๖๗

จูตี้เห็นนางชองสีพูดจาแข็งขัดก็โกรธ จึงว่าตัวเจ้าก็ตกมาในเงื้อมมือเรา เราเห็นดีแล้วเราจึงได้มาพูดจา ถ้าเจ้าจะขืนขัดอยู่ดังนี้เราจะทำโทษให้สาหัส พอเวลาจวนสว่างจูตี้ก็กลับไปที่อยู่ ครั้นเวลาเช้านางชองสีก็เอาความไปแจ้งแก่นางชาฮูหยิน นางชาฮูหยินได้ฟังก็โกรธจึงให้หาตัวจูตี้มาว่ากล่าวห้ามปราม ตั้งแต่นั้นมาจูตี้ก็หาได้ไปรบกวนนางชองสีต่อไปอีกไม่ นางลีสีตั้งแต่ไปอยู่เมืองฮุนหนำแล้วก็ยังมีความวิตกถึงงักหลุยมิได้ขาดสักเวลา วันหนึ่งจึงให้หาบุตรชายสามคนเข้ามาแล้วพูดว่า งักหลุยพี่ชายของเจ้าไปคำนับศพบิดาหายไปไม่ได้ข่าวคราวเลย งักเข่งจึงว่ามารดาอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะไปตามดูให้รู้เหตุจงได้ นางลีสีจึงว่าเจ้าจะไปก็ตามเถิด แต่มารดาคิดกลัวจะมีเหตุขึ้น นางชาฮูหยินว่าซึ่งงักเข่งจะไปนั้นอย่าวิตก เราจะให้หนังสือสำหรับตัวฉบับหนึ่ง ถ้าเจ้าเมืองด่านทางแห่งใด ๆ จะกักขังไว้ก็จงเอาหนังสือนี้ให้ก็คงจะไม่มีอันตราย ว่าแล้วก็ทำหนังสือส่งให้งักเข่ง งักเข่งก็คำนับลามารดาออกมาจัดบ่าวไพร่พอสมควรแล้วก็รีบไป

ฝ่ายงักหลุยอยู่ที่เขาไทฮังซัวหลายเวลามาแล้ว ก็จะลางูเกาไปเยี่ยมมารดา งูเกาจึงจัดทหารห้าพันมอบให้งักหลุย งักหลุยก็ลาพาพวกเพื่อนคุมทหารออกจากเขาเดินทางไป ครั้นไปถึงแขวงด่านติ้นน่ำก๋วน จึงหยุดทหารพักอยู่ที่เชิงเขา

ฝ่ายงูทองครั้นเวลาบ่ายก็เดินขึ้นไปเที่ยวเล่นบนเขา เห็นศาลาราบรื่นมีต้นไม้เย็นชื่นก็เข้าอาศัยนอนเล่นหลับไป ครั้นตื่นแล้วก็เดินเที่ยวเล่นลงไปถึงเชิงเขา เห็นค่ายตั้งอยู่ค่ายหนึ่งมีคนอยู่ประมาณสามสิบคน งูทองจึงเดินลงไปดู คนอยู่ในค่ายเห็นงูทองเดินเข้ามาก็ออกมาจะจับตัว งูทองจึงหักกิ่งไม้เป็นอาวุธเข้าตีคนซึ่งรักษาค่ายนั้นสู้มิได้ก็ทิ้งค่ายเสียพากันหนีไป งูทองเดินเข้าไปในค่ายเห็นโต๊ะตั้งอยู่โต๊ะหนึ่งมีของกินพร้อม งูทองก็เข้านั่งกินโต๊ะอยู่ประมาณครู่หนึ่งยังไม่ทันอิ่ม เห็นทหารประมาณห้าร้อยยกมาล้อมค่ายนั้นไว้ งูทองนึกว่าวันนี้จะเกิดเหตุใหญ่ อาวุธที่ตัวก็ไม่มีมาจึงหักเอาขาโต๊ะออกสองขาถือเป็นอาวุธแล้วก็ออกมาสู้รบกับทหารห้าร้อยเป็นสามารถ

ฝ่ายงักหลุยเห็นงูทองหายไปก็เที่ยวตามหา ครั้นข้ามเขาไปได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงจึงพาทหารเข้าไปดู เห็นงูทองถือไม้เข้าสู้รบกับทหารเป็นอลหม่าน จึงยกมือขึ้นร้องห้ามว่าหยุดเสียก่อนอย่ารบกัน งูทองกับพวกทหารเหล่านั้นก็หยุดอยู่ งักหลุยถามว่าเหตุใดจึงได้สู้รบกันดังนี้ งูทองบอกว่าข้าพเจ้าเดินมาเที่ยวเล่นทหารพวกนี้พากันกลุ้มรุมออกมาจะจับ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดสิ่งใดจึงได้สู้รบกัน งักหลุยจึงถามพวกทหารเหล่านั้นว่าเจ้าพวกนี้เหตุใดจึงมาซ่องสุมกันอยู่ที่นี่ เตียเกาซึ่งเป็นที่โลฮวยอ๋องนายทหารจึงตอบว่า ตัวเราชื่อโลฮวยอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ พระเจ้าซ้องเกาจงเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนประทานที่อันนี้ให้แก่เราจึงได้มาตั้งอยู่ที่นี่ ตัวท่านนี้คือผู้ใดจึงได้มาถึงนี่ งักหลุยได้ฟังว่าเป็นเชื้อเจ้าแผ่นดินก็เข้าไปคำนับ แล้วบอกว่าข้าพเจ้าชื่องักหลุยจะไปเยี่ยมมารดาที่เมืองฮุนหนำ โลฮวยอ๋องแจ้งว่างักหลุยก็มีความยินดีต่างคนคำนับกันแล้ว โลฮวยอ๋องว่าขอเชิญท่านไปพักสนทนากันเล่นที่บ้านข้าพเจ้าก่อน งักหลุยก็ชวนกันไป ณ บ้านโลฮวยอ๋อง โลฮวยอ๋องเชิญให้นั่งที่สมควรแล้วจึงถามข้อความราชการงักหลุยต่าง ๆ งักหลุยก็แจ้งความทุกข์ร้อนตั้งแต่ชีนไคว่คิดฆ่าบูเชียงก๋งบิดาให้โลฮวยอ๋องฟังทุกประการ โลฮวยอ๋องจึงว่าชีนไคว่นี้เป็นคนปราศจากกตัญญู ถ้ายังเป็นขุนนางใหญ่อยู่ในเมืองหลวงตราบใดบ้านเมืองก็ไม่มีความจำเริญ งักหลุยจึงถามว่าซึ่งท่านตั้งซักซ้อมทหารนี้จะไปข้างไหนหรือ โลฮวยอ๋องว่าจะรบกับเฮกโฮ้ผู้รักษาด่านติ้นน่ำก๋วน งักหลุยถามว่าเป็นอริบาดหมางสิ่งใดกับท่านจึงจะสู้รบกัน โลฮวยอ๋องว่าเฮกโฮ้มาขอบุตรสาวเรา เราเห็นว่าเฮกโฮ้เป็นพวกชีนไคว่จึงไม่ให้ เฮกโฮ้โกรธถือตัวว่ามีทแกล้วทหารมากจะยกมารบชิงเอาให้ได้ เราจึงได้ซักซ้อมทหารไว้ป้องกัน และท่านก็ได้มาถึงแล้วจงช่วยเราด้วย งักหลุยว่าท่านอย่าวิตก ข้าพเจ้าจะช่วยป้องกันรักษามิให้เสียทีแก่เขาได้ โลฮวยอ๋องได้ฟังก็ดีใจขณะนั้นจูกัดกิมมากับงักหลุยด้วยจึงถามว่ากำหนดเขาจะยกทัพมาเมื่อไรท่านทราบหรือไม่ โลฮวยอ๋องบอกว่าเดือนแปดขึ้นค่ำหนึ่งเขาจะมา จูกัดกิมว่าอุบายข้าพเจ้ามีอยู่อย่างหนึ่ง ถึงเฮกโฮ้ยกมาก็ไม่ต้องสู้รบกัน โลฮวยอ๋องจึงถามว่าอุบายท่านนั้นประการใด จูกัดกิมก็เข้าไปกระซิบบอกที่หูโลฮวยอ๋อง โลฮวยอ๋องพยักหน้าแล้วก็นั่งอยู่ งักหลุยจึงสั่งให้ทหารห้าพันของตัวคอยซุ่มอยู่หลังเขา

