๑๑
การสนทนาที่ค่อนข้างหนักสักหน่อยในฟ่านก่วนหลังมหาวิทยาลัยเยียนจิงเช้าวันนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้จักดุสิตดีขึ้น เขาคือหลิวจิงหวนร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาเกิดในเมืองไทย แต่เลือดจีนอันมีอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากทำให้เขาต้องคิดถึงชาติที่ให้กำเนิดแก่ต้นตระกูลของเขา ตระกูลหลิวเป็นตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของจีน เมื่อสืบประวัตินับไปด้วยจำนวนศตวรรษ (พ.ศ. ๓๓๗) ก็จะพบหลิวปังปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น หลิวปังเป็นวีรบุรุษคนสำคัญยิ่งคนหนึ่งของชาติจีน เป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น (คือพระเจ้าฮั้นเกาจู่หรือฮั่นโกโจ) ก่อนหน้าการเสวยอำนาจของวีรบุรุษผู้นี้ ประเทศจีนซึ่งอยู่ในระบอบฟิวดะลิสม์ตกอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าฉินฉื่อหวงตี้ผู้เผด็จการคนสำคัญของโลกที่สร้างกำแพงเมืองจีน (The Great Walls of China) และทำลายรากฐานของวัฒนธรรมแห่งชาติจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านหนังสือ หลิวปังเมื่อได้เป็นกษัตริย์รวบรวมจีนเข้าเป็นปึกแผ่นแล้ว ก็ลงมือฟื้นฟูบ้านเมืองใหม่ หลิวปังเป็นคนจีนคนแรกที่รวบรวมจีนเข้าเป็นปึกแผ่นแน่นหนาในลักษณะของความเป็นชาติ และเป็นกษัตริย์จีนองค์แรกที่กระทำพิธีเซ่นไหว้ขงจื๊อ ณ สุสานอันศักดิ์สิทธิ์ในแหลมซานตุง
หลิวจิงหวนซึ่งเป็นชื่อภาษาจีนของดุสิต เป็นนามที่อยู่บนริมฝีปากของนิสิตนิสิตาแทบทุกคน เขาจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตามว่าเขาอยู่ในตระกูลของพระเจ้าฮั่นเกาจู่แห่งราชวงศ์ฮั่นอันใหญ่ยิ่ง แต่ว่าเขาคิดและทำอย่างคนจีนที่รักชาติอย่างแรงกล้าบางคนได้คิดและได้ทำมาแล้ว นั่นคือลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้เอกราชของชาติได้ดำรงคงอยู่ เขาพร้อมที่จะตายเพื่อชาติที่รักของเขา เช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของเขาได้ตายมาแล้ว
ค่ำวันนั้น ข้าพเจ้าได้ห้องพักในหอนอนที่ตึกซานโหลวคือตึกหอนอนห้องที่สาม ดุสิตเป็นคนจัดการให้เสร็จ เขาบอก ทิงไช หรือภารโรงว่าข้าพเจ้าเป็นแขกคนพิเศษ ให้เอาใจใส่ให้ดี ๆ ทิงไชมีท่ายำเกรงดุสิตมาก รีบจัดห้องรินน้ำร้อนมาตั้งให้ และคอยให้ความสะดวกข้าพเจ้าอย่างดีที่สุดที่เขาจะให้ได้ ห้องที่ข้าพเจ้าพักอยู่ตอนกลางของตึก เป็นห้องชั้นล่าง เปิดหน้าต่างออกสวนดอกไม้ ซึ่งขณะนั้นกำลังผลิใบอ่อน
หลังอาหารค่ำซึ่งเรารับประทานกันในห้องอาหารชั้นบนของตึกซานโหลว ข้าพเจ้าก็กลับไปพักผ่อนยังห้องพักข้างล่าง ที่โต๊ะอาหารข้าพเจ้าได้ประโยชน์หลายอย่าง นอกจากความรู้ใหม่ของชีวิตนักศึกษาแล้ว ข้าพเจ้ายังได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนของดุสิตอีกหลายคน เช่น ฉินจง เป็นต้น คนเหล่านี้ต้อนรับข้าพเจ้าด้วยมิตรภาพอันอบอุ่น ความสุจริตในแววตาและท่าทางได้ซาบซึ้งอยู่ในชีวิตจิตใจของข้าพเจ้าจนบัดนี้ เขาเป็นตัวอย่างของสุภาพบุรุษจีนที่ดี สุจริต สุภาพอ่อนโยน โอบอ้อมอารี และจริงใจ
