๔๔

กิมงึดตุดขึ้นตั้งค่ายอยู่บนบกค่ายหนึ่งเห็นทหารก็เบาบางมีอยู่น้อย กองทัพฮั่นเอียนติดตั้งรักษาปากคลองอยู่นั้นก็แน่นหนา ฮั่นซีตงกับนางเนียฮูหยินมีความยินดีเดินไปที่วัดบนเขากิมซัว หลวงจีนออกมารับเชิญเข้าไปในวัด ฮั่นซีตงจึงถามว่าท่านอาจารย์เตายวดไปอยู่ข้างไหน หลวงจีนบอกว่าท่านไปหลายวันแล้วไม่เห็นกลับมาไม่ทราบว่าไปแห่งใด ฮั่นซีตงกับนางเมียฮูหยินก็ขึ้นไปนั่งที่ศาลาบนเขาแลลงไปดูกองทัพกิมงึดตุด แล้วพูดว่ากิมงึดตุดครั้งนี้เปรียบเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือบีบเข้าเมื่อไรก็จะตายเมื่อนั้น แต่กิมงึดตุดเข้าทีอับจนถึงที่ตายแล้ว ถ้าเรายกทหารเข้าไปก็คงจะจนสิ้นชีวิต ทหารของเราก็คงจะล้มตายลงมาก ถ้าล้อมไว้ให้แน่นหนาอีกสักสองสามวันก็จะขาดเสบียงอาหารหิวโหยอ่อนกำลังลง แล้วเราเข้าไปจับก็จะได้ง่าย นางเมียฮูหยินจึงว่าท่านอย่าประมาทแก่การศึกสงคราม เป็นทีที่จะได้แล้วก็เร่งทำ จะรั้งรออยู่ถ้ามีเหตุสิ่งใดขึ้นก็จะเสียไป กิมงึดตุดนี้เป็นคนมีวาสนาปัญญาและฝีมือก็ดี ถ้าแม้นหนีพ้นไปได้ก็จะเกิดความผิดขึ้น ฮั่นซีตงว่าซึ่งเจ้าพูดนี้ก็ถูกอยู่แต่เห็นเจ้าวิตกเกินไป อีกสองสามวันก็คงจะจับตัวได้ดอก พูดกันแล้วก็กลับมาค่ายที่อยู่

ฝ่ายกิมงึดตุดเข้าไปในคลองคิดว่าจะตลอดไปได้ ไปถึงที่ตันเข้าก็ตกใจพิจารณาดูทางที่จะหนีไปได้นั้นก็ไม่มี ด้วยภูเขากันอยู่ทั้งสองฟากคลอง ครั้นจะย้อนกลับออกมาปากคลอง ทหารฮั่นซีตงก็ตั้งรักษาไว้แน่นหนา ไม่รู้ที่จะคิดประการใดก็นั่งวิตกเป็นทุกข์อยู่ พอเห็นคนพายเรือเล็กมาสองลำ จึงเรียกเข้ามาถามว่า เจ้าเหล่านี้เที่ยวจับปลาอยู่ที่นี้รู้จักทางที่จะออกไปได้มีหรือไม่ ถ้ามีก็จงช่วยนำทางให้เราพ้นไปได้ เราจะให้เงินทองจงมาก ชายพวกหาปลาบอกว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี้มาแต่ครั้งปู่และบิดาไม่เห็นมีทางไหนจะออกไปได้ คลองนี้เป็นคลองด้วนคลองตัน บนบกสองฟากนั้นก็เป็นภูเขาติดต่อกันไปสูงไม่มีทางเดิน ถ้าจะไปที่อื่นก็ต้องย้อนกลับออกไปปากคลอง กิมงึดตุดได้ฟังก็เสียใจนัก คับมิชีจึงพูดขึ้นว่าพวกเราครั้งนี้ก็ถึงที่อับจนแล้ว ท่านจงทำหนังสือไปถึงฮั่นซีตงขอทำสัญญาเป็นไมตรี จะไม่รบกวนเป็นข้าศึกกันต่อไปอีก ถ้าถึงปีจะจัดเครื่องบรรณาการและสิ่งของที่ดีมีราคากับม้าสามร้อยส่งมาให้ทุก ๆ ปีไป ถ้าแม้นฮั่นซีตงไม่ยอมจึงค่อยคิดอ่านไปจนสิ้นกำลัง