๑๐

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงเมืองเนเปิลส์ราวปลายเดือนกันยายน. อากาศนับวันจะหนาวมากขึ้น โรคร้ายอหิวาตะกะก็ค่อยซาเบาบางลง การงานในบ้านเมืองก็เปนไปอย่างแต่ก่อน ความสนุกกลับคืนมาสู่รัง และสโมสรต่าง ๆ ก็รื่นเริงครึกครื้นขึ้นอีก

ครั้นมาถึงเมืองข้าพเจ้าก็หาโฮเต็ลอย่างที่ดีอยู่ และบอกเจ้าของโฮเต็ลว่าจะซื้อม้าดีสักคู่หนึ่ง รถสักคันหนึ่ง และต้องการคนใช้อย่างดีคนหนึ่ง การที่เจ้าของโฮเต็ลแป้นข้าพเจ้าเพียงไรนั้นไม่จำเปนจะต้องอธิบาย เพราะใคร ๆ ก็ย่อมทราบอยู่แล้วว่าเงินเปนแก้วสารพัดนึกในสมัยนี้ เชื่อได้แน่ว่าถึงจะเปนเจ้าพระยาเสนาบดีมาอยู่ ก็นายโฮเต็ลคงจะไม่ไปปะฏิบัติอย่างกระทำแก่ข้าพเจ้า.

พอเย็นลงวันนั้น ข้าพเจ้า ผู้ที่กระทำให้คนทั้งปวงนึกว่าเปนเคานต์ เซซาเร โอลิวา ได้เริ่มการที่จะแก้แค้น เย็นวันนั้นเปนวันเย็นสบายลมพัดเรื่อยเฉื่อยมาทางทะเล ท้องฟ้าเปนสีสวยราวกับมุกแกม โอปอล์ พระอาทิตย์เลี้ยวลับเหลี่ยมโลกแล้วแต่ยังทอแสงขึ้นมาสว่างไสวดูเปนน่าพึงชมยิ่งนัก น้ำในทะเลอันเงียบสงบด้วยคลื่น เมื่อต้องลมโชยอ่อน ๆ ก็ริ้ว ๆ เปนระลอกเล็ก ๆ รับแสงตวันยอแสงเข้าดูพราวพรายเปนเหลื่อมประภัศสร. ครั้นรับประทานอาหารเย็นแล้วก็เดินไป ณ ห้องรับประทานกาแฟใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งในเมื่อข้าพเจ้ายังเปนฟาบีโอโรมานนั้นชอบมาเพลิดเพลิน ณ ที่นี้เนือง ๆ กีโดเฟอร์รารี เคยมาที่นี้แทบทุกคืนก็ว่าได้ เพราะฉนั้นวันนี้บางทีคงจะได้เจอะเขา. ห้องอันมีลวดลายงดงามวิจิตรพึงชมนี้ในไม่ช้าก็เต็มไปด้วยฝูงชนทั้งสองเพศ โดยเหตุที่อากาศเย็นสบายเจ้าของโรงจึงตั้งโต๊ะเติมขึ้น หลามถนนออกไปรวมเปนโต๊ะเล็กหลายร้อยตัว เกือบแทบทุกโต๊ะมีผู้มานั่งรับประทานน้ำแขง ไอสกริม น้ำองุ่นกลั่นต่าง ๆ และกาแฟ อกใครก็ไปนั่งสนทนากันเปนพวกเปนเหล่า แสดงความยินดีที่โรคอหิวาตะกะค่อยซาไปและได้กลับมาเห็นหน้ากันอีกครั้ง. ข้าพเจ้าเหลียวไปดูข้างหลังเห็น—ข้าพเจ้าไม่ผิดเปนแน่ เห็นเพื่อนขบถของข้าพเจ้ามานั่งตามสบายบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และเอาเท้าขึ้นพาดบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งคาบบุหรี่ แล้วประเดี๋ยว ๆ ชำเลืองอ่านหนังสือพิมพ์เสียที. ที่นิ้วก้อยมือที่ยกขึ้นจับบุหรี่บ่อย ๆ นั้น. สรวมแหวนเพ็ชรเม็ดใหญ่ส่องแสงแวบรับแวมวามเปนสีรุ้งเมื่อต้องแสงไฟ. จำได้แต่ไกลว่าเพ็ชรเม็ดนั้นเคยเปนสมบัติของข้าพเจ้าไม่พักต้องมีผู้มาบอกเล่า.

