๒๓
ที่ตึกประชุมหรือออดิทอเรียม มีต้นวิลโลว์สยายกิ่งล้อมอยู่โดยรอบ บนบันไดหินอ่อนซึ่งกว้างราว ๑๐ เมตร จางเซียนเซิงกับหลี่เซียนเซิงกำลังยืนคุยอยู่กับลูกศิษย์ ๓ คนซึ่งเป็นหมอสอนศาสนา เพิ่งจะมาถึงปักกิ่งได้เพียงสัปดาห์เดียว ฝรั่งทั้งสามเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนหวาเหวิน หรือ College of Chinese Studies เคยเรียนกับอาจารย์จางและอาจารย์หลี่ เมื่อสมัยจางโซหลินยกทัพลงมาครองปักกิ่งประมาณ ๖-๗ ปีก่อน คือยุคที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นมัธยมแปดโรงเรียนเทพศิรินทร์ ชาวต่างประเทศทั้งสามคนนี้เป็นชาวนอร์เวย์ เคยบุกเมืองจีนอย่างโชกโชนสมัยสงครามกลางเมือง มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับชีวิตในเมืองจีน จางเซียนเสิงแนะนำให้บัวกับข้าพเจ้ารู้จักกับบุคคลทั้งสาม แล้วเราก็ชวนกันเดินเข้าไปในห้องประชุมซึ่งมีคนนั่งรอฟังปาฐกถาอยู่จนแทบจะไม่มีที่ว่าง เราทั้งเจ็ดต้องแยกกันนั่งเท่าที่จะหาเก้าอี้ว่างได้ ข้าพเจ้านั่งอยู่กับโอลาฟหมอสอนศาสนาคนหนึ่งในสามซึ่งพูดภาษาปักกิ่งได้ดี แต่เราใช้ภาษาอังกฤษสนทนากัน เรามีเวลาคุยกันราว ๑๐ นาที ก่อนที่ ดร. เลี่ยวถิงไข่จะขึ้นเวที
โอลาฟกับข้าพเจ้าสนิทกันอย่างรวดเร็ว เพราะเราต่างเป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา โอลาฟเล่าเรื่องเมืองจีนชั้นในที่เขาบุกมาให้ข้าพเจ้าฟัง เมื่อเขารู้ว่าข้าพเจ้ามาศึกษาชีวิตของชาวจีน เขาบอกว่าเมืองจีนไม่มีศาสนามานานแล้ว ศาสนาพุทธเสื่อมลงจนกลายเป็นลัทธิธรรมเนียมเช่นเดียวกับที่ลัทธิขงจื๊อได้เป็นอยู่ เวลานี้ชาวจีนอยู่ได้ด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีที่กลายเป็นวัฒนธรรมทางใจ ศาสนาคริสเตียนเพิ่งจะเริ่มขยายตัวเมื่อหลังสงครามฝิ่น คือ ค.ศ. ๑๘๔๒ เวลานี้เขาคะเนว่ามีชาวจีนที่โน้มเอียงเข้าหาศาสนาคริสเตียนกำลังขยายตัวอย่างกว้างขวางมาก สักวันหนึ่งอาจกลายเป็นศาสนาของชนชาติจีนก็ได้
ขณะที่เราสนทนากัน ข้าพเจ้าก็เหลือบเห็นบุรุษผู้มีผมยาวไว้เครารุงรังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวถัดไปข้างหน้าสองแถว บุรุษผู้นี้คือหลูกวง
ข้าพเจ้ากระซิบกับโอลาฟว่า
“คุณรู้ไหมว่าคอมมิวนิสต์ก็มาฟัง ดร. เลี่ยวพูดด้วย”
“คอมมิวนิสต์” โอลาฟทำหน้าตื่น “ไหน–อยู่ที่ไหน?”
“คนนั่งตรงสองแถวหน้านั้นยังไง ไว้ผมยาวมีหนวดรุงรัง”
โอลาฟกวาดตามองดู เมื่อพบเป้าที่ข้าพเจ้าบอกให้ดู ก็หยุดจ้องอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง
“คุณรู้จักหรือ?”
