๖๐

ฝ่ายทหารของฮั่นซีตง เห็นบูเชียงก๋งเดินมาทางนั้นก็เข้าไปแจ้งแก่ฮั่นซีตง ว่าบูเชียงก๋งกับทหารห้าคนเดินทางมา ฮั่นซีตงให้ทหารออกไปเที่ยวตามหาเชิญบูเชียงก๋งเข้าไปพักในเมือง ทหารตามไปทางประมาณยี่สิบลี้เศษก็ไม่ทัน

ฝ่ายชีนไคว่คอยท่าบูเชียงก๋งอยู่ช้านานหลายวันไม่เห็นมา ก็ทำหนังสือเป็นรับสั่งพระเจ้าซ้องเกาจงอีกฉบับหนึ่ง ให้ปังตง ปังเฮาขุนนางนายทหารในตำแหน่งของตัวกับทหารเลวสามสิบคนถือหนังสือรับสั่งไปจำบูเชียงก๋งเข้ามา ปังตง ปังเฮารับหนังสือซึ่งชีนไคว่ปลอมรับสั่งแล้วก็คำนับลาพาทหารออกจากเมืองนิ่มอัน เดินทางมาหลายวันถึงตำบลทางเพงกัง พบบูเชียงก๋งเดินมา ปังตง ปังเฮาร้องบอกว่ามีหนังสือรับสั่งให้มาถึงท่านอีกฉบับหนึ่ง บูเชียงก๋งได้ฟังก็ลงจากม้าคุกเข่าคำนับหนังสือรับสั่ง ปังตงปังเฮาคลี่ออกอ่านให้บูเชียงก๋งฟังมีความว่า พระเจ้าซ้องเกาจงรับสั่งให้หาบูเชียงก๋งหลายครั้งแล้ว บูเชียงก๋งขัดไม่มา บัดนี้ให้ปังตงปังเฮาเป็นข้าหลวงเชิญหนังสือรับสั่งออกมาจำบูเชียงก๋งเข้าไป ณ เมืองหลวง ตามโทษที่ขัดรับสั่ง ปังตงปังเฮาอ่านหนังสือรับสั่งแล้วก็ให้ทหารจับตัวบูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งก็นิ่งไม่ต่อสู้ เฮงหวยเห็นเขาเอาโซ่และเครื่องจำจะเข้าจำนายก็มีความโกรธยิ่งนัก ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า บูเชียงก๋งกับพวกเราเอาชีวิตเข้าสู้รบปราบปรามพวกโจรข้าศึกในแผ่นดินราบคาบ กิมงึดตุดพ่ายแพ้ ทหารฮวนตายด้วยฝีมือพวกเราหลายสิบหมื่นมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ซึ่งท่านจะทำกับเราดังนี้ไม่ได้ เราไม่ยอม เฮงหวยก็ถือกระบองตรงเข้าไปจะตีปังตงปังเฮา บูเชียงก๋งเห็นเฮงหวยจะเข้าทำร้ายข้าหลวง คิดว่าถ้าเฮงหวยอยู่ที่นี่ข้าหลวงจะจองจำทำโทษเราเห็นจะไม่ได้ จะไล่ให้หนีไปก็คงจะไม่ได้ด้วยเป็นคนดื้อดึงนัก จึงร้องว่าเฮงหวยเอ๋ยเป็นกรรมของเราแล้ว เจ้าจะทำร้ายแก่ข้าหลวงผู้ถือหนังสือรับสั่งนี้ไม่ควร เราได้ทำชอบไว้ในแผ่นดินก็มาก ปรากฏอยู่แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เจ้าทำร้ายแก่ข้าหลวงผู้ถือหนังสือรับสั่งแล้วชื่อเสียงของเราจะเสียไป เฮงหวยได้ฟังบูเชียงก๋งร้องห้ามก็ไม่อาจจะขัดขืนได้ เข้ามาหมอบซบหน้าลงตรงเท้าบูเชียงก๋งแล้วร้องไห้รำพันว่า วาสนาของเราบ่าวนายช่างอาภัพกระไรเลย อุตส่าห์ทำราชการโดยสุจริตเอาชีวิตเข้าฝ่าคมอาวุธ สุดแต่มีศึกครั้งใดก็อาสาไปทุกครั้ง เมื่อไปปราบโจรและกิมงึดตุดครั้งก่อนนั้นก็มีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู ก็มิได้พระราชทานบำเหน็จรางวัล ความชอบก็สูญลับไปเป็นแต่เสมอตัว ครั้งนี้ก็ได้ปราบโจรและตีกองทัพกิมงึดตุดแตกยับเยินไปอีก บ้านเมืองเป็นสุขกลับมาต้องโทษทัณฑ์ถึงเพียงนี้ บูเชียงก๋งได้ฟังดังนั้นน้ำตาไหล คิดกลัวแต่จะเสียกตัญญูอย่างเดียว จึงแข็งใจพยักหน้าเรียกให้เอาเครื่องจำมา ปังตงปังเฮาจึงคิดว่าถ้าไม่ฆ่าเฮงหวยเสียก็จะเป็นที่กีดขวาง จึงชักกระบี่ออกฟันเฮงหวยตายแล้วก็เอาโซ่และเครื่องจำเข้าจำบูเชียงก๋งไว้มั่นคง บูเชียงก๋งเห็นเฮงหวยตายก็ร้องไห้รักคิดถึงว่าเป็นเพื่อนทุกข์ยากกันมาช้านาน จึงอ้อนวอนว่าเฮงหวยนี้ทำราชการมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ไม่ควรจะทิ้งให้ศพเฮงหวยเวทนาอยู่ดังนี้เลย ขอท่านจงได้หาหีบมาใส่ศพเฮงหวย ไปฝังเสียให้ดีด้วย ปังตงปังเฮาก็สั่งให้ทหารไปซื้อโลงที่เขาขายมาใส่ศพเฮงหวยไปทิ้งเสีย

ฝ่ายทหารเลวสี่คนเห็นเขาฆ่าเฮงหวย และจองจำทำโทษนายดังนั้นก็ตกใจพากันหนีไป ปังตงปังเฮาก็เอาตัวบูเชียงก๋งขึ้นเกวียนตะรางซึ่งสำหรับใส่คนโทษตรงไปเมืองนิ่มอัน

ฝ่ายชีนไคว่แจ้งว่าปังตงปังเฮาได้ตัวบูเชียงก๋งมาแล้วจึงคิดว่าบูเชียงก๋งนี้มีทหารฝีมือเข้มแข็งและคนทั้งหลายรักใคร่นับถือเป็นอันมาก กลัวทหารเหล่านั้นจะติดตามเข้ามาแย่งชิง จึงทำหนังสือเป็นรับสั่งพระเจ้าซ้องเกาจงไปถึงหัวเมืองด่านทางบกทางน้ำ ให้ผู้รักษาเมืองรักษาด่านตรวจตราคนเข้าออกให้กวดขันอย่าให้ข้าศึกเล็ดลอดเข้ามาได้ ทำหนังสือแล้วก็ให้ม้าใช้ถือแยกไปทุกด่านทุกเมือง ชีนไคว่สั่งให้เอาตัวบูเชียงก๋งส่งไปจำไว้ ณ คุก แล้วให้หาจิวซำอุยผู้เป็นขุนนางตุลาการมาบอกว่ามีรับสั่งพระเจ้าซ้องเกาจงให้ท่านเอาตัวบูเชียงก๋งไปชำระให้ได้ความจริงตามข้อความซึ่งมีผู้มากล่าวโทษสามข้อ จิวซำอุยรับเรื่องราวกล่าวโทษบูเชียงก๋งและหนังสือรับสั่งบังคับให้เป็นตุลาการชำระ คำนับลาชีนไคว่ไปถึงที่โรงชำระ เอาหนังสือรับสั่งขึ้นวางบนโต๊ะ แล้วคลี่เรื่องราวออกดูความที่กล่าวโทษบูเชียงก๋งนั้นเป็นความฉกรรจ์แต่ไม่มีชื่อผู้ใดเป็นโจทก์กล่าวอ้างลอย ๆ ขึ้น ก็พิจารณาเห็นชัดว่าเป็นสำนวนชีนไคว่ แกล้งหาเหตุใส่เอาบูเชียงก๋ง จึงให้ผู้คุมเอาตัวบูเชียงก๋งมาจากคุก ถึงที่ชำระแล้วจิวซำอุยก็อ่านหนังสือรับสั่งให้บูเชียงก๋งฟังมีเรื่องราวกล่าวโทษบูเชียงก๋งเป็นความสามข้อ ให้จิวซำอุยตุลาการเอาบูเชียงก๋งมาชำระไต่ถามเอาความจริง บูเชียงก๋งได้ฟังหนังสือรับสั่งก็คุกเข่าลงคำนับ จิวซำอุยตุลาการคัดข้อความออกถามบูเชียงก๋งว่า ข้อหนึ่งบูเชียงก๋งยกกองทัพไปตีกิมงึดตุดได้ชัยชนะ กิมงึดตุดแตกหนีไปแล้ว บูเชียงก๋งไม่ยกตามไปตีเอาเมืองไตกิมก๊ก แกล้งบอกขัดเสบียงถอยกองทัพกลับมาอยู่ที่จูเซียนติ้น ข้อสองว่าบูเชียงก๋งจ่ายเสบียงอาหารให้กองทัพหัวเมืองซึ่งมาเข้ากองอยู่ด้วยนั้นแต่น้อยไม่พอกิน ทหารได้ความอดอยากซวดโซ เจ้าเมืองเหล่านั้นจึงได้เลิกกองทัพกลับไปเสียสิ้น ข้อสามว่าเมื่อกองทัพหัวเมืองเลิกทัพกลับไปแล้ว บูเชียงก๋งตั้งอยู่ที่จูเซียนติ้นนั้นใช้คนสื่อสารไปมาถึงกิมงึดตุดเนือง ๆ มิได้ขาด จะคิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน บูเชียงก๋งได้ฟังความสามข้อจึงให้การว่า เมื่อกิมงึดตุดแตกไปนั้นข้าพเจ้าและนายทัพนายกองยกตามไปตั้งอยู่ที่เขากิมงูเนีย ครั้นจะติดตามต่อล่วงแดนเข้าไปในเมืองไตกิมก๊กก็เห็นว่าเสบียงอาหารนั้นน้อย จะไม่พอจ่าย จึงได้บอกขอเสบียงเข้ามา มีหนังสือรับสั่งให้ข้าหลวงถือไปถึงข้าพเจ้า และนายทัพนายกองนั่งประชุมพร้อมกัน ฮั่นซีตงเล่าขีก็อยู่ด้วย ในหนังสือรับสั่งนั้นว่าไพร่พลทหารทำศึกกับกิมงึดตุดมาก็ช้านานบอบช้ำ อย่าเพิ่งยกเข้าไปตีเมืองไตกิมก๊กเลย ให้ถอยกองทัพไปตั้งอยู่ที่ตำบลจูเซียนติ้น ความแจ้งอยู่ในหนังสือรับสั่งนั้นแล้ว ข้อซึ่งว่าข้าพเจ้าจ่ายเสบียงให้กองทัพหัวเมืองน้อยนั้นความอันนี้ไม่จริง ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพ เอาใจใส่ดูแลรักไพร่พลทหารเหมือนบิดามารดารักบุตรไม่ให้อดอยากเลย ความข้อนี้คือผู้ใดมากล่าวโทษ จิวซำอุยว่าเฮงจุ้นนายทหารของท่านนั้นเป็นผู้กล่าว บูเชียงก๋งว่าเฮงจุ้นนั้นรับสั่งให้คุมเสบียงออกไปส่งกองทัพ ข้าพเจ้าให้เป็นผู้กำกับจ่าย เฮงจุ้นจ่ายเสบียงให้ทหารกินแต่น้อยไม่พอ ทหารพากันเข้ามาร้องข้าพเจ้าให้ชำระได้ความจริงจึงให้เฆี่ยนเฮงจุ้นเสีย แล้วบอกส่งเข้ามาถึงชีนไคว่ ความแจ้งอยู่ในหนังสือบอกนั้นแล้ว ความสองข้อนี้ขอจงเอาหนังสือบอกและหนังสือรับสั่งมาตรวจดู เอาฮั่นซีตง เล่าขี ซึ่งเป็นแม่ทัพไปเข้ากระบวนอยู่ด้วยข้าพเจ้ามาถามก็คงจะได้ความจริงทั้งสิ้น ข้อซึ่งว่าข้าพเจ้ามีหนังสือสือสารไปถึงกิมงึดตุดนั้นไม่มีเลยเป็นความหาใส่โทษเอาเปล่าทั้งนั้น จิวซำอุยได้ฟังบูเชียงก๋งให้การชี้แจงก็เห็นเป็นความจริงทั้งสิ้น การอันนี้เกิดขึ้นก็เพราะชีนไคว่คิดอิจฉาจะกำจัดบูเชียงก๋งเสีย ซึ่งตัวเราจะมาเป็นตุลาการชำระเอาคนดีซึ่งมีความชอบต่อแผ่นดินกลับเป็นคนชั่วไปตามความโกงของชีนไคว่นั้นไม่ถูกเลย คิดแล้วจึงสั่งผู้คุมว่าให้เอาตัวบูเชียงก๋งไปไว้ตามเดิมเถิด เราจะเอาความเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบแล้วแต่จะโปรด ผู้คุมก็พาเอาตัวบูเชียงก๋งกลับไปจำไว้ ณ คุก จิวซำอุยก็เลิกกลับบ้าน นอนคิดรำพึงไปว่าความนี้เกิดขึ้นเพราะชีนไคว่จะคิดทำลายล้างบูเชียงก๋ง ชีนไคว่เอาหนังสือรับสั่งตั้งให้เราเป็นผู้ชำระนั้นจะจริงหรือเท็จประการใดก็ไม่รู้ ครั้นจะเอาความที่ชำระเข้าไปกราบทูลพระเจ้าซ้องเกาจงก็ไม่เสด็จออก ถึงจะกราบทูลได้ก็ไม่เห็นว่าทรงตัดสินข้อความสิ่งใด การแผ่นดินทุกวันนี้ก็เป็นสำเร็จเด็ดขาดอยู่กับชีนไคว่ ตราสำหรับแผ่นดินชีนไคว่ก็ใช้ประทับได้เอง เหมือนกับไม่มีพระเจ้าซ้องเกาจงเหมือนกัน ครั้นเราจะชำระกดขี่ไปตามความโกงของชีนโคว่ ชื่อเสียงก็จะชั่วติดแผ่นดินอยู่นับได้ร้อยปีพันปี จำจะละสมบัติและยศศักดิ์หนีไปเสียให้พ้น ถึงจะยากจนประการใดก็ตามที รักษาชื่อไว้อย่าให้ชั่วดีกว่า คิดดังนั้นแล้วก็สั่งบุตรภรรยาให้เก็บของที่ดีมีราคารวบรวมเข้าไว้ จิวซำอุยเอาตราและเครื่องยศขึ้นวางไว้บนโต๊ะ ครั้นเวลาค่ำดึกประมาณยามเศษ จิวซำอุยก็พาบุตรภรรยาอพยพครอบครัวหนีออกจากเมืองนิ่มอันไป

