๑๙
ภาพแอนนาที่มาปรากฏอยู่เฉพาะหน้าข้าพเจ้าในทันทีทันใดทำให้ข้าพเจ้าตกตะลึงไปแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับเธอเป็นคำแรก
“แอนน์” ข้าพเจ้าร้องทัก แล้วรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับหล่อน “นี่เธอมายังไงกัน?”
“ฉันก็มาอย่างที่เธอมาน่ะแหละ” หล่อนตอบแล้วยิ้มละไม “แต่ฉันไม่ได้มาคนเดียวเท่านั้น”
“แล้วพวกของเธอไปไหนหมดเล่า?” ข้าพเจ้าถาม
แอนนาชี้มือไปทางกลุ่มของเธอซึ่งเป็นพวกน้อง ๆ ทางบ้าน คนเหล่านั้นกำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่ในเก๋งกระจกข้างซุ้มดอกเถา
“ไปสนุกกับพวกเราในเก๋งไม่ดีหรือ เธอมานั่งซุ่มอยู่ทำไมคนเดียว?”
ข้าพเจ้าชวนให้แอนนานั่งลง แล้วตอบว่า
“เรานั่งคุยกันเงียบ ๆ สักครู่หนึ่งน่าจะ ดีกว่ากระมัง หรือว่าเธอบอกพวกนั้นไว้แล้วว่าจะมาดึงฉันไป?”
“เปล่า” ตอบพลางสั่นศีรษะ “เขาไม่เห็นเธอหรอก ฉันเป็นคนสายตาดีกว่าคนอื่นๆ นี่ ระพินทร์ เธอมาคนเดียวจริง ๆ หรือจ๊ะ? หรือว่ากำลังคอยใคร ฉันจะได้รีบไปเสียก่อน”
ข้าพเจ้าหัวเราะอย่างขบขัน
“ฉันไม่มีใครจะคอยนอกจากเธอ!”
“วันนี้ดูเธอมีสำนวนหลักแหลมขึ้นเป็นกอง” แอนนาหัวเราะอย่างไม่รู้สึกอะไรในคำพูดของข้าพเจ้า “ว่าแต่พูดเล่นหรือพูดจริง?”
“ฉันไม่เคยพูดเล่นกับเธอเลย แอนน์” ข้าพเจ้าทำท่าขึงขัง “ฉันพูดจริง ๆ และจริงเสมอ”
“คนหนุ่มอย่างเธอไม่น่าจะมานั่งอยู่เงียบ ๆ คนเดียวเช่นนี้” หล่อนออกความเห็น
“นี่ยังเรียกว่านั่งอยู่คนเดียวอีกหรือ?”
“เธอเป็นระพินทร์ที่แคล่วคล่องมากกว่าเมื่อวันก่อน ๆ เธอไปหัดสำนวนมาจากไหน อ๋อ ฉันรู้แล้ว”
ข้าพเจ้ามองตาหล่อนเขม็ง แต่แล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“ว่าอย่างไร?”
“พี่เล่าให้ฉันฟังว่า เคยพบเธอกับสหายของเธอบ่อยๆ” คำว่าพี่หล่อนหมายถึง ดร. เจียงพี่สาว
“ใคร”
“ผู้หญิงผมสีทอง”
“อ๋อ วารยา เธอสนใจมากหรือแอนน์?”
แอนนาเบือนหน้าไปทางเก๋งกระจกคล้ายกับจะซ่อนอะไรบางอย่างในแววตา เมื่อหล่อนหันกลับมา ข้าพเจ้าก็ได้พบดวงตาที่ยังคงแจ่มใสร่าเริงเหมือนเดิม
“ฉันสนใจในเพื่อนของเธอทุกคน ฉันมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น”
“ขอทราบสักนิด”
“ได้ซี ระพินทร์” หล่อนประสานมือเชยคาง ดวงตาอันดำขลับจ้องหน้าข้าพเจ้า “ฉันต้องการจะรู้ว่า เธอมีชีวิตอยู่อย่างไร”
“ไม่เข้าใจเลย”
“เพื่อนของเธอทุกคนเป็นกระจกที่ส่องตัวเธอให้ฉันเห็นถนัด”
ข้าพเจ้ายังคงไม่เข้าใจความหมายของหล่อนอยู่เช่นเดิม แล้วแอนนาพูดต่อไป
“และวารยาผู้นี้ ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอคนหนึ่ง”
ข้าพเจ้ายังคงจับไม่ได้ ว่าหล่อนจะต้องการอะไรจากข้าพเจ้า
“จริงอย่างเธอว่า วารยาเป็นคนที่น่าสงสาร เธอเคยรู้จักบ้างไหม?”
