๒๒
เสียงประตูเปิดทำให้ข้าพเจ้าได้สติตื่นจากภวํ เหลียวหน้ามาดูเห็นวินเช็นโซยืนถือหมวกอยู่ข้างหลัง—พึ่งจะเข้ามา.
“เอเฮ.” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงใจดี—“มีข่าวอะไรบ้าง ?”
“รับประทานกระผมทำตามใต้ท้าวบัญชา ซินยอเฟอร์รารีเดี๋ยวนี้อยู่ที่ห้องเขา.”
“เจ้าปล่อยเขาไว้ที่นั่นหรือ ?”
“ขอรับกระผม”—แล้ววินเช็นโซเล่าเรื่องที่เขาตามเฟอร์รารีออกจากห้องโต๊ะ และเฟอร์รารีจ้างรถขับไปส่งที่บ้านวิลลาโรมานี วินเช็นโซก็แอบซ่อนตัวเกาะท้ายรถไปด้วย.
“พอถึงที่นั่น” คนใช้ข้าพเจ้าพูดต่อไป “เขาก็ไล่ให้รถกลับไป สั่นระฆังที่ประตูบ้านอยู่ประมาณหกเจ็ดครั้ง. ไม่มีใครขาน. ตัวกระผมเองนั้นแอบต้นไม้คอยดูอยู่ ที่หน้าต่างวิลลาไม่เห็นมีแสงไฟ—มืดตึดตื้อ. สั่นระฆังอีก—จับประตูกระชากสั่นราวกับจะหักทลายลง ภายหลังเกียโชโมถือตะเกียงเดินหง่อง ๆ ออกมา.
“เปิดประตู ข้าจะเข้าไปหาเคานเตสเดี๋ยวนี้” ซินยอหนุ่มพูด ข้างเกียโชโมตัวสั่นกระพริบตาพริบๆ ยังกะนกคั้งแมว ไอกระแอมราวกะอ้ายก้อนบ้าอะไรมันติดคอ.
“เคานเตสไม่อยู่” เกียโชโมตอบ.
“ไม่อยู่.” เขาร้องอย่างกะคนบ้า “ไปไหน ? บอกซีว่าไปที่ไหน ? อ้ายบอ ไม่บอกละก็เอ็งตายเดี๋ยวนี้แหละ.”
“รับประทานกระผมเรียนใต้เท้าจริงว่า ผมเกือบกระโดดเข้าช่วยเกียโชโมแล้ว แต่มานึกถึงคำสั่งของใต้เท้า จำเปนต้องนิ่งอั้นไว้. ‘ขอโทษทีเถอะ ซินยอ’ เกียโชโมพูดอ้อนวอน ‘จะบอกเดี๋ยวนี้แล้ว—บอกแล้ว. ท่านไปอยู่คอนเวนโต เดล แอนนันซีเอตา—ทางสิบไมล์—พูดจริง ๆ—ไปได้สองวันวันนี้.’
“ซินยอเฟอร์รารีจับคอเกียโชโมกระชาก แล้วผลักลงไปนอนพับอยู่ที่ดิน ตะเกียงแตกกระจาย. ตาเถ้านั่นแกร้องครางครวญน่าสมเพช แต่ซินยอเฟอร์รารีไม่เห็นหวั่นอะไร ผมดูถ้าจะเปนบ้า เสียแล้ว ‘ไปนอน ไปทีเดียว’ เขาร้อง ‘ไปหลับ หลับจนตายคาที่นอน! ถ้านายเอ็งมาลาก้อบอกด้วยว่ากูจะมาฆ่า บ้านนี้และคนในบ้านนี้จงได้รับความแช่งด่า !” ว่าดังนั้นแล้วก็ออกวิ่งจากสวนมาทางถนนใหญ่ ซึ่งทำเอากระผมวิ่งตามเกือบไม่ใคร่ทัน. เดินโซเซไปได้อีกหน่อยก็ล้มลงนั่งอยู่กับแผ่นดิน.”
วินเช็นโซหยุด. “เออแล้วยังไรต่อไปอีกเล่า ?” ข้าพเจ้าซัก.