ฝ่ายชีนไคว่ให้จิวซำอุยไปเป็นตุลาการชำระบูเชียงก๋งได้ความประการใดก็ไม่เห็นกลับมาบอก ครั้นเวลาเช้าให้คนไปเรียกหาจิวซำอุยจะเตือนให้เร่งชำระความ คนใช้ไปแล้วกลับมาบอกว่าที่บ้านจิวซำอุยนั้นไม่พบ เห็นแต่ตราสำหรับที่กับเครื่องยศวางไว้บนโต๊ะ ถามชาวบ้านใกล้เคียงก็ว่าจิวซำอุยพาครอบครัวอพยพหนีไปแต่คืนนี้แล้ว ชีนไคว่ได้ฟังก็โกรธสั่งให้หาขุนนางตุลาการซึ่งไปชำระความอยู่กับจิวซำอุยมาให้สิ้น แล้วว่าเราสั่งให้ชำระความก็ไม่มีใครกลับมาบอก ตัวจิวซำอุยก็หนีไปเสียแล้ว พวกเจ้าเหล่านี้มีความผิดเป็นอันมาก ให้เอาตัวไปเฆี่ยนเสียคนละสามสิบที ขุนนางเหล่านั้นอ้อนวอนว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย คิดว่าจิวซำอุยมาแจ้งกับท่านแล้ว ซึ่งจิวซำอุยหนีไปนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ขอโทษไว้สักครั้งหนึ่งเถิด ชีนไคว่ก็ยกโทษให้ แล้วเขียนหนังสืออ้างรับสั่งไปถึงด่านทางหัวเมืองทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดพบปะจิวซำอุยก็ให้จับตัวเข้าเมืองหลวงโดยเร็ว อย่าให้ปิดบังซ่อนเร้นไว้เป็นอันขาด ครั้นทำหนังสือแล้วก็ให้ม้าใช้ถือแยกกันไปทุกด่านทุกตำบล ชีนไคว่นั่งตรึกตรองจะหาผู้เป็นตุลาการชำระความบูเชียงก๋งให้ถึงใจ ก็นึกได้ว่าเมกคิหู หลออูจิบสองคนนี้เป็นอริอยู่กับบูเชียงก๋ง เมื่อครั้งเก็บเรือบรรทุกเสบียงจะไปส่งกองทัพคราวรบกับโจรที่ทะเลสาบ คนทั้งสองมีความพยาบาทคิดจะแก้แค้นบูเชียงก๋งอยู่ จำเราจะให้หามาตั้งเป็นตุลาการ จึงสั่งให้คนใช้ไปเรียกขุนนางทั้งสองมาพูดว่า จิวซำอุยนั้นเราก็ได้ทำนุบำรุงแต่งตั้งให้มียศเป็นตุลาการใหญ่ เรามีธุระหน่อยหนึ่งเท่านี้ก็ไม่ช่วยให้สมปรารถนา คิดหลีกเลี่ยงพาครอบครัวอพยพหนีไปเสีย เรามีความแค้นนัก ซึ่งเราให้หาท่านมานี่จะกราบทูลขอให้ทรงตั้งท่านทั้งสองเป็นที่ตุลาการใหญ่แทนจิวซำอุยชำระความบูเชียงก๋งต่อไป ท่านจะเห็นประการใด เมกคิหู หลออูจิบว่าซึ่งท่านเมตตาจะชุบเลี้ยงข้าพเจ้าทั้งสองนั้นบุญคุณนักหนา ท่านสั่งประการใดข้าพเจ้าก็จะทำตาม ซึ่งความบูเชียงก๋งนั้นจะกดขี่เอาให้เป็นอย่างไรไปก็ได้ไม่ยากนักดอก ชีนไคว่ได้ฟังคนทั้งสองพูดก็ดีใจ สั่งว่าท่านทั้งสองจงกลับไปบ้านก่อนเถิด พรุ่งนี้เข้าจึงจะไปเฝ้าทูลขอตราตั้งให้ เมกคิหู หลออูจิบก็คำนับลาไป ครั้นเวลารุ่งเช้าชีนไคว่เข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้าซ้องเกาจงว่าซึ่งมีรับสั่งให้หาบูเชียงก๋งนั้นเข้ามาถึงแล้ว แต่ยังไม่เห็นขุนนางผู้ใดที่จะมีใจสัตย์ซื่อต่อพระองค์จะไถ่ถามชำระความบูเชียงก๋งได้ เห็นแต่เมกคิหู หลออูจิบ สองคนนี้มีใจกตัญญูซื่อตรงต่อแผ่นดิน ประกอบไปด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด ควรจะให้ไถ่ถามชำระความบูเชียงก๋ง ขอพระองค์จงตั้งให้ขุนนางทั้งสองเป็นที่ไตลิหยีตำแหน่งขุนนางตุลาการใหญ่ พระเจ้าซ้องเกาจงตรัสว่า คนสองคนนี้เราก็ไม่สู้รู้จักคุ้นเคยถ้าท่านเห็นดีแล้วก็จงแต่งตั้งไปเถิด ชีนไคว่ก็ทำหนังสือประทับตราของพระเจ้าซ้องเกาจงตั้งให้เมกคิหู หลออูจิบ เป็นขุนนางตุลาการใหญ่ทั้งสองคน เมกคิหู หลออูจิบ ได้รับตราตั้งเป็นตุลาการแล้วก็พากันมานั่งศาลาว่าความ ให้ผู้คุมไปเอาตัวบูเชียงก๋งออกมา บูเชียงก๋งมาถึงที่ชำระความไม่เห็นจิวซำอุย เห็นขุนนางทั้งสองคนขึ้นนั่งที่ตุลาการใหญ่ ก็จำได้ว่าคนทั้งสองนี้เราได้ทำโทษเฆี่ยนคนละสี่สิบทีเมื่อครั้งไปเกณฑ์เสบียงอาหารส่งกองทัพกระทำข่มเหงกดขี่ราษฎร ซึ่งคนทั้งสองมานั่งอยู่ที่ตุลาการใหญ่นี้ด้วยเหตุประการใด บูเชียงก๋งจึงถามผู้คุมว่าจิวซำอุยซึ่งเป็นตุลาการชำระความเรานั้นไปข้างไหน ผู้คุมบอกว่าจิวซำอุยพาครอบครัวอพยพหนีไปเสียแล้ว ชีนไคว่กราบทูลขอตั้งให้ เมกคิหู หลออูจิบเป็นขุนนางตุลาการใหญ่แทนที่จิวซำอุยชำระความท่านต่อไป บูเชียงก๋งว่าถ้าดังนั้นชีวิตเราก็คงตายอยู่ในเงื้อมมือเขา พูดแล้วก็เดินเข้านั่งในที่ลูกความ เมกคิหูเห็นบูเชียงก๋งเข้ามานั่งนิ่งเฉยอยู่ จึงพูดว่าเราเป็นตุลาการตัวท่านต้องโทษเป็นลูกความ ควรที่จะคุกเข่าลงคำนับ บูเชียงก๋งตอบว่าตัวเราเป็นถึงบูเชียงไตก๊กก๋งแม่ทัพใหญ่ พระเจ้าซ้องเกาจงก็ยังหาถอดออกจากที่ไม่ จะให้เราคุกเข่าลงคำนับท่านนั้นไม่ควร เมกคิหู หลออูจิบได้ฟังก็เชิญหนังสือรับสั่งมาตั้งบนโต๊ะตามธรรมเนียม บูเชียงก๋งเห็นหนังสือรับสั่งก็คุกเข่าลงคำนับ เมกคิหู หลออูจิบ ตุลาการทั้งสองจึงถามบูเชียงก๋งว่าท่านเป็นกบฏคบคิดกับกิมงึดตุด หยุดกองทัพเสียไม่ยกไปปราบปรามฮวนและรับเอาสองกษัตริย์กลับมานั้นด้วยเหตุใด