๒๐
เวลาประมาณสัก ๑๕ นาทีจะได้สองทุ่ม คนที่รับเชิญมาถึง ตาม ๆ กันหมดยังขาดอยู่แต่สองท่าน—ท่านเรสเป็ตตีพี่น้อง เมื่อกำลังนั่งคอยท่านที่ยังไม่มาอยู่ เฟอร์รารีแต่งตัวด้วยเสื้ออีวนิงเดรสเดินเข้ามาในห้อง ดูชั่งสวยงามขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ข้าพเจ้ายอมรับว่ากิริยามารยาตรสนุกสนานแต่ยังมีเสงี่ยมอยู่ในนั้น ซึ่งตั้งแต่เคยรู้จักกันมาในแต่ก่อนนี้ก็ยังไม่เคยเห็นว่างท่าดีเหมือนวันนี้เลย บรรดาพวกที่อยู่ในห้องนั้นลุกขึ้นแสดงความยินดีรับรองในที่กลับมาเมืองเนเปิลซ์ ต่างเข้ามาจับไม้จับมือกอดจูบตามธรรมเนียมคนชาวอิตาเลียน (ผู้ชายต่อผู้ชายก็จูบกัน) เว้นไว้แต่ท่านเจ้ายศ ดูคา ดี มารีนา ซึ่งมิได้กระทำอย่างผู้อื่น เปนแต่เพียงก้มศีร์ษะคำนับอย่างแบบ ในเวลาสักประเดี๋ยวหนึ่งมีคนเอาจดหมายมาส่งให้ข้าพเจ้าหมายมุม “การด่วน” ฉีกออกอ่านได้ความว่า คาร์โล เรสเปตตี ขอโทษและมีความเสียใจมากที่มาไม่ได้ โดยเหตุที่ธุระสำคัญมาเกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน และน้องชายเขาก็มีความเสียใจเหมือนกันที่มิได้รับความยินดีและเกียรติยศอย่างสูงในการที่จะมาร่วมโต๊ะในเย็นวันนี้ ข้าพเจ้าจึงสั่นกระดิ่งเรียกคนใช้มาบอกว่าให้จัดเข้าได้ และบอกกับบรรดาแขกที่มาพร้อมนั้นว่าขาดคนไปสองคน โดยเหตุที่จะหลบหลีกไม่พ้น.
“เสียใจที่ฟรานเซสโกมาไม่ได้ กัปตันเฟรสเซียพูดพลางบิดหนวดอันยาวแหลมพลาง “เขาชอบเหล้าดีและยิ่งกว่านั้นชอบกอมปนีดีด้วย.”
“คาโร กปิตันโน!” มาควิส กวัลโดร พูดด้วยเสียงอันไพเราะ “ท่านย่อมทราบอยู่แล้วว่าฟรานเซสโกเพื่อนเราไปไหนบ้างที่คาร์โลไม่ไป. คอหอยกับลูกกระเดือกกันเทียว คาร์โลมาไม่ได้—ฟรานเซสโกก็ไม่มา พี่น้องทั้งโลกเปนอย่างนั้นบ้างไหม ?”
“ถ้าเปนเช่นนั้น” ลูเซียโน ซัลลูสตรีหัวเราะ หยุดเล่นหีบเพลงซึ่งกำลังเล่นอยู่ทันที “คนกึ่งโลกเทียวทำการอะไรไม่ได้เช่นท่าน หันหน้าไปพูดกับ ดาวองคูต์ “จะไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอย่างไร.”
