเนเปิลซ์คนหนึ่ง แต่งตัวขาวล้วนตามจารีตของหญิงสาวทั้งหลาย. หล่อนพูดแก่ข้าพเจ้าด้วยเสียงออกกระดากๆอายๆแต่ตรงๆอย่างเด็ก.

“สนุกมากเข้อะ. ดิฉันรู้สึกราวกับอยู่เมืองสวรรค์. ท่านทราบไหมเคอะว่านี่เปนบอลครั้งที่หนึ่งของดิฉัน ?”

ข้าพเจ้ายิ้ม “อ้ออย่างนั้นหรือจ๊ะ? เห็นจะสนุกสำราญมาก?”

“โอ๊ย ท่านเจ้าขา สนุกสำราญนั้นเปนคำที่ใช้ยังไม่ถูกมันเกินยิ่งกว่านั้น ไม่ทราบว่าจะใช้คำว่ากระไร! แม้ดิฉันอยากให้เปนอย่างนี้ชั่วนาตาปี! อ้า-เง่อ-แปลกไหมล่าค้ะ ?—อ้า—ดิฉันพึ่งจะทราบคืนวันนี้เองว่าตัวดิฉันหน้ะสวย.”

แม่สาวคนนั้นพูดอย่างตรงๆ ง่าย ๆ และยิ้มแย้มด้วยความปลื้มใจ. ข้าพเจ้าจ้องมองดูหน้า.

“อา-ฮา! มีคนเขาบอกลาซีน่า”

หล่อนอายหน้าแดงและหัวเราะ “เข้อ! เจ้ามายาโนคนมีเกียรติยศสูงอย่างท่านคงไม่พูดสิ่งที่ไม่จริง ฉนั้นตัวดิฉันต้องนับว่าเปนคนสวยคนหนึ่งได้ตามรับสั่ง เปนจริงไหมค้ะ ?”

ข้าพเจ้าเอามือชี้ช่อดอกไม้สะโนดรอปที่เหน็บอยู่ที่เสื้อแล้วพูดว่า “แม่เอ๋ย จงมองดูดอกไม้ที่เหน็บอยู่นั้น ดูซีตั้งต้นจะเที่ยวลงด้วยความอากาศร้อน อนิจจา! อนิจจา! ดอกไม้นั้นจะรู้สึกยินดีเท่าไร ถ้ายังงอกอยู่ ณ ที่เย็น ๆ ในป่าในกลางตะไคร่น้ำ แกว่งไกวดอกไปมา ตามลมที่ชวยชายไปกระทบ! ดอกไม้นั้นจะสดชื่นคืนขึ้นได้อย่างเดิมหรือไม่ ขอให้แม่คิดเพราะคำของเจ้ามายาโนชมว่าดอกไม้นั้นงาม ? ฉันใดก็ดี แม่หนูน้อยเอย ชีวิตและหัวใจของแม่ ซึ่งกระทบไฟแห่งความยกยอชมสรรเสริญ ความบริสุทธิจะเหี่ยวลงไปอย่างเดียวกับดอกไม้ที่เหน็บอยู่นั้น. ว่าส่วนสวย-สวยสู้แม่คนนั้นได้หรือ ?” ข้าพเจ้าชี้มือไปตรงภรรยาข้าพเจ้า ผู้กำลังคำนับแก่คู่เต้นในเพลงควอดรีลล์.

แม่สาวน้อยนั้นมองดูตามนิ้ว หน้าสลดตาหมองลงด้วยความอิจฉาเกิด “สู้ไม่ได้หร็อกเข้อ. แต่ถ้าแต่งตัวด้วยลูกไม้ด้วยแพรต่วน ด้วยไข่มุก และมีเพ็ชร์มาก ๆ อย่างนั้น บางทีก็เกือบจะสู้ได้.”

“ขอจงอย่าได้เปนอย่างเขาเลย. แม่หนูยังสาว,—ยังไม่ละทิ้งการสาสนาดอก ไปถึงบ้านคืนวันนี้ จงรีบไปคุกเข่าลงข้างที่นอนน้ะ แม่หนูน้ะ สวดต่อหน้าไม้กางเขน แล้วอ้อนวอนขอพรต่อมารดา อ้อนวอนสวดมนต์ภาวนาอธิฐานตรวจน้ำ ให้ไกลร้อยโยชน์แสนโยชน์ อย่าให้เหมือนแม่คนโน้นได้แต่จงสักนิดเดียว.”

ข้าพเจ้าหยุดเพราะว่าเห็นตาสาวน้อยนั้นตื่นบอกว่าประหลาดใจและกลัว จึงหัวเราะและมองดูหน้า.

