๙
ภายในตึกเจ่เม่โหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องรับแขกห้องนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากลิ่นอายของเมืองจีนได้กระจายไปทุกซอกทุกมุม มันช่างต่างกับตึกเซนต์จอห์นที่เซี่ยงไฮ้–ต่างกับตึกคาเธย์ริมแม่น้ำหวงผู่–ต่างกับตึกจุงซานริมแม่น้ำจูเจียง ตึกเจ่เม่โหลวทั้งข้างนอกข้างในเต็มไปด้วยลวดลายและรูปทรงที่เป็นของจีน เป็นตึกแบบใหม่ที่รักษาวัฒนธรรมจีนไว้ทุกเหลี่ยมทุกด้าน หลังคาลูกฟูกมุงด้วยกระเบื้องสีเขียว ซึ่งดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสีที่คลุมประเทศจีนไว้ ตั้งแต่หลังคาพระราชวังกษัตริย์แมนจูในลุ่มน้ำมังกรดำ ลงมาจนถึงหลังคาโบสถ์ขงจื๊อในลุ่มน้ำไข่มุก ลวดลายที่ชายคาและที่ผนังส่วนบนด้านใน ตลอดจนบนเพดานก็เปล่งปลั่งไปด้วยสีแรง ๆ ซึ่งมีอยู่ตลอดระเบียงเก่าที่ชายเขาหมื่นปีริมทะเลสาบคุนหมิงหู เสากลมสี่เสาในห้องโถงฉาบด้วยสีแดงเลือดนก ซึ่งเป็นสีที่ถือว่าเป็นมงคล ดังจะพบได้ในพระที่นั่งทุกองค์ในพระราชวังหลวง รูปตึกและลวดลายทั้งภายในและภายนอก มีลักษณะคล้ายกับตึกกว๋อลี่เฟ่ผิงถูซูก่วน หรือหอสมุดแห่งชาติซึ่งตั้งอยู่ในนครปักกิ่งริมพระราชวังฤดูหนาว แม้ว่าจะผสมแบบตะวันตกบ้าง เช่นหน้าต่างและประตู แต่ก็ยังอิ่มไปด้วยแบบสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งยังปรากฏรูปอยู่โดยพร้อมมูล ที่เทียนกวน (Temple of Heaven) ที่พระราชวังหลวงในใจกลางนครปักกิ่งตลอดจนที่ว่านโส้วซาน หรือภูเขาหมื่นปีริมทะเลสาบคุนหมิงหู ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องโถงของตึกเจ่เม่โหลวนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเพลิดเพลินเหมือนนั่งอยู่ในความฝันอันสวยงาม–เป็นความฝันที่มีความสงบเงียบร่มเย็นห่างไกลต่อเสียงเอะอะโวยวายของนักการเมือง และเสียงคำรามของปืนใหญ่ในแมนจูเรีย
เรานั่งสนทนากันอีกครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็จะลากลับ ดุสิตสบตาจวนฟางแล้วพูดว่า
“ถ้าไม่มีธุระอะไรผมอยากจะให้อยู่เที่ยวเยียนจิงเสียสักวันหนึ่ง เรามีที่พักอย่างพออยู่กันได้ในหอนักเรียน”
จวนฟางเสริมขึ้นว่า
“จะสนุกไม่น้อย ถ้าเธออยู่กับเรา”
ข้าพเจ้าไม่พยายามปฏิเสธ เพราะอยากจะอยู่ห่างเมืองเสียสักวันหนึ่งเหมือนกัน มหาวิทยาลัยเยียนจิงอยู่ห่างปักกิ่งราว ๘-๙ ไมล์ อากาศดีแวดล้อมไปด้วยภูมิประเทศอันสวยงาม ทางทิศตะวันตกแลเห็นพืดเขาเซียงซาน ซีซาน ตลอดจนยู่ฉวนซานและว่านโส้วซานได้ถนัด
“ขอบใจเธอ ฉันตกลงใจไม่ยากนักในเรื่องเช่นนี้ ถ้าเธอสะดวกพอ”
“เราไม่มีอะไรที่ไม่สะดวก” จวนฟางพูดอย่างมั่นใจ
ดุสิตชวนเราให้ออกไปรับประทานอาหารเช้ากันที่โรงเตี๊ยมหลังมหาวิทยาลัย เขาพูดว่า
“ผมเชื่อว่าคุณคงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เพราะคงจะมาบัสคันแรก อาหารที่หอพักมีไม่กี่อย่าง เราไปที่ฟ่านก่วนหลังมหาวิทยาลัยกันดีกว่า”