“รับประทานกระผมจะปล่อยให้นอนสลบอยู่นั่นอย่างไรได้. กระผมจึงชักเสื้อขึ้นคลุมถึงปาก ครุ่มหมวกลงมาถึงตา เพื่อที่จะมิให้เขาจำได้ แล้วก็วักเอาน้ำในบ่อที่ข้างทางไปโชลมตามหน้าตามศีร์ษะ ไม่ช้าเขาก็ได้สติฟื้นสมประฤดีขึ้น เห็นผมเปนคนจร ขอบใจกระผมในการที่ช่วยเหลือจนฟื้นขึ้นแล้วลุกไปกินน้ำในบ่อ และก็ลุกเดินต่อไป.”
“แล้วเจ้าก็ตามไป ?”
“ขอรับกระผมตาม ตามไปห่างๆ. เลี้ยวไปทางหลังถนนแห่งหนึ่ง เข้าไปในโรงเหล้าแล้วประเดี๋ยวเดินกลับออกมากับชายสองคน. แต่งตัวดี—ท่าทางเปนผู้ดีตกยาก. เห็นพูดอะไรกันอย่างร้อนรน แต่ผมไม่ได้ยินนอกจากจับเค้าที่ปลายได้ว่า ยอมจะมาเปนสกันด์ให้ซินยอเฟอร์รารี แล้วชายทั้งสองคนนั้นก็ออกเดินบ่ายหน้ามาทางโฮเต็ลนี้. เมื่อกระผมเข้ามานี้แลเห็นเขาพูดกับมาคีส์ ดาวองคูต์อยู่.”
“ก็เมื่อชายสองคนมาทางนี้แล้ว ซินยอเฟอร์รารีทำอะไรอีกเล่า ?” ข้าพเจ้าถาม.
“ไม่มีอะไรควรฟังอีกแล้วขอรับ. ก็เดินไปยังห้องเช่าเขาที่อยู่บนเขาเล็ก. สังเกตดูเดินหลังคุ่มหัวตกยังกับคนแก่. เขากำกำปั้นขึ้นชูครั้งหนึ่งทำท่าดูเหมือนจะขู่ใครคนหนึ่ง. พอถึงประตูบ้านก็ไขประแจเข้าไป—กระผมก็ไม่เห็นอีก ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ แล้วกระผมก็กลับมานี่แหละ.”
“หมดเท่านั้นแหละหรือวินเช็นโซ ?” ข้าพเจ้าพูด.
“หมดเท่านั้นแหละขอรับใต้เท้า.” วินเช็นโซตอบ.
“ขอบใจมาก ที่ใช้ไปได้เรื่องราวกลับมา. ไปนอนเสียเถอะซี ฉันเองก็จะไปนอนผ่อนพักเสียบ้างจนราวสิบเอ็จทุ่มหรือราว ๆ นั้น พอถึงเวลานั้นละก็ตื่นทำกาแฟอุ่น ๆ มาให้กินสักถ้วยน้ะ.”
ว่าแล้วข้าพเจ้าก็เดินเข้าห้องนอน นอนทั้งเครื่องอย่างนั้น. ข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจจะนอนให้หลับ—ในใจเต็มไปด้วยความคิด. นึกถึงความคิดของเฟอร์รารีบ้าง—ที่ข้าพเจ้าได้รับทนมากับเฟอร์รารี เดี๋ยวนี้อย่างไรกัน—ไม่เท่า. มากกว่าเขารู้สึก คือในชั้นต้นเขาไม่ต้องถูกฝังทั้งเปนเสียชั้นหนึ่งแล้ว ไม่ต้องกังวลที่จะพยายามหนีออกจากห้องซุ้ย หนีมาได้ยังจะเห็นชื่อของตัวถูกหมิ่นประมาท และในตำแหน่งของตนมีคนเข้าสรวมที่อีก. ถึงจะให้ทำอย่างไร ก็ทรมานเฟอร์รารีให้เจ็บแสบเหมือนที่ตัวเองได้รับทรมานมาไม่ได้ มีความสมเพช—ความตาย ที่ประจุบันทันด่วนและเกือบไม่รู้สึกเจ็บปวดเปนการกรุณาสำหรับเขาเกินไป. ข้าพเจ้ายกมือขึ้นชูดูที่สว่างเห็นมือไม่สั่นสทกสท้านอันใดนิ่งเที่ยงราวกับมือหิน รู้สึกแน่แก่ใจว่าจะหมายที่ไหนคงสำเร็จ. จะไม่ยิงให้ตรงหัวใจ ข้าพเจ้านึก—แต่ให้เหนือไว้สักหน่อย—เพราะมีสิ่งที่จะต้องจำอยู่ข้อหนึ่ง—เขาต้องมีชีวิตอยู่ให้รู้ว่าข้าพเจ้าเปนใครก่อนจึงค่อยตาย. นึกถึงความฝันครั้งเมื่อนอนเจ็บอยู่ที่ตึกเล็กนั้น จำได้ว่าคนที่มาในเรือเล็กนั้นกีโดและได้เอากริสจ้องแทงที่ตรงหัวใจสามครั้ง! ฝันนั้นจะว่าไม่จริงหรือ ? กีโดไม่ได้แทงหัวใจข้าพเจ้าถึงสามครั้งจริงหรือ ?