คืนนั้นพระจันทร์ฉายแสงอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดสน ข้าพเจ้านั่งปล่อยอารมณ์อยู่บนเก้าอี้โยกข้างหน้าต่าง ตามองดูดวงเดือนและดวงดาวบนท้องฟ้าเมืองจีน เดือนและดาวเหล่านี้ได้เคยให้แสงสว่างแก่ ฝูซี ประมุขสำคัญที่มีชื่อในประวัติศาสตร์จีนคนแรกเมื่อ ๕๐๐๐ ปีมาแล้ว และเดือนกับดาวเหล่านี้แหละได้ทำให้อารมณ์อันย้อมไปด้วยสุราอย่างดีของหลี่ไป๋กับตู้ผู รัตนกวีจีนสมัยแผ่นดินถัง เต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ใหลหลงจนต้องระบายออกมาเป็นบทกวีซึ่งไม่มีวันตาย
ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ผ่านมาแล้วตลอดวัน คิดถึงถ้อยคำของออสมียาในรถบัส จางหลินรักจวนฟาง นั่นไม่มีปัญหาเลย แต่จวนฟางกับดุสิตเล่า ข้าพเจ้าจะเข้าใจว่าอย่างไร จวนฟางเป็นนิสิตาเก่าของเยียนจิง เพิ่งจะผ่านวันปริญญาไปเมื่อเร็ว ๆ นี่เอง หล่อนคุ้นเคยกับดุสิตมาก เพราะเป็นคู่ซ้อมมิกซ์ดับเบิลอยู่ด้วยกันตลอดเวลาหลายปี ดุสิตเองเท่าที่สังเกตดูก็สนิทสนมกับจวนฟางมากจนอาจทำให้ข้าพเจ้าคิดไปได้ไกล เสร็จอาหารเช้าเมื่อตอนเช้า เราพากันไปที่หอสมุด ที่นั่นเต็มไปด้วยหนังสือและโต๊ะเก้าอี้อย่างดี ตู้เหล็กใส่หนังสือจำนวนนับแสนเล่มตั้งเป็นตอนๆ ทั้งชั้นล่างและระเบียงข้างบน โต๊ะสำหรับอ่านหนังสือเป็นโต๊ะยาวขัดมันนั่งได้ประมาณ ๖ คน ตรงกลางตั้งโคมไฟฟ้าก้านทองเหลืองขัดสุกปลั่ง เก้าอี้บุหนังอย่างดีนั่งสบาย บรรยากาศในหอสมุดที่เต็มไปด้วยความสงัด ทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินด้วยความระวังที่จะทำให้มีเสียงอะไรเกิดขึ้น ดุสิตและจวนฟางแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับผู้รักษาห้องสมุดซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการ เขาแสดงความยินดีที่ได้รู้จักกับข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนไทย เขาบอกว่าในหอสมุดของเขามีหนังสือไทยอยู่หลายสิบเล่ม ที่มีมากที่สุดก็คือ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเขาถือว่าเป็นปราชญ์ผู้หนึ่งในด้านอักษรศาสตร์ ข้าพเจ้าสนใจหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนชาติจีนหลายเล่มในตู้ที่บังเอิญอยู่ตรงหน้า เขาหยิบส่งมาให้ข้าพเจ้าอ่านด้วยความเอื้อเฟื้ออันดียิ่ง ดุสิตเห็นข้าพเจ้าเพลินอยู่กับหนังสือ จึงขอตัวไปเดินเล่นข้างนอก และนัดพบกันที่เจ่เม่โหลวในตอนเที่ยงเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ข้าพเจ้าเพลิดเพลินอยู่กับหนังสือจนถึงเวลานัด จึงออกไปพบคนทั้งสองยังตึกรับแขกหลังนี้ เมื่อข้าพเจ้าก้าวเข้าไปดุสิตกับจวนฟางนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ตัวเดียวกัน ท่าทางจริงจังเกินที่จะคิดได้ว่าเรื่องราวที่เขาพูดกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ข้าพเจ้าสะดุ้งใจทั้ง ๆ ที่นึกอยู่ล่วงหน้าแล้วว่า คนทั้งสองอาจมีความรู้สึกต่อกันอย่างไร ดุสิตลุกขึ้นต้อนรับแล้วร้องเชิญให้ข้าพเจ้านั่ง เรานั่งสนทนากันครู่หนึ่งก็ออกไปยังภัตตาคารหลังมหาวิทยาลัย
