วันวันนั้นดูช่างยาวเสียนี่กระไร ข้าพเจ้าเที่ยวมันเปื่อยไปตามในเมืองเพื่อจะให้เวลาเปลืองหมดไป ได้พบหน้าคนที่เคยรู้จักน้อยคนเต็มที โดยเหตุที่คนมีอันจะกินกลัวอหิวาตะกะโรค อพยบครอบครัวไปอยู่เสียเมืองอื่นบ้าง ปิดประตูเงียบอยู่แต่ในบ้านเสียบ้าง. เลี้ยวไปทางถนนไหนก็เจอะกระบวนแห่ศพ แทบทุกถนนก็ว่าได้. ในบ้านแห่งหนึ่งข้าพเจ้าเห็นคนมุงอยู่ที่ประตูบ้านหลายคน ข้าพเจ้าจึงแวะเข้าไปดูกับเขาบ้าง เห็นพวกเบ็คคามอร์ตี (สัปเหร่อ) กำลังช่วยกันจะเอาศพชายคนหนึ่งลงโลงซึ่งค่อนข้างจะย่อมอยู่สักหน่อย เขาไม่ปรานีปราไสเลยกดตัวลงไป แล้วก็ยัดแข้งขาแขนคอลงไป—ดูเหมือนได้ยินกระดูกหักลั่นดังเผาะๆ ข้าพเจ้ายืนอยู่นั่นอดรนทนไม่ได้ จึงร้องพูดไปด้วยเสียงอันดังว่า:

“ควรจะชัณสูตร์ดูเสียให้แน่ก่อนว่าตายจริงหรือเปนแต่เพียงสลบไป.”

เบ็คคามอร์ตีคนหนึ่งเหลียวหน้ามามองข้าพเจ้าด้วยความปลาดใจมาก! อีกคนหนึ่งสบถว่า “ฟ้าผ่าเทอนา อีตานี่พิลึกจริงแกบ้าหรือ ยังไงนี่ แกเห็นที่ไหนบ้างว่าอ้ายห่ามันจิกแล้วจะรอดกลับมาได้บ้าง ดูซิ! ตายนิ่งยังกะไม้ขอน ถ้ามันไม่ตายดี ข้าจะรับหน้าที่หมื่นตามเอง หักคอให้มันวอดลงไปด้วยกัน จะยากง่ายอะไรเดี๋ยวนี้” ข้าพเจ้าทนน้ำคำและดูสิ่งที่อุจาดต่อไนย์ตาไม่ได้ เลยต้องรีบหนีไปเสียให้พ้น

ข้าพเจ้าตั้งใจจะแวะไปดูตึกเล็กริมทาง ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปนอนเจ็บอยู่ เมื่อมาถึงเห็นประตูตึกเปิด จึงเดินตรงเข้าไปข้างในตึก เห็นตาเปโตรเจ้าของตึกนั่งเช็ดถ้วยแกร๊ก ๆ อยู่ ดูราวกับตั้งแต่วันนั้นจนเดี๋ยวนี้ ยังมิได้หยุดเช็ดหยุดขัดเลย ม้าไม้ตัวที่ข้าพเจ้าได้นอนเจ็บตั้งอยู่ที่เดิม. เจ้าของตึกเหลียวหน้ามาเห็นข้าพเจ้าเข้าก็ร้องตามธรรมเนียม ข้าพเจ้าก็คำนับตอบแล้วสั่งให้เจ้าของตึกหากาแฟและขนมปังสดมาให้ แล้วก็นั่งลงที่โต๊ะหยิบเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นพลิกอ่าน.

ฝ่ายตาเถ้าเจ้าของตึกจัดของที่ข้าพเจ้าสั่งมาให้พร้อมแล้ว ก็มานั่งลงที่โต๊ะปราไสยว่า “ท่านเห็นจะไปอยู่ทะเลนาน, เอมิโค (เพื่อน) ? คงได้ผักปลามามาก ?”