ฝ่ายเฮกโฮ้ ครั้นถึงวันกำหนดก็คุมทหารมา ณ บ้านโลฮวยอ๋อง โลฮวยอ๋องแจ้งว่าเฮกโฮ้มาก็ให้งูทองแต่งตัวเป็นผู้หญิงเข้านั่งอยู่ในห้อง เอามู่ลี่กั้นไว้โดยรอบ แล้วก็ทำเป็นออกมาต้อนรับเชิญเฮกโฮ้เข้าไปในบ้านนั่งที่สมควรคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วโลฮวยอ๋องจึงพูดว่า ไหน ๆ ท่านก็คงจะเป็นสามีบุตรสาวของข้าพเจ้า ท่านจงเข้าไปข้างในให้บุตรีข้าพเจ้าคำนับเสียก่อน จึงค่อยกินโต๊ะ เฮกโฮ้มิได้รู้ในอุบายก็มีความยินดีด้วยอยากจะเห็นนาง ก็เข้าไปในห้องเห็นมู่ลี่กั้นอยู่รอบ เฮกโฮ้ก็เปิดมู่ลี่เข้าไป งูทองซึ่งอยู่ในมู่ลี่เห็นได้ทีก็เอากระบองตีถูกศีรษะเฮกโฮ้แตกตายในทันใดนั้น งักหลุยเห็นเฮกโฮ้ตายแล้วก็ให้ทหารเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเฮกโฮ้เจ็บป่วยล้มตายประมาณสามส่วน หนีไปได้ส่วนหนึ่งโลฮวยอ๋อง งักหลุยและทหารทั้งปวงก็ยกตามไปด่านติ้นน่ำก๋วน ทหารซึ่งเฮกโฮ้ให้รักษาด่านรู้ความว่านายของตัวเสียกลถูกโลฮวยอ๋องฆ่าตายเสียแล้ว บัดนี้โลฮวยอ๋องยกกองทัพมาถึงด่านจะสู้รบป้องกันก็เหลือกำลัง พากันออกมาอ่อนน้อมคำนับโลฮวยอ๋อง โลฮวยอ๋องจึงเลือกดูทหารที่มีสติปัญญาให้อยู่รักษาด่านแล้วก็กลับมาบ้าน โลฮวยอ๋องจึงให้ทำโต๊ะแล้วยกมาเลี้ยงกัน โลฮวยอ๋องจึงพูดกับงักหลุยว่าครั้งนี้ถ้าท่านไม่ช่วยคิดอ่านให้แล้วก็คงจะเสียทีแก่เฮกโฮ้ ข้าพเจ้าขอบใจท่านมากนักหามีของสิ่งใดจะตอบแทนท่านไม่ และตัวข้าพเจ้านี้ก็มีอายุมากแล้ว เปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่งนับวันอยู่ ข้าพเจ้าจะยกบุตรสาวคนนี้ให้เป็นภรรยาท่านจะเห็นประการใด งักหลุยว่าซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าจะยกบุตรสาวให้นั้นพระคุณของท่านยิ่งนัก แต่ในเวลานี้ท่านก็ย่อมทราบอยู่แล้วด้วย ข้าพเจ้ายังไม่ได้กระทำการแก้แค้นฉลองคุณบิดาเลย ประการหนึ่งมารดาก็ยังได้ความลำบากเวทนาอยู่ ซึ่งจะทำการมงคลในเวลานี้นั้นผิดประเพณีนักของท่านได้งดก่อน ต่อค่อยเป็นปรกติเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าจึงจะกลับมาฉลองคุณท่าน โลฮวยอ๋องได้ฟังไม่รู้ที่จะทำประการใดก็นิ่งอยู่ ครั้นเวลารุ่งขึ้นงักหลุยก็พาพวกเพื่อนคุมทหารรีบไปถึงตำบลด่านเพงน่ำก๋วน จึงหยุดพักทหารอยู่ที่ตำบลนั้นแล้วให้ฮันคิเหลง ฮันคิหอง ไปบอกกับผู้รักษาด่านว่าจะไปเมืองฮุนหนำขอจงเปิดทางให้ไปโดยสะดวก ฮันคิเหลง ฮันคิหองก็ไปบอกปาฮุนผู้รักษาด่านตามคำงักหลุย ปาฮุนได้ฟังก็โกรธจึงคุมทหารสามพันออกไปจะจับตัวงักหลุย ฮันคิเหลงจึงขับม้าออกไปแล้วร้องว่ากับปาฮุนว่า ท่านรักชีวิตอยู่แล้วจงเปิดทางให้นายเราไปเมืองฮุนหนำโดยดี ปาฮุนตอบว่าชีนไคว่มีหนังสือมาถึงเราว่า ถ้าเห็นงักหลุยมาถึงแล้วก็ให้จับตัวไว้ ท่านจงให้เราจับงักหลุยโดยดีอย่าได้ขวางเลย ฮันคิเหลงได้ฟังก็โกรธขับม้าเข้ารบกับปาฮุนประมาณสิบเพลง ฮันคิเหลงเอากระบองตีถูกหลังปาฮุนตกม้าลง ทหารปาฮุนเข้ามาป้องกันประคองเอาปาฮุนเข้าด่านได้

