๒๓

ข้าพเจ้าขอตัดบทตอนที่ดวลกับเฟอร์รารีแล้วและไปพักอยู่ที่เมืองเล็กเมืองหนึ่งอันมีนามว่าเมืองอาเวลลีโน ซึ่งเปนเมืองสงัดเงียบอยู่ที่เชิงภูเขาใหญ่อันมียอดคลุมด้วยหิมะตลอดปี เพราะในเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ณะที่ตำบลนั้น ข้าพเจ้าอยู่อย่างเงียบ ๆ สกดใจให้ห่างจากกิจการทั้งหลายแหล่ ผ่อนอารมณ์ให้มีฮอลลีเดย์บ้าง เพื่อจะได้คิดถึงคราวงานการวิวาหมงคลในเวลาที่จะมาในไม่ช้านัก เมื่อก่อนที่จะไปจากกรุงเนเปิลซ์นั้น ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมภรรยาข้าพเจ้าที่สำนักนิ์แม่ชีและเอาความอย่างย่อเล่าให้หล่อนทราบตั้งแต่ได้เกิดวิวาทบาดเทลาะแก่เฟอร์รารี จนถึงกับได้ต่อสู้กันจนสิ้นชีวิตลงข้างหนึ่งต่อหน้าพยานทั้งหลาย. ความเสียใจหรือความดีใจของหล่อนในเรื่องที่เฟอร์รารีถึงแก่กรรมเพียงไรนั้นไม่จำเปนต้องยกขึ้นกล่าว พึงเข้าใจเอาเถิดว่าเบื้องภายนอกหล่อนแสดงความดีใจ ที่ข้าพเจ้าผู้หล่อนจะได้รับเปนสามีมีไชยแก่ผู้ที่จะทระมานหล่อน แต่เบื้องภายในนั้นเปนของที่จะพึงวินิจฉัยให้ซึ้ง โดยเหตุเปนนางลครตัวเอก รำและเล่นบทของหล่อนสนิทนัก ถึงจะอย่างไรก็ให้เปนแต่เพียงนึกรู้มิให้จับได้เต็มมือดังตัวอย่างแต่ต้นได้กล่าวมาแล้วเปนพยาน.

เวลาเช้าในวันงานของข้าพเจ้านั้นอากาศบริสุทธิสว่างไสวดี ถึงโดยเมื่อคืนวันก่อนจะมีลมพัดกล้า และยังเหลืออยู่บ้างในตอนเช้าก็ดี พัดเอาควันเมฆวาวๆ ลอยลิ่วไปเร็วในท้องฟ้า ดูประหนึ่งว่าเปนเรือแข่งแล่นแข่งกันไปในท้องฟ้าอันเปนสีน้ำเงินนั้น เวลากำหนดนัดการวิวาหะใกล้กระชั้นเข้ามาทุกชั่วโมงทุกชั่วนาฑี คนยิ่งเดินไปโบสถ์เปนกลุ่ม ๆ หนาตาขึ้น มีความดิ้นรนอยากจะเข้าไปข้างในหรือเข้าไปใกล้โบสถ์ซะน เย็นนาไร ตามแต่จะพยายามได้ เพื่อจะดูเครื่องแต่งตัวหรูหราของคนสำคัญๆ คนใหญ่ๆ โตๆ ที่ข้าพเจ้าได้ออกก๊าดเชิญมาเปนพยานในการแต่งงานนั้น เวลากำหนดนัดการวิวาห์นั้นห้าโมงเช้า พอสี่โมงครึ่งเศษข้าพเจ้ากับดุ๊ก ดี มารีนา ผู้เปนเพื่อนบ่าวแต่งตัวอย่างสุภาพเรียบร้อยขึ้นรถขับมายังสถานอันจะได้มีพิธีกรรม. สารถีจำเปนต้องขับรถมาอย่างช้า ๆ ด้วยผู้คนหลามตามถนน ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเหตุอันที่โลกเขามักถือว่าเปนลางไม่ดีควรแก่การมงคลค่อยต้วมเตี้ยมคลานมาจนถึงประตูโบสถ์ได้ ณ ที่นั้นทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจมาก ที่คนมาคอยดูล้นเหลือถึงแก่เบียดเสียดเยียดยัดเปนประดุจปลาซาดินในกระป๋อง มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งไพร่ทั้งผู้ดี ทั้งมีทั้งจน ทั้งขัดสนเข็ญใจ ไม่รู้ว่ามาแต่สารทิศใดคอยดูข้าพเจ้าด้วยอินเตอเรสต์มาก.

