๒๑

พอได้ยินอย่างนั้นต่างคนต่างก็มองดูหน้าตากัน เห็นได้ทันทีทีเดียวว่าต่างก็นับจำนวนคนที่นั่งโต๊ะว่ามีกี่คนแน่, บรรดาท่านที่นั่งอยู่ในคราวนี้มิใช่คนโง่ ล้วนแต่เปนคนที่ได้เพาะปลูกแล้วซึ่งความคิด แต่การที่ถือลางดีร้ายนั้นฝังเสียในสันดานถึงกระดูกเสียแล้ว (ทำนองเดียวกับผี ถึงไม่กลัว ๆ แต่ก็คร้าม) บางทีจะเหลือสักเพียงเฟรสเซีย กับ มาคีส์ ดาวองคูต์ เฟอร์รารีเปนมีสีหน้าแปลกมากกว่าคน ได้ยินเสียงบ่น “…...ยำ” แล้วคว้าเหล้าดื่มจนเกลี้ยงแก้ว วางถ้วยลงดังกั้ก ปัดจานที่ตั้งอยู่หน้าไปด้วยมืออันสั่นเทา—ในทันใดนั้นข้าพเจ้าก็พูดด้วยเสียงอันดังแก่พวกแขกของข้าพเจ้าว่า:-

“ซินยอ ซัลลัสตรี เพื่อนของเราพูดจริงน้ะท่าน. ข้าพเจ้าเห็นนานแล้ว—แต่ทราบว่าท่านเหล่านี้ ล้วนเปนผู้ที่มีความคิดรอบคอบทั้งสิ้น ไหนเลยจะมาถือลางอันซึ่งเราสมัยนี้ยกไว้ให้เปนธุระของยายแก่แกนานแล้ว. ข้าพเจ้าจึงได้ทำดุษณีภาพนิ่งไว้. ลางที่ถือกันเรื่องจำนวนสิบสาม ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้วว่าเนื่องมาจาก “ลาสต์ สัปเป้อร์” บางทีพวกเด็กอมมือและพวกผู้หญิงยังถือกันอยู่บ้างก็จะเปนได้ว่าคนหนึ่งในสิบสามคนที่ร่วมโต๊ะนั้น เปนขบถและโทษต้องถึงประหารชีวิต แต่เราพวกผู้ชายมีสติสัมปชัญญะ! ไม่มีใครในพวกเรา บรรดาที่นั่งอยู่นี้จะยื่นตัวเข้าเปนเยซูหรือเปนยูดา—เราล้วนแต่เปนเพื่อนที่ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะฉนั้นถือเอาว่า เมฆหมอกอันพัดพาดมามัวสลัวนิดน้อยนี้จะเกลื่อนเลือนหาย. อย่าลืมว่าวันนี้ก็เปนวันคริสต์มัสอี๊บว์ รุ่งพรุ่งนี้ก็ตรุสฝรั่ง ถึงโดยหากจะมีตัวเสนียดอยู่ในลางจริงก็แทรกเข้ามาไม่ได้ เกรงบารมีแห่งพระองค์!”

เสียงตบมือด้วยความเต็มใจ เปนรางวัลแก่คำพูดนี้กราวก้องห้อง แล้วมาควิส กวัลโดร ลุกขึ้นยืน—

“ต่อหน้าฟ้า !” เขาร้อง “พวกเรามิใช่พวกผู้หญิงงันงกจะได้ตกใจกลัวลางจนสั่นเทา! รินเหล้าเติมถ้วยเข้าซินยอรี! อ้าวดูเทอนา พวกบ๋อยตาบอดหมด เอาเหล้ามาอิกเร็ว! ให้ตกกะรก! ถ้าตัว ยูดา อิศกาเรียต ได้รับการเลี้ยงอิ่มและบริบูรณอย่างเราแล้ว จึงถูกไปแขวนคอก็ไม่น่าจะเวทนานัก โฮลา อามีซี! ดื่มเพื่อความสวัสดีของท่านเจ้าของบ้าน คอนเต้ เซซาเร โอลิวา !”

เขายกถ้วยสุราขึ้นแกว่งสามครั้ง—ทุกคนทำตามและดื่มให้พรข้าพเจ้าด้วยความปิติ, ข้าพเจ้าคำนับรับด้วยความขอบใจ—การที่ถือและกลัวลางร้ายก็เกลื่อนเลื่อนละลายไปเร็ว—ไม่ช้าพูด คุยหัวร่อต่อกระซิกก็กลับมาเข้าแหล่งอย่างเดิมราวกับว่าลืม ‘อ้ายเมื่อตะกี้นี้หน้ะ’ หมดแล้ว.