ในทันใดนั้นประตูห้องรับแขกเผยออกกว้าง และนายบ๋อยได้เดินตรงมาที่หน้าข้าพเจ้า กระทำคำนับงามอย่างแบบแล้วกล่าวว่า “เลอ ดินเนอร์ เดอ มองซีเออร์ เลอ คองต์ เอ เซอร์วี”
ข้าพเจ้าลุกขึ้นทันทีและเดินนำเข้าไปในห้องโต๊ะ—พวกแขกเหล่านั้นก็เดินตามพูดกันพลาง เล่นตลกกันพลางตามพวกเขา ต่างคนต่างรื่นเริงทั่วหน้า ไม่มีใครที่จะสังเกตว่าที่สำหรับพี่น้องเรสเปตติ สองคนนั้นว่างอยู่, ข้าพเจ้าสังเกต—เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีจำนวนแต่เพียงสิบสามคน หาครบเต็มสิบห้าตามที่กะไว้ไม่. นั่งโต๊ะสิบสามคน! ข้าพเจ้าอยากจะรู้ว่าพวกเราใครจะเปนผู้ถือบ้าง ? เฟอร์รารีไม่ถือคนหนึ่งแน่ละข้าพเจ้าทราบ—เว้นแต่สติเฟือนในข้อที่เห็นลุงตาย ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็จะไม่เผยวาจาเตือนให้บรรดาแขกที่นั่งอยู่นั้นหวนระลึกเหตุที่เปนรางร้ายที่เขามักจะถือกันขึ้น. ข้าพเจ้านั่งที่หัวโต๊ะ กีโด เฟอร์รารี นั่งเบื้องขวา และดูคาดีมารีนานั่งเบื้องซ้ายข้าพเจ้า. เสียงดนตรีที่ล่องลมมาจากเรือนต้นไม้นั้นค่อยดังและโหยหวนขึ้น บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงต้นบทและลูกคู่ร้องรับกันเปนภาษาอิตาเลียน—ซึ่งข้าพเจ้าพยายามแปลเปนไทยได้ความดังนี้—
“โอนเศียรคำนับน้อม | อันเชิญ |
สถิตอาศน์อันอ่อนเทิญ | ท่านไท้ |
เสพสิ่งประเสริฐเจริญ | จรูญศุข |
จักกล่าวกลอนกล่อมให้ | เพราะพร้องเพลงพิณ |
ชำเปญเอมโอ้ | เอาใจ บารนี |
รศยิ่งรศริมไร | โอษฐ์น้อง |
เสริมศุขสร่างทุกข์ใน | พริบเนตร เดียวนา |
เฮลั่นฮาสนั่นก้อง | สนุกแก้กันหงอย |
สุราเปนเจ้าแห่ง | สรรพสนุก |
จักประสงค์ศุขศุข | สู่ได้ |
ทรากศพซื่ออาจลุก | ลดแล่น คนองนา |
มัจจุราชตัวดุไส้ | เสพแล้วเลยศรวล |
วิสาสาปรมญาติต้อง | จดจำ |
ญาติพี่สองชนิดตำ | หรับอ้าง |
หนึ่งญาติที่เกี่ยวลำ | ดับต่อ วงษ์แฮ |
หนึ่งญาติที่เราสร้าง | พราะสร้องเสพสมา” |
พอจบเสียงพวกเราก็พากันตบมือให้เปนรางวัลแก่ผู้ร้องอันเรามิได้เห็นตัวนั้น. ประเดี๋ยวเครื่องสายที่บันเลงส่งคำขับก็หยุด และเราก็ตั้งต้นสนทนากันอีก.
“ให้ตายไปเถอะนา!” เฟอร์รารีเอ่ย “ถ้าแม้คำอันเชิญนี้แปลว่าสำหรับรับรองฉันแล้ว ฉันต้องขอแสดงว่าเปนสิ่งที่เกินวาศนาไป ควรแก่พระมหากระษัตริย์จะรับรองพระมหากระษัตรีย์ด้วยเพลงและคำอันหรูหราฉนี้ !”
“ไฮ้อะไร” ข้าพเจ้าพูด “มีกระษัตริย์องค์ไหนบ้างที่นับว่าประเสริฐกว่าคนซื่อสัตย์กตัญญู ? ควรเราจะมีความหวังใจว่าเราทั้งหลายซึ่งมาประชุมกันในวันนี้ ล้วนแต่เปนผู้ที่ควรจะนับถือกันและกันสิ้น.”
ไนยตากีโดแสดงความเชื่อและกตัญญู แล้วนั่งฟังคำเยินยอของ ดูคา ดี มารีนา ซึ่งประดิดขึ้นชมการจัดโต๊ะอาหาร. “ท่านคงได้เคยเที่ยวทางบูรพาประเทศมากละกระมังท่านคอนเต้” ท่านผู้มีตระกูลดีผู้นั้นพูด “การเลี้ยงใหญ่ของท่านคราวนี้เตือนใจให้ฉันระลึกถึงเรื่องเที่ยวในประเทศตวันออกเล่มหนึ่ง เรียกว่า “วาเธก”
“เออ จริง.” กีโดเห็นด้วย “ฉันคิดว่าโอลิวานีไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย คือตัววาเธกนั้นเอง.”
“ข้อนั้นข้าพเจ้าปฏิเสธ.” ข้าพเจ้ายิ้ม “ข้าพเจ้าหาใช่คนที่จะนุ่งเอาชื่อเสียงแห่งความดีของผู้อื่นมาเปนของตัวเลย แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอาจจัดได้โดยเรียบร้อยจนต้องตาท่านทั้งหลายในวันนี้ หาได้เปน เพราะความคุ้นเคยแก่ประเทศตวันออกไม่ หากเปนด้วยความคิดอันเกิดแต่นิสัยภายในเท่านั้น.”