ข้าพเจ้างงไม่ทราบว่าจะตอบว่าอย่างไร อยู่สักครู่หนึ่ง ครั้นแล้วก็แสร้งยิ้มแล้วตอบว่า “ก็ได้บ้าง” แล้วก็ย้อนถามว่า “ท่านตั้งร้านขายของกินที่นี่ยังได้กำไรอยู่หรือ ? เดี๋ยวนี้อ้ายเจ้าอหิวาตะกะโรคหน้ะเปนอย่างไรบ้าง ?”

เจ้าของตึกหน้าสลดลงทันทีสั่นศีร์ษะแล้วว่า “เต็มทีพ่อเจ้าประคุณ อย่าเอ่ยถึงมันเลย เหลือหละ คนตายร่อย ๆ ตามกันราวกับแมลงวันตกกระถางน้ำผึ้ง, อุ๊ย! เมื่อวานนี้เองแหละ ปูโท่! ใครจะนึก จะฝันว่าจะเปนได้?” แล้วแกก็ถอนใจใหญ่และโคลงศีร์ษะอย่างเศร้าโศกมากกว่าคราวก่อน.

ถึงข้าพเจ้าทราบดีว่าเจ้าของร้านจะพูดต่อกระไรก็จริง แต่แกล้งทำซักว่า “ทำไม, เมื่อวานนี้เกิดเหตุอะไรกันหรือ ? ฉันเปนคนเมืองอื่น หูป่าตาเลื่อน ยังไม่วี่ไม่แววอะไรเลย”

“ท่านเห็นจะไม่เคยได้ยินชื่อท่านเศรษฐโรมานีบ้างเลย ?” เจ้าของตึกถาม

ข้าพเจ้าแสดงกิริยาเปนการปฏิเสธ แล้วก้มหน้าลงเอาช้อนกวนน้ำกาแฟ.

“ไม่รู้จักหรือ ? เหมือนกันรู้จักหรือไม่รู้จัก ด้วยเดี๋ยวนี้เคานต์โรมานีไม่มีตัวแล้ว จบ—สิ้น แม้—เขาว่ากันว่า ท่านเคานต์คนนี้มีสมบัติพิลึก มีมากเท่ากับพระเจ้าแผ่นดินเทียว เขาว่ากันอย่างนั้น. บาดหลวงฟาซีเปรียโน หามเอาท่านมาที่นี่เมื่อเช้าวานนี้ ท่านเปนอ้ายโรคพรรณนั้น ไม่ช้าเลย ในชั่วห้าชั่วโมงและจบมัน” ที่ตรงนี้เจ้าของโรงตบตัวแมลงวันที่ต่ายหน้าแกได้ตัวหนึ่ง—“จบเหมือนกับแมลงวันตัวนี้ ท่านดับจิตรบนม้าตัวริมแกนั่งนั่นและ กว่าเขาจะจัดหาโลงหาโกงมาใส่ไปฝังได้ก็จวนตวันยอแสง. นึก ๆ ดู ก็คล้ายกับเราฝันร้าย ฮื้อ!”

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ฉันไม่เห็นจะปลาดอย่างไรเลยสักนิด ธรรมดาเกิดมาเปนมนุษย์แล้ว ไม่ว่ามั่งมีหรือจนต้องตายด้วยกันทุกรูปทุกนาม.”

เปโตรตอบว่า “ข้อที่ท่านว่านั้นก็จริงทุกประการ ไม่เถียง สมเพชแต่ท่านไม่ตายไปคนเดียว พลอยเอาพ่อซีเปรียโนไปด้วย.”

ข้าพเจ้าสดุ้งตกใจแต่ทว่าได้สติสกดใจไว้ได้ แล้วทำเปนถามอย่างลอย ๆ ตามแต่จะฝืนได้ว่า “ฉันยังไม่รู้เข้าใจถนัด พ่อซีเปรียโนนั่นคือใคร และท่านทำอะไร ?”