มีพรมสีทับทิมปูตั้งแต่ที่รถจอดตลอดเข้าไปถึงแท่นไหว้พระในโบสถ์ตามคำสั่งของข้าพเจ้า. ในขณะที่ข้าพเจ้าลงจากรถเดินเคียงกับ ดุ๊ก ดี มารีนา เข้าไปในโบสถ์นั้น ตาทุกคู่จ้องดูราวกับเปนตาเดียวกัน และได้ยินเสียงพูดซุบซิบกันถึงสมบัติเหลือหลายและความอารีรอบคอบของข้าพเจ้า ข้างภายในโบสถ์นั้นยังมีคนอีกอเนก แต่แขกที่ข้าพเจ้าได้เชิญมาในงานนั้นไม่มากกว่ายี่สิบท่าน ซึ่งจัดให้นั่งใกล้แท่นที่ไหว้พระพ้นพวกผู้ดูต่าง ๆ และทั้งมีผ้าแพรกันเปนวงอีกชั้นหนึ่งด้วย ข้าพเจ้าไปปราไสด้วยแขกที่เชิญมาแทบทุกท่าน และได้รับศีลพรเปนการตอบแทนของเขาแล้วก็เดินไปยืนอยู่ที่หน้าแท่นไหว้พระ รูปเทพยดาทั้งหลายซึ่งเขาเขียนแขวนไว้ตามฝาผนังโบสถ์นั้นรู้สึกราวกับมีวิญญาณ—ทุกศีร์ษะดูเหลียวมาทางข้าพเจ้าประหนึ่งจะตั้งกระทำการว่า “ท่านจะทำกิจสิ่งนี้จริงหรือ ? ไม่มีการยกโทษหรือ ?”

วิญญาณอันแข็งของข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่มีเสียละ. ยังมีชีวิตอยู่ตราบใดต้องแก้แค้นจงได้.”

รูปพระเยซูที่กำลังพระโลหิตไหลและพระศอซบอยู่บนไม้กางเขน ชำเลืองตาละห้อยดข้าพเจ้าเหมือนกัน—ตาอย่างจะพูดว่า “โอ มนุษย์เอ๋ย ไม่พอที่จะทรมานตัวของตัวด้วยความที่แล้วไปแล้ว ให้นึกถึงสังขารของตัว ไม่ช้าก็เร็วคงตายลงมื้อหนึ่ง แม้ตัดฉันทา โทษา พยา โมหาไม่ขาด เมื่อจะขาดใจจะได้ความศุขจากไหน ?”

และข้าพเจ้านึกตอบในใจว่า “ช่างเถอะพระผู้เปนเจ้าอย่ามาอธิบายเสียให้ยากเลย—ถึงจะไม่ศุขอะไรก็ไม่ว่า ขอแต่ให้ได้แก้แค้นเปนแล้วกัน! และความพยาบาทนี้จะต้องทำจงสำเร็จ ถึงสวรรค์จะร้าวโลกจะแยก ก็ช่างสวรรค์ช่างโลกเปนไร! ความขบถของสัตรีจะต้องให้ได้รับโทษเสียก่อน—ความยุติธรรมอย่างแปลกใช่ธรรมดาจะต้องได้รับก่อน แล้วจึงจะเหลียวดูสวรรค์หรือโลก!”

