๒๖

เสียงฝีเท้าคนหลายคนที่วิ่งขึ้นบันไดมาเมื่อสักครู่ ได้มาหยุดอยู่ที่หน้าประดูห้อง แล้วก็มีเสียงตบประตูถี่และแรง

ข้าพเจ้ามองตานักหนังสือพิมพ์หัวใจราชสีห์เป็นเชิงถาม จางหลินพยักหน้า ไม่พูดอะไร ค่อยๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตูออกอย่างใจเย็น

ผู้ที่ถลาเข้ามาในห้องเป็นคนแรกคือดุสิต ติดตามด้วยนักศึกษาในชุดต้ายาวสี่คน มีเฉินจงที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักรวมอยู่ด้วย ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย

“ฮัลโหล ดุสิต” จางหลินเอ่ยปากทักอย่างอารมณ์ดี “มีอะไรหรือ? นั่งซี!”

ดุสิตมองทามูราและข้าพเจ้า แล้วก็หันไปสบตาเฉินจงพรรคพวกของเขาอย่างมีเลศนัย เขาก้าวเข้ามานั่งลงยังเก้าอี้นวมหุ้มด้วยผ้าสีน้ำเงินแก่ เฉินจงก็นั่งลงเช่นเดียวกัน

“วันนี้มาถึงนี่ คงจะมีธุระสำคัญ?” จางหลินถามยิ้มๆ

“มี” ดุสิตตอบเสียงขุ่น “เรามีเรื่องข้องใจต้องการให้พี่ชี้แจง”

“ได้” จางหลินตอบอย่างหนักแน่น เขาหยุดนิ่งคล้ายกับจะรอให้ดุสิตพูดต่อไป แต่ดุสิตยังจ้องหน้าเขาเฉยอยู่อย่างประหม่า เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันแข็งแกร่งของเขา จางหลินจึงพูดต่อไปว่า “มีอะไรข้องใจก็ว่ามาเลย ฉันเองก็ต้องการพบพวกเธออยู่แล้ว หมู่นี้ฉันถูกสวดไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่มีใครยอมเข้าใจ เสียสติกันไปหมดแล้ว”

“พวกเราไม่ได้เสียสติ” เฉินจงสวนขึ้นทันที ตาเขียวขุ่น “เรามีสติ เราถึงไม่เห็นด้วยกับความคิดของพี่ เราเคยนับถือพี่ว่าเป็นนักคิด แต่เดี๋ยวนี้เราไม่อยากนับถือแล้ว”

“เออ พูดตรง ๆ อย่างนี้ซี” จางหลินหัวเราะอย่างมีอารมณ์ขัน “ว่าไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรข้องใจ เหล่าเฉิน?”

ดุสิตรีบตอบตัดหน้าเฉินจงว่า “เราข้องใจเรื่องเซี่ยงไฮ้”

“อ๋อ” จางหลินหัวเราะอีก “ก็ควรจะข้องใจ เพราะฉันเกือบจะเป็นคนเดียวที่มีความเห็นไม่เหมือนใคร เธอไม่เข้าใจเลยหรือที่ฉันเขียน?”

“เข้าใจ แต่ไม่เห็นด้วย”

“ฉันรู้ว่าไม่มีใครเห็นด้วย” จางหลินถอนใจเบาๆ “แต่ฉันเชื่อว่า ฉันมีส่วนถูกมากกว่าผิด”

“ถูก!” ดุสิตร้องดัง “ถูกยังไง? ถ้าพี่ว่าพี่ถูก คนจีนทั้งชาติก็ผิด”

“เราอย่าว่าใครผิดใครถูกดีกว่า” บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เป่ผิงฉือป้าวโบกมือ “เอากันเพียงว่าทุกคนมีเจตนาดี แต่เรามองกันคนละแง่”

“แต่แง่ที่พี่มองไม่มีใครเห็นด้วยเลย” ดุสิตพูดพลางชำเลืองตาไปที่ทามูรา ข้าพเจ้าเห็นเจ้าของร้านถ่ายรูปทามูราโฟโต้หลบตาแล้วหายใจสะท้อน เขานั่งประสานมืออย่างสุภาพ ไม่พูดอะไร

“รถของเราวิ่งเร็วมากขึ้นทุกวัน ทั้ง ๆ ที่กำลังลงเนิน” จางหลินทำมือประกอบ “ฉันพยายามเป็นห้ามล้อให้ ฉันไม่ต้องการให้รถของเราคว่ำเพราะเราประมาท”

“แต่พี่ไม่ได้ห้ามล้อ” ดุสิตค้านเสียงแข็ง “พี่ไปเข้ากับญี่ปุ่น!”

