๒๘
ข้าพเจ้าพบซูซี่หวางอีกหลายครั้ง คืนวันหนึ่งเราไปเต้นรำกันที่คาราซาร์ ขณะนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะตามลำพัง ซูซี่หวางกระซิบว่า
“เมื่อวานเฉินหวู่นายทหารคนสนิทของจางโชเหลียงมาหาฉัน บอกว่าแมนจูเรียคงจะเกิดเรื่องใหญ่ในไม่ช้านี้แหละ”
“ยังงั้นหรือ?” ข้าพเจ้าจ้องตาหญิงสาวด้วยความสนใจ “เฉินหวู่ว่าอย่างไร?”
“ญี่ปุ่นเพิ่มทหารในเขตรถไฟสายแมนจูเรียใต้ เตรียมจะบุกออกมาจากเขตรถไฟเพื่อยึดแมนจูเรีย”
“หมายถึงสงคราม”
ซูซี่หวางพยักหน้า
“ก็ต้องฟังสันนิบาตชาติดู ถ้าสันนิบาตชาติเอาจริง ญี่ปุ่นก็คงไม่กล้าบุก แต่ฉันว่าญี่ปุ่นจะต้องคุมเชิงอยู่ในเขตรถไฟ เอส.เอ็ม.อาร์.”
“ญี่ปุ่นมีสิทธิโดยสัญญาจะตั้งกองทหารในเขตรถไฟสาย เอส.เอ็ม.อาร์๑ ได้”
“ถูกแล้ว แต่ออกมาจากเขตนี้ไม่ได้ เฉินหวุู่เล่าว่าญี่ปุ่นเตรียมหาเหตุเพื่อจะบุกออกมาจากเขต เอส.เอ็ม.อาร์. คนญี่ปุ่นอาจถูกฆ่าตายอีกก็ได้”
ข้าพเจ้านิ่งอย่างใช้ความคิด เพราะเรื่องทามูราสหายสนิทของจางหลินแวบเข้ามาในสมอง จวนฟางได้เล่าให้ฟังเมื่อวานนี้เอง ว่าพวกเชิ้ตสีเทาของดุสิตกำลังวางแผนจะเอาชีวิตทามูรา มันเป็นแผนที่ไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง แต่เลือดของคนหนุ่มมักจะทำอะไรตามอารมณ์ เหตุส่วนหนึ่งของความปั่นป่วนในเมืองจีนที่เกิดขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่เกิดปฏิวัติเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ ก็คือเลือดและอารมณ์ของคนหนุ่ม ๆ สาว ๆ พวกนี้แหละ แต่กำลังใจของคนเหล่านี้มีประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองมาก มันเป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่ของการสร้างชาติ และการต่อสู้เพื่อให้ชาติได้รอดอยู่ในท่ามกลางฝูงเสือร้ายของประเทศจักรวรรดินิยม ซึ่งรุมล้อมอยู่รอบข้างตลอดศตวรรษที่ ๒๐
ข้าพเจ้านิ่งไปนานจนซูซี่หวางแปลกใจ เธอถามขึ้นว่า
“เธอกำลังคิดอะไร ระพินทร์”
ข้าพเจ้าสะดุ้งเล็กน้อย
“ถ้าคนญี่ปุ่นถูกฆ่าตอนนี้ เลือดก็ต้องนองแน่ ปักกิ่งจะอยู่กันไม่ได้”
ซูซี่หวางหัวเราะ
“เธอกลัวหรือ?”
“เปล่า” ข้าพเจ้าตอบอย่างไม่มีความหมาย นิ่งไปสักประเดี๋ยวก็พูดต่อไปว่า “เธอเคยรู้จักพวกเชิ้ตสีเทาไหม?”
“ตำรวจเคยเล่าให้ฉันฟัง! หัวหน้าเป็นโอเวอร์ซีไชนีส มาจากเมืองไทย”
“ดุสิต”
“แซ่หลิว”
“เธอรู้จักเขาดีไหม?”