“ฉันลืมไป ลืมไปจริงๆ” ข้าพเจ้าพูด “เลดีคนนั้นภรรยาฉันเอง ฉันควรจะคิดเสียก่อน! ที่พูดเมื่อกี้นี้หน้ะ—พูดถึงคนอีกคนหนึ่งต่างหาก แม่หนูไม่รู้จักดอกคนนั้น ขอโทษที! ยังนี้แหละ เหนื่อยหนักลาก้อความจำมันเขวไปอย่างนี้ อย่าเอาเปนนิยมนิยายด้วยถ้อยคำที่กล่าวนั้นเลย. จงเพลิดเพลินให้เต็มที่เถิด แม่หนูจ๋า ขออย่างเดียว แต่อย่าเชื่อถ้อยคำอันไพเราะของเจ้ามายาโนนัก. ไปที!”

พูดดังนั้นแล้วก็ทำหัวเราะ หัวเราะอย่างที่เค้นออกมาแห้งอย่างนั้น แล้วก็เดินปนไปกับแขกทั้งปวง สนทนากับคนนี้นิดเรื่อยไปสนทนากับคนโน้นหน่อย เล่นตลกกับคนนั้น แต่พยักหน้ายิ้มกับคนหนึ่ง พวกผู้หญิงโดยมากชอบยอ ข้าพเจ้าก็ไม่ขัด ธรรมชาติยอพวกผู้หญิงเรื่อย ถึงเขาจะพูดอะไรมาไม่ขันสักนิด ข้าพเจ้าเสหัวเราะเสียมงอไปงอมา พูดอะไรมาเปนไม่มีขัดคอกัน เออด้วยค้ะด้วยจริงด้วยไปตามเพลง เมื่อเดินไปในหมู่ชนนั้น ไปเจอะ ลูเซียโน ซัลลัสตรี จินตะกระวีเข้า เขายิ้มรับรองข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าเอาอย่างทำตอบ.

“ฉันมีเวลาที่แสดงยินดีให้ศีลพรท่านน้อยนัก ท่านคอนเต้” พูดด้วยสำเนียงออกเปนดนตรี ๆ “แต่ขอให้ท่านพึงทราบเถิดว่า ฉันแสดงโดยหมดจิตรใจ. ถึงผู้หญิงต่างๆ ที่ฉันฝันประพันธุขึ้นในเรื่องหนังสือก็ยังไม่งามเท่าเลดีที่เปนเคานเตสโอลิวาสักคนเดียว.”

ข้าพเจ้าก้มศีร์ษะขอบใจนิ่งอยู่,

“ฉันเปนคนพิลึกอย่างไรไม่ทราบ” ท่าน เขาพูดต่อไป “ความงามหรูหราซู่ซ่าในคืนวันนี้ทำให้ใจฉันเศร้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงเปนอย่างนั้น ดูมันหรูมันซู่ซ่าโครมครามเกินต้องการ. ไม่ได้การ กลับบ้าน ต้องเขียนโคลงกล่าวถึงเรื่องวันนี้สักหน่อย.”

“กลับไปลาเขียนซี แล้วขอมีเกียรติยศอ่านต้นฉบับบ้างน้ะท่าน. อา ท่านไม่ใช่คนแรกที่จะนึกถึงศุขคู่กับทุกข์เพลินคู่กับเศร้าแต่งงานคู่กับการศพ.”

“ฉันหวนนึกถึงเรื่องเก่าหนสองหนวันนี้!” ซัลลัสตรีพูดเบา ๆ “นึกถึงเฟอร์รารีที่หลงผิด. สมเพชที่มาเกิดเทลาะขึ้นเปนปากเปนเสียงกับท่านจนจอด.”

“แม้น่าสมเพชจริง!” ข้าพเจ้าตอบ แล้วก็เอาแขนสอดแขนซัลลัสตรี จูงหันมาให้ตรงหน้าภรรยาข้าพเจ้า ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก “จงมองดู - ดู - นางฟ้าที่ฉันได้แต่งงานด้วย! หล่อนไม่สวยพอที่จะให้ก่อสาเหตุถึงแก่ตายกันได้หรือ ? อ้ายหลับตาจริงๆ ลูเซียโน!—ทำไมถึงคิดถึงเฟอร์รารี ? เฟอร์รารีมิใช่ชายคนแรกที่ได้ตายเพราะหล่อน หรือจะเปนคนที่สุด ?”

ซัลลัสตรียกไหล่และนิ่งอยู่สักสองสามนาฑี. แล้วพูดด้วยยิ้มแย้มแจ่มใส. “ถึงยังนั้นก็เถอะ เพื่อนเอ๋ย ถ้าลงเอยกันด้วยกินกาแฟข้างหนึ่งกินเหล้าสามดาวข้างหนึ่ง หรือกินเมล็ดขนมปังทั้งสองข้างจะดีกว่า นี่อะไร—. ถ้าเปนตัวฉัน ฉันหายิงสัตรูด้วยลูกปืนตะกั่วให้เสียตะกั่วไม่ จะยิงด้วยคำฉันท์ทีเดียวแหละ!”