บูเชียงก๋งว่าผู้ใดมากล่าวเราเป็นกบฏ คบคิดกับกิมงึดตุด ก็ให้เอาตัวมาชำระสอบสวนกัน เมกคิหูว่าผู้กล่าวเป็นโจทก์นั้นชื่อเฮงจุ้น เป็นคนต่างประเทศเข้ามาอยู่เมืองหลวงผิดน้ำผิดดินเจ็บตายเสียแล้ว ท่านเห็นว่าผู้เป็นโจทก์ตายไม่มีใครยืนยันจึงได้พูดท้าเถียงอยู่ดังนี้ ตัวท่านเขาก็เล่าลืออยู่ว่าเป็นคนมีสติปัญญาฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ โทษท่านครั้งนี้ก็ผิดนิดเดียวแต่เพียงต้องตัดศีรษะเท่านั้นเอง จงรับเสียโดยดีเถิด อย่าพูดมากเลอะเทอะไปเลย บูเชียงก๋งว่าความซึ่งว่าเราเป็นกบฏไปคบคิดกับกิมงึดตุดนั้นไม่จริง หาใส่เอาเปล่าๆ เราไม่ยอมรับ เมกคิหู หลออูจิบว่าถามแต่โดยดีท่านไม่รับแล้วก็จะต้องลองท่านให้สิ้นฝีมือ สั่งให้ทหารซ้ายขวาเอาตัวบูเชียงก๋งออกเฆี่ยนสี่สิบทีจนโลหิตไหลเปียกเปื้อนไปทั้งตัว แล้วก็พาเอาตัวเข้ามาถาม บูเชียงก๋งก็พูดยืนคำอยู่ เมกคิหูหลออูจิบให้เอาเครื่องไม้เข้าผูกบีบนิ้วเท้านิ้วมือจนกระดูกแตก บูเชียงก๋งก็อดทนไม่ได้ร้องจนสลบไปครั้นฟื้นขึ้น บูเชียงก๋งจึงร้องประกาศแก่เทวดาฟ้าและดินว่า ตัวข้าพเจ้าตั้งอยู่ในสัตย์กตัญญูไม่มีความผิด ซึ่งมาทำโทษข้าพเจ้าถึงสาหัสดังนี้ขอเทพยดาฟ้าดินจงได้เป็นพยานด้วยเถิด ผู้ชำระเห็นว่าถามบูเชียงก๋งเท่าไรก็ไม่รับแล้วก็เอาตัวกลับไปจำไว้ ณ คุก เมกคิหู หลออูจิบ จึงปรึกษากันว่าเราลงอาญาแก่บูเชียงก๋งถึงสาหัสแล้วก็ไม่รับจะทำประการใดดี เมกคิหูว่าจะต้องคิดอาญาใหม่จึงจะได้ เอาปอมาสักมัดหนึ่งทุบให้ละเอียด แล้วเอากาวหนักสักสามสิบชั่งใส่กระทะเคี่ยวให้เหนียว เอาปอชุบให้ชุ่มลงในกาว เอามาปะตัวบูเชียงก๋งให้ทั่วทั้งร้อน ๆ ครั้นกาวแห้งติดเนื้อหนังดีแล้วจึงถามความ ถ้าไม่รับกระชากปอออกมาเป็นหย่อม ๆ กาวที่ติดนั้นก็คงจะเลิกหนังกำพร้าออกมา อาญานี้เรียกว่าปอกหมูถอนขนไก่ หลออูจิบได้ฟังก็เห็นชอบ สั่งให้ทหารซ้ายขวาที่สำหรับลงอาญาคนโทษจัดการไว้พร้อม ครั้นรุ่งเช้าตุลาการสองนายก็มานั่งที่ชำระ ให้เอาตัวบูเชียงก๋งออกมาถามว่าเหตุใดไม่ยกกองทัพเข้าไปตีเมืองไตกิมก๊กรับเอาสองกษัตริย์กลับมา ตัวคบคิดกับกิมงึดตุดจะเป็นกบฎต่อแผ่นดินจริงหรือไม่ รีบเสียโดยเร็วตัวก็ต้องอาญาบอบช้ำอยู่แล้ว อย่าให้ต้องทำโทษอีกเลย บูเชียงก๋งว่าเราเกิดมาเป็นชายชาติทหารใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เดิมอยู่ค่ายเขากิมงูซัวพร้อมกันกับฮั่นซีตง เตียจุน เล่าขีแม่ทัพทั้งสามได้ชัยชนะ กิมงึดตุดแตกไปแล้วคิดจะยกเลยไปรับสองกษัตริย์กลับมา พอมีหนังสือรับสั่งให้ยกกองทัพกลับมาอยู่ตำบลจูเซียนติ้น ก็ถอยกองทัพมาตามรับสั่ง ครั้นภายหลังมีหนังสือกิมป้ายรับสั่งติดเนื่องกันไปถึงสิบสองฉบับให้หาเราเข้ามา ทำไมจึงได้ยกโทษว่าเราไม่ยกกองทัพไปปราบกิมงึดตุดดังนี้ผิดประหลาดนัก ข้อหนึ่งว่าเรากันเสบียงอาหารเสียไม่จ่ายให้ทหารกิน ความข้อนี้ที่จูเซียนติ้นนั้นค่ายใหญ่ถึงสิบสามค่ายทหารหลายสิบหมื่น ถ้าเราปิดบังเสบียงอาหารจ่ายให้แต่น้อยก็คงจะมีผู้เข้ามาร้องกล่าวโทษ นี่ไม่มีผู้ใดยืนยันจะให้เรารับอย่างไร ใจของเรานี้ซื่อสัตย์สุจริตนัก ถ้าจะเอาความจริงแล้วทหารหลายสิบหมื่นก็คงจะสืบเอาได้ ซึ่งจะขู่เข็ญให้เรารับนั้นไม่มีความสิ่งใดซึ่งจะรับ เมกคิหูจึงพูดว่าเราปลอบถามดี ๆ ก็ไม่รับ ทหารซ้ายขวาจงเอาปอกับกาวที่เคี่ยวมาปะติดตัวบูเชียงก๋งเข้า กาวนั้นร้อนบูเชียงก๋งเหลือทน ตุลาการทั้งสองให้เอาพัดมาพัดกาวให้แห้งติดหนังแน่นแล้วก็ถามความว่าจะรับเราโดยจริงหรือไม่รับ บูเชียงก๋งว่าไม่มีข้อความสิ่งใดจะมารับเอาเป็นจริง เมกคิหูก็ให้ทหารกระชากปอที่คิดตัวบูเชียงก๋งออกมาเป็นหย่อม ๆ บูเชียงก๋งได้ความเจ็บแสบถึงสาหัสนัก จึงว่าท่านจงเอากระดาษกับพู่กันมาเถิดจะเขียนคำให้การให้ เมกคิหูได้ฟังก็ดีใจคิดว่าอาญาของเราอย่างนี้ดีนัก บูเชียงก๋งคงต้องรับความเป็นจริง จึงสั่งให้ผู้คุมเอากระดาษกับพู่กันน้ำหมึกมาส่งให้ บูเชียงก๋งรับมาเขียนคำให้การว่า ข้าพเจ้างักฮุย เป็นที่ขุนนางบูเชียงไตก๊กก๋งแม่ทัพใหญ่ เดิมอยู่เมืองฮอปักข้างทิศเหนือ แล้วมาอยู่ตำบลทึงอิมกุ้ยแขวงเมืองเชียงจิว ได้เรียนหนังสือฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ ชำนิชำนาญก็เข้ามาหมายจะทำราชการเป็นขุนนางนายทหารในเมืองเปียนเหลียง เกิดมีขุนนางกังฉินคอยอิจฉา ข้าพเจ้าก็กลับมาบ้าน ทำไร่ทำนาหาเลี้ยงมารดาอยู่ตามเดิม ครั้นอยู่มากิมงึดตุดยกกองทัพมารบจับสองกษัตริย์ไปได้ บ้านเมืองก็ไม่มีเจ้าครอบครองจึงได้เกิดจลาจล ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อน โจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น มีผู้ตั้งตัวจะแย่งชิงเอาสมบัติครอบครองแผ่นดินหลายแห่งหลายตำบล ด้วยชะตาแผ่นดินซ้องยังไม่สูญสิ้นเทพยดาฟ้าและดินจึงดลใจให้คังอ๋องขี่ม้าเดินข้ามทะเลมาได้สืบเชื้อวงศ์ต่อไป คังอ๋องจึงสร้างพระราชวังใหม่ที่เมืองกิมเหล็ง ยังไม่ทันไปรับสองกลับมาก็เกิดขุนนางกังฉินคอยยุยงจะให้เป็นไมตรีกับกิมงึดตุด พวกขุนนางนายทหารที่สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินนั้นไม่ยอม ข้าพเจ้ากับพี่น้องที่ได้สาบานกันจะตั้งใจจะทำราชการบำรุงแผ่นดินโดยสุจริตคิดจะปราบปรามข้าศึกศัตรูทั้งสี่ทิศให้ราบคาบให้เหมือนลีเจงครั้งแผ่นดินถัง ยกกองทัพข้ามทะเลไปกำจัดข้าศึกฝ่ายทิศตะวันออก และแผ่นดินสามก๊กจูกัดเหลียงขงเบ้งยกกองทัพไปปราบปรามข้างทิศเหนือใช้กลอุบายจับเบ้งเฮกได้ถึงเจ็ดหน ก็การครั้งนี้พวกโจรและข้าศึกที่ข้าพเจ้ายกกองทัพไปปราบปรามก็ต้องใช้อุบายต่าง ๆ เหมือนกัน จึงได้พวกโจรตำบลนั้น ๆ มาสามิภักดิ์ช่วยทำราชการบำรุงแผ่นดินเป็นอันมาก ซึ่งข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปทิศใด ๆ ก็ดี ข้าศึกก็มีใจเกรงกลัวครั่นคร้าม ราษฎรชาวบ้านมีความสุขสรรเสริญทุกตัวคน การครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดอยู่ว่า ถ้ายกกองทัพไปรับสองกษัตริย์มาได้ ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ครั้นข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปรับสองกษัตริย์ที่อึงเลงฮู แดนเมืองไตกิมก๊ก ก็พอมีหนังสือรับสั่งเรียกว่ากิมป้ายมาถึงสิบสองฉบับให้หาข้าพเจ้าเข้ามา ครั้นข้าพเจ้าเข้ามาถึงเมืองหลวงขุนนางกังฉินว่าข้าพเจ้าเป็นกบฏเอาจำขังคุกไว้แล้วเอาตัวไปชำระไต่ถาม ข้าพเจ้าไม่รับก็เฆี่ยนตีทำเอาด้วยอาญาต่าง ๆ จนข้าพเจ้ายับเยิน ด้วยความสัตย์กตัญญูของข้าพเจ้ามีมั่นอยู่ในสันดานประการได เทพยดาฟ้าและดินก็คงรู้ ถ้าแม้นตัวข้าพเจ้าตายขอให้พญายมชำระผู้กล่าวหาและผู้กระทำโทษให้เห็นเท็จและจริงเถิด ครั้นเขียนคำสั่งให้การแล้วก็สั่งให้ผู้ชำระทั้งสองดูแจ้งในคำให้การก็โกรธ ให้ถอดเสื้อกางเกงบูเชียงก๋งออกแล้ว สั่งให้ทหารซ้ายขวาตบบูเชียงก๋งข้างละห้าทีจนหน้าบูเชียงก๋งบวมเบือนพูดไม่ชัด ผู้ชำระทั้งสองพูดตะคอกว่าเจ้าจงรับเสียเถิดจะทนเจ็บไปถึงไหน บูเชียงก๋งว่าความไม่จริงจะเอาอะไรมารับ ตัวเจ้าทั้งสองนี้ผูกพยาบาทเราว่าเฆี่ยนคนละสี่สิบทีจึงได้ทำโทษเราถึงสาหัส เราก็มิได้คิดโกรธเป็นเวรอาฆาตต่อเจ้าด้วย ตัวเราเกิดมาในชาตินี้นับว่าเป็นชายชาติทหารมีฝีมือและสติปัญญา ทำสงครามสู้รบครั้งใด ๆ ก็ไม่ได้แพ้สติปัญญาและฝีมือแก่ข้าศึก แต่ใจเรานั้นคนทั้งปวงยังไม่ล่วงเห็นว่าแกล้วกล้าสามารถหรือไม่ ซึ่งเราสู้อดทนครั้งนี้ก็จะเอาชัยชนะ มิได้พ่ายแพ้แก่ความขู่เข็ญหยาบช้าและต้องโทษเวทนาต่าง ๆ ถ้าเรามีความโกรธหรือขัดแค้นโทมนัสแล้วก็เป็นการพ่ายแพ้แก่ความเจ็บป่วยเวทนา ถึงเจ้าจะทำเรายิ่งขึ้นไปกว่านี้จนชีวิตออกจากร่างกายเราก็ไม่โกรธไม่แค้น เกิดมาชาตินี้จะเอาชัยชนะแก่คนทั้งหลายด้วยกำลังกายและกำลังจิตกำลังใจให้ยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่เกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยกัน แต่มามีความวิตกอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยงักฮุนผู้บุตรและเตียเหียนบุตรเลี้ยงรู้ไปว่าเขาทำอาญาต่อบิดาจนถึงตายแล้วที่ไหนจะนิ่งได้ คงจะคิดแก้แค้นเกิดเป็นการใหญ่ ชื่อเสียงของเราที่มีสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็จะเสียไปเพราะบุตรสองคน เรามีความกังวลวิตกนัก เมกคิหู หลออูจิบได้ฟังออกชื่องักฮุนเตียเหียนก็ตกใจ จึงปรึกษากันว่าบุตรบูเชียงก๋งสองคนนี้มีสติปัญญาฝีมือเข้มแข็งนัก ถ้าเราไม่คิดกำจัดเสียได้ก็คงตายเพราะมือเขา จำจะเอาใจดีต่อล่อลวงเอาบุตรสองคนเข้ามาให้ได้ ปรึกษากันแล้วก็ลุกไปพูดกับบูเชียงก๋งว่าซึ่งข้าพเจ้าทำโทษท่านถึงสาหัสสองเวลานี้ก็เพราะชีนไคว่สั่งให้ทำ ข้าพเจ้าทั้งสองก็รู้อยู่เต็มใจว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ไม่มีความผิด ครั้นจะกราบทูลพระเจ้าซ้องเกาจงให้ทรงทราบเล่าก็กลัวชีนไคว่ ท่านจงมีหนังสือหาบุตรทั้งสองเข้ามาทำฎีกาถวายเห็นจะดี