—ลอบลักเอาความรักของภรรยาข้าพเจ้าไปเสีย—ตัดรอนแม่ดาราน้อยจนตายจากไป—หมิ่นประมาทต่อชื่อเสียงข้าพเจ้า ? เหตุไรจึงจะมานึกสมเพช นึกยกโทษ สายเสียแล้วที่จะยกโทษให้. นอนคิดอะไรต่ออะไรอย่างนี้เพลินไปจนม่อยหลับเมื่อไรไม่ทราบ ต่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงได้ตื่น ไหนเล่าวินเช็นโซแบกถาดกาแฟควันขึ้นฉุยเข้ามาในห้องแล้ว.
“ถึงเวลาแล้วเร็วอย่างนั้นเจียวหรือ ?” ข้าพเจ้าถาม.
“อีกห้ามินิตจะได้สิบเอ็จทุ่มขอรับ.” วินเช็นโซตอบ. แล้วมองดูข้าพเจ้าด้วยความประหลาดใจ “นี่ใต้เท้าจะไม่เปลี่ยนเสื้ออิวนิ่งเดร๊สละหรือขอรับ ?”
ข้าพเจ้าพยักหน้าบอกว่าจะเปลี่ยน วินเช็นโซก็หยิบเสื้อกางเกงสำรับสักหลาดหนา อย่างแต่งในเวลากลางวันออกมาวางไว้ให้แล้วก็ออกจากห้องไป.
ข้าพเจ้ารีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และเมื่อกำลังเปลี่ยนเครื่องอยู่นั้น คิดถึงการที่จะพึงกระทำพลาง ทั้งมาคีส์ ดาวองคูต์ ทั้งกัปตันเฟรสเสียไม่เคยรู้จักข้าพเจ้า ส่วนบุคคลในครั้งที่ยังมีชื่อว่า ฟาบีโอ โรมานีอยู่—หรือทั้งเพื่อนของเฟอร์รารีทั้งสองนั้น ก็ไม่ได้เคยได้พบได้ปะ แต่หมอที่จะไปยังสนามอีกคนหนึ่ง—ชะดีชะร้ายจะเปนคนแปลกหน้าแก่ข้าพเจ้า เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกกล้า กล้าที่จะเข้าผจญหน้ากับเฟอร์รารีโดยไม่มีแว่นตา. เฟอร์รารีจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ถึงจะไม่ใส่แว่นตากำบังเพื่อให้แปลก ผมขาวหนวดขาวก็ทำให้เปลี่ยนรูปไปพออยู่แล้ว ถึงกระนั้นก็ดีข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าคนที่เคยรู้จักข้าพเจ้าดีแต่ดั้งแต่เดิมแล้ว จะให้จำแลงแปลงตัวอย่างไร แม้เห็นไนย์ตาแล้วต้องจำได้ทุกคน สกันด์ฝ่ายข้างเราคงจะเห็นว่าเปนการควรแล้วที่จะถอดแว่น เพื่อการเพ่งเล็งได้สนิทขึ้น—แต่มีคน ๆ เดียวที่ขยับจะไม่พอใจ คือตัวเฟอร์รารีเอง กำลังข้าพเจ้านึกกลุ้มอยู่ พอวินเช็นโซเอาเสื้อโอเวอร์โก๊ดเข้ามาให้ แล้วบอกว่ามาคีส์คอยอยู่ข้างนอกที่รถหลังโฮเต็ลแล้ว.
“อนุญาตให้กระผมตามใต้เท้าไปด้วยอีกคนเถอะขอรับ.” วินเซ็นโซพูดด้วยเสียงวิงวอน.