ข้าพเจ้าไม่คัดค้าน เราทั้งสามออกจากตึกเจ่เม่โหลว (Sister Halls) เดินไปตามถนนโรยกรวดสีเหลือง สองข้างเต็มไปด้วยรุกขชาติที่กำลังจะเริ่มแตกใบ ต้นหลิวสยายกิ่งเฟื้อยอยู่ในสายลมกำลังขึ้นปุ่มเขียวตามกิ่งน้อยใหญ่ เตรียมพร้อมจะแตกใบอ่อนรับหน้าชุนเทียน เราผ่านเนินดินที่สร้างขึ้นพิเศษ ประดังด้วยโขดหินและพฤกษชาติ ที่ยอดเนินมีเก๋งใหญ่อยู่เก๋งหนึ่ง มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือรับแสงแดดอันอบอุ่นในตอนเช้าอยู่อย่างเพลิดเพลิน ข้างๆ เก๋งนี้มีต้นสนขึ้นอยู่สองสามต้น ปุ่มหินรุกขชาติที่กิ่งก้านกำลังจะผลิใบอ่อน เก๋ง คนอ่านหนังสือ ท้องฟ้าอันโปร่งในตอนเช้า ความเงียบสงบที่แวดล้อมอยู่โดยรอบเหล่านี้ ชวนใจให้ข้าพเจ้านึกไปถึงภาพอันมีชื่อเสียงของบุรพาจารย์กลุ่มเป่จงหลี่ซื่อซุ่น และบุรพาจารย์กลุ่มหนานจงคือหวางเหวย (หมิวจี่) ในแผ่นดินถัง (พ.ศ. ๑๑๖๓-๑๔๕๐) ซึ่งเป็นภาพแบบของซานส่วน มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในวงจิตรกรรมของจีนทุกสมัย หัวใจของภาพแบบซานส่วน ก็คือความสงบร่มเย็นแวดล้อมไปด้วยรุกขชาติและวิหคประจำฤดู น้ำ ฟ้า ภูเขา เป็นฉากสำคัญที่เสริมให้เกิดความสงัด ตรึงใจผู้ดูให้อยู่ในความวิเวก ภาพเนินดินและเก๋งตลอดจนภาพนักศึกษาผู้มีดวงหน้าอันงามนั่งสงบอยู่คนเดียวที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าในขณะนั้น ทำให้ข้าพเจ้าอดที่จะคิดไม่ได้ว่า ความสงบเงียบเช่นนี้ช่างเต็มไปด้วยศิลปะเสียนี่กระไร หลีซือซุ่นและหวางเหวยคงจะได้เห็นและได้คิดถึงความสงบอันเป็นที่เกิดของความงามที่ยากจะเปรียบได้นี้ด้วยความอิ่มเอม จนต้องระบายอารมณ์ออกมาด้วยพู่กันและสี ข้าพเจ้าคิดว่าความสงบคือความงามชนิดหนึ่ง งามอย่างซาบซึ้งตรึงใจ งามอย่างไม่มีวันเจื่อนจาง ความคิดของข้าพเจ้าแล่นไปไกล ความสงบหรือสันติภาพเป็นความงามแท้–งามอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่อนิจจา–บัดนี้ความงามนั้นกำลังจะสิ้นสูญไปทีละน้อย ศิลปะของชีวิตอันสงบในท่ามกลางเสียงนกร้องเพลงยามชุนเทียน แวดล้อมไปด้วยดอกเถาและดอกซิงกำลังจะถูกทำลายให้วอดวายไป เพราะความทะเยอทะยานของนักการเมืองผู้ต้องการจะสร้างอนุสาวรีย์ของดันไว้ในประวัติศาสตร์ นักการเมืองเหล่านี้–ชนิดนี้–กำลังผุดขึ้นในประเทศต่าง ๆ เหมือนดอกเห็ด เขาจะตะโกนบอกราษฎรว่า เขาจะนำประเทศของเขาไปสู่ความเป็นมหาอำนาจ เขาสัญญาว่า เขาจะยอมตายเพื่อประเทศชาติ เขาปลุกใจพลเมืองว่าทุกคนจะต้องจับอาวุธขึ้นสู้ศัตรูเพื่อ “ความยุติธรรม” ที่ชาติของเขาควรจะได้ เขาเป็นนักพูด ถ้อยคำของเขาหวานจับใจ ราษฎรส่วนใหญ่มองดูเขาเหมือนมองดูพระเจ้าบนสวรรค์ซึ่งกำลังลงมาโปรดสัตว์ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ การนองเลือดที่เกือบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ความสงบและความงามอันเป็นศิลปะถูกกวาดล้างไปสิ้นด้วยอำนาจดาบและปืน