ต่างคนก็หัวเราะ. ข้าพเจ้าก็ผละออกจากซัลลัสตรี ทำท่ารื่นเริงไปเข้าหมู่กับพวกอื่นอีกต่อไป เต้นรำอีกบ้างนั่งคุยยืนคุยบ้างเรื่อยไปตามลักษณะเปนเจ้าของงาน. สัปเป้อร์จะเลี้ยงกันต่อเที่ยงคืน. ข้าพเจ้าชักนาฬิกาออกดูเวลาได้อีกสิบห้านาฑีจะห้าทุ่ม! หัวใจข้าพเจ้าเต้นเร็ว โลหิตแล่นขึ้นตรงทางเส้นขมอง จนดังอื้อในแก้วหูราวกับเสียงรถไฟเมื่อเข้าถ้ำ... ชั่วโมงที่ข้าพเจ้าตั้งตาตั้งใจคอยเปนนมเปนนาน ด้วยความร้อนรนมาถึงแล้ว! เท่านั้นเอง! เท่านั้นเอง!

◌ ◌ ◌ ◌ ◌ ◌ ◌ ◌ ◌ ◌

ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ภรรยาข้าพเจ้า หล่อนเต้นรำเหนื่อย หยุดพักนั่งบนเก้าอี้กำมหยี่คุยสนุกสนานอยู่กับเจ้ามายาโน ผู้นำคำเยินยอเคลือบน้ำตาลได้ทำให้เด็กหญิงสาวใจเหลิงอยู่. ข้าพเจ้าขอโทษในการที่ไปขัดต่อความสนทนาเช่นนั้น แผ่วเสียงลงให้เบาเมื่อพูดแก่หล่อนเพื่อมิให้ใครได้ยิน.

“แม่ยอดที่รัก! ขอเตือนว่าอย่าลืมที่เราได้สัญญากันไว้.”

“ดิฉันไม่ลืมดอกเข้อะ! บอกซีเคอะเมื่อไร—และอย่างไร?”

“เดี๋ยวนี้แหละ. จำทางเข้ามาโฮเต็ลทางข้างหลังเมื่อขากลับมาจากโบสถ์ด้วยกันเมื่อเช้านี้ได้หรือไม่เล่าจ๊ะ ?”

“ได้ข้ะ.”

“ถ้าอย่างนั้นไปพบฉันที่นั่นในยี่สิบนาฑี. ออกไปต้องไม่ให้ใครเขาเห็น. แต่” ข้าพเจ้าเอามือจับเสื้อผ้าบางที่หล่อนแต่ง “หล่อนต้องแต่งอะไรให้อุ่นกว่านี้.”

“เสื้อคลุมหนาวตัวขาวเห็นจะใช้ได้” หล่อนตอบ “ไม่ไปไกลไม่ใช่หรือเค้อะ ?”

“เปล่า ไม่ไกลดอกจ้ะ.”

“เชื่อว่ากลับทันเวลาสัปเป้อร์ ?”

ข้าพเจ้าก้มศีร์ษะ “แน่เทียวหล่อน !”

ไนยตาของหล่อนชม้อยชม้าย. “เรี่ยมไม่น้อย. เดินไปในแสงจันทร์กับเธอเปนสิ่งอันปลื้มใจยิ่ง. ใครจะนึกบ้างว่าเจ้าบ่าวอย่างเธอนี่ไม่เก่ง แม้—เดือนหงายสว่างดีหรือเค้อะเธอ ?”

“เชื่อว่าอย่างนั้น.”

“เข้อ! ในยี่สิบนาฑีดิฉันไปพบ ณ ที่ที่นัด เซซาเร ในขณะนี้มาควิส กวัลโดร จะเต้นรำลานเซอร์กับดิฉัน ไม่ลืมเข้อ พูดกันหนเดียวเปนแล้ว ไม่ใช่เด็กอมมือจะได้ลืมในชั่วขณะประเดี๋ยวเดียว.”

ว่าดังนั้นแล้วหล่อนก็หันหน้ากลับไปทำกิริยาแช่มชื่นแก่มาควิส ผู้ในทันใดนั้นเข้ามากระทำคำนับอย่างเสงี่ยมและยิ้มแย้ม และข้าพเจ้ายืนดูเขาเดินไปด้วยกันจนถึงวงที่จะเต้นรำลานเซอร์ ซึ่งพวกผู้หญิงชอบเปนที่สองรองวอลซ์.