“ไปซี เพื่อนเอ๋ย” ข้าพเจ้าตอบอย่างรื่นเริง “ถ้ามาคีส์เขาไม่รังเกียจให้ไปแล้วข้าก็ไม่ขัด แต่ต้องสัญญาเสียก่อนว่า จะไม่ขัดขวางในการที่จะได้เปนไป ที่สุดจนออกเสียงโวยวายอย่างใดอย่างหนึ่ง”
วินเช็นโซสัญญา แล้วหิ้วหีบปืนโก๊ลต์ตามข้าพเจ้ามาหามาคีส์ที่รถ.
“ไว้ใจได้หรือ ?” ดาวองคูต์ถามเมื่อเห็นวินเช็นโซและจับมือกับข้าพเจ้า.
“ได้ซี เชื่อได้จนวันตาย!” ข้าพเจ้าหัวเราะ “ใจจะขาดตาย ถ้าไม่ยอมให้เขาได้ชะแผลฉัน.”
“ใจคอท่านชื้นดี คอนเต้” กัปตันเฟรสเซียพูด “เปนธรรมดา คนที่อยู่ในที่ถูกมักใจคอดีเสมอ น่ากลัวเฟอร์รารีจะไม่มีสติเปนสตังสักครึ่งนี้.” แล้วรถก็ขับเคลื่อนที่ไปสู่สนาม.
เวลาที่เรานั่งอยู่ในรถนั้นดูช่างนานเสียนี่กระไร แต่ที่แท้ทางนั้นก็ไม่สู้จะไกลนักเลย ภายหลังรถเราผ่านคาซา กีร์ลานเด ซึ่งเปนบ้านใหญ่ของท่านผู้มีตระกูลดีผู้หนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเปนเพื่อนบ้านดีของข้าพเจ้า เลยบ้านใหญ่นั้นมารถเราขับลงเนินลง ๆ จนถึงที่ราบ เปนสนามหญ้าเขียวชอุ่ม และมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเปนหมู่ดูงามดี พอถึงตรงนี้รถก็หยุด วินเช็นโซกระโดดแผล็วลงจากข้างสารถี ช่วยประคองให้พวกเราลงจากรถ แล้วรถก็ขับเลยไปจอดบังต้นไม้อยู่ห่าง พวกเราเที่ยวเดินตรวจทำเลที่ทาง ประเดี๋ยวมีคนมาถึงอีกคนหนึ่ง คนนั้นคือหมอเยอร์มัน แกพูดภาษาฝรั่งเลว แต่ยิ่งภาษาอิตาเลียนแล้วถึงกับแมว เมื่อมาเรียนได้ความรู้ว่าข้าพเจ้าคือใครแล้ว หมอก็ก้มศีร์ษะกระทำคำนับและยิ้มอย่างกันเองแล้วว่า “ความปราดถนาอันดีซึ่งฉันจะให้แก่ท่านได้ ก็คือฉันจะไม่ต้องรับเปนธุระในการแต่งบาดแผลท่าน. ท่านนอนหลับได้นั้นประเสริฐนัก เรื่องพรรณนี้ไม่มีอะไรดีกว่านอนได้ทำให้เส้นประสาทดี ไม่สทกเสทิน อ๊าค! ท่านสั่น เปนด้วยเช้าวันนี้หนาวจัด.”