ถึงรับประทานหวาน มีเหล้าอย่างดีเปลี่ยนชุดเข้ามาด้วยเหมือนกัน ล้วนแต่เหล้าอย่างดีที่ข้าพเจ้าสั่งสรรเอามาสำรองไว้ เหล้า “ชาโตดีเคม” “โคลส โวโย” “วัลปูลเชลโล” อย่างหายากที่สุด “ลาครีมา คริสตี้” อย่างประเสริฐ—รินทอยๆกันเข้ามา ต่างคนต่างชิม ต่างคนต่างชมว่ารสดี ถัดนั่นถึงเหล้าชำเปญอย่างขวดละไม่ต่ำกว่า ๔๐ แฟรงค์ สีสันชวนจิบรสพอกระทบเพดานก็ชวนกลืน แต่ทว่ามีธาตไฟอยู่ในนั้น ว่ากันนัวเสียงคุยกันขรม โบราณท่านว่าของท่านไว้จริงว่า “เหล้าไม่ใช่น้ำ กันชาไม่ใช่ดอกหญ้า” แอนโตนีโอ บิสคาร์ดี ช่างเขียนอย่างหงิมกับคริสเปียนโน ดูลซี ซึ่งเปนคนอย่างเผยปากพิกุลร่วง. พอดื่มเจ้าไม่ใช่น้ำเข้าไปหลายถ้วย เลยกักดอกพิกุลไว้ไม่อยู่ ต้องปล่อยเสียงออกโอ้กับเขาเหมือนกัน. ข้างฝ่ายกัปตันเฟรสเซียกับดาวองคูต์ก็คุยกันแต่ล้วนเพลงดาบ ท่านี้อย่างนั้น ท่านั้นอย่างโน้น พูดไปพลางเอามีดหวานแทงลูกไม้ในจานของตัวไปพลาง. ท่านลูเซียโน ซัลลัสตรีก็เงยศีร์ษะพิงพนักเก้าอี้ สบายอารมณ์ร้องเพลงที่ตัวแต่งเองงึม ๆ อยู่คนเดียว ใครที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จะพูดด้วยก็ช่างใครเปนไร ข้าท่องเพลงของข้าไว้. ภาษาของท่าน มาควิส กวัลโดร นั้นเที่ยววิ่งออกพล่านต่าง ๆ นา ๆ ไม่รู้ว่าไปขุดมาแต่ไหน. ต่างคนต่างเต็มที่แสดงกิริยาท่าทางตามเพศนิสัยของเขา เว้นแต่ดู๊ก ดี มารีนา กับตัวข้าพเจ้าเท่านั้น ที่ยังมีอิริยาบถคงที่ตามธรรมดาอยู่.

มองกวาดดูตลอดโต๊ะเห็นบรรดาแขกของข้าพเจ้าหน้าแดงตาซึม ใช้ภาษาเฟื่องมากแล้ว ดูแล้วก็ถอนใจใหญ่ ในสองสามนาที่นี่เอง ข้าพเจ้าจะได้ทิ้งไฟตัวดีซึ่งเก็งไว้บนมือตลอดเวลากินโต๊ะ.

ข้าพเจ้ากลับมองดูเฟอร์รารี. เขาเอี้ยวตัวไปข้างเก้าอี้ไปพูดกับกัปตัน เดอ ฮามาล—เสียงพูดนั้นกระซิบกระซาบแต่หนัก แต่ข้าพเจ้าได้ยินคุยกันถึงเครื่องภายนอกของผู้หญิง—จะเปนผู้หญิงคนไหน ไม่ต้องนั่งฟังให้เสียเวลา—เข้าใจเอาเองว่าคงจะพรรณาความบริบูรณ์พร้อมของภรรยาข้าพเจ้าให้ เดอ ฮามาลฟัง—โลหิตข้าพเจ้าเดือด เดือดถึงปรอดขึ้นเต็มที่. ข้าพเจ้าจึงลุกยืนขึ้นและเอามือตบโต๊ะเพื่อจะให้นิ่งและฟังคำที่ข้าพเจ้าจะได้กล่าว—แต่เสียงที่พวกเขาคุยและโปกฮากันนั้นดังกลบหมด ไม่มีใครได้ยิน. ดู๊กช่วยด้วยอีกคนหนึ่งก็ยังไม่สำเร็จ ต่อภายหลังเฟอร์รารีเหลียวมาและเขาเอามีดปอกลูกไม้ของเขาเคาะโต๊ะและเคาะจานดัง เสียงดังที่คุยและหัวเราะจึงสงบลงทันที ถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าเงยหน้าจัดแว่นตาให้ลงร่องรอยดี และพูดด้วยเสียงอันดังช้าและชัดถ้อย. ก่อนจะพูด ชำเลืองดูเฟอร์รารีอีกครั้งหนึ่ง เขาพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจเฉื่อย สูบบุหรี่ซิกาเร็ตต์ปุ๋ย.