ความแช่งด่าจะแล่นขึ้นมาสู่ริมฝีปากเสียให้จงได้ อุส่าห์ข่มขืนกลืนไว้ รีบวิ่งขึ้นไปยังห้องข้าพเจ้า จัดการปลิดสิ่งซึ่งทำให้ข้าพเจ้าแปลกจากแต่เมื่อก่อนนั้นเสีย ในสองสามนาฑีไปยืนดูตัวตรงกระจกเงาบานใหญ่ จำแลงรูปเปนอย่างรูปเดิมให้ใกล้ที่สุดที่จะจำแลงได้ เปลี่ยนไม่ได้อย่างเดียวแต่ผมที่ขาวเปนดอกฝ้าย เคราและหนวดแพะนั้นสงเคราะห์เสียด้วยมีดโกนสองสามแกรกก็พินาศไป เหลืออยู่แต่หนวดดัดโค้งขึ้นที่ริมปากอย่างเดียวกับข้าพเจ้าเคยดัดเมื่อสมัยก่อนโน้น แว่นตาดำก็โยนเสียด้วย ไนยตาคมวาวและแข็งแรงบอกว่ายังหนุ่มแน่น ยืดตัวขึ้นตรงเต็มที่ เตบ็งกล้ำเนื้อและกำหมัดดู รู้สึกว่ามีอำนาจแร็งอย่างคนหนุ่ม คิดขึ้นมาถึงคำอีตาเถ้าขายผ้าขี้ริ้วแก่ว่า “อย่างนี้ลาก้อทุบใครปับเดียวเปนไม่คืนรัง” ดูก็จริงของแก!... ไม่ต้องใช้กริสก็ได้ (เมื่อพูดนั้นข้าพเจ้าหยิบกริสออกมาจากสิ้นชัก ถอดฝักออกลูบคมดู) เออกริสนี้จะเอาไปด้วยดีหรือยังไร ? อ๊ะ เอาไปด้วยก็ดีเผื่อต้องการใช้ นึกดังนั้นแล้วก็เอาเหน็บส้อนไปในเสื้อชั้นใน

คราวนี้ถึงพยาน-พยาน! มีอยู่พร้อมแล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบรวบรวมกันเข้าด้วยกัน ที่หนึ่งคือของที่ได้ฝังกับข้าพเจ้า—สายสร้อยทองมีล้อกเก็ตห้อยใน ในล้อกเก็ตมีรูปภรรยากับบุตรสาวแล้วถุงเงินแล้วซองก๊าดที่แม่นีนนาได้ให้ข้าพเจ้าเอง ไม้กางเขนที่บาดหลวงได้วางบนหน้าอกข้าพเจ้าในโลงศพ การที่นึกถึงโลงศพทำให้ข้าพเจ้ายิ้มคนเดียว—โลงที่แตกเปียก และราขึ้นจะต้องพูดส่วนตัวเองในประเดี๋ยวนี้ ในที่สุดข้าพเจ้าเอาหนังสือซึ่งมาคีส์ คาวองคูต์ ได้ได้ในกระเป๋าเสื้อแนบอกเฟอร์รารีเมื่อตาย และส่งมาให้ข้าพเจ้าทั้งมัด—หนังสืออย่างเพราะอย่างหวานอย่างชื่นใจ ซึ่งหล่อนได้เขียนไปถึง กีโด เฟอร์รารี ณ กรุงโรม

หมดหรือยัง? เที่ยวค้นทั่วทั้งสองห้อง ทุกมุมทุกซอก สิ่งใดที่เห็นว่าจะเปนหนทางนำให้สืบถึงตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำลายลงเสียหมด—ไม่มีอะไรเหลือนอกจากเครื่องประดับประดาห้องและของกระจุ๋งกระจิ๋ง—ราคาเล็กน้อย แต่คิดไปก็เปนกำนัลแก่เจ้าของโฮเต็ลพออยู่.

