บทที่ ๑ ไปญี่ปุ่น

ได้กล่าวในภาคหนึ่ง บทที่ ๕ แล้วว่า เมื่อญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และเข้าเมืองไทยแล้ว ข้าพเจ้าได้ขอลาออกจากตำแหน่งแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ต่อมาอีกไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีได้กลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิมสองตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลเอกมังกร พรหมโยธี กลับลงมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และข้าพเจ้าลงมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในที่สุด ประมาณวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ (ค.ศ. ๑๙๔๑) จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ให้นายพลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มาทาบทามข้าพเจ้าว่า ท่านเห็นว่าโดยที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนนโยบายจากเดิมไปมากมายกับญี่ปุ่น กลายเป็นทำนองพันธมิตรแล้ว จึงควรเปลี่ยนทูตที่ญี่ปุ่น และใคร่ขอให้ข้าพเจ้าไปแทน ข้าพเจ้าได้ตอบกับนายพลตำรวจเอกอดุลย์ว่า ข้าพเจ้าจะไปได้อย่างไร เพราะเหตุผลก็เช่นเดียวกันทุกประการ และข้าพเจ้าคงทำหน้าที่ไม่สนิท เพราะญี่ปุ่นคงไม่ไว้ใจ งานของชาติก็จะไม่ได้ผล นายพลตำรวจเอกอดุลย์ตอบว่า ได้ปรึกษากันแล้ว กลับเห็นว่า ได้ประโยชน์เพราะญี่ปุ่นกลับจะเชื่อมากขึ้น เพราะรัฐบาลส่งคนที่ญี่ปุ่นเองเดิมไม่ชอบให้มาอยู่ด้วย และข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่มีมิตรสนับสนุนอยู่ในวงการเมือง ญี่ปุ่นก็จะต้องเกรงใจ ข้าพเจ้ายืนยันไม่รับ ต่อมาอีก ๒-๓ วัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตามข้าพเจ้าให้ไปพบที่ทำเนียบ ขณะนั้นอยู่ที่วังสวนกุหลาบ ในการนี้นายพลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส ก็ได้มาร่วมสนทนาด้วย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยืนยันขอให้ข้าพเจ้ารับไปญี่ปุ่น โดยให้เห็นแก่ชาติบ้านเมือง ถ้าข้าพเจ้าไปญี่ปุ่น ๆ ก็จะเชื่อไทยด้วย ข้าพเจ้ายังคงยืนกราน โดยให้เหตุผลตามที่ได้แจ้งผ่านนายพลตำรวจเอกอดุลย์แล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่รักชาติบ้านเมือง นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ท่านได้ขอความเห็นชอบญี่ปุ่นเป็นทางการแล้ว และญี่ปุ่นก็ตกลงแล้ว ข้าพเจ้ายังยืนกรานอีก นายกรัฐมนตรีโกรธข้าพเจ้าเลยลุกเข้าห้องไปพร้อมกับกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ไป ท่านจะไปเอง นายพลตำรวจเอกอดุลย์กับข้าพเจ้าจึงกลับไป ในบ่ายวันนั้นเอง ข้าพเจ้าได้ไปพบผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และปรารภถึงฐานะความยากลำบากของข้าพเจ้า นายปรีดีได้ให้ความเห็นว่า เมื่อเรื่องไปไกลถึงกับขอความเห็นชอบจากญี่ปุ่นแล้วยากมาก แต่ถ้าไปก็ดีเหมือนกันเพราะสงครามคราวนี้ทำอย่างไรเสีย ฝ่ายสัมพันธมิตรคงชนะ ถ้าไทยเดินไม่ดีอาจเสียเอกราช ฉะนั้น เมื่อเหตุการณ์บีบบังคับเช่นนี้ ก็จำต้องไป แต่ก็ควรถือโอกาสศึกษาสถานการณ์ว่า จะติดต่อกับรัฐบาลจอมพลเจียงไคเช็คได้หรือไม่ เพื่อให้สัมพันธมิตรเห็นว่า ฝ่ายเราพยายามช่วยเหลือสัมพันธมิตรทุกวิถีทาง และควรเลือกเลขานุการที่ไว้วางใจได้ไปด้วย คืนวันนั้น นายพลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส ได้มาพบข้าพเจ้าอีก เราได้อภิปรายถึงเหตุการณ์และสถานการณ์ทั่ว ๆ ไป ในที่สุดข้าพเจ้าได้ตอบตกลง แต่มีเงื่อนไขว่าในการไปครั้งนี้ รัฐบาลจะต้องแจ้งกับรัฐบาลญี่ปุ่นว่า มอบความไว้วางใจในการเจรจาต่าง ๆ แก่ข้าพเจ้า เพื่อให้คำพูดของข้าพเจ้ามีน้ำหนัก นอกจากนี้รัฐบาลจะพิจารณาข้อเสนอความคิดเห็นของข้าพเจ้าซึ่งจะเสนอมาด้วยดี อีกนัยหนึ่งขอให้ฟังความคิดเห็นของข้าพเจ้าบ้าง และข้าพเจ้าขอเลือกผู้ที่จะไปกับข้าพเจ้าเป็นพิเศษ เพราะข้าพเจ้าไปครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการโยกย้ายทูตตามปรกติ นายพลตำรวจเอกอดุลย์ตอบตกลงว่า รับรองได้ และถ้ามีเรื่องสำคัญ ๆ ประการใดให้ติดต่อมาทางนายพลตำรวจเอกอดุลย์เป็นพิเศษได้ทุกเมื่อ