“สหายทั้งหลาย” ข้าพเจ้าพูดและยิ้มรับหน้าซึ่งหันมาทางข้าพเจ้า “ข้าพเจ้าขอขัดความสำราญท่านสักประเดี๋ยว ขัดมิใช่จะให้หมดความสำราญไปเมื่อไร กลับจะเพิ่มให้ความสำราญนั้นรื่นเริงขึ้นด้วยอีก. ข้าพเจ้าเชิญท่านทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันในค่ำวันนี้ ณ ที่นี่ เพื่ออะไรท่านก็ย่อมทราบอยู่แก่ใจแล้ว ว่าเพื่อจะให้เกียรติยศข้าพเจ้าช่วยในการรับรองเพื่อนผู้ประเสริฐของเรา ซินยอ กีโด เฟอร์รารี” ตรงนี้เสียงตบมือทำให้ข้าพเจ้าต้องหยุด. “ท่านผู้ดีหนุ่มและเรียบร้อยผู้นี้ และผู้ที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะเปนคนที่รักและพอใจของท่านทั้งปวง ได้มีธุระการบ้านในข้อจำเปนต้องห่างจากวงสโมสรของเราไปเสียหลายอาทิตย์ ท่านคงจะรู้สึกได้ว่าพวกเราหย่อนความรื่นเริงบันเทิงใจไป. กระนั้นเมื่อท่านทั้งหลายได้ทราบว่า ซินยอเฟอร์รารี กลับมาถึงกรุงเนเปิลซ์มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สฤงคารแล้วก็คงมีความชื่นชมยินดีด้วย เหมือนกับตัวข้าพเจ้าเองรู้สึก.”

ที่ตรงนี้เสียงตบมือ และเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีมากขึ้น. คนที่นั่งอยู่ใกล้เฟอร์รารีก็ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มให้พร ซึ่งเขาก้มศีร์ษะรับคำนับรับด้วยความปลื้มใจ. ข้าพเจ้าชำเลืองดูเฟอร์รารีอีกครั้งหนึ่ง—ดูสงบเงียบ. เขยิบออกมานั่งริมเก้าอี้จะได้นอนพิงพนักให้สบายมากขึ้น ถ้วยชำเปญวางอยู่ข้าง บุหรีกระดาดคาบปากนั่งตรงหน้าต่างที่แลเห็นอ่าวเมืองเนเปิลซ์แววรับจับแสงจันทร์.

ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า “ควรแล้วท่านทั้งหลาย ควรแล้วจะยินดี แสดงความยินดีรับรองและให้พรดังได้กระทำฉนั้น และที่ข้าพเจ้าเชิญท่านทั้งหลายมาประชุมในวันนี้ ก็ยังมีว่าโดยที่แท้เกี่ยวแก่ความรื่นเริงส่วนเราๆ เองด้วย—ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจะยกขึ้นอธิบายให้ท่านทั้งหลายฟัง—เรื่องนั้นเกี่ยวแก่ตัวข้าพเจ้าและเกี่ยวแก่ความศุขด้วย เพราะฉนั้นจึงพาดพันไปถึงความเอ็นดู และความประสงค์ดีของท่านทั้งหลาย”

คราวนี้ทุกคนนิ่งราวกับฟังเทศน์ คอยสดับถ้อยคำที่ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป.

“คำที่ข้าพเจ้าจะได้กล่าวในคราวนี้นั้น” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปอย่างเรื่อย ๆ “บางทีจะทำให้ท่านทั้งหลายประหลาดใจก็จะเปนได้ ท่านทั้งหลายย่อมรู้จักข้าพเจ้าว่าเปนคนพูดน้อย ข้าพเจ้าเกรงว่า—ได้ยินเสียงร้องรอบโต๊ะว่า “พูดไปเถอะอย่าเกรง อย่าเกรง.” ครั้นเงียบเสียงเปนปรกติแล้ว ข้าพเจ้าก็พูดว่า “ท่านทั้งหลายนึกฝันบ้างหรือไม่ว่าคนอย่างข้าพเจ้าจะเปนคนที่มีผู้หญิงติดบ้าง.” พวกเหล่านั้นต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ส่วนเฟอร์รารีนั้น เอาบุหรี่ออกจากปากและมองดูข้าพเจ้าตาเขม็งอยู่.