ดวงจิตรข้าพเจ้าสงบนิ่ง แสงอาทิตย์ส่องต้องบานหน้าต่าง อันประกอบด้วยกระจกสีต่าง ๆ ทอสีน้ำเงิน สีทอง สีทับทิม และสีม่วง ลงมาบนแท่นไหว้พระซึ่งประดับด้วยสิลาขาว และเสียงเพลงช้าอ่อนแต่มีกังวารจับใจ ซึ่งมาจากหีบเพลงใหญ่สำหรับโบสถ์ กระทำให้หวนคิดถึงวันวิวาหะมงคลคราวที่แล้วมา ในเวลาโน้นข้าพเจ้าก็ยืนอยู่ตรงที่นี้ เต็มไปด้วยความหวัง เมาไปด้วยความรักและความเพลิดเพลิน กีโดเฟอร์รารียืนอยู่ข้างๆ และเปนครั้งแรกที่เขาได้ดื่มเท็มเทชั่นจากดวงหน้า และรูปพรรณอันน่ารักแห่งภรรยาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหยิบแหวนแต่งงานออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นพิศ—ดูก็เกลี้ยงขึ้นเงาดีราวกับใหม่ แต่ก็เปนแหวนเก่านั่นเองวงเดียวที่ข้าพเจ้าถอดมาจากนิ้วภรรยาข้าพเจ้าเมื่อวันก่อนนี้ เปนแต่ส่งให้ช่างทองเขาขัดแต่งชักเงา ไม่มีรอยบอกว่าใช้แล้วเหลือเลย ดูราวกับว่าไปซื้อเปิดร้านมาเช้าวันนั้นเอง.

ระฆังใหญ่ประจำโบสถ์ตีเหง่ง ๆ บอกทุ่มโมงสิบเอ็จเหง่งพอเสียงเหง่งที่สุดแล่นมาจากหอระฆัง ก็พอประตูเปิดอ้าดออกกว้างเต็มที่ แล้วได้ยินเสียงเสื้อผู้หญิงซู่ซ่า ๆ และเหลียวหน้าไปดู ก็เห็นภรรยาข้าพเจ้าเข้ามา หล่อนเดินเกาะมากับแขน เชวาเลีย มันซีนี ผู้เถ้า ผู้รับตำแหน่งเปนผู้ปกครองเจ้าสาวในการนี้ดั่งเปนบิดา เครื่องแต่งตัวหล่อนนั้นเปนกำมะหยี่ขาวตัดอย่างไม่หรูหรา และมีผ้าโปร่งลูกไม้อย่างดีหาค่ามิได้คลุมแต่ตั้งศีร์ษะตลอดลงมาถึงเท้า

เพราะหล่อนถือตัวว่าเปนหญิงหม้าย จึงไม่หาเพื่อนสาวมาด้วยตามธรรมเนียม หล่อนใช้เด็กผู้ชายหน้าตาสระสรวยแต่งตัวอย่างเด็กโบราณคนหนึ่งถือชายเสื้อ และมีผู้หญิงเล็ก ๆ สองคนอายุราวห้าหรือหกขวบเดินถอยหลังโปรยดอกกุหลาบและดอกซ่อนกลิ่นไปข้างหน้า ดูทำประหนึ่งว่าเดินนำหน้านางพระยาใหญ่ เด็กหญิงทั้งสองนั้นดูเหมือนกับนางเทพธิดา (แฟรี) ซึ่งเรานึกคาดหน้าคาดตาว่าจะเปนสรวมเสื้อสีทองอย่างหลวมๆ และมีพวงดอกไม้อยู่บนศีร์ษะงามรับหน้ากับผมหยิก นีนนาเองเปนผู้สอนกิริยามาระยาตร์เด็กเหล่านี้ พอมาถึงแท่นที่ไหว้พระเด็กนั้นก็แยกออกไปยืนเคียงนีนนาข้างละคน ส่วนเด็กชายผู้ถือชายเสื้อก็ยืนอยู่ตรงหลัง มือก็ยังถือชายเสื้อกำมะหยี่นั้นชูอยู่ แต่ท่าทางวางผึ่งผายทำเกียรติยศแก่ตัวไม่น้อย