“รู้จัก ชื่อหลูกวง เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเยียนจิง”
บุรุษชาวนอร์เวย์พยักหน้าแล้วยิ้ม
“พวกนักศึกษากลายเป็นพวกซ้ายมากขึ้นทุกวัน ผมเป็นห่วงเมืองจีน สักวันหนึ่งจะไม่พ้นมือพวกคอมมิวนิสต์”
“ก็น่าคิด คอมมิวนิสต์กำลังเกิดในโรงเรียนเกือบทุกแห่ง หนังสือของมาร์กซ์มีคนแปลออกมามากมาย ขายกันเกลื่อนอยู่ตามตลาด รัฐบาลไม่เห็นห้าม”
“ในเมืองจีนเขาให้เสรีภาพแก่หนังสือทางวิชาการอย่างกว้างขวาง ตำราต่างประเทศมีคนแปลออกเป็นภาษาจีนทุกวันจนล้นตลาด หนังสือของมาร์กซ์เขาถือเป็นวิชาการสาขาหนึ่ง เป็นได้ทั้งเศรษฐศาสตร์และปรัชญา นอกจากนี้พวกซ้ายก็ยังเขียนหนังสือสนับสนุนมาร์กซ์ออกมาเรื่อย ๆ จนอ่านกันไม่หวาดไหว ผมก็ชอบอ่าน”
“คุณคงอ่านภาษาจีนได้ดี” ข้าพเจ้าถาม
โอลาฟยกไหล่น้อย ๆ
“ก็พออ่านออก ผมเรียนมา ๕ ปี ภาษาป๋ายหว้าอ่านง่าย พวกวรรณคดีกวู่เหวินผมยังอ่านไม่รู้เรื่อง”
คุยมาถึงตรงนี้ ดร. เผิงก็ก้าวขึ้นไปบนเวที แล้วกล่าวนำ ดร. เลี่ยวถิงไข่ซึ่งเกือบทุกคนรู้จักดี แล้วหลังจากนั้น ดร. เลี่ยวก็ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นสำหรับองค์ปาฐก ท่ามกลางเสียงตบมือ แล้วก็เริ่มปาฐกถาของเขา
ผู้ฟังทุกคนเงียบกริบ ทุกคนสนใจต่อคำพูดของ ดร เลี่ยวทุกคำ ท่านผู้เชี่ยวชาญการเมืองระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ได้เท้าความไปถึงสัมพันธภาพระหว่างทั้งสองประเทศตั้งแต่ยุคกบฏบ็อกเซอร์ จนกระทั่งยุคปัจจุบัน ต่อจากนั้นก็หันมาพูดถึงแมนจูเรีย ซึ่งญี่ปุ่นได้พยายามรุกเข้ามาทีละก้าว จนถึงวาระสุดท้ายของจางโซหลินขุนพลแห่งมุกเด็น ความตายของจางโซหลินกลายเป็นคดีลึกลับ คนเป็นอันมากเชื่อว่าญี่ปุ่นวางแผนฆ่า เพราะต้องการจะทำลายอำนาจของจางโซหลินในแมนจูเรียเสีย เพื่อตนจะได้เข้ายึดครองได้สะดวกขึ้น แล้วต่อจากนั้นก็จะได้แผ่อิทธิพลเข้าสู่จีนเหนือและจีนกลาง ตลอดจนจีนใต้ตามแผนทานากา ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่นานแล้ว ญี่ปุ่นไม่ห่วงจางโซเหลียงทายาทของจางโซหลิน เพราะจางโซเหลียงเป็นคนไม่เข้มแข็งเหมือนพ่อ แม้จะรับมรดกตกทอดเป็น “กษัตริย์ที่ไร้มงกุฎ” แห่งแมนจูเรีย ก็ไม่มีความหมายอะไร และอีกประการหนึ่งพวกนายพลของจางโซหลินก็กำลังคิดกบฏต่อจางโซเหลียงอยู่หลายคน ต่างคนต่างแย่งกันเป็นใหญ่ แตกแยกสามัคคีกันเอง จึงเป็นที่สมใจของฝ่ายญี่ปุ่นมาก