“เปล่าเลย” ข้าพเจ้ากล่าวเรื่อยไป “แก่ถึงปานนี้ ตาก็ฟางฟ่าถึงปานนั้น ไม่น่าที่จะเชื่อว่าผู้หญิงจะแล. แต่ทว่าข้าพเจ้าได้พบเขาคนหนึ่งแล้ว—ขอให้ข้าพเจ้าพูดแก่เชวาเลีย มันซีนี—นางฟ้าหล่อนชอบข้าพเจ้า กล่าวสั้นๆว่า—ข้าพเจ้าจะต้องแต่งงานกับทญิงคนนั้นเสียแล้ว!”

นิ่งเงียบ เฟอร์รารีลุกขึ้นนั่งตรงดูเหมือนจะพูด แต่กลับใจคงนิ่งอยู่—สีหน้าออกซีดๆ อย่างไรๆ มิรู้. บรรดาที่อยู่ที่นั่นเว้นแต่กีโดต่างร้องไห้ศีลให้พรปนล้อปนตลกและหัวเราะ.

“ล่ำลาความสนุกเสีย คอนเต้!” เชวาเลีย มันซีนีร้อง “เมื่อเพลินไปด้วยเสียงสร่ายแพรแล้ว ไหนเลยจะได้มาเพลินในการเลี้ยงฉนี้ได้อีก!” ว่าดังนั้นแล้วก็โคลงศีร์ษะไปมาด้วยพิษสุรา.

“ต่อหน้าพระเจ้าทุกพระองค์!” กวัลโดรพูด “ข่าวใหม่ของท่านนี้ทำให้ฉันพิศวงมาก! ฉันคิดว่าท่านเปนผู้ชายคนที่สุดที่จะละความอิสระเพื่อเห็นแก่หญิง แก่ผู้หญิงคนเดียวด้วย! ทำไม ท่านเวลาเปนโสตถม เท่าไร ๆ ก็ได้!”

“อา—” ซัลลัสตรี “ถึงหนึ่งก็หนึ่งไข่มุกแท้—หนึ่งเพ็ชร์หาตำหนิมิได้”

“บา—!” ซัลลัสตรี ท่านซึมในเสียแล้ว” กวัลโดรตอบ “นี่เหล้ามันพูดต่างหาก ไม่ใช่ท่านพูดเอง คนอย่างท่านรึ ท่านรึ ท่านรึ ผู้หญิงติดปรอทั้งเมืองเนเปิลซ์ จะมาพูดทำไมเดี๋ยวนี้ว่าหนึ่ง! เสียเวลา บอนา นอตเต้ บามบีโน!”

ข้าพเจ้ายืนเอามือเท้าโต๊ะอยู่ แล้วพูดว่า “คำที่กวัลโดรกล่าวนั้นเปนความจริงทีเดียว ข้าพเจ้าเปนคนที่มีชื่อเสียงหนักว่าเปนคนไม่ชอบผู้หญิงยิงเรือ ข้าพเจ้าก็ทราบว่าเขาลือถูก พอแม่คนน่ารักที่สุดมาประสบเข้า—เมื่อหล่อนได้แสดงกิริยาอย่างดีวาจาอย่างไพเราะแสดงความรักต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่าถ้าอาจพูดถึงแต่งงานกับหล่อนแล้ว จะไม่เสียทีเปล่าก็จะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร นอกจากโผเข้ารับสิ่งซึ่งเทพยดาฟ้าและดินอนุญาตให้ เพราะฉนั้นข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายในสุรารินสุราเติมถ้วยให้เต็ม และให้เกียรติยศแก่ข้าพเจ้าในการที่ดื่มสำหรับความสบาย และศุขแห่งผู้ที่จะเปนภรรยาของข้าพเจ้า ในกาลบัดนี้.” กวัลโดรกระโดดยืนขึ้นตรง ชูถ้วยขึ้นสูง และคนทุกคนก็ทำตามอย่าง เฟอร์รารีค่อย ๆ โงเงยืนขึ้นกับเขาด้วย มือที่กำถ้วยชำเปญนั้นสั่นเทา.