เจ้าของตึกตอบว่า “พ่อซีเปรียโนนั้นคือบาดหลวงองค์ที่หามเอาเคานต์โรมานีมาที่นี่ ท่านเปนโรคอ้ายพรรณนั้น ติดจากเคานต์โรมานีหรือยังไงแหละ เพราะว่าท่านคลุกคลีตีโมงอยู่กับท่านเศรษฐีตั้งแต่ล้มเจ็บจนขาดใจตาย พอตายแล้วท่านทำน้ำมนต์พรม เมื่อเอาศพลงโลงเสร็จ. ท่านเอาไม้กางเขนของท่านวางลงที่ตรงอก ครั้นแล้วท่านเอานาฬิกา ซองบุหรี่ แหวนของผู้ตายไปยังเคานเต็สผู้ภรรยา และเล่าอาการที่ตายนั้นให้ท่านผู้หญิงฟัง.”

อนิจจาแม่นีนนา ข้าพเจ้าคิดในใจ แล้วลั่นวาจาถามเจ้าของตักว่า “ข้างภรรยาเห็นจะเปนทุกข์มาก?”

เปโตรเจ้าของตึกเลิกคิ้วยกไหล่ “ก้อนี่แหละใครจะล่วงรู้เข้าไปถึงหัวใจเขาได้ พ่อซีเปรียโนท่านไม่ได้เล่าว่าเคานเต็สพูดประการใด เล่าให้ฟังแต่ว่าเปนลม. อ้ายลมหน้ะมันเปนสมบัติของผู้หญิง ผู้หญิงเปนลมหมดไม่ว่าอะไร ตั้งแต่เห็นหนูขึ้นไปจนทรากศพ. ดังที่ได้บอกท่านแล้วว่าพ่อซีเปรียโนพยาบาลเคานต์โรมานี จนถึงเอาไปฝังในห้องซุ้ยเสร็จ กลับมาถึงวัดก็รู้สึกไม่สบาย พอเช้านี้ก็ได้ข่าวว่าท่านขึ้นไปสวรรค์แล้ว ท่านเปนคนดีมาก ท่านสัญญาไว้ว่าจะจัดที่ในเมืองสวรรค์ไว้ให้ ข้าเชื่อแน่ว่าท่านคงจะทำตามที่ได้พูดไว้ อย่างเดียวกับท่านเซนต์ปีเตอร์สัญญา”

ข้าพเจ้ากลืนอาหารไม่ลงคอด้วยความสลดใจ เสือกจานของกินเลื่อนไปเสียให้พ้นหน้า แล้วนั่งรำพึงถึงเหตุที่น่าเศร้าใจไปต่าง ๆ

“เข้าแฝ่นี้เห็นจะไม่ถูกปากแก หรือว่าแกไม่สบาย กินอาหารไม่ได้?”

ข้าพเจ้าแสร้งทำยิ้ม “เปล่า—คำของท่านทำเอาฉันหมดอยาก ในเมืองเนเปิลซ์นี้ช่างไม่มีเรื่องอะไรที่จะให้เปนที่เพลิดเพลินแก่ผู้ที่มาแต่ทางไกลเลย มีแต่เรื่องตาย ตาย ตาย”

เปโตรตอบเปนเชิงแก้ตัวว่า “จะทำอย่างไรได้หล้ะเพื่อนเอ๋ย เปนเพราะอ้ายตัวห่ากับความประสงค์ของพระผู้เปนเจ้า”

ในขณะนั้นข้าพเจ้าเหลียวไปทางประตู เห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านหน้าโรงกาแฟไป ชายคนนั้นคือกีโดเฟอร์รารี—เพื่อนข้าพเจ้า! ข้าพเจ้าขยับจะผลุนออกไปพูดกับเขา แต่กิริยาทาทางสีหน้าสีตาทำให้ข้าพเจ้าชงัก. คือเขาค่อย ๆ เดินช้า ๆ พ่นควันบุหรี่ปุ๋ยๆ—มีหน้าตาอันแช่มชื่น และที่เสื้อเหน็บดอกกุหลาบสด—ดอกกุหลาบชนิดนั้นเรียกว่า คลัวร์ เดอ ฟรานศ์ อย่างเดียวกับที่ปลูกไว้ที่บนเฉลียงที่บ้าน.