“พอรู้จัก”
“ฉันได้ข่าวมาว่า ดุสิตคิดจะฆ่าทามูรา”
“อ๋อ ทามูรา ฉันเคยรู้เรื่อง จางหลินถูกสงสัยว่าเข้ากับญี่ปุ่นก็เพราะทามูราคนนี้”
“ถ้าดุสิตฆ่าทามูรา ปักกิ่งจะต้องถูกยึด”
“มันไม่ง่ายนักหรอก ระพินทร์” ซูซี่หวางพูดอย่างตรึกตรอง “ญี่ปุ่นต้องใช้เวลากว่าจะรุกลงมาปักกิ่ง ทหารของเราจะต้องต่อต้านอย่างเต็มที่ เราจะยอมเสียปักกิ่งไม่ได้”
“แต่ถ้าทามูราตาย ญี่ปุ่นก็จะต้องถือเอาเป็นสาเหตุ อย่างน้อยก็ต้องเกิดปะทะกันทางการทูต”
ซูซี่หวางส่ายหน้า
“ฉันไม่อยากจะคิดว่าดุสิตจะโง่จนถึงกับฆ่าทามูรา ไม่เห็นมันจะเกิดประโยชน์อะไร”
“อารมณ์คนหนุ่มเป็นความโง่อย่างหนึ่ง เรื่องทามูราฉันกลัวว่าจะบานปลาย จางหลินจะลำบาก”
“คนดีที่โลกไม่ต้องการ” ซูซี่หวางหัวเราะในคอ แววตาขมขื่น “จางหลินดีเกินไป เขาจะต้องตายเพราะความดีที่ไม่มีไครเข้าใจ ฉันได้ยินนายตำรวจใหญ่ ๆ เขาพูดกันว่า จางหลินเป็นคนที่ชาติไม่ปรารถนา”
“ก็พูดกันมาก” ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ
เราออกเต้นรำกันอีกหลายรอบ พอถึงเที่ยงคืนข้าพเจ้าก็พาซูซี่หวางกลับ เรานั่งหยางเชอกันคนละคัน วิ่งคู่กันไปบนถนนอันเงียบสงัดหลายสาย จนถึงบ้านซูซี่หวางที่ซีเฉิง
ยายอาม้าอายุเลยกลางคนไปแล้วมาเปิดประตู ซูซี่หวางเชิญข้าพเจ้าเข้าไปข้างใน เธอจ่ายค่าหยางเชอเสร็จก่อนที่ข้าพเจ้าจะมีโอกาสพูดอะไร ดูเหมือนว่าการไล่หยางเชอให้กลับ ไม่ต้องรอ เป็นความตั้งใจของเจ้าของบ้านสาวผู้ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน
ข้าพเจ้าใจเต้นแรง เพราะไม่เคยคิดจะไม่กลับไปนอนกับบัว บัวคงเคยมาบ้านนี้บ่อย ๆ ตามความเชี่ยวชาญของเขา คืนนี้ข้าพเจ้าก็มาที่บ้านนี้เหมือนกัน และเหตุการณ์ก็คงจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับที่ได้เกิดกับบัวมาแล้ว
ซูซี่หวางนำข้าพเจ้าเข้าไปในห้องรับแขก ห้องนั้นตกแต่งไว้อย่างหรู มีโซฟาหนังดำทันสมัย มีเก้าอี้นวมชุดสีเขียวแก่ทำด้วยหนังล้วน มีภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ตั้งอยู่เหนือเตาผิง เป็นภาพของพระราชวังฤดูหนาวในฤดูเหมันต์ เขียนโดยซูผิง จิตรกรฝีมือเอกของจีนเหนือ พื้นปูด้วยพรมสีเขียวอ่อนของยี่ห้อเหรินลี่แห่งถนนหวางฝูจิ่ง ซึ่งมีชื่อทั่วประเทศ ห้องนี้ทุกอย่างแต่งแบบฝรั่ง ไม่มีอะไรที่เหมือนบ้านคนจีนทั่วไป
“เธอมีบ้านสบายมาก” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจขณะที่นั่งลงยังเก้าอี้นวม
“ฉันอยู่คนเดียว ไม่มีใครอีกนอกจากอาม้า แกทำทุกอย่างตั้งแต่ทำความสะอาดไปจนถึงทำครัว” ซูซี่หวางพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข พลางทิ้งตัวลงกับโซฟา
“บ้านดี ๆ อย่างนี้ในปักกิ่งไม่ค่อยมีเลย” ข้าพเจ้าพูดพลางกวาดตาดูรอบ ๆ
“เป็นมรดกของจางโซหลินทิ้งไว้ให้ฉัน” เจ้าของบ้านสาวหยิบบุหรี่มาจุดสูบ “ไม่เห็นเธอสูบบุหรี่”
“ฉันไม่เคยแตะต้อง” ข้าพเจ้าตอบ
“เธอจะดื่มอะไร?”