ดู๊ก ดี มารีนา กระทำกิริยาอย่างแบบข้าราชการในราชสำนักนิ์ และกล่าวว่า “เชื่อว่าท่านคงจะออกชื่อท่านผู้หญิงนั้นให้เปนเกียรติยศแก่พวกเราทราบไว้บ้าง”

“ฉันก็เกือบจะถามอย่างเดียวกัน” เฟอร์รารีพูดด้วยเสียงสั่นเครือ—ริมฝีปากแห้ง กว่าจะพูดหลุดปากออกมาได้ดูช่างลำบากเหลือเกิน “บางทีพวกเราจะยังไม่มีใครรู้จัก ?”

“ก็ดี” ข้าพเจ้าตอบแล้วจ้องยิ้มอยู่ “ท่านทั้งหลายรู้จักชื่อหล่อนดีทุกคนแล้ว” แล้วข้าพเจ้าหวนตระหวัดเสียงให้ดังและชัดว่า “ขอจงพร้อมใจกันดื่มให้เปนสวัสดี แก่นางผู้ดีผู้จะเปนภรรยาข้าพเจ้า คอนเตสซา โรมานี!”

“อ้ายโกหก!” เฟอร์รารีตะโกน—และเอาถ้วยชำเปญที่ถืออยู่นั้นโยนโดนข้าพเจ้าเต็มหน้า. ในวินาทีเดียวคนทั้งหมดมายืนมุงรอบเรา (ข้าพเจ้ากับกีโด). ข้าพเจ้าสกดใจนิ่งไว้ ควักเอาผ้าเช็ดหน้าออกเช็ดสุราที่ไหลเปื้อน—ถ้วยนั้นก็หล่นไปกระทบโต๊ะแตกเลอียดอยู่ที่พื้น.

“เฟอร์รารี! นี่แกเปนบ้าหรือเมา ?” กัปตันเดอฮามาลพูดและเอามือจับแขนไว้ “รู้หรือไม่ว่าแกทำอะไรอย่างนี้?”

เฟอร์รารีเหลียวมองรอบตัวราวกับสุนักข์เมื่อจนกรอก—หน้าแดงและดูโตบวมออกมาราวกับคนเปนลมจับหัวใจ—เส้นที่หน้าขึ้นเปนลำ—ลมหายใจแล่นเข้าออกราวกับวิ่งมาแต่ไหน. เขาหันหน้ามาจ้องข้าพเจ้า. “อ้ายฉิบหาย.” เขาเข่นเขี้ยวกลั่นคำหยาบออกมาเบาๆ—แล้วเปลี่ยนเสียงจนดังก้องห้อง “กูจะฉีกอกควักหัวใจมึงออกมาดูให้ได้” ว่าดังนั้นก็ทยานเผ่นเข้ามา แต่ทว่าดาวองคูต์ยึดแขนอีกข้างหนึ่งแน่นไว้.

“อย่าเพื่อวู่วามให้เร็วนัก ช้าก่อน มองแชร์” ดาวองคูต์พูด. “เราไม่ใช่คนฆ่าคน เรานา. นี่อ้ายผีตนคนใดมันเข้าสิงท่านหรือท่าน จึงบังอาจหมิ่นประมาทเจ้าของบ้านของเราโดยมิได้บอกให้รู้ตัวเสียก่อนดังนี้ ?”

“ถามมันดู! ถามมัน! ถามมัน!” เฟอร์รารีตอบด้วยเสียงตวาด และดิ้นจะให้หลุดจากกำมือของคนฝรั่งเศสทั้งสอง - “มันรู้! รู้ดีทีเดียว! ถามมันดูเถิด!”

“ท่านคอนเต้ไม่จำเปนโดยแท้ที่จะต้องให้คำอธิบาย” กัปตันเฟรสเซียพูด “ถึงหากว่าจะอธิบายได้ก็ไม่จำเปนจะต้องอธิบาย.”

“ข้าพเจ้าบอกท่านตามจริง เพื่อนทั้งหลาย” ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าไม่ทราบอะไรมากกว่าที่ได้ทราบว่า ชายหนุ่มผู้นี้มีความถะเย้อถะยานอยากได้นางผู้ดีที่ได้กล่าวชื่อเมื่อสักครู่นี้เท่านั้น.”

“ฟังมัน! ถะเย้อถะยานละ อะไรละ! อ้ายขี้คุก! ฟังอ้ายผู้ร้ายก้นตรางมันพูด.” เฟอร์รารีพร่ำ.