เหตุการณ์เหล่านี้ได้กลับมาสู่สมองข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่นั่งดูเดือนดวงใหญ่บนท้องฟ้าเมืองจีน อยู่ข้างหน้าต่างในห้องพักที่เขาจัดให้นั้น ข้าพเจ้าไม่อยากจะสงสัยอะไรอีกสำหรับดุสิตและจวงฟาง เขามีประวัติแห่งความเป็นเพื่อนกันมานานพอที่จะเข้าใจกันได้และรู้หัวใจกันได้ แต่จางหลินเล่า? ชายผู้นี้ก็เป็นผู้หนึ่งที่ข้าพเจ้าสนใจเป็นพิเศษ ชีวิตของเขาเป็นชีวิตของนักต่อสู้ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ใคร ตราบใดที่เขาเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง แต่ในเกมรักเกมนี้จางหลินจะยอมเป็นฝ่ายปราชัยหรือ? เขาไม่ถูกต้องจนจะต้องยอมแพ้ด้วยมารยาทของนักกีฬาเช่นนั้นหรือ? หรือว่าเขาไม่ต้องการจะเข้าแข่งขันกับคนที่หนุ่มกว่าเขาอย่างดุสิต? หรือว่าเขามีธุระมากจนเกินที่จะเอาเรื่องรักมาเป็นอารมณ์? หรือว่าเขาจะรักจวนฟางอย่างน้องสาว? แต่เหตุการณ์ทุกตอนที่ผ่านมาแล้วระหว่างจางหลินกับจวนฟางได้บอกชัดว่าบุรุษผู้มีลักษณะเข้มแข็งผู้นี้บูชาจวนฟางเหมือนเทพธิดา เขามีเหตุผลและโอกาสอย่างมากพอที่จะเข้าใจจวนฟาง และจวนฟางก็ควรจะเข้าใจเขาได้ ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างจางหลินกับจวนฟางมีอยู่ยืดยาวไม่น้อยกว่าระหว่างหล่อนกับดุสิต ตลอดวันนั้นดุสิตเป็นผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงชีวิตของจวนฟางระหว่างที่เป็นนิสิตาอยู่ในมหาวิทยาลัยเยียนจิง ข้าพเจ้าเดาได้ว่าความสนิทสนมระหว่างคนทั้งสองควรจะมีอยู่มากพอที่จะเกิดเป็นความรู้สึกอย่างอื่นได้ และข้าพเจ้าก็เดาได้อีกว่า ความสนิทสนมระหว่างจวนฟางกับจางหลินก็ควรจะมีอยู่มากพอที่จะเกิดเป็นความรู้สึกอย่างอื่นได้เช่นเดียวกัน เมื่อระลึกถึงความจริงเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็พิศวงงงงวยบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าทั้งสามคนนี้เป็นตัวละครที่มีบทของชีวิตอย่างไรกันแน่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า บทที่ยากที่สุดนั้นควรเป็นบทของจวนฟาง ผู้หญิงที่งามและอ่อนโยนจนเกินที่ผู้ชายคนใดจะไม่รัก
แสงเดือนในฤดูสปริงทำให้ข้าพเจ้าคิดไปไกล จากจวนฟางไปถึงจางหลิน และจากจางหลินไปถึงอุดมคติของเขา ข้าพเจ้าได้ฟังเขาสาธยายประวัติการปฏิวัติของประเทศจีนเป็นเวลากว่าครึ่งวัน คำพูดของเขาทุกคำยังดื่มด่ำอยู่ในความรู้สึกของข้าพเจ้า เขาเป็นนักปฏิวัติผู้หนึ่ง เป็นนักปฏิวัติที่มิได้ร่วมมือกับ ดร. ซุนยัดเซน เพราะขณะนั้นเขายังเป็นเด็กนักเรียน เขาต้องการปฏิวัติประเทศจีนเสียใหม่ เกลียดชังสงครามกลางเมือง เกลียดชังความแหลกเหลวของสังคมบางหมู่ เกลียดชังการบีบรีดกดขี่และการใช้อำนาจของคนหลายคนที่มิได้เป็นไปด้วยความยุติธรรม เกลียดชังความคิดที่วู่วามเพียงห้านาทีแล้วก็ดับมอดไป เกลียดชังความหลงชาติที่เป็นภัยต่อชีวิตของประเทศจีนอย่างยิ่ง เขาต้องการจะเห็นบ้านเกิดที่รักของเขาเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ต้องการจะให้รากฐานของประชาธิปไตยมีความมั่นคงและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศจีน ตั้งแต่ ค.