ดร. เลี่ยวได้สรุปท้ายว่า จีนจะหนีญี่ปุ่นไม่พ้นแน่นอน สงครามนาซีซึ่งเกือบทุกประเทศในยุโรปก็คงจะหนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน คงจะเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นบุกจีนได้ในวันหนึ่งข้างหน้า มันจะเป็นศึกครั้งใหญ่ยิ่งในชีวิตของชนชาติจีน ดร. เลี่ยวแสดงความเชื่อมั่นว่าจีนจะไม่แพ้ญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่ต้องเสียหายอย่างย่อยยับ ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายปราชัยในนาทีสุดท้าย เพราะจีนใหญ่เกินไปที่ญี่ปุ่นจะกลืนเข้าไปได้ แต่จีนจะไม่หมดเคราะห์กรรม เพราะความเสียหายอย่างยับเยินจะทำให้รัฐบาลจีนหมดกำลังที่จะต่อต้านกองทัพของเมาเซตุงได้ต่อไป ดร. เลี่ยวเห็นว่า ถ้าต่างชาติฝ่ายโลกเสรีพากันวางมือ ไม่ช่วยรัฐบาลนานกิงซึ่งมีเจียงไคเช็กเป็นประมุข คอมมิวนิสต์อาจครองเมืองจีนก็ได้ แล้วการเมืองในตะวันออกตลอดจนในโลก ก็อาจจะต้องเปลี่ยนโฉมหน้าไป ซึ่งยังไม่มีใครกล้าพยากรณ์ได้เลย
เมื่อ ดร. เลี่ยวถิงไข่จบปาฐกถาลง ก็มีเสียงตบมือแสดงความพอใจ แต่เป็นเสียงตบที่ค่อนข้างซึมเซาและเศร้าหมอง ไม่มีใครยิ้ม เกือบทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะดูเหมือนจะเข้าใจดีว่าวิกฤติกาลของบ้านเมืองได้ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
มันอาจเป็นการบังเอิญอย่างที่คาดไม่ถึงก็ได้ ที่หลูกวงได้เดินแซงเราลงบันไดออดิทอเรียมไป ข้าพเจ้าสะกิดโอลาฟ เขากระซิบเบาๆ ขอให้ข้าพเจ้าแนะนำ ข้าพเจ้ารู้จักหลูกวงเพราะเจียงเหมยเคยแนะนำ จึงรีบกระตุกแขนเสื้อต้ายาวของเขา แล้วก็แนะนำให้รู้จักโอลาฟ หลูกวงมีสีหน้าประหลาดใจ ไม่ยิ้ม เพราะโดยปกติเขาไม่ใช่คนยิ้มง่าย โอลาฟยื่นมือให้จับแนะนำตัวเองเพิ่มเติมอย่างยืดยาว หลูกวงยืนฟังอย่างสงบ ไม่มีปฏิกิริยาอย่างใดทั้งสิ้น เขาวางตัวเหมือนเสาหินที่ไม่มีความรู้สึก โอลาฟทำท่าจะเก้อไปเอง ข้าพเจ้าจึงรีบพูดแซงขึ้นว่า
“เราไปกินน้ำชากันไม่ดีหรือ ตึกอาหารอยู่แค่นี้เอง”
ไม่มีใครปฏิเสธ ข้าพเจ้าจึงนำคนทั้งสองไปที่ตึกอาหารซึ่งอยู่ห่างจากออดิทอเรียมประมาณ ๓๐ เมตร เราเลือกโต๊ะเล็กที่เฉลียงด้านหน้าเพราะกำลังว่างคน
ข้าพเจ้าสั่งน้ำชามาสามที่ โอลาฟทำหน้าที่พูดต่อไป เขาสนใจหลูกวงมาก เขาเชื่อข้าพเจ้าอย่างสนิทว่าหลูกวงเป็นคอมมิวนิสต์
เราใช้ภาษาจีนปนอังกฤษสนทนากัน หลูกวงใช้ภาษาจีนเหนือเป็นส่วนมากเขาไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษทั้ง ๆ ที่เขาก็พูดได้บ้าง
ตอนหนึ่งโอลาฟถามว่า “คุณมีความเห็นอย่างไรบ้าง ปาฐกถาของ ดร. เลี่ยวเมื่อกี้?”
“ผมเห็นว่า ดร. เลี่ยวพูดถูกทุกคำ”
“ถูกยังไง?”
“คอมมิวนิสต์จะครองเมืองจีน เราจะมีชีวิตใหม่”
“คุณคงต้องการให้ญี่ปุ่นบุกเมืองจีน ?” โอลาฟถามต่อไป
“มันเป็นโอกาสที่จะทำให้เหมาจู่สี
“ก็แปลว่าคุณชอบให้เกิดสงครามญี่ปุ่นกับจีน?” โอลาฟจ้องตาหลูกวงเขม็ง
“ผมเกลียดญี่ปุ่น ผมเกลียดอิมพีเรียลิสต์ทุกชาติ” เสียงของหลูกวงเคร่งเครียด
“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามของผม คุณต้องการให้เกิดสงครามญี่ปุ่นกับจีนใช่ไหม?”