“อา เท่านั้นและหรือ ?” เชวาเลีย มันซีนี พูดเสียงเขียว “เฟอร์รารี แกควรจะมีสติมีความคิดมากกว่านี้สักนิด ? อะไรหน้ะ มาเทลาะกับเพื่อนอย่างประเสริฐด้วยเรื่องผู้หญิงคนเดียวก็เปนได้ เมื่อเขาชอบข้างโน้นเขาไปข้างโน้นมันก็แล้วกัน เพื่อนเอ๋ยผู้หญิงถมไป—เพื่อนหายากนาจะบอกให้.”

“ถ้า” ข้าพเจ้าพูดพลางเช็คเหล้าตามเสื้อผ้าพลาง “หากว่ากิริยาอย่างแปลกของซินยอเฟอร์รารีซึ่งแสดงมานั้น เกิดจากความเสียใจเปนปฐมแล้ว ข้าพเจ้าก็เต็มใจที่จะยกโทษให้. กำลังหนุ่มเลือดร้อนไม่ฟัง—ให้มาลุแก่โทษเสียดี ๆ จะเต็มใจยกโทษให้ทีเดียว เสียแรงได้เคยชอบพอกันมา.”

เฟอร์รารีมองดูคนนี้แล้วคนนั้นแล้วคนโน้นด้วยความโกรธ หน้าซีดราวกับผีตาย ดิ้นบิดจะให้หลุดจากกำมือของดาวองคูต์และเดอ ฮามาลให้ได้.

“บ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้ปล่อยนา!” กีโดพูดด้วยเสียงบังคับ “ไม่มีใครเข้าข้างข้าสักคน เห็นหร็อกว้ะ.” แล้วเดินตรงไปที่โต๊ะหยิบถ้วยน้ำเย็นดื่ม และกลับมาจ้องหน้าข้าพเจ้าตาลุกเปนไฟ.

“อ้ายโกหก.” เขาร้องด่า “อ้ายโกหกสองหน้า! มึงแย่งเอาของกูไป—มึงลวงกู อ้ายระ—มึงจะต้องทดแทนด้วยชีวิตของมึง ขอให้เข้าใจ.”

“อ๋อ เต็มใจเทียว” ข้าพเจ้าตอบด้วยเสียงเยาะ. “เลดีซึ่งเปนฟีอองเซของฉันเดี๋ยวนี้ ไม่มีความรักในตัวท่านแต่เลยสักนิดเดียว หล่อนได้บอกแก่ฉันเองอย่างนั้นทีเดียว ถ้าแม้นหล่อนมีระแคะระคายอยู่บ้างแล้วฉันก็จะยอมถอนมั่นเสีย นี่ก็เปล่าทั้งนั้น ก็เมื่อการมันเปนอย่างนี้ จะมาว่าฉันอย่างโง้นยังงี้อย่างไร ?”

เสียงแส้สอดเข้ามาจนข้าพเจ้าก็ต้องนิ่ง “น่าอาย เฟอร์รารี ไม่รู้เลยว่าจะเปนอย่างนี้!” กวัลโดรร้อง “คอนเต้พูดอย่างผู้ดีและพูดอย่างมีออนเน่อร์ ถ้าข้าเปนคอนเต้แล้วจะไม่อธิบายสักคำเดียว จะไม่ยอมลดเกียรติยศลงมาพูดแก่เจ้าให้เสียปาก ให้ตายต่อหน้าไฟเถอะ เอ้า ไม่ลดจริงๆ เทียว.”

“เปนฉันก็ไม่” ดู๊กว่า.

“เปนฉันก็ไม่” มันซีนีว่า.

“อ้า เฟอร์รารี ขอโทษเสียน่า ไปกางร่มอยู่เอาอะไร” ซัลลัสตรีปลอบ.

หน้าเฟอร์รารีซีดจนเขียว—เขาหัวเราะแฮะๆ ประชดแล้วเดินตรงเข้ามาที่ข้าพเจ้า และพูดด้วยเสียงขู่คำราม ๆ ว่า “มึงว่าว่า—ว่าว่าหล่อนไม่รักกู—มึง! และมีหน้าจะให้กขอโทษมึงอีก อ้ายชาติขะโมย อ้ายขี้ขลาด อ้ายขบถ! เอานั่นแหละเปนคำขอโทษของกู” ว่าดังนั้นแล้วก็เอามือตบปากข้าพเจ้าแรง จนแหวนเพ็ชร์ที่เขาใส่ (วงของข้าพเจ้า) ตัดเอาริมฝีปากฉีก โลหิตไหล. เสียงโกรธเต็มที่ได้ดังแส้ขึ้นจากบรรดาคนที่อยู่ที่นั่น ข้าพเจ้าก็หันหน้าไปพูดแก่มาคีส์.