มองในกระจกอีกครั้งหนึ่ง เออ ตัวของตัวเปนฟาบีโอ โรมานี อีกครั้ง เสียแต่ว่าผมขาวไป- ผู้ใดเคยรู้จักข้าพเจ้าดีแล้วจะไม่สงไสยว่าเปนผู้อื่นเลย ถอดเสื้ออิบวนิงเดร๊ส สรวมเสื้อสักหลาดอย่างแต่งกลางวัน ๆ แล้วสรวมเสื้อโคล้กยาวคลุกชั้นนอกตั้งแต่ศีร์ษะตลอดถึงเท้าคลุมตลบขึ้นมาปิดปากและคาง สรวมหมวกสักหลาดอ่อนครุ่มริมลงมาปิดตา แต่งตัวอย่างนี้เปนของไม่แปลกจากธรรมดาเลย พวกชาวเมืองเนเปิลซ์ที่กลัวลมหนาวซึ่งพัดโกรกลงมาจากยอดเขาแอลปส์ในต้นระดูสะปริงแต่งกันอย่างนี้ชุม และแต่งฉนี้นั้นข้าพเจ้ารู้ว่าหล่อนคงจะไม่เห็นหน้าข้าพเจ้าได้ อีกประการหนึ่งที่ที่เรานัดเจอะกันนั้น เปนที่ขมุกขมัวมีตะเกียงน้ำมันจุดอยู่แต่ดวงเดียว ด้วยทางนั้นเปนทางเข้าสวนและใช้เฉภาะเปนทางไปรเวต มิใช่ทางธรรมดาที่จะเข้าหรือออกจากโฮเต็ลเลย.

ข้าพเจ้ารีบเดินสาวเท้าไปอย่างรีบร้อน มองดูทางที่ที่นัดไว้ยังไม่เห็นใครหรือหล่อนอยู่ที่นั่น ยืนคอย ๆ—นาฑีดูนานราวกับชั่วโมง เพลงในห้องเต้นรำส่งเสียงลอดลงมาได้ยินถนัด—เสียงเพลงเปนเพลงเวียนนี้สวอลซ์ ดูเหมือนได้ยินจนชั้นฝีเท้าพวกเต้นรำ จะได้ยินจริงหรือเปนเพราะอุปาทานนึกว่าได้ยินก็ได้ยินก็ไม่ทราบ ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่นั้นไม่มีใครเห็นได้เปนแน่—พวกบ๋อยก็ไปช่วยกันเดินกูลีกูจอจัดสับเป้อร์ใหญ่สำหรับการแต่งงาน และพวกที่เหลือพวกนั้นก็ไปยืนชะแง้ดูเต้นรำหมด.

จะไม่มาเสียหละกระมัง ? หรือบางทีหล่อนจะรู้เท่าทันหนีเอาตัวรอดพ้นก็ไม่รู้! ตัวสั่นด้วยความคิดอันนี้ แล้วสกดใจนึกยิ้มความที่คิดเปนบ้าไปฉนั้น เห็นจะไม่เปนเช่นนั้น การที่จะทำโทษก็เปนการยุติธรรมอยู่แล้ว ตัวอกุศลคงจะไม่เข้าด้วยเปนแน่ คิดเองรู้สึกเอง เดินทวนไปเดินมาเปนชมด หัวใจเต้นกี่ครั้งกี่ครั้งนับได้ ได้ยินเต้นกระทบโครงดังปั้บๆ เออ ดูช่างนานเสียนี่กระไร! หล่อนจะไม่มา เสียหละกระมังนี่ ? อา! สิ้นเคราะห์ไปเถอะ! ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสร่ายและฝีเท้าเบา ๆ มาแล้ว—กลิ่นหอมฟุ้งมาในอากาศ เหมือนดังได้กลิ่นพิกุลเมื่ออยู่ใต้ต้น เหลียวไปดูเห็นหล่อนเข้ามาใกล้แล้วหล่อนวิ่งผวามาหาข้าพเจ้าเร็ว จนเสื้อคลุมซึ่งทำด้วยขนสัตว์รัสเซียนอย่างดีปลิวไปอยู่ข้างหลัง เผยให้เห็นเสื้อชั้นในอันงามหรูหรายิ่งดังได้พรรณามาแล้ว ยิ้มและทำอาการอย่างแสนงอนค้อนคมพูดว่า.

“ดิฉันทำให้เธอคอยอยู่นานเคอะ คาโร มีโอ! รับประทานโทษ เสียใจมากที่มาช้าไปหน่อย แต่วอลซ์เพลงชุดนี้ยั่วยวนชวนให้เต้นแท้ ๆ ดิฉันอดไม่ได้เลยเต้นอีกหน่อยจึงได้มาช้าไป อุ้ย อยากให้เธออยู่ในเวลานั้นจะได้เต้นด้วยกัน.”

“แต่เพียงอยากจะเต้นเท่านั้น ก็เปนเกียรติยศอันใหญ่ยิ่งแก่ตัวฉันเสียแล้ว” ข้าพเจ้าพูด และเอาแขนโอบรอบเอวแล้วนำมาทางประตูออกสวน “เออ บอกฉันที นี่หล่อนจัดการอย่างไรจึงออกมาจากห้องเต้นรำได้ ?”

“ไม่เห็นยากอะไรเลย พอเต้นรำจบแล้วดิฉันก็แล่นออกจากคู่เต้นบอกเขาว่าประเดี๋ยวกลับ แล้วก็วิ่งขึ้นไปห้อง หยิบเอาเสื้อคลุมตัวนี้สรวมแล้วก็—อยู่นี่ยังไงหละ.” ว่าแล้วหล่อนก็หัวเราะ ดูเหมือนจะมีศุขสบายอิ่มอกอิ่มใจเต็มที่.