“ฉันไม่รู้อะไรเลย”
“เขาเป็นคู่หมั้นของเหลียงกวงต้าน แต่...” ข้าพเจ้าหยุดคิด “ดูเหมือนจะมีอุปสรรคอะไรหลายอย่าง”
“มีคู่หมั้นแล้ว?” หล่อนร้องค่อนข้างดัง แววตาอ่อนโยนลง “เธอว่ามีอุปสรรคอะไร?”
ข้าพเจ้าสบตาแอนนา ในดวงตาคูนั้นมีความรู้สึกอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอะไร
“เขาอาจจะเมได้แต่งงานกันเพราะเหตุการณ์บางอย่างที่ช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโชคและวาสนา”
“ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายที่ต้องถูกทรมานเสมอ เธอรู้สึกเช่นนั้นไหมจ๊ะ ระพินทร์”
ข้าพเจ้าก้มศีรษะเป็นทีเห็นด้วย
“ก็เป็นบ้างสำหรับผู้ที่เคราะห์ร้าย เธอคงจะเห็นผู้หญิงที่ถูกทรมานมามาก”
“เธอคงรู้จักหลีเซี่ยนชู?”
“คู่หมั้นของโปรเฟสเซอร์ของเราใช่ไหม?”
“นั่นแหละ ฉันเข้าใจว่าเขาจะต้องร้องไห้ไปตลอดชาติ จนบัดนี้แล้วยังไม่หายตาบวม เขารักกันเหมือนกับจะกลืน”
“ฉันไปในงานบรรจุศพของโปรเฟสเซอร์ฟาง ได้เห็นเหตุการณ์บางตอน คนที่รักกันจริง ๆ มักจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
นัยน์ดาอันมีแววโศกของแอนนากะพริบถี่ เธอไม่ได้สบตาข้าพเจ้า ดูเหมือนจะแกล้งมองไปทางโต๊ะหมู่อีกทางหนึ่งซึ่งมีคนนั่งอยู่เต็ม
“ฉันรู้จักหลีเซียนชูดี เป็นคนที่มีความรู้สึกลึกซึ้ง คิดมากและคิดลึก คงจะนั่งคิดและนั่งร้องไห้ไปเงียบ ๆ ชีวิตเลยไม่มีค่าไม่มีความหมาย”
“ชีวิตไม่ใช่ของจริงจังจนเราจะต้องเป็นบ้าไปกับมัน เมื่อเราผิดหวัง เธอคิดอย่างนี้บ้างไหม?”