“มีตอบอยู่ก็แต่อย่างเดียว” ข้าพเจ้าพูดอย่างเรื่อย ๆ “ซินยอเฟอร์รารีก่อเอง ท่านมาคีส์ ท่านจะจัดการเรื่องออนเน่อร์นี้ได้ไหม?”

มาคีส์กระทำคำนับ “ฉันจะมีความศุขมาก!”

เฟอร์รารีหันหน้าไปเที่ยวมองรอบสักครู่หนึ่ง แล้วว่า “เฟรสเซีย ท่านเปนสกันด์ของฉันน้ะ?”

กัปตันเฟรสเซียยกไหล่ “ขอตัวทีเถอะ ความรู้สึกของฉันไม่อนุญาตให้ตัวฉันเข้าไปปนอยู่ข้างฝ่ายผิดเช่นเรื่องของท่านนี้ ถ้าแม้คอนเต้จะอนุญาตให้ฉันไปช่วยกันกับดาวองคูต์ อย่างนั้นฉันเต็มใจช่วย.” มาคีส์ก็ขอให้ช่วยโดยความเต็มใจจริงเหมือนกัน และสองคนนั้นก็พากันปฤกษาซุบซิบอะไรกันอยู่. ครั้นแล้วเฟอร์รารีจึงไปขอให้เดอ ฮามาล—ให้เปนสกันด์ เดอ ฮามาลก็ไม่ยอมเปนไป ถามใครวานใคร ก็ไม่มีใครยอมแต่สักคน ยืนหันรีหันขวางหน้าขมวดบึ้งอยู่คนเดียว พอมาคีส์เดินเข้าไปหา ทำกิริยาเสงี่ยม—สนทนากันอยู่สักสองสามนาที เฟอร์รารีก็ลุกขึ้นออกจากห้องไปโดยมิได้พูดหรือเหลียวมาแลอีก. ในทันใดนั้นข้าพเจ้าสกิดให้วินเช็นโซเข้ามาใกล้แล้วกระซิบสั่งว่า “สกดรอยตามชายคนนั้นไปแต่อย่าให้เขาเห็นเจ้าเปนอันขาด” วินเช็นโซก็ไปตามคำสั่ง เฟอร์รารีไปลับประตูวินเช็นโซก็หายลับตัวไปด้วยเหมือนกัน. มาคีส์ ดาวองคูต์ เดินตรงมายังข้าพเจ้า.

“สัตรูของท่านเขาไปหาสกันด์สองคน” เขาพูด “ท่านก็เห็นอยู่เองว่าไม่มีใครที่นี่รับรอง, เคราะห์ร้ายอยู่หน่อย.”

“เปนทีเดียว” เดอ ฮามาล พูด.

มาคีส์พูดแก่ข้าพเจ้าอีกว่า “เมื่อคอยสกันด์ทั้งสองคนข้างโน้นอยู่กว่าจะมานี่” ชักนาฬิกาออกดู “ฉันกับเฟรสเซียได้คิดจัดกันแล้วบ้าง นี่เกือบสองยามแล้ว เรื่องธุระนี้ต้องเปนพรุ่งนี้เช้าเวลาย่ำรุ่งตรง ท่านจะเห็นอย่างไร ?”

ข้าพเจ้าก้มศีร์ษะรับ.

“เราเปนพวกถูกหมิ่นประมาท เราต้องเลือกอาวุธเอา—”

“ปืนโก๊ลต์” ข้าพเจ้าตอบย่อๆ

แม่เจ้าโวย. ก็เรื่องสนามเล่า ที่คาซากีร์ลานเด เปนยังไร ? ไม่ใช่ตรงนั้นแท้ ระหว่างนั้นกับบ้านวิลลาโรมานีเปนที่เงียบสงัดดี ไม่ต้องเกรงว่าจะมีใครมาขัดขวางได้หละ.”

ข้าพเจ้าก้มศีร์ษะอีก

“เอาเปนตกลง” มาคีส์พูดต่อไป “เวลาย่ำรุ่ง—อาวุธปืนโก๊—ระยะทางกี่ก้าวไว้ต้องตกลงกับสกันด์ข้างโน้นเขาก่อน.”

