๖๖

ครั้นเดินทางล่วงตำบลเจียวตินฉีไปถึงแม่น้ำไทโอ๋ เห็นเรือตกเบ็ดอยู่ประมาณสิบเอ็ดสิบสองลำ จูกัดกิมจึงเรียกมาขอโดยสารข้ามฟาก เจ้าของเรือไม่ยอมให้โดยสาร จูกัดกิมเห็นเจ้าของเรือพูดจาบิดพลิ้วเสียแล้วจึงถามว่าในตำบลนี้มีบ้านเรือนที่ไหนบ้าง เจ้าของเรือบอกว่า ท่านเดินเลียบฝั่งไปเถิด ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้านั้นมีศาลเจ้าอยู่ศาลหนึ่ง จูกัดกิมก็พากันเดินเลียบชายตลิ่งไป ครั้นถึงหมู่ไม้ใหญ่ก็พบศาลเจ้าเห็นมีเรือนทำด้วยแฝกอยู่หลายหลัง ผู้คนเดินไปมาเป็นอันมาก ที่ริมฝั่งหน้าศาลเจ้านั้นมีเรือเล็กจอดอยู่ประมาณยี่สิบลำ งักหลุยจึงเดินเข้าไปพูดกับผู้รักษาศาลเจ้าว่าข้าพเจ้าจะขอพักอาศัยอยู่สักคืนหนึ่งจะได้หรือไม่ ผู้รักษาศาลเจ้าก็ยอมให้อาศัย ในขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งเดินมาจากหลังศาลเจ้า เข้ามาจับมืองักหลุยแล้วถามว่า ท่านนี้ชื่องักหลุยดอกกระมัง งักหลุยได้ฟังก็ตกใจจึงร้องบอกว่า เรามิใช่งักหลุย เราแซ่เตียวเราหารู้จักงักหลุยไม่ ชายผู้นั้นเห็นงักหลุยครั้นคร้ามอยู่จึงพูดว่า ท่านอย่าพรางเลย ข้าพเจ้ามิใช่ผู้อื่น ข้าพเจ้าชื่ออ๋องเหมง เดิมเป็นทหารของบูเชียงก๋ง ครั้นสิ้นบุญบูเชียงก๋งแล้วข้าพเจ้าก็หนีมาเที่ยวอยู่ที่ตำบลนี้ ภายหลังทราบว่างักหลุยพาพวกเพื่อนมาเซ่นศพบูเชียงก๋งผู้บิดา ทหารชีนไคว่จับงักหลุยได้จะส่งไปให้ชีนไคว่ ณ เมืองหลวง ข้าพเจ้าจึงมาตั้งเตรียมอยู่ ถ้าทหารชีนไคว่คุมทหารมาถึงตำบลนี้แล้วข้าพเจ้าก็จะเข้ารบชิงเอางักหลุยไว้ให้จงได้ งักหลุยเห็นอ๋องเหมงพูดจาถูกต้องดังนั้นแล้วก็เล่าความทุกข์ร้อนแต่หลังให้อ๋องเหมงฟังทุกประการ อ๋องเหมงจึงว่า ข้าพเจ้าทราบว่าชีนไคว่ให้กองทัพเรือไปจับมารดาและครอบครัวของท่านไป ณ เมืองหลวงให้สิ้น บัดนี้กองทัพเรือมาตั้งอยู่ที่ปลายน้ำคืนหนึ่งแล้วยังไม่ได้ไป งักหลุยจึงถามว่า ทางจะไปจากนี้ไกลสักกี่มากน้อย อ๋องเหมงบอกว่าทางประมาณสักสิบลี้ ขอท่านจงไปตีตัดเสียให้แตกข้าพเจ้าจะไปด้วย จูกิดกิมจึงว่าซึ่งเราจะไปทำการโดยซึ่งหน้านั้นเห็นไม่ตลอด ต้องคิดเป็นอุบายจึงจะได้ อ๋องเหมงถามว่า ท่านจะคิดอุบายประการใด จูกัดกิมว่าเวลากลางคืนวันนี้ดึกประมาณสองยามเราทำคบเพลิงลงเรือเล็กลอบไป ครั้นเห็นคนในเรือนอนหลับสิ้นแล้วจึงตัดสายสมอเรือเสียเอาคบจุดเพลิงทิ้งลงในเรือนั้นก็จะไหม้ คนในเรือก็จะไม่เหลือสักคนหนึ่ง อ๋องเหมง งักหลุยและคนทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทำคบเพลิงเตรียมไว้ ครั้นเวลาดึกประมาณสองยามเศษ อ๋องเหมงกับงักหลุยพร้อมด้วยคนทั้งปวงเอาคบเพลิงลงเรือเล็กประมาณสิบลำ ครั้นไปถึงเห็นเรือกองทัพทอดสมอห่างตลิ่งอยู่สามลำ เห็นคนในเรือนอนหลับเงียบสงัดก็ตัดสายสมอเรือนั้นก็ลอยออกไปห่างฝั่ง แล้วเอาคบจุดเพลิงทิ้งลงไปในเรือกองทัพพร้อมกัน เพลิงนั้นก็ไหม้เรือขึ้น ผู้คนในเรือก็ตื่นวิ่งวุ่นเป็นอลหม่านเพลิงไหม้ตายตกน้ำตายทั้งสิ้น