แอนโตนีโอ บิสคาร์ดี ช่างเขียน หันหน้ามาทางข้าพเจ้าแล้วว่า “ถูก ท่านพูดถูก ถูกทีเดียว คอนเต้. ความงามของธรรมชาติและของมนุษย์ย่อมเกิดแต่สันดานของคน อย่าดูอื่นดูไกลเลยดูแต่ช่างเขียนเถิด ช่างเขียนมีด้วยกันตั้งหมื่น แต่เขียนดีแท้มีกี่คน เพราะว่าสันดานแห่งความพินิจพิเคราะห์ และความรู้จักสวยงามหย่อนยิ่งกว่ากัน”
“นี่ท่านพูดอย่างตัวท่านเปนช่าง” มาควิส กวัลโดร พูดเสริมเข้ามา ก่อนที่จะพูดนั้นรีบตักซู้ปซดเอา ๆ เพื่อจะได้มีเวลาพูดกับเขาบ้าง—การพูดเปนหัวหน้าของความเพลิดเพลินทั้งหลาย. ฝ่ายตัวฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกว่าความพอใจนั้นอยู่ที่ไหน ความโลภไม่รู้จักสิ้นสด! นั่นเปนธรรมชาติหรือสันดานของฉันเมื่อไปเห็นดอกไม้งามเข้าดอกหนึ่ง มีความโลภอยากได้อีก—เมื่อไปเต้นรำเพลงหนึ่ง ยังไม่พอใจอยากเต้นอีก—เมื่อเห็นเดือนหงาย สิบห้าวันยังไม่พอ อยากให้หงายตาปี—เมื่อเห็นผู้หญิงน่ารักเข้าคนหนึ่ง—”
“ท่านอยากได้ผู้หญิงน่ารักอีก แอด อินฟินีตัม” กปีเตนฝรั่งเศส เดอ ฮามาล หัวเราะ กวัลโดร, ท่านควรจะไปเกิดเปนแขกเตอร์กี!”
“ทำไมจะไม่อยากไปเกิดเปนเตอร์กีเดี๋ยวนี้” กวัลโดรตอบ “พวกเตอร์กีเปนคนมีสติมาก—เขารู้จักทำน้ำกาแฟดีกว่าพวกฝรั่งมาก และก็สิ่งไรจะเปนเครื่องบรรเทิงมากกว่าคณะพธูมีอีกเล่า ? คณะนั้นคงเปนเรือนแก้วปลูกดอกไม้หอม ที่เจ้าของมีกรรมสิทธิ์จะเดินเข้าไปเด็ดดอกไม้ชมได้ตามสบายใจ บางทีเด็ดดอกบัวบงกชช้อย ชูใจ บางทีเด็ดดอกไวโอเลต—บางทีก็เด็ด—”
“เอาหนาม?” ซัลลัสตรีแนะ.
“อื่อ บางทีก็เปนได้ !” มาควิสหัวเราะ “เริ่มต้นความประสงค์ก็จะเด็ดดอกกุหลาบที่พึ่งแย้ม บางทีสุ่มสี่สุ่มห้าไปคว้าเอาหนามก็เปนได้. ไม่เถียง.”
ยิ่งรับประทานกับเข้าแล้วไปหลายสิ่ง ความสนุกของบรรดาที่นั่งโต๊ะยิ่งสูงขึ้นจามดีกรี หัวเราะเมื่อแต่แรกเปนแต่เพียงกิ๊กๆ ก็กลายเปน หา ๆ ๆ ๆ สนทนาเดิมก็เปนแต่เพียงพอประมาณไม่ถึงกับหนวกหู ลงท้ายกลายเปนน้องพวกชาวตลาดไป สอดเสียงกับเสียงถ้วยแก้วและจานกระทบกัน ประเดี๋ยว ๆ ได้ยินเสียงกัปตันเฟรสเซียโด่งขึ้นยอดเสียงสบถอะไรต่ออะไรกลุ้ม บางที่ได้ยินเสียงดาวองคูต์แปร๊ดเข้าแก้วหู และประเดี๋ยวได้ยิน ลูเซียโน ซัลลัสตรี ร้องเพลงของดานเต้หรือของ แอรีออสโต แทนสนทนา ส่วนตัวข้าพเจ้าเองต้องหันหน้าพูดกับเฟอร์รารีที พูดแก่ดุ๊กที แต่ค่อนข้างจะเอาใจใส่คุยแก่เฟอร์รารีมากกว่า เปนธรรมดาที่เจ้าของบ้านจะต้องสนทนากับแขกตัวสำคัญให้มากหน่อย.