ทั้งหมดเปนภาพยนต์ตามที่แม่นีนนาหลอนประสงค์จะให้เปน. หล่อนยิ้มกับข้าพเจ้าเมื่อหล่อนเดินมาถึงแท่นไหว้พระ แล้วก็คุกเข่าลงสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าข้าง ๆ เสียงเพลงดังและเพราะวังเวงขึ้นกว่าแต่ก่อนสักสองเท่า พระเณรและพวกนักบุญก็เดินออกมาเริ่มการพิธีวิวาห์ ในขณะที่ข้าพเจ้าวางแหวนลงบนสมุดนั้น ข้าพเจ้าชำเลืองดูเจ้าสาว เห็นหล่อนยังก้มศีร์ษะ—ดูเหมือนกำลังภาวนาแน่วอยู่. ท่านบาดหลวงใหญ่ได้กระทำพิธีพรมแหวนนั้นด้วยน้ำมนต์แล้ว ข้าพเจ้าก็หยิบกลับมาสรวมนิ้วอันขาวนุ่มของภรรยาข้าพเจ้าเปนครั้งที่สอง—ตามธรรมเนียมโรมันกะธอลิก เดิมทีสรวมนิ้วศีร์ษะแม่มือก่อน แล้วจึงเลื่อนมาสรวมนิ้วชี้ แล้วสรวมนิ้วกลาง เมื่อถึงนิ้วนางก็สรวมไว้เลยทีเดียว. หล่อนจะจำได้หรือไม่ว่าเปนวงเดียวกับที่หล่อนได้สรวมมานมนาน (ลืมกล่าวไปว่าแหวนวงที่สรวมให้นี้ เปนแหวนวงที่ข้าพเจ้าได้สรวมให้นีนนาในเมื่อแต่งงานครั้งแรก ครั้นเมื่อดวลกับเฟอร์รารีแล้ว ข้าพเจ้าไปพูดจาล่อเอากลับมาได้ และตกใจกลับสรวมให้อีกฉนี้) เชื่อว่าหล่อนคงจะจำไม่ได้ ถ้าจำได้คงสดุ้ง ร้องโวยวายอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่ก็สำรวมตัวเปนคนสรวยเปนคนจองหอง เปนคนไม่เดียงสา.

พอเสร็จพิธีทำโน่นทำนี่แล้ว พระก็สวดมนต์ให้ศีล ซึ่งเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะต้องรับพร้อมกัน. ข้าพเจ้าพิมพ์ไปอย่างนั้นแต่ใจนึกว่า “ค่อนข้างจะอาการหนัก แต่ถ้าข้าพเจ้าถูกแดมน์ นางผู้หญิงจะต้องถูกแดมน์สามเท่า. นรกคงกว้างขวางพอที่เราจะแยกกันอยู่ได้ เมื่อลงไปถึงที่นั้น.”

เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วค่อยสกดใจลงได้ หันหน้าหนีจากรูปต่างๆ ที่อยู่ในโบสถ์ มองดูไม่ใคร่ได้ ออกสยดสยองไปเอง แล้วกลับหวนนึกว่า โท่เอ๋ย โลกอ้ายกระใหญ่กระโต ควรหรือผู้ชายอย่างข้าพเจ้า หญิงอย่างหล่อน จะมาพบกันได้ จะยอมให้มานั่งหน้าแท่นไหว้พระผู้เปนเจ้าได้ เหตุไรไม่ทำเสียให้ตายก่อนนี้เสีย ดู ๆ ก็ประหลาด.