บูเชียงก๋งได้ฟังจึงพูดว่าเราก็คิดอยู่ ว่าจะมีหนังสือไปหาบุตรเราทั้งสองเข้ามาแต่จนใจไม่มีผู้จะถือไป ถ้าบุตรทั้งสองเราเข้ามาตายเสียได้ด้วยกันแล้วเราก็สิ้นความวิตก หลออูจิบว่าคนซึ่งจะถือหนังสือนั้นข้าพเจ้าจะจัดให้ไป ท่านจงเขียนหนังสือเถิด บูเชียงก๋งรับเอากระดาษมาเขียนหนังสือแล้วก็ส่งให้ผู้ชำระทั้งสองสั่งให้ผู้คุมเอาตัวบูเชียงก๋งกลับไปไว้ ณ คุกตามเดิม แล้วพากันมาหาชีนไคว่แจ้งความซึ่งได้ทำอาญาแก่บูเชียงก๋งต่าง ๆ ให้ฟังทุกประการ เอาหนังสือที่บูเชียงก๋งเขียนคำให้การส่งให้ ชีนไคว่รับมาดูแจ้งความแล้วก็โกรธพูดว่าทำไมจึงไม่เฆี่ยนให้ตายเสีย เมกคิหู หลออูจิบจึงว่าบูเชียงก๋งพูดว่ามีความวิตกอยู่ด้วย งักฮุน เตียเหียนผู้บุตรทั้งสองรู้ความแล้วจะคิดมาแก้แค้น ชื่อเสียงของบูเชียงก๋งซึ่งได้มีกตัญญูต่อแผ่นดินก็จะเสียไป ข้าพเจ้าเห็นว่า งักฮุน เตียเหียน สองคนนี้มีฝีมือสามารถนัก ถ้าละเอาไว้ตัวท่านและพระเจ้าซ้องเกาจงก็จะพากันได้ความลำบาก จึงได้พูดเกลี้ยกล่อมให้บูเชียงก๋งมีหนังสือไปหาบุตรสองคนเข้ามา บูเชียงก๋งก็เขียนหนังสือให้ข้าพเจ้าใช้คนไป พูดแล้วก็ส่งหนังสือให้ชีนไคว่รับเอามาดูแจ้งความแล้ว ชีนไคว่พูดชมว่าท่านทั้งสองมีสติปัญญาดีนัก แต่หนังสือนี้จะต้องแต่งความเปลี่ยนเขียนเสียใหม่ ชีนไคว่ให้เอาเสมียนเขียนหนังสือลายมือคล้ายคลึงกับบูเชียงก๋งมาเขียนใหม่ว่าหนังสือบูเชียงก๋งผู้บิดาถึงงักฮุน เตียเหียน ด้วยมีรับสั่งให้หาบิดาเข้ามาเมืองหลวงโปรดปรานเป็นอันมาก บัดนี้มีรับสั่งให้เจ้าทั้งสองเข้ามาจะทรงชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ใหญ่ ถ้าเจ้ารู้หนังสือนี้แล้วจงเร่งรีบเข้ามาโดยเร็ว เขียนแล้วก็เข้าผนึก ชีนไคว่ส่งให้คนใช้ที่สนิทไว้ใจได้ถือไปให้งักฮุนที่ตำบลทึงอิมกุ้ย

ฝ่ายเฮงเหลงกับลีติด สองคนเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองนิ่มอันมีทรัพย์สินมาก แจ้งว่าบูเชียงก๋งซึ่งเป็นคนมีคุณต่อแผ่นดินถูกขุนนางกังฉินคิดอุบายหาความใส่ เอาตัวเข้ามาทำโทษจำไว้ ณ คุกก็คิดสงสารนัก จึงไปหาเงยอ๋วนซึ่งเป็นนายคุกเป็นคนรู้จักกันมาแต่ก่อน พูดปรับทุกข์ร้อนกันถึงเรื่องความบูเชียงก๋ง เงยอ๋วนก็คิดเวทนาสงสารเหมือนกัน เฮงเหลงจึงเอาเงินทองไปให้เงยอ๋วน ช่วยทำนุบำรุงปรนนิบัติรักษาพยาบาลบูเชียงก๋งที่ในคุกมิให้ขัดสนสิ่งใด บูเชียงก๋งก็ค่อยมีความสบายรักษาตัวค่อยคลายหายป่วยขึ้น

ฝ่ายคนใช้ชีนไคว่ซึ่งถือหนังสือปลอมเป็นหนังสือบูเชียงก๋งไปถึงตำบลทึงอิมกุ้ย ก็เอาหนังสือไปส่งให้มารดางักฮุนอ่านแจ้งความแล้วก็ไม่มีความสงสัย สั่งให้งักฮุนเตียเหียนเร่งเข้าไปเมืองหลวงตามหนังสือบิดา งักฮุนเตียเหียนก็คำนับลามารดาออกจากบ้านทึงอิมทุ้ยไปกับถือหนังสือ ครั้นใกล้จะถึงเมืองนิ่มอัน ทหารซึ่งชีนไคว่จัดให้ออกมาคอยอยู่ที่ต้นทางจะเข้าเมือง ก็คุมเอาตัวงักฮุน เตียเหียนไปส่งให้ผู้คุมจำไว้ ณ คุก มิให้พบปะกับบูเชียงก๋ง

ฝ่ายเตียเปา ซึ่งไปเป็นผู้สำเร็จราชการอยู่เมืองฮอเหลียงให้คิดรำลึกถึงบูเชียงก๋งทุกวันทุกเวลา ครั้นได้ข่าวว่ามีรับสั่งให้หาบูเชียงก๋งเข้าไปในเมืองหลวงด้วยเหตุผลประการใดไม่รู้ เตียเปาไม่สบายมีความกระวนกระวายจะกินจะนอนก็ไม่เป็นสุข จึงพูดกับภรรยาว่าตั้งแต่เราจากบูเชียงก๋งมาไม่มีความสบายเลย เราจะออกจากราชการกลับไปอยู่กับงักฮุนบุตรบูเชียงก๋งที่บ้านของทึงอิมกุ้ยเห็นจะดีกว่าอยู่ที่นี่ ภรรยาว่าเมื่อท่านไม่สบายแล้วจะออกจากที่ขุนนางกลับไปก็ตามใจ เตียเปาเก็บรวบรวมทรัพย์สิ่งของพร้อมเสร็จแล้ว เอาตราสำหรับที่เจ้าเมืองกับเครื่องยศวางขึ้นไว้บนโต๊ะแล้วก็พาครอบครัวออกจากเมืองฮอเหลียง เดินทางตรงไปบ้านทึงอิมกุ้ย ครั้นถึงเข้าไปคำนับนางลีสีฮูหยินภรรยาบูเชียงก๋ง บอกว่าข้าพเจ้าไปเป็นผู้สำเร็จราชการอยู่ที่เมืองฮอเหลียงไม่มีความสบายเลย คิดถึงบูเชียงก๋งสามีท่านทุกเวลาจึงได้พาครอบครัวกลับมาอยู่กับท่าน นางลีสีว่าท่านมาก็ดีแล้ว เมื่อก่อนมีรับสั่งให้หาบูเชียงก๋งเข้าไปเมืองหลวง แล้วบูเชียงก๋งมีหนังสือมาหางักฮุน กับเตียเหียน เข้าไปอีกไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์สิ่งใด ตั้งแต่บูเชียงก๋งเข้าไปเมืองหลวงตัวเราไม่มีความสบายเลย ให้แต่หวาดสะดุ้งง่วงงุนไปทุกเวลา ท่านจงได้เอ็นดูเข้าไปสืบให้รู้เหตุผลร้ายดีจะเป็นอย่างไร เตียเปาว่าข้าพเจ้าอยากจะใคร่ไปพบบูเชียงก๋งด้วย พูดแล้วก็คำนับลามาสั่งบุตรภรรยาจัดของกินและเงินทองที่จะเป็นเสบียงกลางทางเสร็จแล้วก็ออกเดินจากที่ตำบลทึงอิมกุ้ยตรงไปทางเมืองหลวง