หลูกวงนิ่งอึ้งไปสักครู่ เขาจิบน้ำชาเพื่อฆ่าเวลา
“ผมเชื่อว่ากองทัพเหมาจู่สีจะต้องรบญี่ปุ่นแน่นอน นั่นจะเป็นโอกาสให้ขุดรากรัฐบาลนานกิงทิ้งได้สำเร็จเมื่อญี่ปุ่นแพ้ ผมว่า ดร. เลี่ยวพูดความจริง ถ้าไม่เชื่อคุณก็คอยดูต่อไป”
โอลาฟนิ่งคล้ายกับจะจนมุม เพราะหลูกวงไม่ยอมตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา เขาเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อจะหาความรู้จากหนุ่มใจฉกรรจ์ผู้นี้ต่อไปอีก
“คุณเชื่อหรือว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะทำให้มนุษย์มีความสุขได้?”
หลูกวงยิ้มที่มุมปากเป็นครั้งแรก
“คุณไม่เชื่อใช่ไหม?” เขาย้อนถาม
โอลาฟยิ้มแทนคำตอบ เขานิ่งคิดสักประเดี๋ยวก็ตอบว่า
“ผมไม่อยากพูดว่าผมไม่เชื่อ” เขาพูดอย่างระมัดระวัง “แต่ผมคิดว่าคอมมิวนิสต์จะแก้ปัญหาเรื่องธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ได้”
“ยังไง?” หลูกวงมองหน้านักการศาสนาชาวนอร์เวย์ด้วยแววตาอันคมกริบ
“ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ชอบการบังคับ” โอลาฟตอบสั้นๆ
“แต่ทุกวันนี้เราก็อยู่กันด้วยการบังคับ” หลูกวงพูดอย่างหนักแน่น “การปกครองต้องมีกฎหมายบังคับเพื่อให้สังคมสงบและมีความเป็นธรรม การปกครองฉันใด การเศรษฐกิจก็ฉันนั้นมนุษย์จะอยู่กันอย่างสงบไม่ได้ ถ้าไม่มีการบังคับ มนุษย์ยิ่งเกิดมาก การเอาเปรียบกัน กดขี่กันสารพัด โลกมันก็สงบไม่ได้ คุณไม่คิดบ้างหรือว่า ตลอดหลายพันปีมานี้ เราแย่งกันกินแย่งกันอยู่เรื่อยมา หาความสงบสุขไม่ได้เลย นั่นก็เพราะเราปล่อยให้ทุกคนทำตามความพอใจ มือใครยาวสาวได้สาวเอา พวกมือสั้นก็อดอยากยากจน คุณคิดว่าระบอบเช่นนี้เป็นธรรมหรือ?”
โอลาฟหัวเราะ คล้ายกับจะพยายามกลบเกลื่อนความรุนแรงของคำพูดคอมมิวนิสต์หนุ่ม เขาพยักหน้าคล้ายกับเห็นด้วย แต่แล้วก็ถามว่า
“คุณคิดว่าคอมมิวนิสต์เป็นทางออกทางเดียวใช่ไหม?”
“คุณคิดว่ามีทางอื่นหรือ?”