นั่งนิ่งดูกีโดอยู่สักครู่หนึ่งด้วยความแค้น แต่ภายหลังนึกรู้สึกตัวขึ้นมาได้ จึงลุกขึ้นค่อย ๆ เดินมานั่งลงที่โต๊ะว่างโต๊ะหนึ่งใกล้กับโต๊ะกีโด. เขาลดกระดาดจดหมายเหตุลงดูข้ามหัวหนังสือมาเห็นข้าพเจ้า แต่ไม่มีอะไรในเรื่องผมขาวและแว่นตาสีทำให้เขาพิศวงเลยสักนิด เขาจึงยกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านเรื่องต่อไปอีก ข้าพเจ้าเอาไม้เท้าเคาะโต๊ะ เรียกคนใช้ที่นั่น ให้เอากาแฟมาให้แล้วก็จุดบุหรี่ ถือหนังสือพิมพ์ขึ้นนั่งแบบเดียวกับกีโดเปนทีเอาอย่าง ข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดว่า “เอาบ้างหละหรือ!” แต่ข้าพเจ้าทำเฉย ไถลควักเงินให้รางวัลคนใช้ที่เอากาแฟมาให้ อย่างมากที่จะไม่เคยได้รับเท่า ซึ่งเขาตลีตลานฉวยใส่กระเป๋าและแสดงความขอบใจมาก.

แล้วข้าพเจ้าถามคนใช้คนนั้นด้วยเสียงห้าวอย่างที่ได้หัดไว้นั้นว่า “นี่แน่แก! แกเห็นจะรู้จักเมืองเนเปิลซ์ดีอยู่!”

คนใช้ตอบว่า “รับประทานก็รู้จักดีขอรับซินยอ.”

“บ้านเคานต์ ฟาบีโอ โรมานี เสรษฐีใหญ่นั้นไปทางไหนกัน.” ฮา! ได้การ ถูกที่คันเข้าแล้ว ถึงโดยจะไม่ได้ดูตรง ๆ ก็จริง แต่เห็นทางหางตาเห็นเขาสดุ้งเฮือกทั้งตัวราวกับถูกแมลงต่อย แล้วทีนี้นั่งระวังคอยเงี่ยหูฟังว่าเราจะพูดอะไรต่อไป.

คนใช้ตอบว่า “ท่านเสียเสียนานแล้วแหละขอรับ.”

“อะไร! ตายจริงหรือ?” ข้าพเจ้าแสร้งทำสดุ้งตกใจ “ไม่น่าเชื่อ. อะไรทั้งหนุ่มทั้งแน่น!”

“อื้อฮือ! วาศนาท่านสร้างไว้เท่านั้นเองนี่ขอรับ. อ้ายโรคพรรณนั้นมันไม่หยอก ไม่มีหยูกยาอะไรที่จะแก้ไขได้ อ้ายพรรณนั้นมันไม่ธุระกับใคร ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ ไม่ว่ามีหรือจน ถ้ามันต้องการแล้วเปนจอดมัน.”

“อนิจจา! ปู้โธ่เอ๋ยเสียแรงเปนเพื่อนเปนฝูงกัน มาไม่ทัน ไม่ทันได้เห็นใจ ตั้งใจมาว่าจะได้พบ ควรหรือมาชิงตายเสียแต่ยังหนุ่มยังแน่น ก้อพวกพ้องยังอยู่มีบ้างหรือไม่ ?—มีเมียหรือเปล่า ?”

“คนใช้ตอบว่า” มีซีขอรับ! คอนเตชซา โรมานี อยู่ที่บ้านเดิมของท่านซิขอรับ แต่กะผมเข้าใจว่าท่านไม่รับรองแขกเหรื่อเลยตั้งแต่สามีถึงแก่กรรม แม้ใต้เท้าขอรับ ท่านผู้หญิงยังสาวสวยพริ้งอย่างเทพธิดาอยู่เลยขอรับ มีบุตรน้อยอยู่คนหนึ่งด้วยน่าเอ็นดู๊ น่าเอ็นดูขอรับ”

กิริยาของเฟอร์รารี กระทำให้ข้าพเจ้าเหลียวมาทางที่เขานั่ง. เขาชะโงกตัวมาทางเก้าอี้ข้าพเจ้า เปิดหมวกด้วยกิริยาอันเรียบร้อย อย่างที่ข้าพเจ้าเจนแก่ตาดีและว่า:

“รับประทานโทษในการที่พูดสอดขึ้นมาฉนี้ เคานต์โรมานีที่ถึงแก่กรรมกับฉันรู้จักกันดีมาก—บางทีอาจจะพูดได้ว่าในเมืองเนเปิลซ์นี้แล้วเคานต์โรมานีไม่สนิทใครมากกว่าฉันไป ถ้าแหละท่าน มีความประสงค์ที่จะทราบเรื่องราวของท่านเคานต์โรมานีแล้ว แม้ไม่พ้นความรู้ของฉันแล้วจะมีความยินดีที่จะรับเปนผู้อธิบายให้ท่าน”

โอน้ำเสียง! น้ำเสียง! น้ำเสียงกรอกช่องหูเสียดลงแทงหัวใจ เล่นเอาข้าพเจ้าพูดไม่ออกอยู่สักครู่ใหญ่- ทั้งโกรธทั้งแค้น ปิดช่องลมเสียหายใจไม่ใคร่คล่องสดวกได้. เปนการเคราะห์ดีมากที่เปนอยู่ชั่วประเดี๋ยวเดียว- ข้าพเจ้าจึงเปิดหมวกรับคำนับและตอบว่า :

“จะขอบพระเดชพระคุณเปนอันมาก และจะไม่ลืมคุณท่านเลย ถ้าและท่านจัดการอนุเคราะห์ให้ได้เจอะกับพวกพ้องวงษ์ญาติของเคานต์โรมานี้ได้. ท่านเคานต์ผู้บิดากับฉันนั้นรักใคร่เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยิ่งเสียกว่าพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวเสียอีก....ผู้ชายเราเปนฉนี้เนือง ๆ ท่านยังไม่ทราบชื่อเสียงฉัน เพราะฉนั้นจงให้อภัยในการที่จะบอกนามแห่งตระกูล และฉเกาะตน.” เมื่อว่าดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ควักเอาก๊าดชื่อส่งให้กีโด และกระทำกิริยาอันอ่อนน้อมประกอบด้วย. เขารับเอาก๊าดไปอ่านแล้วชำเลืองมาดูด้วยความนับถือ และพอใจปนกัน.

“คอนเต เซซาเร โอลิวา!” เขาพูด “การที่ได้พบท่านวันนี้ต้องถือเอาว่าเปนโชคลาภอย่างประเสริฐ! เรื่องที่ท่านจะมายังเมืองนี้นั้นทราบเสียนานแล้ว หนังสือพิมพ์มันลงออกแซ่ไป. ออกเสียใจแทนด้วยหน่อย ๆ ที่หวังใจว่าจะมาอยู่ให้เปนศุขสำราญ พอมาถึงก็ได้รับข่าวอันกระทำให้สลดใจ แต่หวังใจว่าความเศร้าใจนั้นคงจะไม่ฝังในหัวใจท่านช้านัก ประดุจก้อนเมฆอันลอยมาบังแสงอาทิตย์ไม่ช้าก็จะเลื่อนลอยไป และพระอาทิตย์ก็ส่องแสงจ้าได้ดังเดิม.”

ว่าดังนั้นแล้วก็ยื่นมือมาให้จับอย่างคนใจกว้างชาติอิตาเลียน. ข้าพเจ้ารู้สึกเสียวซ่าไปทั้งตัว เอ๊ะ! นี่จะยังไรกัน ข้าพเจ้าหน้ะหรือจะจับมือกับเขา ยังไรอยู่ แต่ต้องจำใจจับ มิฉนั้นการที่คิดไว้จะไม่สำเร็จ ถ้าจะไม่จับมือด้วยกีโด ๆ ก็จะแคลงใจ—ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเปนเสียสมบัติผู้ดีไป ต้องจำใจจำฝืนแก้มให้ยิ้ม ฝืนเส้นประสาทแห่งมือได้ยื่นออกไปสำผัสกับเขา. พอมือต่อมือกระทบกัน ข้าพเจ้ารู้สึกขยะแขยงสอิดสเอียนราวกับจับหนู นึกหักไปเสียอีกที่หนึ่งว่า ไหน ๆ ต่อไปข้างหน้าเรายังจะคบค้าจับมือจับไม้กันอยู่เสมอ ความอดทนและความปลงตกจึงจะลุซึ่งมรรคซึ่งผลในเบื้องหน้า เฟอร์รารีไม่เห็นกิริยาตะกุกตะกักของข้าพเจ้า เขาหันหน้าไปพูดกับคนใช้ที่ยืนรี ๆ รอ ๆ ดูเรากระทำซึ่งความรู้จักกันว่า :