“อย่าเลย ฉันดื่มมากแล้วคืนนี้” ข้าพเจ้าสบตาเธอ ดวงตาคู่นั้นวาววามเป็นประกาย “เธอไม่เหงาหรือซูซี่?”
“ชีวิตฉันชอบอิสระ ฉันอยู่คนเดียวมานานแล้ว” ซูซี่หวางตอบยิ้มๆ “พอจางโซหลินถอยทัพกลับแมนจูเรียแล้วก็ไปตาย ฉันก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้ มีความสุขอยู่กับเพื่อน ฉันเป็นคนโชคดี ไม่เคยขาดเพื่อนเลย เธอเป็นเพื่อนคนใหม่ที่สุดของฉัน แล้วก็น่าสนใจที่สุดด้วย”
ข้าพเจ้ารู้สึกหวิววาบในใจชอบกล เมื่อซูซี่หวางพูดประโยคสุดท้าย ข้าพเจ้ามีอะไรที่เธอควรจะสนใจ เธอเองต่างหากที่ข้าพเจ้าชักจะสนใจ เธอคงจะไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าต้องสารภาพกับตัวเองว่า ผู้หญิงคนนี้ข้าพเจ้าพอใจความเปิดเผยตรงไปตรงมาของเธอ ชอบคำพูดที่แม้จะแข็งกระด้างในบางคราว แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ เธอพูดฟังง่าย ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้คิด ไม่มีข้ออะไรจะต้องสงสัย ข้าพเจ้าฟังเธอพูดแล้วก็รู้สึกคล้ายกับว่าข้าพเจ้าได้อยู่กับผู้ที่ไม่เป็นภัย เป็นผู้มีใจบริสุทธิ์ แม้ว่าเธอจะมีกายที่ไม่บริสุทธิ์ แต่จะแปลกอะไรเล่า ในเมื่อใจสำคัญกว่ากาย
ข้าพเจ้าถามว่า
“ฉันมีอะไรที่เธอต้องสนใจ ซูซี่?”
“เธอยิ้มเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา” รินน้ำชาให้ข้าพเจ้าถ้วยหนึ่ง
“ฉันมีเพื่อนมากมาย แต่ฉันยังไม่เคยพบใครเหมือนเธอ”
“ยังงั้นหรือ?” ข้าพเจ้าหัวเราะอย่างใจสบาย “ฉันมีอะไรที่เธอเห็นว่าแปลกพิสดารกว่าคนอื่น?”
“ใจเธอบริสุทธิ์ เธอพูดอะไรฉันไม่ต้องเอามาสงสัย คนอื่นพูดฉันต้องคิด มีคนคนเดียวเท่านั้นในชีวิตของฉันที่พูดเหมือนเธอ–คือไม่ต้องคิดสงสัยเลย”
“มีคนเดียวเท่านั้น–เธอแน่ใจหรือซูซี่?” ข้าพเจ้าถามยิ้มๆ
“คนคนเดียวจริง ๆ ที่ฉันเชื่อ”
ข้าพเจ้าถามเธอด้วยสายตาว่า “ใคร?”
“ฉันบอกก็ได้–จางโซหลิน”
“อ้อ” ข้าพเจ้าพีมพำ
“ท่านตั้งตัวด้วยการเป็นโจร ปล้นคนมีมาให้คนจน เป็นโรบินฮูดของเมืองจีน แต่ท่านเป็นคนใจบริสุทธิ์ ใคร ๆ ก็บูชา”
“เธอให้เกียรติฉันมากไปหน่อยละกระมัง ฉันห่างไกลจากจางโซหลินมากนัก” ข้าพเจ้าหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาถือไว้
“ฉันพูดความจริง เธอรู้จักตัวเธอน้อยไปหน่อยละกระมัง ระพินทร์”
ข้าพเจ้าหัวเราะอย่างขบขัน อาจจะจริงอย่างซูซี่หวางว่าก็ได้ มนุษย์เรารู้จักตัวเองน้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่เราเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัว
“คนเรามักหากระจกส่องดูตัวเองไม่ได้ เราก็เลยไม่ค่อยจะรู้จักตัวเอง เธอเป็นกระจกบานแรกที่ช่วยส่องให้ฉัน ฉันอยากจะพูดเหมือนเธอสักนิด เธอเองก็รู้จักตัวเธอน้อยไปหน่อยเหมือนกัน”