“ผมคิดว่ามี” เป็นคำตอบที่มั่นคง
“ผมอยากฟัง” หลูกวงจ้องตาบุรุษนักสอนคศาสนาชาวนอร์เวย์
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นโอลาฟขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด สักประเดี๋ยวเขาก็พูดว่า
“ผมเข้าใจดีเรื่องความไม่เป็นธรรมข้องสังคม แต่ผมคิดว่าเราควรจะจัดระเบียบสังคมเสียใหม่ โดยวิธีที่เป็นประชาธิปไตย”
“คอมมิวนิสต์ก็เป็นประชาธิปไดย” หลูกวงสวนขึ้นมาทันที “เราถือว่าประชาชนเป็นใหญ่ เราทำงานเพื่อยกฐานะของประชาชนให้ดีขึ้น แล้วก็–เราต้องการกวาดล้างการเอาเปรียบกดขี่ทุกชนิดที่มีอยู่ในสังคมให้หมดไป”
“โดยทฤษฎีผมไม่มีอะไรจะขัดแย้งกับคุณ ผมอยู่เมืองจีนมานาน ผมเข้าใจดีว่าคนจีนถูกกดขี่เอาเปรียบอย่างไร” โอลาฟพูดช้าๆ “แต่ว่าผมยังสงสัยเรื่องวิธีการ ผมไม่แน่ใจว่าถ้าใช้วิธีการคอมมิวนิสต์ ชาวจีนจะไม่มีเสรีภาพ แล้วชาวจีนก็จะไม่ได้เป็นใหญ่ คนกลุ่มเดียวเท่านั้นจะมีเสรีภาพและเป็นใหญ่”
หลูกวงมีแววตาแสดงความไม่พอใจ
“คุณไม่เข้าใจ การสร้างสังคมใหม่เราต้องมีผู้นำ เราต้องให้คนกลุ่มน้อยนำคนกลุ่มใหญ่ เราต้องมีการบังคับอย่างเฉียบขาด มิฉะนั้นเราก็สร้างสังคมใหม่ไม่สำเร็จ”
โอลาฟยิ้มคล้ายกับจะพยายามลดความไม่พอใจของหลูกวงลง
“การบังคับอย่างเฉียบขาดเป็นการขัดต่อธรรมชาติของชีวิตจิตใจ ผมว่าจะพบความสำเร็จได้ยาก เราควรจะค้นหาวิธีอื่นมาแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมของสังคม โดยไม่ต้องเอาเสรีภาพไปบูชายัญ ผมว่าโลกจะสันติก็เพราะมนุษย์มีเสรีภาพ ไม่มีชีวิตอยู่ในโซ่ตรวน”
“คุณมองชีวิตแบบนายทุน ผมว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก” หลูกวงพูดอย่างโมโห
โอลาฟหัวเราะอย่างใจเย็น สีหน้าของเขาชื่นบานคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะนั้นพอดีจางหลินกับทามูราเดินผ่านมาตามถนนซีเมนต์ ห่างจากตึกอาหารประมาณ ๑๐ เมตร ข้าพเจ้าชี้ให้โอลาฟดู
“ผมเคยรู้จักจางหลิน” นักการศาสนาชาวนอร์เวย์พูดพลางตาจับอยู่ที่ร่างของคนทั้งสอง “สมัยนี้ผมไม่ค่อยเห็นคนจีนกับคนญี่ปุ่นเดินด้วยกัน”
ข้าพเจ้านิ่งคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็พูดว่า
“จางหลินเขาไม่คิดว่าคนญี่ปุ่นทุกคนจะเห็นด้วยกับแผนการของทานากา เขาเชื่อความรู้สึกผิดชอบของมนุษย์ เขายังเชื่อไกลออกไปอีกว่า โลกจะต้องมีแนวราษฎรขึ้นสักวันหนึ่ง ที่ยืนขึ้นพร้อมกันทุกชาติเพื่อคัดค้านสงครามและทำความเข้าใจกัน ร่วมมือกัน เพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เขาเชื่อว่ารัฐบาลเป็นผู้ก่อสงคราม ราษฎรต้องฆ่าฟันกันโดยไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย ก็เพราะรัฐบาลบังคับให้รบกัน ไม่ใช่ว่าราษฎรอยากรบ จางหลินเชื่อว่าโลกจะสงบก็เพราะทุกชาติตั้งแนวราษฎรขึ้น ผมเคยพบทามูรา เขามีแนวคิดเช่นเดียวกับจางหลิน เขาไม่ใช่ซามูไรที่คลั่งเลือด”
“ไม่จริง” หลูกวงพูดเสียงดังจนข้าพเจ้าตกใจ “ญี่ปุ่นทุกคนคลั่งเลือดทั้งนั้น มันต้องการจะครองโลกอย่างฮิตเลอร์ เวลานี้มันก็อมแมนจูเรียเข้าไปเกือบหมดแล้ว”
เรานิ่งเงียบ โอลาฟดูเหมือนจะแปลกใจที่หลูกวงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรงชนิดคาดไม่ถึง ข้าพเจ้าเปลี่ยนเรื่องพูด โอลาฟเล่าเรื่องพระอาทิตย์ขึ้นเที่ยงคืนในนอร์เวย์ สักครู่เราก็แยกกันกลับโดยไม่มีการนัดหมายว่าจะพบกันอีก
-
๑. เหมาจู่สี คือ ประธานเมา ↩