ฝ่ายอ๋องเหมง งักหลุยเห็นไฟไหม้เรือสิ้นแล้ว ก็พากันกลับมาที่ศาลเจ้า ครั้นเวลาเช้าอ๋องเหมงจึงให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงงักหลุยกับคนเหล่านั้นกินอิ่ม แล้วอ๋องเหมงจึงถามงักหลุยว่าท่านจะคิดไปข้างไหนอีก งักหลุยว่าตั้งแต่เรามาก็นานนักหนาแล้ว จะต้องไปเยี่ยมมารดาเสียสักครั้งหนึ่งจึงจะคิดการต่อไป จูกัดกิมจึงว่าซึ่งท่านจะไปตำบลฮุนหนำเยี่ยมมารดาทางซึ่งจะไปไกลนัก ด้วยรูปท่านนั้นเขาเขียนแขวนอยู่ทุกด่านทุกตำบลไป กลัวจะไม่ตลอดภายหลังจะได้ความเดือดร้อน และข้าพเจ้าทราบว่างูเกานั้นบัดนี้ยังตั้งอยู่ที่เขาไทฮังซัวมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก ถ้าท่านไปหางูเกาขอทหารไปส่งถึงจะมีเหตุประการใดจะได้เป็นกำลังช่วยป้องกันสู้รบ งักหลุยเห็นชอบด้วยแล้วก็คำนับลาอ๋องเหมงออกเดินทางไปถึงเขาไทฮังซัว พวกทหารงูเกาก็ออกจากเขาเข้าล้อมไว้แล้วว่า พวกเจ็ดคนนี้จะมาหาที่ตายหรือ งูทองบุตรงูเกาได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องไปว่าให้ไปบอกงูเกามาหาเราโดยเร็ว ต่างคนก็พูดจาทุ่มเถียงกันอยู่ งักหลุยเห็นจะเกิดความขึ้นจึงร้องไปว่าจงไปบอกงูเกาเถิดว่าเราชื่องักหลุยจะมาหา พวกทหารเหล่านั้นได้ฟังก็พากันมาคำนับ งักหลุยจึงว่างูทองนี้เป็นบุตรงูเกานายของเจ้ารู้หรือไม่ ทหารเหล่านั้นก็ดีใจแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่าท่านเป็นบุตรของนายขอโทษเสียเถิด แล้วก็พางักหลุยไป ณ ค่าย

ฝ่ายงูเกาแจ้งว่างักหลุยมาก็ดีใจ รีบออกมาต้อนรับเชิญเข้าไปในค่ายแล้วพูดกับงักหลุยว่า ข้าพเจ้าคิดรำลึกถึงท่านอยู่เนือง ๆ ท่านมานี้จะไปตำบลใดหรือ งักหลุยบอกว่าจะไปเยี่ยมมารดา ณ เมืองฮุนหนำ จะขอทหารท่านไปส่งให้ถึงเมืองฮุนหนำ งูเการับคำว่าท่านอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะจัดทหารไปส่งให้ถึงเมืองฮุนหนำ งักหลุยก็เล่าความทุกข์ร้อนให้งูเกาฟังทุกประการ งูเกาได้ฟังก็ร้องไห้ งูทองเห็นงูเกาบิดาร้องไห้ก็ตวาดเอาว่าท่านนี้หามีความกตัญญูต่อบูเชียงก๋งไม่ ทแกล้วทหารก็มีเป็นอันมาก เหตุใดจึงมิได้คิดที่จะแก้แค้นแทนบูเชียงก๋ง มาตั้งเป็นโจรอยู่ดังนี้ควรแล้วหรือ งูเกาได้ฟังทองผู้บุตรว่าก็นึกอายแก่คนทั้งปวง คิดว่าตัวเราประพฤติการไม่ดีงูทองจึงว่าหยาบช้าขู่ตวาดได้ ก็หาได้ตอบประการใดไม่ งูเกาว่ากับงักหลุยว่าท่านจงหยุดพักอยู่ที่นี้ก่อนเถิดข้าพเจ้าจึงจะไปส่ง งักหลุยก็ยอมพักอยู่ตามคำงูเกา