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวสั่นจริง แต่ไม่ใช่สั่นเพราะลมหนาวมิได้ สั่นเพราะข้าพเจ้ารู้สึก—แน่แก่ใจทีเดียว ว่าจะฆ่าคนผู้เคยเปนที่รักอย่างยิ่งมาแต่ก่อน ข้าพเจ้านึกอยากว่าให้เขามีโอกาศได้ทำลายชีวิตข้าพเจ้าบ้างสักเล็กน้อย แต่ไม่มีเสียเลย!....ความสังหรณ์ในใจบอกว่าไม่มีโอกาศเลยแหละ มีความรู้สึกเจ็บใจเมื่อหวนนึกถึงหล่อนแม่ผู้ก่อให้เกิดเหตุชั่วฉนี้ ความโกรธข้าพเจ้าต่อแม่ผู้หญิงนั้นทวีขึ้นสักสิบเท่าได้ นึกๆว่าป่านฉนี้หล่อนจะทำอะไรอยู่ที่วัดแม่ชีหนอ? ไม่ต้องสงไสยคงจะหลับอุตุ ยังเช้าเกินไปที่หล่อนจะลุกขึ้นกระทำการสวดมนต์ภาวนาอันเท็จของหล่อน หล่อนนอนหลับสบาย ในขณะที่สามีและชู้รักของหล่อนได้เชิญให้พระยามัจจุราชมาเปนอนุญาโตตุลาการตัดสินคดีในระหว่างเขาทั้งสอง บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงระฆังใหญ่ในเมืองตีหก และอีกประเดี๋ยวได้ยินเสียงรถขับเข้ามาใกล้. เหลียวไปดูเห็นเฟอร์รารีเดินมากับพวกข้างเขาสองคนลงจากรถ ค่อยเดินช้าและสรวมเสื้อเข้าไว้ทั้งหนาเหลือใจหมวกครุ่มลงมาปิดคิ้ว จนข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าสีหน้าเปนอย่างไร เขามิได้หันหน้ามาตรงทางข้าพเจ้าแต่สักครั้งเดียว ยืนนิ่งพิงต้นไม้ที่ไม่มีใบเฉยอยู่ สกันด์ทั้งสองฝ่ายตั้งต้นจะตรวจและวัดที่ทางกัน.
“เราได้ตกลงเรื่องระยะทางกันแล้วไม่ใช่หรือท่าน ?” มาคีส์พูด “ดูเหมือนยี่สิบก้าวหรือยังไรแหละ?”
“ยี่สิบเก้า” สกันด์ของเฟอร์รารีคนหนึ่งตอบ.
แล้วทั้งสองฝ่ายก็ไปช่วยกันวัดระยะทางอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขาไปวัดที่อยู่นั้น ข้าพเจ้าหันหลังให้แล้วถอดแว่นตาใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วข้าพเจ้าครุ่มริมหมวกลงมา เพื่อจะมิให้คนทั้งหลายเห็นว่าข้าพเจ้าถอดแว่นโดยทันที. ยังไม่เช้าดีแต่ทว่าแสงสว่างมี—ดวงอาทิตย์ยังมิได้ชักรถเลี้ยวเหลี่ยมโลก แต่แสงรัศมีฉายเปนแฉกขึ้นมาสนัด แสงรัศมีทุกเส้นแลดูประดุจใบหอกของนายทหารที่ถือเข้าสู่สงคราม—ฝูงนกตื่นขยับตัวโผผินบินออกจากรังและที่กำบังในต้นไม้ ตามใบหญ้าแวววาวด้วยเมล็ดน้ำค้าง ดูประหนึ่งว่าใบต้นหญ้าเหล่านั้นฝังด้วยเพชรพลอยสีขาว ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้นรู้สึกอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนตัวของตัวมิใช่ตัว รู้สึกเหมือนกับตัวเปนเครื่องจักร์ และมีวิญญาณอื่นอีกดวงหนึ่งมากระทำให้ตัวไหวเลื่อนไป นอกจากจะนึกว่าเปนวิญญาณของข้าพเจ้า.
ปืนได้ประจุปัสตันแล้วทั้งคู่—และมาคีส์พูดแก่สกันด์ข้างฝ่ายโน้นว่า “เห็นว่าถึงเวลาที่เราจะวางคนของเราแล้ว”
ตกลงกันเฟอร์รารีก็ออกจากที่ที่ข้างต้นไม้โซเซโผเผออกมาดูราวกับคนพึ่งจะรื้อเจ็บ ถอดหมวกและเสื้อคลุมชั้นนอกออกกองไว้ และเสื้อเวลาเย็นที่แต่งเมื่อคืนนี้ก็ปรากฎแก่จักษุ สีหน้าดูซีดโรยมีขอบดำรอบตาอันบอกว่าอ่อนใจ ฉวยคว้าเอาปืนออกไปพิจารณาทั่ว โดยความมุ่งจะปองร้ายในปัตจุบันนั้นข้าพเจ้าก็ถอดหมวกและเสื้อลงกองไว้อย่างเดียว—มาคีส์เพ่งดูข้าพเจ้าราวกับว่าเปนคนไม่เคยรู้จักกัน.