ข้าพเจ้าเห็นจางหลินถอนใจอย่างขมขื่น ความยิ้มแย้มในสีหน้าลดลงไปจนเห็นได้ถนัด

“ใครๆ ก็พูดอย่างนี้ ทำไมฉันจะต้องไปเข้ากับญี่ปุ่น” จางหลินหยุดอยู่แค่นี้ คล้ายกับจะเกรงใจทามูราที่นั่งคอยฟังอยู่ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซีดและตกใจ

ดุสิตมีท่ากระวนกระวายมากขึ้น ราวกับสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจจะระเบิดออกมา. เขามองหน้าทามูราอย่างจงใจ แววตาของเขาขุ่นมัว เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด

“เรามาวันนี้เพื่อบอกว่า เราทนต่อไปไม่ได้แล้ว” ดุสิตพูดเสียงดัง

“ทนอะไร?” เสียงจางหลินมีกังวานแจ่มใส ไม่สะทกสะท้าน

“ทนบทความของพี่น่ะซี พี่ป้องกันญี่ปุ่นตลอดเวลา”

“เธอไม่เข้าใจ เราป้องกันชาติของเรา เราไม่ได้ป้องกันญี่ปุ่น”

“แต่พี่ว่าเราผิดที่ฆ่าญี่ปุ่นในเซี่ยงไฮ้” ดุสิตขึ้นเสียง

จางหลินโคลงศีรษะอย่างเบื่อหน่าย

“เราได้แถลงเหตุผลไว้หลายครั้งแล้ว ว่าทำไมจึงไม่ควรทำร้ายญี่ปุ่น” หยุดถอนใจเพื่อระงับความกดดันของความรู้สึกที่อัดอยู่ในอก “เราฆ่าญี่ปุ่น เราได้อะไร? เราไม่ได้ชนะญี่ปุ่น เพราะเราฆ่าพ่อค้าญี่ปุ่นเพียงสองสามคน ความเกลียดทำให้เราขาดสติ เราฆ่าญี่ปุ่นเพราะเกลียด แต่การฆ่าญี่ปุ่นมันเท่ากับจุดชนวนให้ญี่ปุ่นส่งทหารเข้ามาเร็วขึ้น นโยบายของเราควรรักษาความสงบ เพื่อหาทางตกลงอย่างสันติ เมื่อตกลงไม่ได้แล้วถึงจะใช้กำลัง ถ้าถึงขั้นนั้นฉันจะไม่เถียงเลย”

“เราไม่เห็นอย่างนั้น” ดุสิตพูดเสียงหนัก “เรารู้จักญี่ปุ่นดี ญี่ปุ่นรุกเรามาตั้งแต่เรายังไม่เกิด ญี่ปุ่นไม่เคยถอย เราจะดีต่อสักเพียงใด ญี่ปุ่นก็ไม่ยอมฟัง การเจรจาอย่างสันติไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งเจรจาก็ยิ่งทำให้ญี่ปุ่นเห็นว่าเรากลัว ก็เลยรุกใหญ่ เวลานี้เราต้องยืนขึ้นสู้ ต้องยืนขึ้นพร้อม ๆ กันทั้งชาติ นโยบายเข่าอ่อนใช้ไม่ได้แล้ว ความเห็นของพี่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ บ้านเมืองจะล่มจมถ้าขืนคิดอย่างพี่”