กำลังซึมอยู่ใจนึกอะไรต่อมิอะไรอยู่ไม่รู้ว่าพระสวดจบเมื่อไร ต่อรู้สึกสัมผัสมือของภรรยาข้าพเจ้าที่ตรงไหล่จึงได้ตื่นจากภวํ. เปนเสร็จการพิธีทั้งหมด ภรรยาข้าพเจ้าเปนภรรยาข้าพเจ้าจริง—เปนของข้าพเจ้าแท้…... เปนของข้าพเจ้าโดยผู้กเงื่อนแห่งวิวาห์สองขมวด—เปนสิทธิ์แห่งข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าจะทำอะไร “จนความตายมันจะมาแยกเอาไปจากกัน.” จะนานสักเท่าใดหนอ ข้าพเจ้ารำพึงเปนทุกข์ จะนานสักเท่าใดก่อนที่พระยามัจจุราชจะมาเปนผู้แยกเราไป ข้าพเจ้ายังมัวนึกอยู่วุ่น แต่ทว่าให้แขนภรรยาข้าพเจ้าไขว่โดยไม่รู้สึกตัวและนำไปในห้องออฟพิศพระ เซ็นชื่อลงในสมุดทะเบียนแต่งงาน ลงปลายได้สติ สกดใจเดินจูงภรรยางามมาในท่ามกลางฝูงผู้ชมเชยออกมานอกโบสถ์. ครั้นถึงประตูชั้นนอกมีพวกผู้หญิงขายดอกไม้หลายคน มาเทดอกไม้อันมีกลิ่นหอมลงตรงเท้าตั้งๆ กระจาด และในการตอบแทน ข้าพเจ้าก็สั่งให้คนใช้เอาถุงเงินซึ่งได้เตรียมไปนั้นแจกให้คนละถุง ทราบแบบได้ดีเพราะว่าได้เคยมาแก่ตัวเมื่อครั้งก่อนนั้นแล้ว. และการที่จะเดินข้ามกองดอกไม้ใหญ่นั้นเปนสิ่งที่ต้องการระวังหน่อย ๆ แต่อย่างนั้นดอกไม้ยังติดเสื้อยาวกำมะหยี่ของนีนนามาด้วยหลายดอก.

พอเราเดินเกือบจะถึงรถ ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งโยนช่อดอกกุหลาบแดงลงตรงทางข้าพเจ้า ความโกรธแล่นขึ้นสมองข้าพเจ้าทันที จึงเอาซ่นเท้ากระทืบขยี้ช่อดอกไม้นั้นแบนบ่นเลอียดอยู่กับที่ กระทืบแล้วกระทืบอีกจนภรรยาข้าพเจ้าตกใจเลิกหน้าเลิกตา และพวกคนดูรายทางแน่น ๆ นั้นก็ยกไหล่ตามกันและต่างก็มองดูหน้ากันและกันแสดงความประหลาดใจ—ส่วนหญิงสาวเจ้าของดอกไม้ หนีถอยหลังไปด้วยความตกใจกลัวหน้าซีดสลดแล้วร้องว่า “ซันติสสิมา มาโดนา! อา ๆ อะไร ๆ!” ข้าพเจ้ากัดริมฝีปากนึกแค้นตัวของตัวเองที่สติลอย ปล่อยให้กายกระทำกิริยาเช่นนั้น จึงแสร้งทำหัวเราะและตอบกิริยาตกตลึงของแม่นีนนา.

“เปล่าๆ—ไม่ใช่อะไรดอก เปนด้วยความคิดนั่นไปเองฉันเกลียดกุหลาบแดง, ดูเหมือนกับในดอกนั้นมีเลือดมนุษย์ซึมแล่นอยู่ยังไง.”

หล่อนสดุ้งนิดๆ “ความคิดน่าเกลียดน่ากลัวอะไรเช่นนี้. ดูหรือช่างเก็บเอาอะไรมาคิดได้.”