ข้าพเจ้าจ้องตามมองดูกีโดเอาจริง ๆ จัง ๆ และรู้สึกกึกกักในใจมาก แต่ฝ่ายกีโดนั้นเดินเฉยไปอย่างสบายใจ—อย่างสบายใจกว่าที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นมาแต่ร่อนแต่ไร—แต่ดู—ดูดู๋—ข้าพเจ้าผู้ที่เขานับว่าเปนสหายอย่างสนิทตายชั่ววันวานนี้เอง ความทุกข์ยังสดๆ ร้อน ๆ อยู่ ดูหรือช่างมีหน้ายิ้มแย้มราวกับจะไปกินโต๊ะได้. มิหนำซ้ำเหน็บดอกกุหลาบแดงแจ๊ด มีเยี่ยงอย่างที่ไหนบ้างว่าเขาเศร้าโศกกันอย่างนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกน้อยใจอยู่สักพักใหญ่—แล้วก็กลับหัวเราะ. อะไรกับสีหน้าตาแช่มชื่น—อะไรกับดอกกุหลาบ จะเอานิยมนิยายอะไรกับหน้าผู้ชาย บางที่ทุกข์แต่แสร้งทำเปนยิ้มแย้ม บางที่ปลื้มใจแต่ทำสีหน้าสลดก็เปนได้ ก็ส่วนดอกกุหลาบเล่า บางทีเดินผ่านมาก็ฉวยติดมือมาโดยมิได้นึกได้ฝันถึง หรือมิฉนั้นขยับแม่ดาราน้อยจะเด็ดเอาไปยื่นให้ เพื่อจะให้ชอบใจเด็กเขาก็เหน็บเสื้อแต่มันก็เลยติดเรื่อยมา เมื่อพอใจในการดำริห์ของตนเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้ออกเดินตามกีโดไป ต่อพลบค่ำจึงจะไปหา.

ข้าพเจ้าหันหน้ามาที่เจ้าของตึกและถามว่า “หมดด้วยกันเท่าไร ?”

เจ้าของตึกตอบว่า “ตามแต่แกจะให้เถอะ ข้าไม่สู้กระไร ๆ นักดอก แต่เวลานี้เปนเวลาขาดแคลน หาไม่จะให้แกกินเปล่าๆ มื้อสองมื้อก็ได้ เมื่อก่อนนี้เคยเลี้ยงเปล่า ๆ บ่อย ๆ แต่เวลานี้ไม่ได้เพื่อน ทำบุญทำทานจะได้ขึ้นสวรรค์เร็ว พ่อซีเปรียโนที่ตายมักพูดเนือง ๆ ว่า เซนต์ปิเตอร์ลงบาญชีผลศีลผลทานของใคร ๆ ไว้เสมอ ทำไม่เสียเปล่า. เขาว่าจริงด้วยนาว่า มาโดนาประทานพรพิเศษแก่พวกที่กรุณาต่อพวกหาปลา เพราะท่านพวกเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น เมื่อชาติก่อนล้วนเปนพ่อค้าแม่ค้าอะไรต่ออะไรทั้งนั้น.”

ข้าพเจ้าอดหัวเราะไม่ได้แล้วก็โยนเงินให้แฟรงค์หนึ่ง.

เปโตรเก็บเอาเงินใส่กะเป๋าและว่าโดยความจริงว่า “แกกินทั้งหมดไม่ถึงกึ่งแฟรงค์อีก แต่ไม่เปนไร ไม่ไปไหนเสีย สวรรค์คงจะทดทอนให้เพื่อน อย่ากลัว อย่ากลัว.”

ข้าพเจ้าตอบว่า “แน่เที่ยว ไปทีละหนา”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