จางหลินนิ่ง ไม่พูดอะไร รู้สึกว่าเขากำลังปลอบใจตนเองให้อดทนมากกว่าจะยอมจำนน

“เหล่าหลิว” เขาเรียกชื่อดุสิต “เราต่างคนก็ต่างรักชาติด้วยกัน แต่เราคิดกันคนละแง่ ฉันเห็นว่าสงครามจะหยุดได้ก็เพราะเราเลิกเกลียดชังกัน ความเกลียดทำให้เราขาดสติ เกิดความประมาท เอาแต่มุทะลุดุดัน ชาติของเราไม่พร้อมจะทำสงครามกับญี่ปุ่น เราไม่มีความเป็นปึกแผ่น เราต้องรบกันเอง ศึกคอมมิวนิสต์ก็ติดพันเราอยู่ คอมมิวนิสต์ใต้ดินก็เต็มเมือง คนก็ยิ่งอดอยากยากจน แล้วยังถูกบังคับกดขี่สารพัด นักการเมืองคอร์รัปชันเอาแต่กอบโกยเข้ากระเป๋า ทหารมีอำนาจ นายพลค้าขายกินสินบน ประชาชนพูดอะไรไม่ได้ นี่แหละบ้านเมืองของเรา เรายังคงง่อยเปลี้ยเพราะเราทำลายกันเอง–ฆ่าตัวเอง แล้วเธอจะให้เราไปทำสงครามกับญี่ปุ่นได้ยังไง?”

“ก็เพราะเราง่อยเปลี้ยน่ะซี เราจึงต้องรวมกำลังกันให้พร้อมเพรียง แต่บทความของพี่มันทำให้เราแตกแยก” ดุสิตยังคงเสียงแข็งตามเดิม

“ฉันเพียงแต่ขอร้องให้พวกเรามีสติ ไม่ได้พูดให้แตกแยก เธอเข้าใจเสียใหม่” จางหลินจ้องหน้าดุสิตอย่างไม่ยอมถอย

“แต่มันก็ทำให้เราลังเลใจ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความพร้อมเพรียง” หัวหน้าคณะเชิ้ตสีเทาจ้องตาตอบไม่ยอมถอย “เวลานี้ชาติคับขัน เราต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต้องการตัดสินใจ พี่เขียนหนังสือขัดกับความเป็นจริงเหล่านี้ คนอ่านแล้วก็เกิดสงสัยลังเล ไม่เชื่อตัวเอง คนใจอ่อนก็เลยไม่คิดสู้ พี่ไม่รู้ตัวหรอกว่าพี่กำลังทำร้ายชาติ”

“นี่ เหล่าหลิว” จางหลินพูดเสียงเบาลง แต่ยังคงหนักแน่นอยู่เช่นเดิม “ถ้าเธอเข้าใจอย่างนั้น ฉันก็เสียใจ ฉันไม่ได้ทำร้ายชาติ ทำไมฉันจะต้องทำร้ายชาติ? มันไม่มีเหตุผล”

“เหตุผลนั่งอยู่ที่นี่” เฉินจงพูดเสียงดัง แล้วชี้มือไปที่ทามูรา “นี่แหละเหตุผล! คนทั้งเมืองเขารู้หมดแล้ว”

“รู้อะไร?” จางหลินถาม สีหน้าบอกความไม่พอใจ มองดูทามูราซึ่งมีท่าทางกระสับกระส่ายมากขึ้น

เฉินจงหัวเราะในคอ ท่าทางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“ก็พี่ต้องการเป็นใหญ่ใช่ไหมล่ะ?” เขาถาม “ไม่ต้องตอบก็ได้ ใครๆ เขาก็รู้ว่าพี่อยากใหญ่อยากดัง พี่คิดถึงแต่ตัว ไม่คิดถึงชาติกับพี่น้องของเรา พี่เอาเราไปขายญี่ปุ่น!”

“เหล่าเฉิน!” จางหลินระเบิดออกมาด้วยความโกรธ “มันมากไปแล้วนะ อย่าก้าวร้าวกันให้มากนัก”

“ไม่ใช่ก้าวร้าว” เฉินจงเถียงคอแข็ง “ฉันพูดความจริง พี่คบญี่ปุ่นเพราะพี่อยากเป็นใหญ่ พอญี่ปุ่นครองเมืองจีน พี่ก็จะได้เป็นพวกรัฐบาล เป็นหุ่นให้ญี่ปุ่นเชิดอยู่บนหัวพวกเรา”