แอนนาสั่นศีรษะ
“นั่นเป็นแต่ทฤษฎีเท่านั้น เราปฏิบัติไม่ได้ในบางครั้ง ฉันเองรับสารภาพว่าปฏิบัติไม่ได้ แต่พี่เขาคงจะทำได้ หัวใจของเขามีแต่งานกับความรับผิดชอบ ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ บางครั้งฉันคิดว่าเขาจะไม่แต่งงาน”
“ถ้าพูดอย่างเห็นแก่ตัว ฉันคิดว่า ดร. เจียงพี่ของเธอไม่ควรแต่งงาน”
“ทำไมเล่า ระพินทร์”
“เพราะเธอเป็นหมอที่ดีจนเกินที่จะควรแต่งงาน ฉันอยากเห็นเธอเป็นหมอที่ดีที่สุดของประเทศจีน เป็นผู้เสียสละให้แก่ชาติมนุษย์ เป็นผู้ช่วยชีวิตคนทั้งโลกไม่ว่ายากดีมีจน”
“เธอจะเหมาให้พี่ฉันเสียคนเดียวเทียวหรือ” แอนนาถามยิ้มๆ “พี่เขาต้องการเป็นคนเสียสละเพื่อชีวิตของทุก ๆ อย่างไปในโลกนี้ แม้แต่แมวของฉันเขาก็ไม่ยอมให้มันตาย เขาเป็นหมอรักษาได้จนกระทั่งแมว ฉันไม่เห็นเขาพูดถึงกระโปรงสวย ๆ หรือแบบผมใหม่ๆ เขาไม่เคยทาเล็บ ไม่เคยทาปาก และไม่เคยแต่งผมอย่างที่พวกเราควรจะแต่ง เธอเคยนึกรำคาญไหม อย่างพี่ของฉันคนนี้?”
ข้าพเจ้าสบตาแอนนา แววตาของข้าพเจ้าย่อมบอกให้หล่อนทราบได้ดีว่าข้าพเจ้ามีความรู้สึกอย่างไรต่อ ดร. เจียง
“ฉันมีแต่บูชา–และบูชาไว้อย่างสูง!” ข้าพเจ้าตอบ “ถ้าโลกนี้มีคนอย่าง ดร. เจียงมาก ๆ เราจะเห็นความรักความเห็นใจของชาติมนุษย์กว้างแผ่ไพศาลมากกว่านี้มากนัก ฉันบูชาคนอย่าง ดร. เจียง—บูชาจริง ๆ ดร. เจียงทำให้ฉันคิดถึงคนอีกผู้หนึ่ง”
“วารยา?”
“เปล่า จางหลิน”
“อ๋อ นักบุญของจวนฟาง เขาใช่ไหม? ฉันพอจะรู้จักบ้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นคนขวางโลก”
ข้าพเจ้าหยุดชะงักคล้ายกับมีอะไรมาจุกที่คอ จางหลินเป็นคนขวางโลก แอนนาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความเห็นเช่นนี้
“เธอคิดเช่นนั้นหรือ แอนน์?”
“มันเป็นความคิดของคนทั่วไป ไม่ใช่ของฉันคนเดียว เธอรู้เรื่องของจางหลินดีไม่ใช่หรือ?”
“ก็รู้บ้าง แต่ฉันไม่คิดว่าเขาเป็นคนขวางโลก เขาเป็นคนเสียสละให้แก่โลกเช่นเดียวกับ ดร. เจียง แต่สำหรับ ดร. เจียงนั้น เธอเสียสละในทางช่วยชีวิตมนุษย์ แต่ส่วนจางหลิน เขาเสียสละในทางการเมือง”
“ฉันอาจรู้เรื่องการเมืองน้อยกว่าเธอจึงไม่เห็นเช่นนั้น ฉันไม่เชื่อว่าโลกนี้จะเป็นได้อย่างที่จางหลินคิด”
ข้าพเจ้านิ่งมิได้ตอบว่ากระไร แอนนาพูดต่อไป
“ฉันไม่เชื่อว่าคนเราจะรักกันได้ ในโลกนี้ความรักการเสียสละเป็นเพียงอุดมคติสำหรับวัดจิตใจที่เจริญแล้วของคนเท่านั้น ในทางปฏิบัติจริง ๆ ยังทำไม่ได้ คนยังจะต้องแย่งกันกินและรักตัวของตัวมากกว่าผู้อื่น ฉันไม่เชื่อปรัชญาของ มั่วจื่อ ฉันไม่เชื่อลัทธิ ปั๋วอ้าย จะมีได้ในโลกนี้ ทุกคนจะต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ ใครไม่ดิ้นคนนั้นก็ต้องตายอย่างทุเรศ เมืองจีนเวลานี้ถ้าไม่ดิ้นก็ตายอย่างไม่มีปัญหา เราจะไปนั่งรอนอนรอความรักที่ผู้อื่นจะให้กับเรานั้นไม่ได้ ฉันอาจจะออกความเห็นมากไปหน่อยสำหรับผู้หญิงที่ควรจะเป็นแต่แม่บ้านแม่เรือน”
“เธอเป็นผู้มีการศึกษาดี เธอควรมีความเห็นบ้าง” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น “คนเป็นอันมากเห็นเช่นเดียวกับเธอ แต่ความจริงที่เราต้องเผชิญหน้านั้นมีอยู่ว่า ถ้าทุกคนต้องการแต่จะดิ้นรนเพื่อตัวของตัวเอง การร่วมมือก็ไม่มี คนทั้ง ๑,๘๐๐ ล้านที่กำลังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลย ถ้าแม้ไม่มีการร่วมมือกัน”
แอนนาจ้องหน้าข้าพเจ้าอย่างสงสัย
“ระพินทร์ นี่เธอกำลังจะฝันตามจางหลินไปอีกคนหนึ่งหรือ?”