“เฮ้ย การ์ซอง (คนใช้) ! ไปเอากาแฟมาอีกไป ง่า—เอาเหล้า กลอเรียสองถ้วย” แล้วหันหน้าพูดกับข้าพเจ้า “เหล้ากลอเรียยังไง ท่านคอนเต้ ? ตกลง ? ดี. นี่ก๊าดชื่อ” ว่าแล้วก็ควักก๊าดชื่อออกจาก กะเป๋าเสื้อวางบนโต๊ะ “กีโด เฟอร์รารี ยินดีที่จะรับใช้สรอยในท่าน, เปนแต่เพียงช่างเขียน ช่างเขียนอย่างฝีมือเลวๆ เราจะต้องตั้งพิธีสมโภชความที่ได้มารู้จักกันวันนี้จึงจะดี พิธีนั้นคือต่างก็ดื่มให้พรซึ่งกันแลกัน”

ข้าพเจ้าก้มศีร์ษะแสดงว่ารับ. เจ้าคนใช้ก็รีบไปจัดของตามสั่ง. กีโดก็เลื่อนเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้ข้าพเจ้า.

“ฉันเห็นท่านก็นักเลงบุหรี่” เขาพูดสนุกตามเคย “เชิญสูบของฉันดู จะจัดเอาเปนอย่างดีทีเดียวไม่ได้ แต่อย่างดีที่สุดสำหรับคนจน ๆ อย่างนี้.” ซองบุหรี่ที่เขายื่นมาให้ข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ของคนอื่นคนไกลเลย ของของข้าพเจ้าแท้ ๆ มีตราสำหรับตะกูลโรมานีและอักษรชื่ออยู่บนนั้นบริบูรณ์ดี.

ข้าพเจ้ารู้สึกสนุกยิ้มแล้วว่า “ของเก่ามาก” พลิกกลับไปกลับมา “เปนของดีมีราคา ใครให้ท่านหรือ หรือเปนมรฎกเปนชั้น ๆ มา.”

“เปนของเพื่อนที่ถึงแก่กรรม เคานต์ ฟาบีโอ” กีโดตอบ และพ่นควันบุหรี่ออกมาโขมง “เมื่อเขาถึงแก่กรรมพ่อบาดหลวงเจอะซองอันนี้อยู่ในกระเป๋า ใช่แต่เท่านี้ยังสิ่งอื่นอีกมาก ได้นำไปให้ภรรยาเขา และ—”

“และภรรยาได้ให้ซอง ๆ นี้แก่ท่านไว้เปนที่ระลึกแห่งผู้ตายหละซี” ข้าพเจ้าพูดขัดเข้าไป.

“ก้ออะไรเสียอีกเล่า อา! ท่านนี่เก่งมาก ทายถูกเปี๊ยบยังกะเห็น ขอบใจ” เขาก็รับเอาซองนั้นกลับไปและยิ้มเรี่ย ๆ.

ข้าพเจ้าแกล้งทำถามว่า “นี่แน่ะภรรยาท่านเคานต์โรมานียังสาวหรือ?”

“แม้ ยังสาวสรวยพริ้ง! ตั้งแต่เล็กจนโตตราบนี้ ยังไม่ได้เคยเห็นนางใดที่จะงามเท่า ท่านคอนเต้ นี่หากว่าท่านเปนหนุ่ม ฉันก็คงจะไม่กล่าวโฉมให้ฟัง แต่นี่ผมขาวแล้วจึงเปนที่ไว้วางใจได้ ไหน ๆ พูดละพูดเสียหน่อยเถอะ ฟาบีโอที่ตายถึงจะเปนสหายของฉัน และทั้งเปนคนดีรอบคอบก็ยังไม่ดีสมกับภรรยาของเขาเลยแต่สักนิดน้อย.”