ฝ่ายนางสิวหลิมบุตรปาฮุน เห็นบิดาต้องอาวุธเจ็บปวดสาหัสหนักก็เข้ามาปรนนิบัติพยาบาล

ฝ่ายฮันคิเหลงครั้นได้ชัยชนะแก่ปาฮุนแล้ว ก็ขับม้าไปหน้าด่านร้องท้าทายให้ชาวด่านออกรบอีก นางสิวหลิมได้ยินฮันคิเหลงม้าร้องท้าดังนั้นก็โกรธ แต่งตัวขึ้นม้าถืออาวุธเปิดประตูออกไปรบด้วยฮันคิเหลงเป็นสามารถ นางสิวหลิมต้านทานฝีมือฮันคิเหลงไม่ได้ก็ขับม้าหนีจะเข้าด่าน ฮันคิเหลงก็ไล่กระชั้นมา นางจึงขับม้าหนีต่อไป ครั้นไปถึงวัดก็เข้าไปในวัด เห็นหลวงชียืนอยู่หน้าห้อง จึงลงจากม้าไปอาศัยอยู่ในห้อง แล้วสั่งหลวงชีว่าเห็นชายผู้หนึ่งตามมาแล้ว ท่านจงบอกว่าเราเข้าอยู่ในห้อง ถ้าชายผู้นั้นตามเข้ามาจะเอากระบี่ฟันเสียให้ตาย พูดพอขาดคำลงฮันคิเหลงก็มาถึง เห็นม้าผูกอยู่จึงถามหลวงชีว่าท่านเห็นหญิงเจ้าของม้าไปข้างไหน หลวงชีบอกว่าเห็นเข้าไปอยู่ในห้องท่านตามเข้าไปเถิด ฮันคิเหลงลงจากม้าตามเข้าไปพอถึงประตูห้อง นางสิวหลิมจึงเอากระบี่ฟันฮันคิเหลง ฮันคิเหลงเอากระบองรับ นางสิวหลิมแทงซ้ำมาอีก ฮันคิเหลงก็เอากระบองปัดกระบี่ตกจากมือ แล้วก็เข้าไปจับข้อมือนางสิวหลิมจูงขึ้นไปบนเตียง ฮันคิเหลงพิจารณาดูนางสิวหลิมก็นึกรัก จึงพูดว่าซึ่งเจ้ากับเราได้มาสู้รบกันทั้งนี้ก็เพราะเทพยดาบันดาลดลใจจะให้เราทั้งสองได้มาพบปะกัน ด้วยเป็นวาสนาของเราทั้งสองจะเป็นคู่ร่วมรักกัน เจ้าจงสมัครสโมสรด้วยเราเถิด นางสิวหลิมเห็นรูปร่างฮันคิเหลงหมดจดงดงาม และได้ฟังถ้อยคำก็จับใจนึกรัก แต่แกล้งพูดเป็นมารยาว่าตัวข้าพเจ้ากับท่านนั้นเป็นข้าศึกได้สู้รบกัน ข้าพเจ้าแพ้ท่านจึงได้หนีมาท่านตามจับตัวข้าพเจ้าได้ตกอยู่ในเงื้อมมือแล้วควรแต่จะฆ่าเสีย ซึ่งจะมาพูดจาแทะโลมเอาเป็นมิตรไมตรีนั้นยังกระไรอยู่หรือ ฮันคิเหลงว่าซึ่งเจ้าพูดดังนี้ไม่ถูกอันลักษณะคนซึ่งจะเป็นมิตรและศัตรูกันนั้นจะประมาณมิได้ บางทีเป็นมิตรกันแล้วภายหลังก็กลับเป็นศัตรูต่อกัน บางทีเป็นศัตรูกันแล้วก็กลับเป็นมิตรไมตรีรักใคร่สนิท ความข้อนี้หายั่งยืนมั่นคงไม่ เหมือนหนึ่งตัวเจ้ากับเราเดิมก็เป็นข้าศึกกัน ครั้นมาพบเจ้าเข้าแล้วความขึ้งโกรธซึ่งมีมาแต่เดิมนั้นก็สูญหายไปหมดสิ้น มีแต่ความรักอย่างเดียว ในเวลานี้ถึงเจ้าจะเอากระบี่มาฟันแทงให้เจ็บปวดแทบประดาตายก็มิได้โกรธ ขอแต่ให้เจ้ามีความรักใคร่แก่เราเถิด นางสิวหลิมได้ฟังถ้อยคำก็บังเกิดความกำหนัดกำเริบมากขึ้น แล้วพูดว่าตัวข้าพเจ้านี้เปรียบเหมือนดอกไม้อันอยู่ในป่า ถ้ามีผู้เดินทางมาพบเข้าก็จำต้องเด็ดเชยชมเล่นแล้วก็จะทิ้งเสีย หาคิดที่จะเอาไปเป็นอาณาประโยชน์ไม่ ซึ่งท่านว่ารักนั้นกลัวจะเป็นเช่นดอกไม้ป่ากระมัง ฮันคิเหลงได้ฟัง นางสิวหลิมก็แกล้งทำมารยาปัดป้องเกียดกันไปตามนิสัยสตรีแล้วก็เอนอ่อนลงให้ ฮันคิเหลงกับนางสิวหลิมได้เป็นภริยาสามีกันในวัดนั้น