“ขอบใจมากที่หล่อนได้มาอย่างนัดแม่งามเลิศ” ข้าพเจ้าพูดอ่อยอย่างสภาพ “เมื่อมานั้นเจอะสาวใช้ของหล่อนหรือเปล่า ? มันรู้ไหมว่าหล่อนจะไปไหน ?”

“สาวใช้? โอย ไม่ได้อยู่ในห้องสักนิด เจ้าชู้หยอกใครเมื่อไร เธอเห็นจะไม่ทราบ อาจทายได้ว่าป่านนี้ไปประหลอจ่อแจอยู่กับเจ้าพวกบ่อยในครัวแล้ว เขาก็สนุกตามภาษาของเขา.”

ข้าพเจ้าหายใจสบาย ไม่มีใครเห็นเราเลย ไม่มีผู้ใดมีระแคะระคายในความมุ่งหมายของข้าพเจ้าเลยสักนิดเดียว ค่อย ๆ เปิดประตูมิให้มีเสียงแล้วก็ไปข้างนอกด้วยกัน ช่วยภรรยาข้าพเจ้าเอาเสื้อคลุมคลุมตัวมิดชิดแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินนำตัดข้ามสวนไปเร็ว เดินไปไม่เจอะผู้คนสักคนเดียว พอถึงประตูใหญ่ชั้นนอกก็ให้นีนนายืนคอยอยู่ ข้าพเจ้าไปตามรถเช่าได้คันหนึ่ง ซึ่งทำให้หล่อนมีความประหลาดใจมาก.

“ดิฉันคิดว่าเราจะไม่ไปไกลถึงไหน ?” หล่อนพูด.

ข้าพเจ้าจึงบอกแกหล่อนว่าไปไม่สู้ไกลออก แต่เกรงว่าจะเมื่อย จึงได้เรียกรถมาให้ ภรรยาข้าพเจ้าพอใจในคำอธิบายนี้ ช่วยพยุงแม่เจ้าประคุณขึ้นรถแล้ว ตัวข้าพเจ้าก็ขึ้นนั่งเคียง บอกคนรถให้ขับไปยัง “ลา วิลลา กัวดา” พอขาดคำรถก็ลั่นโครม ๆ ไปบนถนนหินอันปราบไม่เสมอนั้น.

“ลา วิลลา กัวดา!” นีนนาร้อง “มันอยู่ถึงไหนกัน ?”

ข้าพเจ้าตอบว่า “เปนบ้านเก่า อยู่ข้างที่ที่ได้บอกแก่หล่อนแล้วว่าเพ็ชร์พลอยอยู่ที่นั่น”

พอใจ ชบศีร์ษะพิงทับไหล่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเหนี่ยวตัวเข้ามาให้ใกล้อีก และหัวใจข้าพเจ้าเต้นด้วยความยินดีอันร้ายกาจ.

“จะเปนของใครเสีย—เปนของฉันเอง!” พูดกระซิบที่หูหล่อน “ของฉันตลอดกัลป์!”

หล่อนแหงนหน้าขึ้นและยิ้มอย่างว่าเปนต่อ ริมฝีปากเย็นของหล่อนได้กระทบริมฝีปากอันร้อนแห้งผากของข้าพเจ้า ถ้าเปนนรินทร์อินตรงนี้คงจะคิดโคลงกล่าวว่า:

“เอนโอษฐแอบโอษฐโอ้ อุ่นอก อรเอย”

แต่นี่เปนข้าพเจ้าจึงนิ่งอยู่ เออ ข้าพเจ้าได้จูบหล่อน—ไม่เห็นจะต้องห้ามอะไร เมื่อหล่อนชอบคลอเคลีย ก็ยอมตามใจหล่อน—ยอมให้หล่อนคิดว่าหล่อนชะนะเต็มประตูด้วยรูปรศกลิ่นเสียงของหล่อน เมื่อขับรถไปตามทางอันสว่างหลัว ๆ นั้น มีโอกาศได้เห็นหน้าครั้งไร อดนึกไม่ได้ว่าความเห็นตัวดีไม่มีใครเท่าของผู้หญิงนี่อย่างนี้เองหนา! รู้สึกพอใจตนเองเต็มที่ยินดีด้วยตนของตนเอง ยินดีด้วยเครื่องแต่งตัว ยินดีด้วยมีไชยชำนะ ไม่มีใครสามารถที่จะวัดได้ว่าความเหิมใจของหล่อนมีดีกรีสูงเท่าไร ไม่มีใครจะหยั่งได้ว่าความเห็นแก่ตนเองของหล่อนลึกสักเพียงใด!