“อ้อ ยังงั้นหรือ!” ฉันรู้จักตั้งแต่ยังย่อม ๆ อยู่ เมื่อเล็ก ๆ ดูเปนคนมีใจคอน่ารัก โอบอ้อมอารีแก่เพื่อนฝูง ท่าทางจะเปนคนดีมาก บิดาเขาคิดว่าบุตร์ของเขาโตขึ้นคงใช้การได้ไม่เหลวใหลเลอะระยำ ถึงตัวฉันเองนั้นคิดเห็นเปนอย่างนั้น. เมื่อยังอยู่ต่างประเทศนั้นได้ทราบข่าวเนือง ๆ ว่า ทรัพย์สมบัติซึ่งได้ตกมาอยู่ในความปกครองของเขานั้น เขาปกปักรักษาดีอยู่เปนคนใจบุญศุลทาน ทำทานทีละมากๆจริงอยู่หรือประการใด และเรื่องที่เปนนักเลงหนังสือนั้นจริงหรือไม่ ?”

“ข้อที่ท่านกล่าวมานั้นล้วนแต่ความจริงทั้งสิ้น” เฟอร์รารีตอบ “เปนคนดีนั้นดีจริง ไม่เถียง พร้อมกิริยาวาจาเปนผู้ดี มีความรู้หลักนักปราชญ์เปนคนไม่เคลือบแคลงสงไสยเสียแต่—แต่เปนฟูล!”

เปนใครบ้างจะไม่เคือง ในการที่จะมาเปนตอให้ไต้ตำเล่น—แต่ต้องระงับความโกรธนิ่งไว้ก่อน หาไม่เรื่องที่คิดไว้จะเปนอันไม่สมประสงค์ จึงแกล้งทำหัวเราะ

“เบรโว!” ข้าพเจ้าร้อง “อาฮา ใคร ๆ ก็ย่อมเห็นได้ว่าท่านเปนคนอย่างเรี่ยมมาก! ท่านไม่ชอบคนสุจริต - - หา, หา, เรี่ยม! ฉันเห็นด้วย อายุฉันก็มากแล้วพอจะทราบได้ว่าทุกวันนี้โลกหมุนทางไหน, แน่ะกาแฟเรามาแล้ว—เหล้ากลอเรียก็มา! ฉันดื่มให้พรท่านด้วยความยินดีอย่างเต็มอกเต็มใจ ซินยอเฟอร์รารี ตั้งแต่นี้ไปท่านกับฉันจงนับกันว่าเปนมิตรสหายชาวเกลอเถอะ”

ทีแรกดูเหมือนโดจะรู้สึกประหลาดใจในข้อที่ข้าพเจ้าโดดผลุงเข้าเปนเกลอนนั้น แต่ภายหลังเขาหมดความสงไสย คุยหัวร่อต่อกระซิกสนิทสนมขึ้นมาก เรื่องที่นั่งคุยอยู่นั้นบางทีก็เหออกจากทางบ้าง แต่ครั้นแล้วก็หวนเข้าทางเดิม ซึ่งเปนธรรมเนียมของความสนทนา เขาเล่าเรื่องที่ข้าพเจ้าไปในเวลาเช้าเจอะเด็กขายผลไม้เปนอหิวาตะกะโรคที่ตามทาง จนถึงเขาเอาข้าพเจ้าไปฝังในห้องซุ้ยให้ข้าพเจ้าฟังลเอียดละออดี.

“เขามีดีอย่างหนึ่ง เมื่อเจ็บนั้นไม่ยอมให้ใครพามาบ้าน ด้วยกลัวว่าโรคจะติดลูกติดเมียนุงนัง.” กีโดพูด.

ข้าพเจ้าถามว่า “บุตรนั้นเปนหญิงหรือชาย ?”

กีโดตอบว่า “ลูกผู้หญิง ยังเล็กนี๊ด ไม่เห็นเปนเรื่องเปนราว อยู่หนักโลกเหมือนพ่อ.

ความโกรธแล่นขึ้นตามเส้นเลือดข้าพเจ้าซ่า รู้สึกว่ากีโดคงเห็นหน้าข้าพเจ้าแดงแต่จะเข้าใจเสียว่าแดงเหล้ากระมังจึงไม่สงไสย. ดูเอาหรือคนที่เคยอุ้มเคยชูเด็กนั้นมา และแกล้งกระทำกิริยาให้โลกทั้งหลายเห็นว่ารักเด็ก มาบัดนี้มาพูดว่าต่างๆ นาๆ ได้ควรหรือจะกระทำแก่ทารกอันยังไม่รู้จักความ และทั้งเปนกำพร้าพ่อได้ถึงเพียงนี้ เรื่องนางแม่นั้นคงไม่เอาเปนธุระปะปัง อ้ายกีโดมันรู้เลศนัยเปนแน่ มันจึงกล้าถึงปานนี้ อนิจจานี่แม่ดาราน้อยมิได้รับความลำบากมานักต่อนักแล้วหรือ เคราะห์ของเจ้าหล่อนที่ได้เกิดมาเปนหอกข้างแคร่จึงต้องรับความเดือดร้อน, แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ปริปากว่ากระไร หรือแสดงกริยาแปลกประหลาดอันใด—หยิบถ้วยบรั่นดีขึ้นจิบ เพื่อจะให้แก้กระดากในใจ แล้วถามว่า “เมื่อเขาฝังเคานต์โรมานีกันนั้นท่านไปด้วยหรือเปล่า?”