ฝ่ายฮันคิหองเห็นฮันคิเหลงไล่ตามนางสิวหลิมหายไปก็ควบม้าตามมาถึงวัด เห็นม้าซึ่งฮันคิเหลงขี่นั้นผูกอยู่ จึงถามหลวงชีว่าเห็นหญิงกับชายสองคนไล่กันเข้ามาในวัดนี้หรือไม่ หลวงชีบอกว่าหญิงหนีเข้าไปในห้อง ชายก็ตามเข้าไปไม่เห็นออกมา จะมีเหตุประการใดข้าพเจ้าไม่ทราบ ฮันคิหองก็ลงจากม้าเข้าไปเที่ยวค้นหา เห็นฮันคิเหลงพี่ชายกับนางสิวหลิมนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงของหลวงชีก็กลับออกมา เห็นหญิงสาวชาวบ้านมาไหว้พระนั่งเล่นอยู่ที่ห้องกับหลวงชี ฮันคิหองจึงนึกว่าพี่เราเขารบศึกกับผู้หญิงก็ได้ชัยชนะสำเร็จแล้ว จำเราจะทำศึกกับนางคนนี้บ้างจึงจะไม่เสียเปรียบเขา คิดแล้วก็เข้าไปนั่งพูดไต่ถามถึงชื่อและแซ่ นางนั้นบอกว่าข้าพเจ้าแซ่ซูชื่อเกียน ท่านมาถามชื่อมีธุระสิ่งใดหรือ ฮันคิหองว่าอยากรู้จักเป็นมิตรไมตรีไว้ หลวงชีเหล่านั้นเห็นฮันคิหองพูดจาแทะโลมนางซูเกียนก็กลัวจะเป็นที่กีดขวางพากันลุกหลีกไปเสียสิ้น ฮันคิหองก็เข้าอุ้มเอานางซูเกียนเข้าไปในห้องที่นอนหลวงชีร่วมประเวณีกันสำเร็จแล้ว พอฮันคิเหลงพี่ชายออกมาจากห้อง ก็เล่าความตามซึ่งได้ภรรยาทั้งสองคนให้กันฟังแล้วต่างคนก็เอาภรรยาขึ้นม้ากลับมาใกล้จะถึงด่าน นางสิวหลิมจึงพูดกับฮันคิเหลงว่า ข้าพเจ้าจะขอเข้าไปแจ้งความกับบิดาเสียให้ทราบก่อน ฮันคิเหลงว่าเราจะเข้าไปด้วย ฮันคิเหลงกับนางสิวหลิมก็เข้าไปในด่าน ให้ฮันคิหองยืนม้าคอยอยู่หน้าด่าน

ฝ่ายม้าใช้ของงักหลุย เห็นฮันคิเหลงเข้าไปในด่านได้ก็รีบเอาความมาบอกแก่งักหลุย งักหลุยคิดสำคัญว่าฮันคิเหลงตีเข้าไปในด่านได้แล้วก็รีบพาทหารตามเข้าไปในด่าน

ฝ่ายปาฮุนนายด่านนอนป่วยอยู่ ได้ยินเสียงคนร้องอื้ออึงว่าข้าศึกยกมาเข้าในด่านได้แล้ว ปาฮุนก็ตกใจรากเลือดออกมาตายในทันใดนั้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