“นี่ หยุดดูถูกกันเสียทีได้ไหม” เสียงจางหลินบอกความโกรธที่กำลังจะถึงที่สุด มือที่จับเท้าแขนเก้าอี้สั่นจนเห็นถนัด “ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมพวกเธอถึงเข้าใจเลยเถิดไปอย่างนี้ เราทุกคนรักชาติเหมือน ๆ กัน ไม่มีใครคิดทรยศต่อชาติหรอก ใครทำก็เลวเต็มที ความเห็นของเราที่ไม่เหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่าใครขายชาติ ทุกคนเจตนาดี! พวกเธอตั้งคณะเชิ้ตสีเทาขึ้นก็เพราะรักชาติ ฉันค้านพวกเธอก็เพราะฉันรักชาติ ฉันเห็นใจเธอ เธอควรจะเห็นใจฉันบ้าง เธอไม่ควรคิดว่าเธอทำถูกเสียคนเดียว เวลานี้เธอก็เหมือนรถที่คนขับกำลังขับไปอย่างเร็วบนถนนที่ลื่นเพราะหิมะตก ฉันก็เหมือนห้ามล้อ คอยยับยั้งพวกเธอไว้ ฉันกลัวว่ารถของเธอจะวิ่งเร็วเกินไปจะคว่าตายกันหมด นี่ฉันเจตนาดีแท้ๆ ฉันสุจริต แต่เธอกลับหาว่าฉันขายชาติ มันยุติธรรมแล้วหรือ?”

“เราไม่เห็นด้วยกับความคิดของพี่–เรื่องร่วมมือกับญี่ปุ่น” ในที่สุดดุสิตก็แทรกขึ้น “การร่วมมือกับญี่ปุ่น เราถือว่าเป็นการขายชาติ”

ทามูราทำท่าอีดอัด ข้าพเจ้าแอบสะกิดขาเขาเป็นการให้สติ

“ฉันไม่ได้ร่วมมือกับทหารญี่ปุ่น แต่ฉันขอความเห็นใจจากคนญี่ปุ่น” จางหลินพยายามพูดเสียงเบาคล้ายกับระงับใจให้ดีขึ้น “ทหารญี่ปุ่นความจริงก็คือคนญี่ปุ่น–เพราะมาจากประชาชน ทหารญี่ปุ่นทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนโกงไปเสียหมด การที่ญี่ปุ่นคิดรุกรานเรา ก็เป็นเพราะคณะทหารที่เป็นมันสมองเพียงกลุ่มเดียว ไม่ใช่กองทัพญี่ปุ่นทั้งหมด แต่เมื่อทหารต้องอยู่ในระเบียบวินัย ทุกคนก็ต้องทำงานตามคำสั่ง สำหรับประชาชนคนญี่ปุ่นก็มีอยู่มากมายที่ไม่เห็นด้วยกับการที่กองทัพญี่ปุ่นมารุกรานเรา คนญี่ปุ่นเหล่านี้เราควรติดต่อ เอาเป็นกำลังไว้ให้เป็นเสียงคัดค้านอยู่ในญี่ปุ่นแทนเรา ดีกว่าที่จะปล่อยไว้เฉยๆ เท่ากับว่าเราเข้าตีโต้จากแนวหลังของญี่ปุ่นถึงในประเทศญี่ปุ่นทีเดียว จะมิดีกว่าหรือ?”

“ไม่มีใครเชื่อหรอกพี่ ว่าคนญี่ปุ่นจะคัดค้านแทนเรา” ดุสิตโคลงศีรษะไปมา “ญี่ปุ่นหลงชาติของเขา มันยิ่งกว่ารัก ความหลงมันทำให้เขาหมดความเห็นใจใคร ต้องการแต่จะได้อย่างเดียว คนหลงชาติพวกนี้เราพูดกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก”

“เธอเข้าใจผิด” จางหลินหันไปทางทามูรา “นี่ไง ตัวอย่างของคนญี่ปุ่นที่ไม่หลงชาติ เธอคงรู้จักทามูรา?”

“รู้จัก” ดุสิตตอบเสียงสะบัด“อ้อ พี่เชื่อว่าเขาไม่หลงชาติ?”