กิมงึดตุดก็เห็นชอบด้วยจึงเขียนหนังสือประทับตรามอบให้ทหารถือไปให้ฮั่นซีตง ทหารผู้ถือหนังสือมาถึงปากคลองที่พวกทหารฮั่นซีตงล้อมอยู่ก็เข้าไปแจ้งความว่า กิมงึดตุดให้ถือหนังสือมาถึงฮั่นซีตงแม่ทัพ ฮั่นเอียนติดก็สั่งให้พาตัวผู้ถือหนังสือไปหาบิดา ทหารฮวนผู้ถือหนังสือเข้าไปคำนับ แล้วส่งหนังสือให้ฮั่นซีตงรับมาอ่านแจ้งความในหนังสือก็หัวเราะพูดว่า เราหาต้องการสิ่งของบรรณาการของนายเจ้าไม่ อยากแต่จะได้ตัวนายเจ้าไปถวายเจ้าของเรา พูดดังนั้นแล้วก็สั่งให้เอาตัวผู้ถือหนังสือไปตัดจมูกเสียปล่อยไป ผู้ถือหนังสือกลับไปถึงกิมงึดตุด ก็บอกความตามซึ่งฮั่นซีตงพูดจามาทุกประการ กิมงึดตุดเห็นทหารของตัวถือหนังสือไปต้องตัดจมูกโลหิตไหลอาบหน้าก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่าตัวเราเกิดมาเป็นชายชาติทหารครั้งนี้ก็ถึงทีอับจนอยู่แล้ว จะมาทำใจอ่อนงอนง้อแก่ข้าศึกนั้นหาควรไม่ เป็นตายอย่างไรเวลาพรุ่งนี้จะตีหักออกไปให้ได้ พูดแล้วก็สั่งให้ทหารจัดแจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ครั้นเวลารุ่งเช้ากิมงึดตุดก็ยกออกมาปากคลองตีหักออกไป ฮั่นเอียนติดให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมกราดไว้ กิมงึดตุดรบชิดเข้าไปไม่ได้ ก็สั่งให้ทหารร้องบอกกับทหารฮั่นเอียนติดว่าให้เชิญท่านแม่ทัพออกมาพูดจากันสักหน่อย ฮั่นเอียนติดก็ให้ทหารไปบอกฮั่นซีตงผู้บิดาที่ค่าย ฮั่นซีตงแจ้งความแล้วก็ลงเรือมาถึงจึงออกไปยืนอยู่ที่หัวเรือ ฮั่นเซียงเต็กยืนอยู่ข้างขวาฮั่นเอียนติดยืนอยู่ข้างซ้าย ดูเป็นสง่างดงามยิ่งนัก กิมงึดตุดสั่งให้ทหารถอยเรือให้ใกล้เข้ามา แล้วจึงออกไปยืนที่หัวเรือ เปิดหมวกคำนับฮั่นซีตงแล้วพูดว่า เดิมแผ่นดินซ้องกับเมืองไตกิมก๊กเป็นอันหนึ่งอันเดียวเหมือนเมืองพี่น้องกัน เกิดเหตุให้ร้าวฉานกันทั้งนี้ก็เพราะพวกเมืองกังหนำประพฤติเป็นโจร เข้าไปเบียดเบียนในเขตแดนบ้านเมืองฝ่ายเมืองไตกิมก๊ก พระเจ้าแผ่นดินเมืองเปียนเหลียงทราบความแล้วก็ไม่ระงับห้ามปราบ ข้าพเจ้าจึงได้ยกกองทัพมาเกิดการศึกรบพุ่งติดต่อมาจนทุกวันนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าเข้าถึงที่อับจนยอมแพ้แก่ท่านแล้ว ตั้งแต่นี้จะจัดเครื่องบรรณาการมาส่งตามฤดูปี ขอเป็นไมตรีรักใคร่กันเหมือนแต่ก่อน ขอท่านจงปล่อยให้ข้าพเจ้ากลับไปบ้านเมืองเถิด