“พอถอดแว่นแล้วดูหนุ่มขึ้นมาก หนุ่มมากทีเดียว” ดาวองคูต์พูดและยิ้มในขณะเมื่อยื่นอาวุธให้ ข้าพเจ้ายิ้มตอบแล้วเดินมาอยู่ณที่ที่เขาตกลงกันจะให้ยืน ตรงหน้าเฟอร์รารี เฟอร์รารีกำลังตรวจดูปืนง่วนอยู่จึงมิได้เงยหน้าดูข้าพเจ้าเลย.
“ท่านผู้ดีทั้งสอง พร้อมหรือยัง?” เฟรสเซียพูดด้วยเสียงอันไม่บอกว่าว่ามีสทกสท้านหรือใจเต้นเจืออยู่เลย.
“พร้อมแล้ว” เปนคำที่ตอบ. มาคีส์ ดาวองคูต์ชักเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาถือไว้ พอเฟอร์รารีเงยหน้าขึ้นดูข้าพเจ้าเปนครั้งทีแรก เทวดาช่วย! ข้าพเจ้าจะไม่ลืมความเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเฟอร์รารี ผลุบไปทันทีฉนั้น—ไนยตาบอกว่าเปนบ้า ๆ—หน้าบอกว่าตกใจกลัว ริมฝีปากขมุบขมิบ ปิดๆ เปิดๆ เหมือนกับจะพูด—กึกกักอยู่
“หนึ่ง” ดาวองคูต์ร้อง.
เราก็ยกปืนขึ้น.
“สอง!”
ท่าทางของเฟอร์รารีในเมื่อหมายสูนย์เลิกลักน่ากลัวพิลึก. ข้าพเจ้ายิ้ม—มองตาไปประสบตา—เห็นตัวโยก—มือสั่นเทา.
“สาม!” ผ้าเช็ดหน้าขาวตกลงพื้นดิน. โดยทันทีและพร้อมกันเรายิง. ลูกปืนของเฟอร์รารีวื้ดเช็ดไหล่ไปพอเสื้อขาดโลหิตซับ ควันจาง - เฟอร์รารียังยืนตรงอยู่ ยืนอยู่ตรงข้าม มองตลึงหน้าเศร้าย่น—ปืนหลุดจากมือผล็อย ในทันใดนั้นยกมือขึ้นท่วมศีร์ษะ—ตัวสั่น—ร้องโอย—ล้มหน้าขล้ำลงไปบนดิน. หมอวิ่งเข้าไปประคองพลิกหงายขึ้น ไหนเล่าสิ้นสติแล้ว ถึงโดยตาจะยังลืมอยู่ก็จริง แต่ช้อนเหลือกขึ้นดูสวรรค์ อกเสื้อเชิตชุ่มฉ่ำด้วยโลหิต. เราทั้งสิ้นก็ไปยืนมองอยู่รอบข้าง.
“ยิ่งดี๊?” มาคีส์ถามด้วยเสียงว่าเปนนักฟันอย่างคุ้นสนาม.
“อ๊าค! ยิงดีแท้ๆ” หมอเยอร์มันตอบ “เก่งทีเดียว! ตายในสิบนาฑี ลูกปืนเข้าในปอดริมขั้วหัวใจ เรื่องออนเนอร์เปนพอใจแล้ว!”
ในทันใดนั้น เสียงถอนใจใหญ่ฮึดได้ยินจากคนเจ็บ สติกลับคืนฟื้นมา ไนย์ตาค่อย ๆ ช้อย ๆ ลงมาเปนปรกติ เขามองดูคนนี้แล้วคนนั้นในที่สุดมาจ้องมองดูข้าพเจ้า. ริมฝีปากหมุบหมิบอีก—พยายามจะพูด ฝ่ายหมอที่นั่งคอยพยาบาลอยู่ ก็รินเหล้าบรั่นดีหยอดปากเข้าไป พิษสุรากระทำให้มีกำลังวังชาแข็งแรงขึ้น เขาเผยอขึ้นแล้วว่า.
“ขอพูด” เฟอร์รารีพูดด้วยความลำบากมาก “กับเขาหน่อย” มือชี้ตรงข้าพเจ้า—แล้วพูดอย่างคนที่ฝันเพ้อ—“กับเขา—เฉภาะ—เฉภาะ—คนเดียว!”
คนอื่นเลี่ยงออกไปไกลจนไม่ได้ยิน และส่วนข้าพเจ้าก็ก้าวเขยิบเข้าไปหาจนใกล้แล้วคุกเข่าลงข้าง ๆ ไนยตาเฟอร์รารีอันน่ากลัวได้มองดูข้าพเจ้าเต็มตา.