ฝ่ายนางลีสีซึ่งเป็นภรรยาของบูเชียงก๋ง ตั้งแต่ต้องเนรเทศออกจากเมืองหลวงไปถึงตำบลน่ำเหลง และที่ตำบลน่ำเหลงนั้นมีพี่น้องอยู่บ้านหนึ่ง นางลีสีก็เข้าไปขออาศัยพักอยู่

ฝ่ายชาฮกบุตรชาเลียงอ๋อง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลน่ำเหลง ตั้งแต่ได้รับหนังสือลับของชีนไคว่แล้วก็ตั้งใจคอยนางลีสีอยู่มิได้ขาด ครั้นแจ้งความว่านางลีสีพาครอบครัวมาถึงแล้วก็คุมทหารไปที่อยู่นางลีสี

ฝ่ายนางลีสีแจ้งว่าชาฮกคุมทหารมาจะทำร้ายก็ตกใจ จึงปรึกษากับพวกของตัวว่า ชาฮกคุมทหารมาจะทำร้ายเราท่านจะคิดประการใด เตียเองจึงว่าท่านอย่าวิตกข้าพเจ้าจะสู้รบเอง ว่าแล้วก็พาพวกออกไปสู้รบกับชาฮกเป็นสามารถยังหาแพ้ชนะกันไม่ พอเวลาค่ำต่างคนก็เลิกกลับไป