ฮั่นซีตงจึงว่าซึ่งท่านว่าเป็นเหตุด้วยเมืองกังหนำเข้าไปเบียดเบียนเมืองไตกิมก๊กนั้นนี่เป็นการปลายเขตปลายแดน ซึ่งท่านมาตีเมืองเปียนเหลียงจับเอาสองกษัตริย์ไปขังไว้นั้น เราท่านทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินซ้องมีใจเจ็บแค้นเสมอหน้ากันทุกตัวคน ถ้าสองกษัตริย์ไม่ได้กลับมาบ้านเมืองแล้ว ถึงตัวท่านจะมาพูดประการใด ๆ เราก็ไม่อยากจะฟัง คงจะคิดเอาชีวิตท่านให้จงได้ พูดดังนั้นแล้วฮั่นซีตงก็กลับไปค่าย กิมงึดตุดจะตีหักออกไปก็ไม่ได้ พูดอ้อนวอนฮั่นซีตงขอเป็นไมตรีก็ไม่ยอมเป็นที่คับใจนัก จึงถอยกลับเข้าไปอยู่ในคลองอึงเทียนตงตามเดิม จึงพูดกับคับมิชีว่าครั้งนี้เราถึงที่อับจนเสียจริงแล้ว เสบียงอาหารก็น้อยจวนจะหมด ไม่คิดเห็นว่าจะมีผู้ใดมาช่วยให้พ้นจากความตายได้เลย คับมิชีจึงว่าการครั้งนี้ก็เป็นที่สุดความคิดแล้ว ท่านจงเขียนหนังสือประกาศไปปักไว้หน้าค่ายว่า ถ้าผู้ใดรู้เห็นว่าทางใดจะหนีออกไปได้ก็จงสงเคราะห์บอกทางให้พ้นภัยสักครั้งหนึ่งเถิด จะให้บำเหน็จรางวัลจงมาก กิมงึดตุดได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงเขียนหนังสือฉลากให้ทหารไปปักไว้หน้าค่ายได้วันหนึ่ง ก็ยังไม่มีผู้ใดมาบอกหนทางให้ และกิมงึดตุดนั้นยังไม่สิ้นวาสนา เทพยดาจึงบันดาลเป็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสะอาดเหมือนคนเล่าเรียนหนังสือเดินมาถึงหน้าค่าย บอกกับทหารซึ่งเฝ้าหนังสือประกาศอยู่นั้นว่าเรามีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง จะให้นายท่านพ้นภัยรอดไปได้ ทหารนั้นได้ฟังก็ดีใจ ตะลีตะลานรีบไปบอกกิมงึดตุด กิมงึดตุดจึงให้เชิญเข้าไปในค่ายจัดที่ให้นั่งกระทำนบนอบต้อนรับเป็นอันดี จึงพูดว่าข้าพเจ้าตกเข้ามาอยู่ในที่ล้อมเสบียงอาหารก็จวนจะหมดแล้ว ท่านจงได้มีความเมตตาเอ็นดูช่วยแนะนำให้ข้าพเจ้าได้พ้นภัยไปสักครั้งหนึ่งเถิด ชายผู้นั้นจึงว่าการที่จะสู้รบนั้นไม่ได้ ถ้าจะให้พ้นคลองนี้ไปถึงบ้านเมืองได้ก็ช่วยบอกอุบายให้อย่างหนึ่ง กิมงึดตุดได้ฟังก็มีความยินดี ลุกขึ้นคุกเข่าลงคำนับว่า ถ้าท่านช่วยบอกอุบายให้รอดไปถึงบ้านเมืองได้แล้ว จะต้องการทรัพย์สิ่งของทองเงินมากน้อยเท่าใด ก็จะให้สมความปรารถนาหรือจะรักเป็นขุนนาง ก็จะตั้งแต่งให้มียศบรรดาศักดิ์ทำนุบำรุงมิให้มีความอนาทรร้อนใจ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