นั่นคือความทะเยอทะยานของท่านผู้เจริญ นั่นคือการสร้างอนุสาวรีย์ของท่านนักการเมืองผู้ไม่ต้องการจะเอาภาพของสันติขึ้นคันชั่งกับความทะเยอทะยานที่หาขอบเขตไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดถึงวันที่จะผ่านมาอีกแล้วก็ขนลุกขนพอง ญี่ปุ่นยึดแมนจูเรียแล้วสันนิบาตชาติกำลังปล่อยมือ Collective Security ที่พูดกันไว้ไม่มีผลอะไรเลย ฮิตเล่อร์ในยุโรปและซามูไรในเอเชียกำลังจะทำให้โลกอันสวยงามของมนุษยชาติจมดิ่งลงไปในทะเลเลือด—
เราผ่านข้างตึกเสิ้งเหรินโหลว (Sage Hall) ซึ่งเป็นหอสวดมนต์ของบรรดานิสิตนิสิตาผู้เคร่งศาสนาคริสต์ จวนฟางบอกข้าพเจ้าว่ามหาวิทยาลัยเยียนจิงนี้ตั้งขึ้นโดยทุนองค์การศาสนาอเมริกัน มี Dr. J. Leighton Stuart, D.D. เป็นประมุข ประวัติของมหาวิทยาลัยนี้เป็นประวัติยืดยาวกินเวลาเกือบ ๔๐ ปี ที่น่าสังเกตก็คือกำเนิดของเยียนจิงเป็นกำเนิดที่ผ่านการต่อสู้มาด้วยความทรหด–เป็นการต่อสู้ทางฝ่ายนักการศึกษาผู้เป็นราษฎร–เป็นการต่อสู้ของฝ่ายประชาชนผู้เล็งเห็นว่าจำเป็นจะต้องสร้างโรงเรียน สร้างองค์การศึกษาเพื่อช่วยให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า และที่น่าสังเกตยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ผู้ร่วมการต่อสู้เพื่อความก้าวหน้าของการศึกษาแห่งประชาชาติจีนนี้ มิได้เป็นคนจีนล้วน ๆ แต่หากเป็นชาวต่างประเทศด้วย เช่น Dr. J. Leighton Stuart, D.D. เป็นต้น ชาวอเมริกันผู้นี้เป็นนักการศึกษา ฝ่ายมิชขันนารีผู้ต้องการจะปฏิวัติโลกด้วยการศึกษา ต้องการจะเห็นโลกนี้สวยงามบริสุทธิ์ ห่างไกลต่อความโสมมทั้งปวงที่มนุษย์ได้ประพฤติต่อกัน Dr. Stuart เป็นนักบุญคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ายกย่อง ชายผู้นี้เกิดในประเทศจีน มีความเข้าใจเมืองจีนเป็นอย่างดียิ่ง เขามองเห็นถนัดว่าเมืองจีนจะเอาตัวรอดได้ก็เพราะการศึกษา เมืองจีนที่อลหม่านอยู่ด้วยสงครามและความคิดเห็นที่ลงรอยกันไม่ได้—เมืองจีนที่เป็นยักษ์ใหญ่ซึ่งหลับมานานและกำลังจะตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง—เมืองจีนที่ท่านเจียงไคเช็คเคยพูดว่า เป็นประเทศโบราณเก่าแก่จนเกินที่จะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่มีการฉีดยาอย่างแรง นั่นคือการทนทุกข์ทรมานเพราะเลือดและน้ำตา Dr. Stuart มีอุดมคติอันสูงส่งที่จะช่วยทำการปฏิวัติประเทศจีนให้เป็นจีนใหม่ ด้วยการส่งเสริมการศึกษา การศึกษาที่ถูกทางเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้มนุษย์วิ่งหนีพ้นไปจากภาวะของความเป็นสัตว์ต่ำ การศึกษาที่มีอุดมคติของมนุษยชาติ เป็นเครื่องมืออันเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้โลกนี้มีสงครามน้อยลง ในเมืองจีนมีนักอุดมคติหลายอย่างต่างชนิด ผู้ต้องการจะสร้างจีนใหม่ให้รุ่งเรืองก้าวหน้าเท่าเทียมฝรั่ง