ครั้นเดินมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งเวลาจวนค่ำไม่มีเรือจะข้าม เที่ยวเดินเลียบดูตามริมฝั่งเห็นชายผู้หนึ่งนั่งในเรือจอดอยู่ เตียเปาว่าขอโดยสารข้ามไปฟากข้างโน้น ชายผู้นั้นว่าชีนไคว่มีหนังสือมาถึงด่านทางหัวเมืองทุกตำบลไม่ให้ผู้ใดเข้าออก เราจะข้ามส่งกลัวความผิดอยู่ไปไม่ได้ เตียเปาอ้อนวอนเจ้าของเรือแล้วลงนั่งอยู่ในเรือชักพายออกจะพายข้ามฟาก เจ้าของเรือเห็นเตียเปาพกเงินมากก็ดีใจ จึงว่าถ้าท่านจะไปเราก็จะข้ามส่งให้ พูดแล้วก็ออกเรือพายข้ามมาถึงฝั่ง เจ้าของเรือจึงเอาสุราที่ในเรือออกมาให้เตียเปากิน เตียเปากำลังเหนื่อยมากินสุราเข้าไปเมาเหลือขนาดก็ล้มตัวลงนอนหลับอยู่ในเรือนั้น เจ้าของเรือก็เอาเชือกมัดมือมัดเท้าเตียเปาไว้แน่นแล้ว ร้องเรียกเตียเปาลุกขึ้นจะเอาเงินค่าจ้าง เตียเปาสร่างเมาสุราตื่นขึ้นมือเท้าต้องมัดไม่รู้จะทำประการใด จึงพูดว่าถึงตัวเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต คิดวิตกอยู่แต่ว่าจะไปสืบข่าวคราวบูเชียงก๋งจะดีร้ายเป็นอย่างไร เจ้าของเรือได้ฟังก็รู้ว่าเป็นทหารของบูเชียงก๋ง จึงเข้าแก้มัดเตียเปาออกแล้วจึงถามว่าท่านนี้เป็นทหารของบูเชียงก๋งชื่อไร จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบ เตียเปาก็บอกชื่อและแซ่ให้ ชายผู้นั้นบอกว่าตัวข้าพเจ้าแซ่เอาเอียงชื่อซองเสียง เดิมทำราชการเป็นขุนนางอยู่ในเมืองนิ่มอัน เห็นว่าพระเจ้าซ้องเกาจงพระทัยโลเลไม่เอาราชการ เชื่อถือแต่ขุนนางกังฉิน ข้าพเจ้าจึงได้ออกเสียจากราชการ เมื่อก่อนนี้มีรับสั่งให้หาบูเชียงก๋งเดินทางเข้ามาถึงที่นี่ พบข้าหลวงผู้ถือรับสั่ง ข้าหลวงฆ่าเฮงหวยตายเสียแล้ว แล้วเอาตัวบูเชียงก๋งจำครบใส่เกวียนตะรางเข้าไปในเมืองนิ่มอัน อยู่สักหน่อยมีหนังสือรับสั่งออกมาถึงด่านทางให้ตรวจตราผู้คนอย่าให้พวกพ้องบูเชียงก๋งแปลกปลอมเข้าไปได้ ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ยินข่าวคราวมาอีกเลย เตียเปาได้ฟังก็ร้องไห้โศกเศร้าถึงบูเชียงก๋งยิ่งนัก เอาเอียงซองเสียงพูดว่าท่านอย่าร้องไห้อื้ออึงไปคนเขาจะรู้ ข้าพเจ้าจะส่งท่านไปเมืองนิ่มอันสืบข่าวดูให้รู้เสียก่อน เตียเปาก็ลาเอาเอียงซองเสียงเดินทางไป ครั้นค่ำหยุดนอนอยู่ใต้ต้นไม้ รุ่งเช้าก็เดินไปอีกวันหนึ่งถึงเมืองนิ่มอัน หยุดพักอยู่ที่โรงเตั๊ยมนอกเมืองคืนหนึ่งสืบข่าวก็ไม่ได้ความ ครั้นรุ่งเช้าเตียเปาเข้าไปในเมืองนิ่มอันเที่ยวสืบเสาะอยู่หลายวัน ก็ไม่ได้ยินผู้ใดพูดถึงบูเชียงก๋ง จะถามผู้ใดก็นิ่งเสียคิดประหลาดใจนัก จึงเข้าไปนั่งพักอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ในห้องศาลเจ้านั้นมีคนขอทานเข้าไปอาศัยอยู่สองสามคนพูดกันอยู่ในห้อง เตียเปานั่งอยู่หน้าศาลได้ยินเสียงคนพูดกันอยู่ในห้องออกชื่อบูเชียงก๋ง ก็ลุกไปยืนแอบประตูฟัง ได้ยินเสียงคนหนึ่งพูดว่าเกิดมาทุกวันนี้ เป็นขุนนางทำราชการสู้แต่เราเที่ยวขอทานก็ไม่ได้ ขอได้มากก็กินมากขอได้น้อยก็กินน้อย ขอไม่ได้ก็อดเสียไม่มีผู้ใดมากดขี่เฆี่ยนตีทำโทษ บูเชียงก๋งนั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ปราบข้าศึกในแผ่นดิน มีความชอบเป็นอันมาก แล้วก็ยังไม่พ้นเขาเฆี่ยนตี เราเป็นคนเที่ยวขอทานเขากินนี้ดีกว่าเป็นแม่ทัพปราบศัตรูแผ่นดิน คนหนึ่งห้ามว่าอย่าพูดถึงความเรื่องนี้ชีนไคว่ไจเสี่ยงให้คนไปเที่ยวป่าวประกาศห้ามปรามกวดขันนัก ไม่ให้พูดถึงชื่องักฮุยซึ่งเป็นที่บูเชียงก๋ง ถ้าใครพูดขึ้นก็จะจับเอาตัวไปทำโทษเฆี่ยนใส่คุกเสีย เตียเปาได้ฟังความดังนั้นก็ผลักประตูศาลเจ้าเข้าไป คนขอทานเห็นก็ตกใจลุกขึ้นจะวิ่งหนี เตียเปาว่าอย่าตกใจเลยเราเป็นคนใช้ของบูเชียงก๋ง มาเที่ยวสืบข่าวว่าจะเป็นประการใด เจ้าทั้งสองรู้ความอย่างไรจงเล่าให้เราฟังเถิด คนขอทานทั้งสองก็นิ่งเสียไม่อาจบอก เตียเปาจับข้อมือเข้าไว้แล้วตะคอกขู่ว่าถ้าไม่บอกเราจะตีให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ คน ขอทานตกใจกลัวพูดว่าท่านอย่าทำข้าพเจ้าเลยปล่อยมือเสียเถิดจะเล่าให้ฟัง เตียเปาก็ปล่อยมือให้คนขอทาน ให้เพื่อนกันไปยืนคอยดูผู้คนอยู่ที่ประตูคนหนึ่ง แล้วก็บอกความว่าบูเชียงก๋งเข้ามาถึงเมืองหลวง ชีนไคว่ให้เอาตัวไปจำไว้ที่คุก ให้ตุลาการชำระความกดขี่ทำด้วยอาญาต่าง ๆ จนเนื้อหนังปอกไปทั้งตัวแล้วชีนไคว่ทำหนังสือปลอมไปหางักฮุน เตียเหียน