เมื่อพวกผู้หญิงด้วยกันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวย มีเงินทองมั่งคั่ง แต่งเนื้อแต่งตัวเรี่ยมมาก พวกผู้หญิงจะไม่มีความอิจฉาตาร้อนบ้างหรือ ? อา! เชื่อแท้ว่ามี คงไม่นอกหน้าก็ในหน้าอะไรอย่างหนึ่ง สิ่งที่ผู้หญิงนับถือบูชามากก็คือแฟชั่นและความเก๋ ถ้าใครเข้าใกล้องค์แฟชั่นองค์เก๋ไปได้เท่าไร ยินดีเท่ากับใกล้องค์ปรนิพานเท่านั้น ถึงเหนื่อยยากลำบากลำบนอย่างไรก็ไม่ว่า ให้ได้บ่ายหน้าสู่เปนแล้วกัน ถึงในจำพวกคนที่เรียกว่าเปนเพื่อนกันก็ดี ถ้าตัวยังอยู่ไกลจากองค์แฟชั่นกว่าแล้ว คงไม่โกรธแค้นอิจฉาเพื่อนก็คงโกรธแค้นตัวของตัว หรือโกรธดาวที่ประจำตัวเปนแท้.

ข้าพเจ้ารู้สึกดีทีเดียวว่าไม่มีวิญญาณสักดวงหนึ่งในเมืองเนเปิลซ์ที่ชอบภรรยาข้าพเจ้าแท้ๆ—ไม่มีใครคิดถึง ชั้นที่สุดจนสาวใช้ของหล่อนก็คงไม่คิดถึงนาย—ถึงโดยตัวหล่อนเองโดยความเมาตัวเห็นเปนว่าคนเขาบูชานับถือหล่อนหมดทั้งเมือง—คนที่เขาไม่รักจริง หล่อนเห็นเปนรัก ส่วนคนที่รักจริง หล่อนละทิ้งเพิกเฉยล่อลวง โท่! เห็นกงจักรเปนดอกบัวก็ได้. ข้าพเจ้าคอยมองดูหน้าหล่อนบ่อยๆ เมื่อ หล่อนเอนพิงรถ และวงแขนข้าพเจ้าโอบอยู่รอบตัว ประเดี๋ยว ๆ ภรรยาช้าพเจ้าหายใจแรงหายใจอย่างชนิดที่ปลื้มใจเต็มที่แต่ไม่ได้พูดกันกี่คำนัก ความชังไม่ใคร่ช่างพูดเหมือนความรัก.

ในคืนวันนั้นลมพัดจัด แต่ทว่าฝนไม่ตก ลมยิ่งจัดขึ้นทุกทีๆ ดวงจันทร์อันขาวเปนเงินยวงแล่นผลุดแล่นโผล่เข้าในก้อนเมฆสีขาวๆ เทาๆ ไม่ใคร่มีเวลาที่จะส่องแสงได้เต็มตามที่ควรจะเปน ขมุกขมัว ประเดี๋ยวส่องแสงราวกับดวงไต้ที่มีคนชูเดินไปในป่า. ประเดี๋ยว ๆ ได้ยินเสียงเพลง เสียงแตร เสียงแมนโดลีน ลอดมาจากที่ประชุมชนในเมืองถึงหูแห่งเรา แต่ไม่ช้าเราก็ไปไกลพ้นกำลังเสียงเหล่านั้นจะตามมาถึงได้.

เราออกพ้นเขตร์เมืองเข้าถนนบ้านนอก และคนรถขับม้าวิ่งเร็ว ที่ขับเร็วฉนั้นใช่จะรู้ว่าเราจะอะไรๆ ก็เปล่า รีบขับไปแล้วจะได้รีบขับกลับมารับผู้อื่นซึ่งยังสนุกสนานกันอยู่ในที่ประชุมชนอีก. ภายหลังเขายอบตัวลงมองเอามือป้องหน้า ข้าพเจ้าทำเอาอย่างก็เห็นหลังคาบ้านวิลลาที่ออกชื่อมาแล้วอยู่รำไรๆ ในท่ำกลางหมู่ไม้ ครั้นเข้าใกล้อีกหน่อยเขาก็ชักม้าหยุด กระโดดลงจากที่นั่งเดินเข้ามาข้างรถ.

“ขับไปจนถึงบ้านนั่นเทียวหรือขอรับ ?” คนรถถาม.

“ไม่ต้องถึงหรอก” ข้าพเจ้าตอบ “ไม่ต้องก็ได้. ใกล้แล้วเราจะเดินกันไปเอง.”