ศ ๑๙๑๑ มิได้เป็นที่ถูกใจเขาเลยแม้แต่น้อย เขามีความเห็นว่าประเทศจีนยังอยู่ห่างไกลกับความสำเร็จอันแท้จริงของการปฏิวัติ แต่เขาก็เห็นใจที่การเปลี่ยนแปลงระบอบของสังคมที่มีอายุหลายพันปีอย่างเมืองจีนเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ในวันเดียว แต่ว่าแม้จะทำไม่ได้ในวันเดียว ก็ต้องลงมือทำต่อไปด้วยความซื่อตรงต่ออุดมคติของตน คืออุดมคติของการปฏิวัติเพื่อประโยชน์ของชาติ–ไม่ใช่อุดมคติของการปฏิวัติเพื่อจะได้ยึดเอาเป็นอาชีพทำการรีดเลือดเนื้อราษฎรต่อไปอย่างในประเทศบางประเทศ จางหลินได้ตั้งอุดมคติไว้สูงสุด เขารู้ว่าในชีวิตของเขาถ้าทำได้เพียงนิดเดียวก็จะเป็นความสุขใจแล้ว ความอลหม่านของชีวิตในแผ่นดินพระเจ้าหวงตี้ มีมากจนเกินที่จะหวังอะไรได้ในชั่วชีวิตของนักปฏิวัติคนหนึ่ง แต่มันก็ต้องทำไป–ทำไปด้วยความสัตย์ซื่อในวิญญาณของ จุนจือ ซึ่งขงจื๊อได้ยกย่องไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
ทั้งหมดนี้–เป็นเพียงอุดมคติที่เกี่ยวเนื่องด้วยปิตุภูมิที่รัก ไกลออกไปจากนี้–ไกลออกไปสุดขอบหล้าฟ้าเขียว จางหลินได้วางแผนการไว้อย่างมั่นคง–คือแผนการที่จะทำให้โลกนี้มีสันติสุข พ้นจากความย่ำยีของอสุรสงคราม ชาติเป็นสิ่งที่เขาเทิดทูน ชาติเป็นอุดมคติที่เขาเชิดไว้เหนือหัวใจ แต่เหนือยิ่งไปกว่าชาติ–เหนือยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ยังมีอีก! นั่นคือ มนุษยชาติ! มนุษยชาติเป็นอุดมคติที่สูงยิ่งกว่าอุดมคติทั้งปวงในสังคมของมนุษย์ ไม่มีอะไรจะสูงและสำคัญกว่านี้อีกแล้ว ในมณฑลของผู้เจริญ จางหลินเชื่อมั่นว่าตราบใดที่ชาติยังอยู่เหนือมนุษยชาติ ตราบนั้นโลกจะมีสันติภาพอันยืนนานไม่ได้เลย ชาติจะทำให้มนุษย์หลงฆ่าฟันกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ชาติจะทำลายชาติ ชาติจะสังหารชีวิตของประชาชาติโดยไม่เลือกเด็กผู้หญิงและคนแก่ ชาติจะทำความวินาศให้แก่โลก ในนาทีสุดท้ายจะไม่มีมนุษย์เหลืออยู่ในโลกนี้แม้แต่คนเดียวก็เพราะชาติ!
“ฉันเชื่อจนกว่าฉันจะตาย ฉันไม่ยอมเปลี่ยนความคิดอันนี้ ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้นฉันจะต่อสู้เพื่อมนุษยชาติ เขาจะหาว่าฉันเป็นบ้าหรือเป็นคนที่ชาติไม่ปรารถนาก็ช่างเขา ฉันทำงานเพื่อคนทุกคนในโลกนี้ ฉันไม่เสียใจถ้าฉันจะต้องเสียชีวิตไป เพราะอุดมคติที่ไม่มีวันเปลี่ยนของฉัน”
ข้าพเจ้านึกไปถึงเสื้อเชิ้ตสีเทา อุดมคติของจางหลินกับอุดมคติของพรรคเชิ้ตสีเทาพรรคนี้ ช่างขาวกับดำอะไรเช่นนั้น
แต่ใครเป็นหัวหน้าพรรคเชิ้ตสีเทาเล่า?