ข้าพเจ้ามิได้ตอบว่าประการใด ช่วยประคองให้หล่อนนั่งรถด้วยกิริยามารยาตร์อันดีแล้วตัวเองจึงได้ขึ้นนั่ง และขับกลับมายังโฮเต็ล ซึ่งได้สั่งเตรียมการเลี้ยงอาหารเช้าในการแต่งงานไว้คอยท่าเสร็จแล้ว.

การเลี้ยงอาหารเช่นนี้ ย่อมเปนที่เมื่อหน่ายแก่ผู้รับประทานมาก ไม่ว่าที่ไหน ๆ หมด ทุกคนมีความยินดีเมื่อการเลี้ยงจวนจบ พอได้ยินเสียงสปีชและคำเยินยอเหลือเกินพ้นวิสัย จนต้องเอาเลขจำนวนมากๆ หาร ก็แปลความว่าจะจบกัณฑ์เลี้ยงเสียที ครั้นจบแล้วต่างคนต่างเบาใจลุกขึ้นจากโต๊ะ และจากกันไปชั่วสองสามชั่วโมงที ค่ำจะมาประชุมกันในการเต้นรำอีกครั้ง ซึ่งกำหนดเวลาว่าจะตั้งต้นยามหนึ่ง และเวลานั้นจะเปนเวลาดื่มให้พรแก่เจ้าสาวครั้งที่สุด—และเวลานั้นดนตรีจะเล่น ความเพลิดเพลินการเต้นรำต่อ ๆ กันไป. ข้าพเจ้าได้เดินตามภรรยาข้าพเจ้ามายังห้องอันตกแต่งงดงามสำหรับหล่อน หล่อนบอกว่าหล่อนมีกังวลด้วยธุระมาก—คือจะเปลื้องเครื่องแต่งตัวแต่งงาน จะตรวจตราเสื้อที่จะแต่งเต้นรำในค่ำวันนั้น และจะคุมสาวใช้บรรจุของลงหีบสำหรับไปชมจันทร์ในวันรุ่งขึ้น. วันรุ่งขึ้น! ข้าพเจ้านึกยิ้ม....ข้าพเจ้าอยากทราบว่า หล่อนจะยินดีในระยะวันรุ่งขึ้นอย่างไรบ้างหนอ! ข้าพเจ้าก็จูบมือหล่อนโดยกิริยาอย่างนับถือแล้วออกจากห้อง ปล่อยให้หยุดพักผ่อนให้สบายโดยลำพัง

ธรรมเนียมแต่งงานของชาวอิตาเลียนนั้นไม่สู้จะหยาบคายเหมือนกับชาติอื่น; เจ้าบ่าวในประเทศอิตาเลียนเห็นว่าเปนการไม่ควร ที่พอโบสถ์มอบเจ้าสาวให้เปนสิทธิ์แก่ตนแล้ว ตนจะเข้าไปนั่งเคลียคลอประจ๋อประแจ๋กอดรัดอยู่ไม่รู้จักห่าง. ตรงกันข้าม ถึงจะกำเริบร้อนเพียงใด ต้องอุส่าห์ฝ่าฝืนไว้ระงับใจของตน เพื่อจะรักษาความรักกันให้ยืดยาว และระวังมิให้คุ้นเคยมากเกินไป รู้สึกอยู่ดีทีเดียวว่าไม่มีอะไรฆ่าความรักให้สญไปเร็วและแน่แท้ เหมือนกับความบุ่มบ่ามและความใกล้ชิดเหลือเกิน โบราณยอมกล่าวเปนภาสิตไว้ว่า “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” และ “รักใกล้ให้อยู่ไกล รักไกลให้อยู่ใกล้” นี่แหละถ้าไม่ให้หน่ายเร็วต้องไม่ให้รักนัก. ข้าพเจ้าก็ประพฤติทำนองเดียวกับผู้ดีทั้งหลายที่มียศและชั้นเดียวกัน ให้ภรรยาผู้ได้แต่งด้วยกันสองครั้ง มีความเปนไทยของหล่อน—เปนความเปนไทยครั้งที่สุดที่หล่อนจะพึงมี. ให้หล่อนวุ่นด้วยสิ่งที่หล่อนรักยิ่ง—วุ่นด้วยเครื่องประดับกายซึ่งผู้หญิงโดยมากถือว่าเปนความศุขและเปนออนเน่อร์แห่งดวงใจของผู้หญิง ถ้าแม้เครื่องประดับกายของตนเรี่ยมเฟิสต์มากกว่าผู้อื่นที่เปนเพศเดียว ทำให้ผู้อื่นร้อนใจให้เขาค้อน ให้เขาอิจฉาได้แล้ว นับว่าเปนประเสริฐหนัก.