ข้าพเจ้ามีความพอใจในการที่จัดนี้ จึงได้จับมือผู้จัดเพื่อแสดงความขอบใจมาก แล้วได้มองดูหน้าตาคนทั้งปวงที่ไม่เปนปรกตินั้น และข้าพเจ้ายิ้ม พูดว่า.

“ท่านทั้งหลาย การเลี้ยงของเรากระจายออกด้วยประการอันไม่น่าชมฉนี้ ข้าพเจ้ามีความเสียใจ และเสียใจยิ่งลงมากในข้อที่จะต้องจากท่านทั้งหลายไป ขอท่านจงได้รับความขอบใจในการที่อุส่าห์มานั่งโต๊ะเปนเพื่อนและสำหรับไมตรี ซึ่งท่านได้แสดงต่อข้าพเจ้ายังไม่นึกว่าครั้งนี้จะเปนครั้งที่สุดที่จะรับรองเลี้ยงดูท่านทั้งหลาย—แต่หากว่าถ้าเปนเช่นนั้นจริง ข้าพเจ้าจะจำความคุ้นเคยและความที่ร่วมสนุกด้วยท่านใส่ใจไปสู่ประโลกด้วย. เดชะบุญคุณพระข้าพเจ้าไม่ถึงซึ่งอับจนแล้ว หวังใจว่าจะได้พบกันอีกในคราววิวาหมงคลของข้าพเจ้า เมื่อนั้นจะไม่มีสิ่งไรจะมาขัดขวางหรือล้างผลาญความรื่นเริง ของเราได้เช่นในขณะนี้—ลาไปนอนก่อน.”

แขกทั้งหลายมายืนอยู่รอบข้าง ต่างก็จับมือและแสดงความสงสารที่มาเกิดเทลาะวิวาทกันขึ้น ท่านดู๊กแสดงให้เห็นน้ำใจมากถึงกับทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้าแม้ไม่มีใครจะอาศาเปนสกันด์แล้ว ถึงท่านมีเกียรติยศและเปนคนชอบไม่วิวาทแก่ใครก็ดี จะอาศาเปนสกันดให้ข้าพเจ้า. ภายหลังข้าพเจ้าหนีเอาตัวออกจากกลุ่มพวกเหล่านั้นได้ กลับขึ้นไปนั่งอยู่ในห้องคนเดียว แต่นั่งอยู่อย่างนั้นกว่าชั่วโมง คอยฟังข่าววินเช็นโซก็ยังไม่กลับ ได้ยินฝีเท้าพวกแขกพากันกลับคราวละสองละสาม—ได้ยินเสียงมาคีส์และกัปตันเฟรสเซียสั่งให้เอากาแฟร้อน ๆ ไปให้ในห้องไปรเวตที่เขาจะคอยพบสกันต์ฝ่ายโน้น. โอ! เฟอร์รารี จะร้อนกลุ้มใจไม่น้อยป่านนี้ ข้าพเจ้านิ่งรำพึงในใจ. ทำหน้าตาพิลึก เมื่อได้ยินบอกว่าหล่อนไม่มีความรักในตัวเขา. แมว! ออกสมเพชก็สมเพช ออกสมน้ำหน้าก็สมน้ำหน้า เดี๋ยวนี้ต้องรู้สึกทนคับกลุ้มใจดังตัวข้าพเจ้าเองได้เคยมาแล้ว ได้ถูกอย่างที่ข้าพเจ้าได้เคยรับมา. ยังมีชีวิตอยู่เท่าใดความเจ็บปวดในใจนั้นเสียวแปรบอยู่ไม่รู้หาย เอาเถอะ จะช่วยสงเคราะห์ไม่ให้ต้องทรมานนาน. ข้าพเจ้าลุกไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือหยิบกระดาดปากกาออกมาเขียนคำสั่งนิดหน่อย เผื่อว่าในเวลาต่อสู้กันเคราะห์ข้าพเจ้าจะร้ายลงบ้าง.

ข้าพเจ้าเขียนอย่างใจความย่อ ๆ—ในขณะเขียนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าเปนสิ่งที่ไม่ต้องการทำอย่างยิ่ง—ถึงกระนั้นก็ดี เพราะเห็นแก่แบบแผนต้องเขียน—เขียนเสร็จประทับตราสลักหลังถึง ดู๊ก ดี มารีนา. ชักนาฬิกาพกออกดู- เจ็ดทุ่มเศษแล้ววินเช็นโซก็ยังไม่กลับมาอีก จึงลุกไปที่หน้าต่างเปิดม่านยืนชมแสงจันทร์อยู่.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