ฝ่ายนางชาฮูหยินมารดาชาฮกรู้ความว่าชาฮกผู้บุตรคุมทหารไปทำร้ายนางลีสี จึงหาตัวมาพูดว่าเจ้าจะเชื่อฟังหนังสือชีนไคว่ให้ทำร้ายกับนางลีสีซึ่งเป็นผู้หญิงนั้นไม่ควร ถึงจะทำอันตรายนางลีสีได้ก็ไม่มีความชอบและชื่อเสียงปรากฏ ด้วยเขาเป็นผู้หญิงจะสู้รบอะไรได้ เจ้าจงฟังคำมารดาห้ามเถิดอย่ากระทำเขาเลย ชาฮกจึงว่ามารดาพูดนั้นก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าได้รับหนังสือของชีนไคว่ไว้จะมิขาดไมตรีกันเสียหรือ นางชาฮูหยินได้พังก็โกรธร้องตวาดว่า บูเชียงก๋งซึ่งถึงแก่ความตายนั้นเป็นผู้สุจริตตั้งอยู่ในยุติธรรม ชื่อเสียงจึงได้ปรากฏ ได้ปราบข้าศึกศัตรูแผ่นดินเป็นที่นับถือของคนทั้งหลาย ชีนไคว่นั้นเป็นศัตรูต่อแผ่นดิน เหตุใดจึงมากลัวชีนไคว่เล่า ชาฮกเห็นมารดาโกรธก็จนใจนิ่งอยู่ นางชาฮูหยินจึงให้คนใช้ไปเชิญนางลีสีมาแล้วคำนับกันธรรมเนียมแล้ว นางชาฮูหยินจึงเล่าความตามหนังสือซึ่งชีนไคว่มีมาให้นางลีสีฟังทุกประการ นางลีสีคำนับแล้วพูดว่า ซึ่งท่านเมตตากรุณาข้าพเจ้ามิให้เป็นอันตรายนั้นคุณของท่านนักหนา แล้วก็พูดไต่ถามถึงทุกข์สุขกันตามธรรมเนียม นางชาฮูหยินจึงให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงนางลีสี แล้วนางลีสีจะคำนับลาไป ชาฮกจึงบอกกับนางลีสีว่า เอกโฮ้ผู้รักษาด่านติ้นน่ำก๋วนหนึ่ง ปาฮุนผู้รักษาด่านเพงน้ำก๋วนหนึ่ง เจียะซันผู้รักษาด่านจินน่ำก๋วนหนึ่ง ผู้รักษาด่านสามตำบลนี้ก็ได้รับหนังสือของชีนไคว่ไว้ให้คอยจะทำร้ายท่าน ท่านอย่าไปเลย จงอยู่กับมารดาข้าพเจ้าเถิด นางลีสีว่าซึ่งท่านมีความเมตตาข้าพเจ้าผู้เป็นคนโทษนั้นบุญคุณนักหนาแล้ว ตัวข้าพเจ้านั้นคงจะไม่พ้นความตาย แต่บูเชียงก๋งสามีข้าพเจ้าประกอบไปด้วยกตัญญูมีความชอบต่อแผ่นดินก็ยังต้องตายด้วยอาญาของศัตรูแผ่นดิน ตัวข้าพเจ้านี้ก็ยอมตายไม่อาลัยแก่ชีวิตจะขอลาท่านไป นางชาฮูหยินกับชาฮกก็พูดจาอ้อนวอนนางลีสีให้อยู่ด้วย นางลีสีก็ไม่ยอม นางชาฮูหยินกับชาฮกเห็นนางลีสีไม่ยอมอยู่ด้วยจึงว่าเมื่อท่านจะไปให้ได้แล้ว เราแม่ลูกจะไปส่งป้องกันรักษาภัยอันตรายให้ถึงเมืองฮุนหนำ นางชาฮูหยิน ชาฮกก็จัดทหารไปด้วยนางลีสี ครั้นไปถึงด่านสามตำบล ผู้รักษาด่านเห็นนางชาฮูหยินกับชาฮกมาส่งก็ไม่อาจจะกระทำอันตรายแก่นางลีสีและครอบครัวบูเชียงก๋งได้ ครั้นไปถึงเมืองฮุนหนำ ข้าหลวงซึ่งคุมมานั้นก็เอาหนังสือเข้าไปให้จูตี้เจ้าเมือง จูตี้ทราบหนังสือและบัญชีคนแล้วก็รับไว้ แต่นางชองสีภรรยางักฮุนที่ตายนั้นมีรูปร่างลักษณะงดงาม จูตี้นึกรักอยากจะใคร่ได้เป็นภรรยา อยู่มาวันหนึ่งเป็นเวลากลางคืนจูตี้จึงลอบไปหานางชองสี เห็นนางชองสีนั่งเล่นอยู่ จูตี้ก็เข้าไปนั่งใกล้แล้วพูดว่า ทุกวันนี้เจ้ามีความสุขอยู่หรือ นางชองสีจึงว่าท่านอย่าถามเลย อันตัวข้าพเจ้านี้ท่านก็ย่อมทราบแล้วว่าเป็นคนลำบาก ผัวตายในโทษจะมีความสุขมาแต่ไหน จูตี้จึงพูดว่าเราเห็นเจ้าก็มีความสงสารมากนัก แต่เห็นว่าเป็นบุญของเจ้าจึงได้ตกมาอยู่ในบังคับเรา เราคิดอยู่ว่าสามีเจ้านั้นก็ตายไปแล้ว อยู่แต่ผู้เดียวไม่มีผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์เจ้าจะเห็นประการใด นางชองสีจึงว่าซึ่งท่านว่ารักนั้นพระคุณนักหนา แต่ตัวข้าพเจ้านี้มิใช่เป็นคนมีความดีเหมือนเขาทั้งหลาย เป็นคนโทษต้องเนรเทศออกเสียจากบ้านเมือง ประการหนึ่งก็มิใช่สาวแส้เป็นแม่หม้ายและบุญวาสนาก็ตกต่ำ ไม่คู่ควรจะร่วมสุขร่วมทุกข์แก่ท่าน แต่ท่านสงเคราะห์ให้ที่อยู่มีความสุขก็เป็นการดีนักหนาแล้ว จูตี้จึงว่าซึ่งต้องโทษโปรดให้เนรเทศได้ความเวทนาเดือดร้อนมาทั้งนี้ก็เพราะสามีเจ้า เจ้าเป็นภรรยาจึงจำต้องรับโทษก็เป็นธรรมดาอยู่เองเราไม่ถือ และข้อซึ่งว่าบุญวาสนาน้อยไม่คู่ควรนั้น อันลักษณะชายและหญิงจะคบหากันนั้น ซึ่งจะอาศัยเหตุมีวาสนาหรือหาวาสนาไม่นั้นไม่ได้ ต้องอาศัยความรักเป็นใหญ่เราเห็นสมควรอยู่แล้วจึงได้มาอ้อนวอน นางชองสีก็พูดจายั่งยืนไม่ยอมตามถ้อยคำ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