“มิสเตอร์หลิว” ทามูราพูดเป็นภาษาอังกฤษ น้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย “ฉันเห็นใจที่เธอไม่เข้าใจฉัน ฉันรู้ดีว่าคนญี่ปุ่นได้ทำร้ายคนจีนมามากเป็นเวลานานมาแล้ว ฉันไม่เคยเห็นด้วย และคนญี่ปุ่นอีกไม่น้อยก็ไม่เคยเห็นด้วย เราถือว่าเป็นการกระทำที่ขาดกตัญญูกตเวที ฉันยังไม่ลืมความดีของคนจีน วัฒนธรรมหลายอย่างประจำชีวิตคนญี่ปุ่น เราก็ได้มาจากคนจีน แล้วยังใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เช่นร้านหนังสือเป็นต้น จีนกับญี่ปุ่นเคยเป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่โบราณ จีนเจริญก่อน ญี่ปุ่นถ่ายความเจริญมาจากจีน ฉันถือว่าเราเป็นคนมาทีหลัง แต่คนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งเขาคิดถึงเรื่องการเมืองมากไป พวกเราเลยเสียชื่อไปด้วย ชาติเราเลยกลายเป็นชาติรุกราน มันเป็นความน่าละอายที่ทำให้ฉันมองหน้าพวกเธอไม่ได้ คนญี่ปุ่นพวกนี้รักชาติมากเกินไปจริงอย่างเธอว่า ฉันรับว่าเป็นความเห็นแก่ตัวที่ขาดมนุษยธรรม เขาไม่คิดว่าการทำร้ายจีนจะเป็นผลกรรมที่จะสนองแก่ชาติเราในที่สุด จีนใหญ่เกินกว่าที่เราจะกลืนลง เราจะไม่ชนะสงคราม เราจะต้องได้รับความหายนะอย่างแน่นอน เราจะต้องเสียหายมากมายนัก ทุกอย่างที่เราช่วยกันสร้างมาจะพังทลายหมดในครั้งนี้ นี่เป็นสิ่งที่พวกเรากลัวเหลือเกิน เราต้องการสันติภาพเช่นเดียวกับพวกเธอ แต่เราเป็นประชาชนมือเปล่า สู้พวกทหารเขาไม่ได้ เรื่องจางหลินฉันขอให้เธอได้โปรดเข้าใจ จางหลินไม่ต้องการจะเป็นใหญ่อย่างเธอคิด เขาคบเราเพราะมีความคิดตรงกัน คือคิดว่าเราต้องสร้างประชามติขึ้นเพื่อระงับสงคราม การรบกัน ผู้ที่เสียหายอย่างสิ้นเนื้อประดาตัว แม้ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ก็คือราษฎร ไม่มีราษฎรคนไหนที่ต้องการรบ แต่เขาถูกบังคับ ถูกมอมเมาให้เห็นผิดเป็นชอบ รัฐบาลเอาเรื่องชาติมาอ้างบังหน้า ไล่ต้อนราษฎรเข้าฆ่าฟันกันอย่างป่าเถื่อน การที่ราษฎรต้องรบก็เพราะราษฎรไม่เข้าใจกัน ถ้าเราทำให้ราษฎรทุกประเทศเข้าใจกันได้ ตกลงกันได้อย่างสันติ สงครามจะไม่มี เพราะรัฐบาลจะบังคับราษฎรหรือมอมเมาราษฎรให้รักชาติหลงชาติอีกไม่ได้ ฉันเห็นอย่างนี้ จางหลินก็เห็นอย่างนี้ เราจึงเข้าใจกันเพราะความคิดของเราเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจางหลินต้องการเป็นใหญ่เมื่อญี่ปุ่นชนะ โปรดอย่าเข้าใจผิด จางหลินเป็นคนดี แต่เขาอาจจะดีเกินไปจนโลกไม่ต้องการเขาก็ได้”

ดุสิตกับพวกนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด ทุกคนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเฉินจงก็พูดขึ้นว่า

“ที่พูดมานี้ถ้าเป็นจริงได้ก็ดี แต่เราไม่เชื่อ คนญี่ปุ่นมีเล่ห์เหลี่ยมมาก เข้ามาเป็นสปายก็เยอะแยะ อย่ามาทำให้เราตายใจเลย เราไม่ยอมถูกต้มหรอกมิสเตอร์ทามูรา เวลานี้เมืองจีนเต็มไปด้วยสปาย คนญี่ปุ่นทุกคนเราไม่เชื่อถือ อย่าพูดให้เสียลมปากเลย”

ทามูราหน้าสลด ข้าพเจ้าจับหัวเข่าเขาบีบเบา ๆ เพื่อปลอบใจ จางหลินถอนใจยาว โคลงศีรษะช้า ๆ แต่ไม่พูดอะไรเลย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