“ไม่ได้ฝัน ฉันเอาความจริงที่ต้องเป็นความจริงมาพูด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าฉันไม่เห็นด้วยในการต่อสู้ดิ้นรน เราที่เกิดมาแล้วต้องต่อสู้ แต่เร่าจะสู้อย่างไร สู้กับอะไร และสู้เพื่ออะไร นั่นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
แอนนาเม้มริมฝีปาก
“ฉันยกย่องจางหลินเหมือนกัน” ในที่สุดหล่อนเอ่ยขึ้น “เขาควรเป็นนักบุญ แต่เธอก็รู้ดีว่าสุดหนทางของนักบุญแทบทุกคนก็คือไม้กางเขน”
“พระเยซูตายบนไม้กางเขน แต่ไม้กางเขนนั้นยังมีแสงสว่างรุ่งโรจน์อยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ความตายของนักบุญเป็นแต่การตั้งต้นของอุดมคติ อุดมคติต้องการเวลา อุดมคติต้องการคนส่งเสริม อุดมคติต้องการความสืบเนื่อง อุดมคติของจางหลินไม่ใช่ตั้งต้นจากตัวของเขา อุดมคติอย่างนี้มีมานานแล้ว ลัทธิปั๋วอ้ายของมั่วจื่อที่เธอพูดเมื่อตะกี้ ก็แสดงว่าอุดมคติเช่นนี้เมืองจีนมีมาหลายพันปีแล้ว จางหลินเป็นเพียงคนส่งเสริมอุดมคติเช่นนี้ เป็นคนสืบเนื่องและเป็นคนที่จะส่งอุดมคติอันนี้ให้แก่ผู้ที่จะมารับช่วงต่อ ๆ ไป”
แอนนานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เธอมองในแง่ของปรัชญาแต่ฉันมองในแง่ของความเป็นจริง”
“แต่ปรัชญาคือความเป็นจริงที่ยั่งยืนถาวร ส่วนความเป็นจริงที่เธอว่าเป็นแต่ความจริงเฉพาะหน้า ซึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามสมัยเวลา”
“ก็โลกนี้เป็นโลกของการเปลี่ยนแปลงนี่จ๊ะ ระพินทร์” หล่อนค้านขึ้นทันที “เราต้องเปลี่ยนตามโลก ถ้าเราไม่เปลี่ยนเราก็ล้าสมัย และเธอก็รู้ว่าการล้าสมัยคือความเสื่อม”
ข้าพเจ้าหัวเราะ—เป็นการหัวเราะที่ค่อนข้างจะขบขันมากกว่ามีความหมายเป็นอย่างอื่น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นแววตาของแอนนาเต็มไปด้วยความจริงจัง หล่อนมีนิสัยจริงจังเช่นเดียวกับพี่สาว เวลาเกิดปัญหาใหญ่ ๆ ที่จะต้องแก้ เรื่องที่เราพูดกันเป็นเรื่องใหญ่ และเราก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเราจึงไม่พูดถึงดอกเถาในเวลาน้ำชาอันน่ารื่นรมย์เช่นนี้