ข้าพเจ้ากับนายพลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส จึงไปพบจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อตอบตกลง ข้าพเจ้าได้เรียนถามนายกรัฐมนตรีว่า ในการให้ข้าพเจ้าไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ท่านมีนโยบายจะให้ไปดำเนินอย่างไรบ้าง ท่านนายกรัฐมนตรีตอบว่า แล้วแต่ข้าพเจ้าจะเห็นสมควร อะไรเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ก็ทำไปตามนั้น คำสั่งกว้าง ๆ เช่นนี้ข้าพเจ้าได้นำไปตรึกตรองพิจารณา ในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่สามารถติดต่อกับรัฐบาลจอมพลเจียงไคเช็คได้ ข้าพเจ้าก็จะดำเนินนโยบายดังนี้ ๑) ป้องกันเต็มที่ไม่ให้ญี่ปุ่นปฏิบัติกับไทยอย่างเมืองขึ้นหรือทำนองนั้น โดยให้ญี่ปุ่นเห็นว่า ญี่ปุ่นจะได้ประโยชน์ดีกว่า ๒) เนื่องจากญี่ปุ่นได้ประโยชน์จากไทยไม่น้อย อาทิ การเศรษฐกิจ การเงิน ฯลฯ ตลอดจนยุทธศาสตร์ ฉะนั้น ญี่ปุ่นจะต้องช่วยเหลือไทยตามสมควรเท่าที่จะทำได้ทุกทาง ในขณะเดียวกันจะต้องชี้ให้ญี่ปุ่นเห็นว่า ไทยประเทศเล็กก็จริงแต่ก็สามารถทำประโยชน์ให้ญี่ปุ่นได้ ไม่ใช่ญี่ปุ่นจะเอาข้างเดียวหรือไทยจะเอาข้างเดียว

อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าก็ต้องขอบคุณจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายพลตำรวจเอกอดุลย์ อดุลยเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ที่อนุญาตให้ข้าพเจ้าเลือกสรรข้าราชการที่ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปดำเนินงานได้ตามความพอใจทุกอย่าง ข้าพเจ้าจึงได้เลือกผู้มีนามต่อไปนี้ไปด้วย คือ นายทวี ตะเวทิกุล เป็นที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตและอัครราชทูต นายถนัด คอมันตร์ เป็นเลขานุการโท นายกนต์ธีร์ ศุภมงคล เป็นเลขานุการโท นายฉันท์ สมิตเวช๑๐ เป็นเลขานุการตรี นายเทียม ลดานนท์๑๑ เป็นนายเวร และนายสละ ศิวรักษ์๑๒ เป็นเสมียน ไปด้วย สามนายแรกทราบวัตถุประสงค์อันแท้จริงของข้าพเจ้าในการไปญี่ปุ่นนี้ดี ข้าพเจ้าและคณะออกเดินทางไปกรุงโตเกียวโดยเครื่องบินญี่ปุ่น วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ (ค.ศ. ๑๙๔๒)

  1. ๑. ในขณะนั้นทางตำรวจยังเรียกยศนายพลตำรวจเอก คือใช้คำ “นาย” นำอยู่

  2. ๒. พระยาศรีเสนา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรี

  3. ๓. ในการที่ข้าพเจ้าไปญี่ปุ่นครั้งนี้ เซอร์โจซาย ครอสบี้ ทูตอังกฤษ เขียนไว้ในหนังสือ “Siam : The Crossroad” หน้า ๑๐๗ ว่า “--นายดิเรกที่ญี่ปุ่นเคยประณามไว้ว่าเป็นเครื่องมือของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ จำต้องสละตำแหน่ง และถูกบังคับ โดยหลวงพิบูลให้ไปเป็นเอกอัครราชทูตที่โตเกียว แน่นอน ทั้งนี้ญี่ปุ่นต้องการควบคุมการเคลื่อนไหวของเขา--” หนังสือนี้ทูตอังกฤษเขียนระหว่างสงครามเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. ๑๙๔๕)

  4. ๔. ในทางปฏิบัติทางการทูต ก่อนตั้งทูต รัฐบาลซึ่งจะส่งทูต ต้องทาบทามขอความเห็นชอบ (agreement) จากรัฐบาลซึ่งทูตจะไปประจำเสียก่อน

  5. ๕. นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเข้าดำรงตำแหน่งสมาชิกผู้หนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

  6. ๖. ข้าพเจ้าหมายถึงจอมพล ป. พิบูลสงคราม

  7. ๗. ถึงแก่กรรมแล้ว

  8. ๘. ปัจุบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

  9. ๙. ปัจจุบัน เอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์

  10. ๑๐. ถึงแก่กรรมแล้ว

  11. ๑๑. ถึงแก่กรรมแล้ว

  12. ๑๒. ปัจจุบัน เลขานุการโทสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