ว่าดังนั้นแล้วก็ลงจากรถควักเงินค่าจ้างให้อย่างพอใจ ไม่ต้องให้ร้องขอแถมนิดแถมหน่อยอีก.”

“ดูกระไรอยากรีบกลับเข้าในเมืองนักหรือแก” ข้าพเจ้าพูดเล่นหน่อย ๆ แก่คนรถ

“แน่ลาซีขอรับ!” คนรถตอบ “ผมจะรีบไปรับพวกที่มาเต้นรำในการแต่งงานของเคานต์โอลิวา.”

“เออ ตาเคานต์นั่นแกมั่งมีพิลึก” ข้าพเจ้าพูดพลางประคองภรรยาข้าพเจ้าลงจากรถ และจัดเสื้อคลุมคลุมให้เรียบร้อยพลางเพื่อจะมิให้คนขับรถเห็นเสื้อหรูหราวาวรับของหล่อน “กันอยากเปนตาเคานต์คนนั้นแท้ จ่ายเงินเล่นให้สนุกเจียว !”

คนขับรถยิ้มและพยักหน้า หาได้มีความกินแหนงสงไสยในตัวข้าพเจ้าเลย เข้าใจเสียว่าข้าพเจ้าเปน “เจ้าชู้” ตุ๊กกระตุ๋ยพาผู้หญิงมายังที่สุมทุมแห่งตน ล่ำลาแล้วก็โดดขึ้นบนที่นั่งสารถีกระตุกสายขับเตือนม้าให้วิ่งตรงตั้งตรงกลับมาเมือง นีนนายืนอยู่ที่ถนนข้างข้าพเจ้า แสดงกิริยาประหลาดใจ.

“ทำไมเขาคอยรับเรากลับไม่ได้หรือ ?” หล่อนถาม.

“คอยทำไม” ข้าพเจ้าตอบ “ใครจะกลับไปทางนั้น มาทางนี้เถอะหล่อน.”

ว่าดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เอาแขนโอบรอบตัวหล่อนนำทางมา รู้สึกว่าตัวหล่อนสั่นนิด ๆ และพูดเปนเสียงออดบ่น ๆ ว่า,

“ต้องไปไกลอีกหรือ เซซาเร ?”

“ไกลที่ไหนจ๊ะ เดินสักสามอึดใจก็จะถึง ข้าพเจ้าตอบ และพูดต่อด้วยเสียงอ่อน ๆ ว่า “หล่อนหนาวหรือหล่อน ?”

“นิดหน่อยเข้อ” แล้วหล่อนก็ดึงเสื้อคลุมให้กระชับตัวเข้ามาและเดินแนบเข้าใกล้ข้าพเจ้า. ดวงจันทร์ที่แล่นผลุบแล่นโผล่เล่นจ๊ะเอ๋ตามกลีบเมฆนั้น กลับออกมาจากก้อนเมฆใหญ่ส่องแสงสว่างลงบนพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าเรา ต้องแผ่นสิลาขาวจารึกชื่อและวันเกิดวันดับของผู้เจ้าของ ซึ่งกระทำให้ภรรยาข้าพเจ้าหยุดชงักและตัวสั่นมากขึ้น.

“นี่ที่อะไรกัน ?” หล่อนถามด้วยความตกใจ.

ตั้งแต่เกิดมาแต่เล็กจนตราบเท่าโต หล่อนไม่เคยได้เยี่ยมเข้ามาในป่าช้าเลย—หล่อนมีความกลัวตายเปนกำลัง.

“นี่แหละเปนที่ที่ฉันเก็บสมบัติไว้” ข้าพเจ้าตอบ เสียงที่ตอบนั้นแต่ตัวเองยังรู้สึกว่ากระด้างพอใช้ แล้วกระหวัดรัดรวบเอวอุ่นหล่อนแน่นขึ้น “มาด้วยกันเถอะหล่อนเอ๋ย” เสียงนั้นเปนเยาะมากกว่าชวน “อยู่กับฉันจะต้องกลัวดุ้งอะไรเดี๋ยวนี้! มาเถอะ!”

เหนี่ยวหล่อนมาด้วยแรง ซึ่งจะขัดขืนไม่ได้ ซึ่งตกใจจะพูดไม่ออก—พามา มา มา ตามหญ้าอันอาบด้วยน้ำค้าง ผ่านที่ฝังศพมาหลายแห่ง - พามา มา มา จนแลเห็นห้องซุ้ยซึ่งฝังศพบูรพชนแห่งข้าพเจ้า—พามา มา มา ด้วยกำลังอย่างที่ว่าผีมันเข้าสิงอยู่ได้สิบตน—พามา มา มา ถึงที่ที่หล่อนได้ลงถะเบียนไว้แล้ว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