“เธอช่วยเป็นกระจกส่องให้ฉันหน่อยซี ระพินทร์”
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าแววตาของซูซี่ที่มองดูข้าพเจ้ามีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบตอบทันที
“เธอเป็นคนไม่มีภัย เธอพูดเหมือนเธอคิด เธอไม่ซ่อนอะไรไว้เลย ฉันสบายใจเมื่ออยู่กับเธอ”
“งั้นหรือ ระพินทร์” ซูซี่หวางแย้มตากว้าง ในดวงตาคู่นั้น ข้าพเจ้าได้เห็นดวงวิญญาณอันสดชื่นของเธอ
“ซูซี่” ข้าพเจ้าสบตาเธอเฉยอยู่ขณะหนึ่ง “ฉันรู้จักเธอไม่กี่วัน แต่ฉันคิดว่าเราควรจะเป็นเพื่อนกันได้”
“ฉันก็คิดเช่นนั้น” ซูซี่หวางพูดเสียงเครือ ไม่ยิ้ม แต่การที่เธอไม่ยิ้มทำให้ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกว่า เธอมีความจริงใจในคำพูดมากกว่าที่เธอยิ้ม
เรานิ่งงันกันไปครู่หนึ่ง ข้าพเจ้ากวาดตาดูบนโต๊ะยาวไม้ดำเบื้องหลังของเธอ บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นภาพถ่ายภาพหนึ่งอยู่ในกรอบทองแดง ตั้งอยู่ข้างอ่างหยกสีเขียว ภาพนั้นเป็นภาพของบุรุษในเครื่องแบบตำรวจสันติบาล อายุประมาณห้าสิบปี หน้าอูม ไว้หนวดเล็กน้อย ศีรษะเถิก ตาชั้นเดียว แต่มีแววกล้าแข็งผิดธรรมดา
ซูซี่หวางจับได้ว่าข้าพเจ้ากำลังสนใจกับภาพถ่ายภาพนั้น จึงพูดว่า
“เธอรู้จักไหม–นั่นหลีเคื่อจ่าง หัวหน้าสันติบาลฝ่ายสืบสวน”
“เคยได้ยินชื่อ” ข้าพเจ้าพยายามนึก “อ้อ ฉันจำได้ เคยเห็นเดินอยู่กับนายพลเปาผู่หลินไดเร็กเตอร์ของพับลิกเซฟตีบูโร”
“เธอรู้จักนายพลเปาผู่หลินหรือ?”
“เคยพบกัน หลัวชางเซียนซิงการ์เดียนของฉันเคยแนะนำให้รู้จัก”
“เธอควรคบเขาไว้ เวลานี้กฎหมายคุ้มครองเราไม่ค่อยได้ แต่พวกนายพลคุ้มครองเราได้”
“นายพลก็อยู่เหนือกฎหมายซี” ข้าพเจ้าพูดอย่างแปลกใจ
“ที่นี่–ฉันว่าทั่วเมืองจีน–พวกทหารตำรวจกำลังมีอำนาจ การปฏิวัติทำให้บ้านเมืองสับสนอลหม่านเหมือนไม่มีกฎหมาย ปีนอย่างเดียวที่มีอำนาจ พวกทหารตำรวจกินสินบนกันเป็นว่าเล่น คอร์รัปชันร้อยแปดรีดไถราษฎรตามชอบใจ คนพวกนี้นั่งอยู่บนหัวราษฎรตลอดเวลา ฉันว่าอีกไม่ช้าเมืองจีนก็จะล่ม แล้วคอมมิวนิสต์ก็จะมีอำนาจ เราราษฎรกำลังตายทั้งขึ้นทั้งล่อง อยู่กับพวกทหารนักปฏิวัติก็อดตาย อยู่กับคอมมิวนิสต์ก็ตาย เรากำลังไม่มีแผ่นดินจะอยู่”
“คงไม่ร้ายถึงขนาดนั้นหรอกน่า ซูซี่” ข้าพเจ้าพูดอย่างปลอบใจ “คนดีๆ ยังมีอีกมาก เมืองจีนไม่จำเป็นต้องเป็นคอมมิวนิสต์ก็ได้”