บางคนต้องการสร้างชาติด้วยการทหาร บางคนต้องการสร้างชาติด้วยการอุตสาหกรรม บางคนต้องการสร้างชาติด้วยการศึกษา อุดมคติของแต่ละฝ่ายต่างก็มีความถูกต้องมากบ้างน้อยบ้าง แต่หลายคนเห็นว่า การสร้างชาตินั้นเราต้องคิดสร้างคนและต้องไม่ใช่สร้างคนให้รักชาติ แต่ต้องสร้าง คนดี ขึ้นมาทำงานให้แก่ชาติ ชาติใดคนดีน้อย ชาตินั้นเจริญช้า ชาติใดคนดีมาก ชาตินั้นเจริญเร็ว ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยและเลยคิดไปอีกไกล ข้าพเจ้าคิดไปถึงเมืองไทยที่เป็นบ้านเกิด เมืองไทยเป็นเมืองเล็ก มีประวัติของความเป็นปึกแผ่นเพียงหกร้อยกว่าปี แด่เมืองไทยก็ครองความเป็นเอกราชมาได้อย่างนุ่มนวลตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ คนไทยหลายคนบอกว่ามีความประหลาดใจที่เรารอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของความฟลุกหรือบังเอิญก็ตามเถิด เมืองไทยก็ยังเป็นเมืองไทยอยู่ และข้าพเจ้าก็ยังพอใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ข้าพเจ้านั่งดูเมืองไทยด้วยความภาคภูมิใจ ข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๔๐ ปี เพิ่งจะถึงครึ่งคน แต่ข้าพเจ้าก็ได้ผ่านเมืองไทยมาหลายสมัย ข้าพเจ้าได้เห็นเมืองไทยในสมัยผ้าม่วง เห็นเมืองไทยในสมัยเนกไท และสมัยที่หมวกสำคัญกว่าการศึกษา เห็นเมืองไทยที่ทะเยอทะยานจะสร้างโรงงานมากกว่าสร้างโรงเรียน เห็นเมืองไทยที่ต้องการจะยกย่องผู้หญิงไม่กี่คนด้วยการตั้งกองทหารหญิง เห็นเมืองไทยที่เอาวิทยุของชาติเป็นเครื่องมือโฆษณาเพื่อประโยชน์ของผู้ครองอำนาจ เห็นเมืองไทยที่เต็มไปด้วยการ “เซ็งลี้” โดยไม่เลือกประเภทของบุคคล เห็นเมืองไทยที่หลายคนคุยว่ากรุงศรีอยุธยานั้นไม่สิ้นคนดีดอก! ข้าพเจ้างงงันและไม่เข้าใจเมื่อพูดถึงคนดี ข้าพเจ้าอยากจะถามว่าเราพอใจกันแล้วหรือที่กรุงศรีอยุธยามีคนดีเพียงคนหนึ่งสองคน? ชาติไทยจะรุ่งเรืองและจะรอดตัวได้เพราะคนดีเพียงคนสองคนเท่านั้นหรือ? เราไม่ต้องการคนดีมากกว่านั้นอีกหรือ? เราได้ทำทุกอย่างแล้วหรือที่จะส่งเสริมการศึกษา ที่ถูกทาง เพื่อให้ได้คนดีมาช่วยกันสร้างชาติ? ข้าพเจ้าคิด–คิด–คิด แต่ในที่สุดดูเหมือนข้าพเจ้าได้กลายเป็นคนบ้าไปแล้ว
ข้าพเจ้ายกย่อง Dr. Stuart เพราะท่านผู้นี้มีวิญญาณของนักบุญ ท่านผู้นี้ต้องการให้มีความสุขความสงบอยู่ในโลกอย่างบริสุทธิ์ใจ และวิธีของท่านก็คือการให้การศึกษาที่ถูกทาง แต่มันช่วยไม่ได้ที่นักศึกษาของท่านบางคน ทั้งที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเยียนจิง และที่เรียนสำเร็จไปเป็นคนใหญ่คนโตอยู่ทั่วประเทศจีน ได้มีความคิดและการกระทำที่บังเอิญเป็นไปอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าความคิดและการกระทำนั้นเป็นเรื่องของส่วนรวมโดยแทห้ มิได้มีประโยชน์ส่วนตัวมาข้องเกี่ยว ก็ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