เฟอร์รารีเลิกคิ้วและคงนึกในใจว่า ข้าพเจ้าถามซอกแซกเปนแน่. “ทำไมเดี๋ยวนี้! ท่านสงไสยหรือ? บางทีท่านจะยังไม่เข้าใจซึมซาบดี ฉันหนืะเปนเพื่อนสนิทของเคานต์อย่างที่สุด เกือบว่าได้ว่าจะยิ่งไปเสียกว่าพี่น้องอีก. เปนธรรมดาทีเดียวที่จะต้องไปฝังศพเขาด้วย.”

“อ้อ—อ้อ ขอโทษที ขอโทษที—ความแก่ความเถ้าทำให้ใจไม่สู้ดีไป นึกเสียว่าอ้ายโรคพรรณนั้นติดกันได้และคนคงกลัวอ้ายโรคร้ายมากเหมือนฉัน ลืมนึกไปว่าท่านเปนหนุ่มและฉันมันหง่อมแล้ว. ขอโทษที.”

“ง่า—ไม่เปนไรดอกน่า ขอโทษขอโพยอะไร! ที่ตรงฉันไม่เคยเจ็บเคยไข้เลยตั้งแต่เล็กแต่น้อยมา และถึงอ้ายโรคพรรณนั้นในคราวนี้ก็ไม่กลัวดุ้งเสียเลย ในขณะนั้นไม่ได้นึกได้ฝันเลย—แต่พระบาดหลวง—คณะเบ็นเนดิคตีน - รุ่งขึ้นอีกวันจบเห่.”

“อื้อ! ปู้โธ่ ปู้โธ่ ปู้โธ่ อนิจจา อนิจจา. ตัวท่านเองคงตกใจใหญ่ละซีน่า ?”

“เปล่าเลย ไม่มีเสียละ จะบอกท่านตามจริงหมอเขาทายว่าฉันจะไม่ตายด้วยโรคอย่างหนึ่งอย่างใดเลย จริงๆ นา. เรื่องเจ็บตายด้วยโรคเปนปิดประตูได้ จะไม่เชื่อก็จะกะไร ๆ อยู่ ตั้งแต่เล็กมาก็ไม่เคยรู้จักเจ็บไข้. โรคร้ายแรงเกิดมีขึ้นที่นี่ก็หลายครั้ง ก็ยังไม่เห็นเปนอะไรกับเขา มิไยใครจะเจ็บตายกันไปก็ช่างใคร ที่ตรงฉันสบายใจเฉื่อย.”

“แปลกมาก!” ข้าพเจ้าพูดด้วยความปลาดใจ เพราะว่านี่เปนของใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับ. “แล้วเขาทำนายว่ากระไรต่อไปอีกเล่า!”

“เขาทำนายต่อไปว่า ฉันจะตายด้วยมือของคนที่ชอบพอคุ้นเคยกันมาก. ตรงนี้บ้าพิลึกไม่เห็นจะเปนไปทางไหนเลยยิ่งมาเดี๋ยวนี้ยังไม่เห็นสมจริงใหญ่ เพราะอะไร เพราะคนที่นับว่าเปนมิตร์สหายอย่างเอกหรือเกือบว่าอย่างเอก ก็เคยมีแต่คนเดียวเดี๋ยวนี้เขาก็ตายและอยู่ในห้องซุ้ยแล้ว ใช่คนอื่นคือเคานต์ฟาบีโอ โรมานี นี่เอง. อย่างนี้แหละ จะให้เชื่อตอนปลายนี้อย่างไรได้, อิมทีเดียว.”

ว่าดังนั้นแล้วเขาก็ถอนใจใหญ่ และข้าพเจ้าเพ่งตามองตกตลึงนิ่งอยู่.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