“ในนามของพระเจ้า” เขากระซิบเสียงกระเส่า ๆ “แกหน้ะ คือผู้ใดแน่ ?”
“ท่านรู้จักฉันนี่นา กีโดเอ๋ย” ข้าพเจ้าตอบมั่นคง “ฉันคือฟาบีโอ โรมานี คนที่ท่านเรียกว่าเพื่อน! ฉันคือคนผู้ที่ถูกท่านโขมยเมีย!—ชื่อที่ถูกท่านกล่าวร้าย!—และเกียรติยศที่ท่านล้างผลาญ! เอ! ดูฉันให้ดี! ใจของท่านให้บอกตัวท่านเอง แล้วว่าฉันนี่คือใคร!”
เขาร้องครางเสียงอ่อย ๆ ยกมือขึ้นทำท่าประกอบกับคำพูด “ฟาบีโอ ? ฟาบีโอ๋ ? ตายแล้วนี่ เห็นเอาลงหีบกับตาทีเดียว—”
ข้าพเจ้าเอนตัวเข้าไปให้ใกล้ “ถูกฝังทั้งเปน” ข้าพเจ้าพูดให้ชัดถ้อยคำ “เข้าใจหรือไม่กีโด ถูกฝังทั้งเปน! ฉันหนีพ้นได้อย่างไร ก็ตามเพลง! กลับมาบ้าน—มาเห็นความขบถ! จะฟังต่ออีกหรือ ?”
ตัวกีโดสั่น—โคลงศีร์ษะไปมา เหงื่อขึ้นที่หน้าผากเมล็ดเขื่อง ข้าพเจ้าควักเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก และริมฝีปาก—เส้นประสาทของข้าพเจ้าแข็งจนถึงกับจะเปราะ ข้าพเจ้ายิ้มอย่างที่ผู้หญิงยิ้มประชดทั้งน้ำตา.
“ท่านรู้ทางที่มีต้นไม้ครื้ม” ข้าพเจ้าว่า “ทางเก่าซึ่งเปนที่ชอบแห่งเรา ที่นกไนติงเกลร้องเพลงอันไพเราะนั่นหน้ะอย่างไรเล่า ฉันเห็นท่านอยู่ที่นั่น กีโดเอ๋ย—กับหล่อน!...—ในคืนที่ฉันกลับมาจากความตาย—หล่อนอยู่ในวงแขนของท่าน—ท่านจูบหล่อน—ท่านพูดถึงตัวฉัน—ท่านลูบคลำสร้อยคอที่อยู่ตรงทรวงอกหล่อน!”
เฟอร์รารีบิดตัวไปด้วยความเจ็บปวด แล้วพูดว่า “บอกที.....เร็ว! ว่า....หล่อน....รู้จักท่านหรือเปล่า!”
“ยังก่อน!” ข้าพเจ้าตอบช้า ๆ “แต่ไม่ช้าคงทราบ—เมื่อเวลาแต่งงาน!”
ความโกรธความแค้นใจแสดงขึ้นในไนย์ตาของเขา “โอพระเจ้า! พระเจ้า! เขาร้องด้วยเสียงอันครวญครางราวกับเสียงสัตว์ร้องเมื่อเจ็บสาหัศ “เหลือเกิน เหลือเกิน! โปรด...โปรด...” โลหิตกะอักขึ้นมาปิดปากไม่ให้พูดหมดประโยค ลมหายใจอ่อนลง สีหน้าชักซีดเหลือง ตายังจ้องดูข้าพเจ้าเขม็งอยู่ เอามือคว้าลมๆ ราวกับจะหาของที่หาย ข้าพเจ้าจับมือที่ไขว่คว้านั้นกำไว้ข้างหนึ่ง.
“นอกนั้นเปนทราบตลอด” ข้าพเจ้าค่อย ๆ พูด “เข้าใจแล้วละซีว่าความพยาบาทเปนอย่างไร! แต่สิ้นกันแล้วกีโดเอ๋ย.....สิ้นสุดแล้วเดี๋ยวนี้ หล่อนเล่นเท็จเราทั้งสองคน. ขอพระเจ้าจงทรงพระกรุณายกโทษให้แก่ท่านดังฉันได้ยกโทษนี้. อโหสิต่อกัน.”