บุตรเชียงก๋งเข้ามา เอาไปจำขังไว้ที่คุกแห่งอื่น พ่อลูกก็ไม่พบกัน ความเรื่องนี้ห้ามปรามกวดขันนักไม่ให้ผู้ใดออกชื่องักฮุยหรือบูเชียงก๋ง ข้าพเจ้าทั้งสองกลัวนักจึงไม่อาจบอกท่าน เตียเปาได้ฟังน้ำตาไหลลงอาบหน้า ไม่อาจร้องไห้ดังด้วยกลัวคนทั้งปวงจะรู้ หยิบเงินที่ในไถ้ออกให้คนขอทานแล้วก็กลับมาที่พักอยู่ จึงซื้อกางเกงที่เก่า ๆ มาใส่แปลงตัวเป็นไพร่ไม่ให้คนรู้จัก ซื้อของกินห่อผ้าแล้วก็ตรงไปที่คุกบอกว่าข้าพเจ้าแต่ก่อนเป็นบ่าวบูเชียงก๋ง ตกเข้ามาอยู่เมืองหลวงช้านานแล้ว บูเชียงก๋งได้มีคุณไว้ บัดนี้เข้ามาติดโทษอยู่ในคุก ข้าพเจ้าจะขอเอาของเข้าไปให้เยี่ยมเยือนบูเชียงก๋ง ท่านจงได้เมตตาด้วยเถิด ผู้คุมพูดว่าเฮงเหลงกับลีติดเขาได้ให้เงินทองไว้ช่วยอุปถัมภ์บูเชียงก๋งมากแล้ว สั่งว่าถ้ามีผู้ใดเป็นพวกพ้องคนเดิมของบูเชียงก๋งจะเข้าไปเยี่ยมก็ให้เข้าไปเถิด แต่เจ้าจะเข้าไปเยี่ยมเยือนบูเชียงก๋งนั้นอย่าอื้ออึงให้ผู้ใดรู้ ความผิดจะมาถึงเรา เตียเปาได้ฟังก็ยินดีเอาเงินให้บ้างเล็กน้อยแล้วก็เข้าไปในคุก เห็นบูเชียงก๋งนั่งพูดอยู่กับเงยอ๋วนนายผู้คุมใหญ่ก็ตรงเข้าไปคุกเข่าลงคำนับร้องไห้ ถามว่าทำไมท่านจึงต้องมาอยู่ดังนี้เล่า บูเชียงก๋งเห็นจึงถามว่าเจ้าไปรักษาเมืองอยู่แล้วนี่มาทำไม เตียเปาว่าข้าพเจ้าไม่อยากจะทำราชการเป็นขุนนาง พาบุตรภรรยากลับมาอยู่บ้านท่านแล้วไม่พบงักฮุน เตียเหียน นางลีสีฮูหยินบอกว่าท่านมีหนังสือไปให้หาเข้ามาด้วยเหตุผลอย่างไรก็ไม่รู้ นางลีสีฮูหยินจึงให้ข้าพเจ้าตามมาฟังข่าวดู ขอเชิญท่านออกไปด้วยกันเถิดจะมาอยู่ทำไมที่ในคุก บูเชียงก๋งว่าเตียเปาเอ๋ยเจ้าอยู่มากับเราก็ช้านานแล้วไม่รู้ใจเราบ้างเลยหรือ ถ้าจะได้ออกก็ต้องมีรับสั่งมาจึงจะออกไป ถ้าไม่มีรับสั่งแล้วก็จะสู้ตาย เจ้าอย่าคิดให้วุ่นวายไปเลยจะเสียชื่อเสียงของเราไป เจ้าเอาสิ่งใดมาเยี่ยมเยือนก็เอามาเถิด จงเร่งออกไปเสียโดยเร็ว เตียเปาก็ส่งสิ่งของให้ ครั้นจะอยู่ช้าก็กลัวบูเชียงก๋งจะขัดเคือง คำนับลาออกมาหาผู้คุมให้พาไปหางักฮุน เตียเหียนที่คุกโน้น ผู้คุมก็พาเตียเปาไปพบงักฮุน เตียเหียน แล้วเตียเปาถามงักฮุน เตียเหียนว่าท่านทั้งสองไม่คิดจะออกจากคุกแล้วหรือ งักฮุนเตียเหียนพูดว่าถ้าเป็นขุนนางก็ต้องซื่อตรงต่อแผ่นดิน ถ้าเป็นบุตรก็ต้องมีกตัญญูต่อบิดามารดา จะมาทำเอาตามอำเภอใจนั้นไม่ได้ บิดาเราไม่ออกได้เราก็ไม่ออกไปเหมือนกัน เตียเปาว่าข้าพเจ้าพูดผิดไปแล้ว เชิญท่านทั้งสองกินของที่ข้าพเจ้าเอามาเยี่ยมเยือนนี้เสียก่อนเถิด เตียเปาเห็นงักฮุน เตียเหียนต้องจำได้ความเวทนาก็คิดสงสารน้ำตาไหลอาบหน้า มีจิตใจแห้งเหี่ยวเศร้าหมอง ประดุจดังใบไม้และหญ้าอันถูกความร้อนด้วยแสงแดดและไอเพลิงจวนจะติดเป็นไฟขึ้น ก็ลากลับมาหาบูเชียงก๋ง บูเชียงก๋งเห็นเตียเปามาอีกจึงถามว่า ทำไมจึงยังไม่ไปบ้าน จงเร่งกลับไปเสียเถิดอย่าอยู่เลย เตียเปาว่า ข้าพเจ้ามีธุระอยู่สิ่งหนึ่งจะพูดสักคำ เดิมท่านได้ชุบเลี้ยงข้าพเจ้ามามีพระคุณเป็นอันมาก บัดนี้ท่านมาได้ความทุกข์เวทนาถึงสาหัส ข้าพเจ้าไม่ได้ติดตามปฏิบัติฉลองคุณท่านสู้แต่เฮงหวยก็ไม่ได้ แต่ก่อนท่านจะไปสู้ศึกสงครามครั้งใดอาวุธรอบข้าง เฮงหวยอยู่หลังม้า ข้าพเจ้าอยู่หน้าม้าสู้ข้าศึก มิได้กลัวแก่ความตาย เฮงหวยก็มาตายไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าจะขอตายตามเฮงหวยไปคอยให้ท่านใช้อยู่เมืองผี พอพูดสิ้นคำลง เตียเปาก็เอาศีรษะฟาดเข้ากับฝาคุกโดยกำลังแรงศีรษะแตกตายในทันใดนั้น บูเชียงก๋งเห็นเตียเปาตายก็ร้องไห้แล้วหัวเราะ เงยอ๋วนผู้คุมใหญ่เห็นบูเชียงก๋งมีอาการดังนั้นจึงถามว่าท่านร้องไห้แล้วหัวเราะด้วยเหตุประการใด บูเชียงก๋งว่าตัวข้าพเจ้านี้เดิมมีแต่ตงเฮาจัดสามอย่าง ตงนั้นคือซื่อตรงต่อแผ่นดิน เฮานั้นคือกตัญญูต่อบิดามารดา จัดนั้นคือภริยาสัตย์ซื่อต่อสามี การสามอย่างนี้มีบริบูรณ์พร้อมแล้ว ซึ่งเตียเปารู้จักคุณเอาชีวิตมาตายตอบแทนเรียกว่าหงี มีพร้อมทั้ง ตง เฮา จัด หงี สี่อย่างคือซื่อสัตย์กตัญญูรู้จักคุณ พูดดังนั้นแล้วบูเชียงก๋งก็ร้องไห้ ผู้คุมทั้งหลายซึ่งอยู่ในคุกก็พากันสงสารบูเชียงก๋ง น้ำตาไหลทุกตัวคน บูเชียงก๋งจึงพูดอ้อนวอนกับเงยอ๋วนนายผู้คุมใหญ่ว่า ท่านจงได้เมตตาเอ็นดูช่วยหาหีบมาใส่ศพเตียเปาไปฝังเสียเถิด เงยอ๋วนก็ให้คนใช้ไปบอกเฮงเหลง ลีติด จัดหีบมาใส่ศพเตียเปา ไปฝังไว้ที่เนินเปลือกหอยข้างทิศตะวันตก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