ครั้นรับประทานกับเข้าไปถึงจานนก เสียงร้องเพลงก็ตั้งต้นบทใหม่ ร้องเนื้อเพลงแล้วรับด้วยเครื่องสายแมนโดลีน. ในขณะนั้นเสียงที่จ้อกแจ้กหยุดทันที หยุดดุจประหนึ่งท่านผู้มีอำนาจมากเดินเข้ามาในห้องนั้นและออกคำสั่งว่า “เงียบ.” ไม่มีใครพูด ไม่มีใครกระดิกตัว เสียงฝีเท้าบ๋อยที่เดินบนพรมอันอ่อนนุ่มก็ไม่ได้แว่วถึงหู ไม่ได้ยินเสียงดังอะไรหมด นอกจากเสียงน้ำพุในเรือนต้นไม้ พุตกต้องต้นเฟินและปาล์ม. ถึงตัวข้าพเจ้าเองได้เผยริมฝีปากจะทำลายความเงียบก็จริง แต่เผยแล้วก็กลับหุบ หมดปัญญาไม่รู้ว่าจะพูดว่ากระไร. เฟอร์รารีนั่งเอามือลูบถ้วยแก้วเหล้าเล่นดูเหมือนลูบไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะเช็ดจะถูถ้วยเลย—ส่วนดุ๊กนั่งซึมปั้นก้อนขนมปังทำยาเม็ดง่วน ไม่รู้ว่านี่มาเกิดเปนหมอขึ้นเมื่อครั้งไร และโรคชนิดไหนจะชอบกับยาเม็ดอย่างนี้. พากันนั่งอยู่นานไม่น้อย. ในทันใดนั้นวินเช็นโซ ในหน้าที่นายบ๋อย เปิดจุกขวดเหล้าชำเปญดังพล้อกใหญ่! เราทุกคนตกใจ ราวกับใครเอาปืนมายิงกรอกกระบอกหู และมาควิส กวัลโดร หัวเราะก้ากออกมาได้.
“นี่อะไรกัน !” เขาร้อง “เออพึ่งจะตื่นนอนแหละ! โท่ๆ ดูดู๋ พากันเปนใบ้ไปหมดได้ นั่งจ้องดูผ้าปูโต๊ะนั้นจะเอาสวรรค์วิมานอะไรหรือ ?”
ลูเซียโน ซัลลัสตรี หัวเราะแล้วตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น. ท่านไม่เคยได้ยินท่านผู้เถ้าเล่าให้ฟังบ้างหรือว่าถ้าในการงานอันประชุมด้วยคนเปนอันมาก สนทนารื่นเริงกันอยู่แล้วมานึ่งผลับลงพร้อมกัน ราวกับนัดฉนี้ ท่านว่านางฟ้าเหาะเข้ามาในห้อง และให้พรแก่ผู้บรรดาที่อยู่ในประชุมอันนั้น.”
“เรื่องนี้มันโบราณยิ่งกว่าท้าวแสนปมอีก” เชวาเลีย มันซีนีพูด. “เขายกเลิกแล้ว—เดี๋ยวนี้นางฟ้าเขาก็ไม่เรียกกันว่านางฟ้า—เขาใช้คำว่าผู้หญิงแทน.”
“เด็ดเทียว” กัปตันเดอฮามาลร้อง “แม้ความคิดช่างตรงกัน ปับจะพูดแต่พูดไม่ทันแย่งไปเอาคะแนนเสียก่อนได้ แต่ยังมีผิดอยู่นิด ที่ท่านเชื่อว่าผู้หญิงเปนนางฟ้า- ฉันไม่อย่างนั้น เปนนางตรงกันข้ามกับฟ้า อย่าเลยอย่าเทลาะกันด้วยคำๆ เดียวเลย-อา โวตร์ซองเต มองแชร์!”
ว่าดังนั้นแล้วเขาก็ยกถ้วยสุราขึ้นดื่นมจนหมด ก้มศีร์ษะแก่มันซีนีผู้กระทำตามอย่างเดียวกัน.
“บางที” กัปตันเฟรสเซียพูด “การที่เกิดนิ่งขึ้นกลางคันนั้นจะบอกอุบัติเหตุละกระมัง เหตุซึ่งเจ้าของบ้านผู้ประเสริฐของเราเห็นว่าเปนของไม่ควรจะกล่าว.”
หน้าทุกหน้าหันไปทางเดียวกันหมด “ที่ท่านพูดนั้นท่านหมายความว่าอย่างไร ? อธิบาย ๆ” ประสานเสียงกันหลายเสียง
“เปล่า ไม่มีอะไรดอก” เฟรสเซียพูดอย่างขี้เกียจพูด “ไม่เปนเหตุสำคัญอะไรจริง ๆ เปนสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ความคิดถือกันเปนโทษที่จะติพี่น้องเรสเป็ตตีทั้งสองนั้น—การที่ไม่มาในคืนวันนี้จึงส่อให้เกิด.....ไม่ควรจะรบกวนให้ท่านคิดยุ่งเหยิง ฉันไม่ใช่คนถือคนแถอะไร—แต่ทว่าบางคนคงถือ.”
“อ้อเห็นแล้ว!” ซัลลัสตรีพูดสอดขึ้นเร็ว “เรานั่งโต๊ะสิบสามคน !”