เขายิ้ม—ดวงตากลับแสดงความ ความอย่างที่ทำให้รักเขาเมื่อครั้งเรายังเปนเด็กอยู่ด้วยกัน.
“สิ้นกันที!” เฟอร์รารีพูดด้วยเสียงคร็อกแคร็ก “สิ้นกันที่ในบัดนี้. ข้าพเจ้า... ฟาบีโอ...ขอโทษ...” พูดได้เท่านั้นก็ชักตัวบิดขาแขนงอ เสียงในคอลั่นดังจ๊อก เสือกกายไปสุดตัว ถอนใจใหญ่หนักยาว…...แล้วก็สิ้นใจ. ปากยังยิ้มอยู่! ความรู้สึกวาบได้แล่นขึ้นมาตันคอหอยข้าพเจ้า น้ำตาเจ้ากรรมยิ่งกลั้นยิ่งจะขืนซึมออกมาให้จงได้. ยังกำมือของเพื่อนผู้สัตรูนิ่งอยู่—จนรู้สึกว่าเย็นอยู่ในกำมือ. บนนิ้วมือนั้นแววรับด้วยแสงเพ็ชร์ประจำตระกูลของข้าพเจ้าที่หล่อนให้แก่เขา ข้าพเจ้าถอนเอาแหวนนั้นออก—ค่อยๆยกขึ้นจูบ จูบอย่างแสดงความนับถือ. จูบมือนั้นแล้วค่อยๆวางลงยังแผ่นดิน ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ ก็ลุกขึ้นยืนเอามือกอดอกนิ่งมองดูศพซึ่งวางอยู่ตรงหน้า คนทั้งพวกพากันเข้ามาไม่มีใครพูดประมาณสักนาฑีหนึ่งได้ ต่างคนก็ต่างมองตรวจดศพนิ่ง ๆ ภายหลังกัปตันเฟรสเซียพูดด้วยเสียงเปนคำถาม ๆ ว่า,
“เห็นจะจอดแล้ว.”
ข้าพเจ้าก้มศีร์ษะแทนคำรับ ด้วยจะพูดออกเปนวาจาก็ไม่ไว้ใจเสียงของตัวว่าจะไม่สั่น.
“เขาขอโทษท่านแล้ว ?” มาคีส์ถาม
ข้าพเจ้าก้มศีร์ษะเปนคำตอบรับอีก. ครั้นแล้วก็นิ่งเงียบกันไปอีก. หน้าอันยิ้มแย้มของผู้ตายดูเหมือนจะยิ้มเยาะคำพูดเหล่านั้น ท่านหมอผู้ชำนาญก้มลงดึงหนังตาให้ปิด—ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดูเหมือนกับเฟอร์รารีนอนหลับ และถ้าถูกสกิดเกาสักหน่อยก็จะตื่นขึ้นทันที มาคีส์ ดาวองคูต์ เอาแขนสอดแขนข้าพเจ้าแล้วกระซิบบอกเบา ๆ ว่า “กลับไปเมืองเถิดเอมิโก ดื่มเหล้าเสียสักหน่อยจะดี ดูหน้าตาราวกะไม่สบาย. ท่านคงออกสมเพช—แต่จะทำอย่างไรได้—สู้กันเปนยุติธรรมแล้ว. ฉันแนะนำให้ท่านไปพักสงบอารมณ์เสียสักสองอาทิตย์—ชั่วเวลานั้นความเรื่องนี้ก็ลืมกันหมด ฉันรู้ว่าจะจัดการพรรณนี้อย่างไร—ปล่อยไว้พนักงานฉันเอง อย่าร้อนใจ.”
ข้าพเจ้าขอบใจเขา จับมือเขาสั่นด้วยความเต็มใจแล้วหันหน้ากลับ วินเช็นโซยืนคอยอยู่ที่รถ เมื่อค่อยย่างเดินไปนั้นข้าพเจ้าได้เหลียวหลังมาดูครั้งหนึ่ง—แสงอาทิตย์ที่พึ่งจะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ส่องมากระทบซีกตัวของทรากผีที่นอนเหยียดแซ่ว และมีนกน้อยตัวหนึ่งได้บินออกจากรังกลางกอหญ้าข้างศพนั้น บินร่อนไปพลาง ร้องเพลงไปพลาง ออกไปรับแสงรัศมีอันอุ่นของพระอาทิตย์.