เมื่อข้าพเจ้าไปยืนสูบบุหรี่พิงลูกกรงที่เฉลียงดูคนเดินไปมาตามถนนอยู่นั้นความคิดแล่นมาหัวใหม่ กลับมาห้องเรียกวินเช็นโซผู้ได้ยื่นใบลาแล้ว และจะรีบกลับไปแต่งงานกับหญิงสาวที่เมืองอาเวลลีโน ซึ่งได้ลอบรักตกลงยินยอมเปนผัวเปนเมียกันแต่ครั้งข้าพเจ้าไปพักอยู่คราวนั้น ให้เข้ามาหา แล้วมอบหีบเหล็กเล็กให้ใบหนึ่งซึ่งวินเช็นโซ หาได้ทราบไม่ว่าข้างในมีเงินและธนาบัตร์เปนราคา ๑๒,๐๐๐ แฟรงค์ นี่เปนการดีครั้งที่สุดที่จะทำได้ เงินนั้นพอจะให้ไปตั้งตัวเปนชาวนาหรือชาวสวนอย่างนับว่ามีอันจะกินได้ แล้วฝากหนังสือไปถึงซินยอรามอนตีผู้จะเปนแม่ยายวินเช็นโซฉบับหนึ่ง ห้ามมิให้ฉีกผนึกออกอ่านก่อนได้ขวบอาทิตย์เปนอันขาด ในจดหมายนั้นบอกว่าในหีบเหล็กนั้นมีอะไรและข้าพเจ้ามีความประสงค์อย่างไร และทั้งให้ซินยอรามารับยายแอสซันตา และตาเกียโชโมที่อยู่บ้านวิลลาโรมานีไปเลี้ยงดูไว้ด้วยกว่าจะตาย ทั้งสองคนจะไม่มีชีวิตอยู่นานกี่มากน้อยนักเพราะเปนไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว.

ข้าพเจ้านึกไปไหนต่อไหนไกล มองดูล่วงหน้าถึงความศุขสบายในบ้านที่เชิงเขา วินเช็นโซไปพอถึงก็แต่งงานกับภรรยาไม่ต้องสงไสย ซินยอรามอนตีกับแอสซันตาจะปรับทุกข์สู่กันฟังถึงเรื่องเก่าๆ แล้วช่วยกันเลี้ยงบุตรของวินเช็นโซ คงกล่าวขวัญถึงข้าพเจ้าบ้างในชั้นแรก และมีความเสียดายที่ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าไปข้างไหน แต่นานไปก็ค่อยจืดจางไปลงปลายก็ลืม ต้องกับความประสงค์ที่ข้าพเจ้าอยากให้ลืม.

เออ. ข้าพเจ้าได้ทำตอบแทนให้แก่คนที่ดีต่อข้าพเจ้าหมดแล้ว วินเช็นโซมีความรักและซื่อสัตย์กตัญญูต่อข้าพเจ้า ๆ ก็ใช้หนี้สินเสร็จแล้วไม่มีอะไรที่จะทำอีกเว้นแต่สิ่งเดียว สิ่งที่อุส่าห์พยายามมานาน.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