“แต่คนดีไม่มีโอกาสจะเข้ามาแก้ไขอะไรได้หรอก ระพินทร์ ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่มิตรของพวกทหารนักการเมือง ก็ไม่มีใครเขาให้ทำอะไร คนดีก็เลยต้องเก็บตัว ขืนทำเอะอะไปก็มีหวังตาย อย่างน้อยก็ติดคุก มันเป็นสมัยของลูกท่านหลานเธอ–สมัยของพวก ใครไม่มีพวกก็เท่ากับไม่มีปากไม่มีมือ นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไปเข้ากับพวกคอมมิวนิสต์ คนเหล่านี้โดยมากไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร เขารู้แต่ว่าถ้าเข้าพวกคอมมิวนิสต์ก็มีหวังรอด อย่างน้อยก็มีข้าวกินและปลอดภัย พวกทหารนักปฏิวัติเข้าไปรังแกไม่ได้ เธอคงรู้จักเมาเซตุง”
“ฉันไม่เคยพบ ได้ยินแต่ชื่อ”
“เมาเซตุงกำลังจะเป็นคนใหญ่ในพวกคอมมิวนิสต์ที่นี่ เขาเกิดมาเพื่อจะนำคน–เรียกว่าจอมคน เมาเซตุงกำลังซ่องสุมผู้คน เวลานี้มีทหารนับแสน รัฐบาลนานกิงตีไม่แตก ฉันกลัวว่าเมาเซตุงจะชนะ เพราะรัฐบาลจะหมดกำลัง เธอคิดดู ญี่ปุ่นกำลังจะยึดแมนจูเรีย รัฐบาลต้องสู้ญี่ปุ่นกับเมาเซตุงพร้อม ๆ กัน จะเอากำลังที่ไหนไปสู้ บ้านเมืองคงจะแหลกลาญคราวนี้เอง รบกันเองยังไม่พอต้องรบญี่ปุ่นด้วย”
“เธอคิดว่าเมาเซตุงเป็นคนดีใช่ไหม?” ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ
“เขาไม่กินสินบน แต่เขาจะเป็นสตาลิน” ซูซี่หวางตอบอย่างเคร่งขรีม “เธอรู้ดีว่าคนรัสเซียกำลังอยู่ใต้ซ่นเกือกของสตาลิน ถูกสตาลินกระทืบอยู่ทุกวัน เมาเซตุงก็เช่นเดียวกัน เขาดีเมื่อสมัยหนุ่ม โอบอ้อมอารี เมตตาคนจน แต่เวลามีอำนาจ เขาต้องเอาความสำเร็จเป็นใหญ่ ก็เหมือนหัวหน้าคอมมิวนิสต์ทุก ๆ คนน่ะแหละ ความสำเร็จอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีอะไรในโลกจะสำคัญกว่าความสำเร็จของอุดมคติ เขาต้องการความสำเร็จอย่างเดียว–อย่างเดียวเท่านั้น! เพราะฉะนั้นเขาจะต้องลืมชีวิตมนุษย์–ลืมอิสรภาพและเสรีภาพของราษฎร ราษฎรจะกลายเป็นเครื่องมือของการปฏิวัติ เป็นวัวควายที่ให้กำเนิดแก่พลังงาน เขาจะใช้ราษฎรทำงานอย่างเข้มงวดกวดขัน ใครขัดขืนก็ตาย เขาต้องการแผ่นดินผืนใหม่ ต้องการล้างแผ่นดินผืนเก่า แต่เขาไม่ใช้น้ำล้าง เขาใช้เลือดของราษฎร”
“ข้าพเจ้าฟังไปคิดไป ซูซี่หวางพูดความจริง เลือดของราษฎรจะต้องล้างแผ่นดินจีน ล้างด้วยคำขวัญที่ว่า“เราต้องผลัดแผ่นดินใหม่ด้วยเลือด” แต่เมื่อเลือดไหล ราษฎรเจ้าของเลือดก็ตาย คนที่ไม่ตายก็คือคนที่ไม่ใช่ราษฎร–คือคนที่เป็นนายราษฎร!”
เราคุยกันถึงความวุ่นวายของเมืองจีนอีกสักครู่ ข้าพเจ้าย้อนไปหาเรื่องของหลีเคื่อจ่าง เจ้าของภาพในกรอบทองแดงอีก
ตอนหนึ่งซูซี่หวางถามว่า
“เธออยากพบเขาหรือ ระพินทร์? ดูเธอสนใจเขามาก”
“อยากพบ ฉันต้องการฟังความคิดความเห็นของเขา”
“ได้ซี ฉันจะแนะนำให้รู้จัก”
คืนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้กลับไปนอนกับบัว ชีวิตเหมือนความฝัน ข้าพเจ้าฝันดี เพราะซูซี่หวางเป็นคนดี
-
๑. The South Manchurian Railway (S.M.R.) ↩