๒๔
ข้าพเจ้าพบบัวที่ออฟฟิศมิสปอปอฟ โรงเรียนหวาเหวินในวันรุ่งขึ้น เขากำลังเซ็นรับหนังสือราชการที่ส่งมาจากสถานบูดไทยในโตเกียว ในซองนั้นคือดราฟต์ซึ่งเป็นค่าเรียนค่ากินอยู่ของเขา ส่งจากกรุงเทพฯ ผ่านสถานทูตไทยในโตเกียวมา เพราะในปักกิ่งไม่มีสถานทูตไทย เนื่องจากจีนกับไทยขณะนั้นยังไม่มีสัมพันธไมตรีทางทูตกัน บัวเป็นนักเรียนกระทรวงธรรมการ เรียกว่านักเรียนทุนรัฐบาล เป็นคนโชคดี และเป็นคนคล่องงานมาก จนได้รับเลือกให้ไปศึกษาอยู่ในญี่ปุ่น แล้วย้ายไปเรียนอยู่ปักกิ่ง เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าย้ายบ้านไปจากฮ่องกง บัวไปถึงปักกิ่งก่อนข้าพเจ้าไม่กี่สัปดาห์ เขาเป็นคนคุยสนุก เราเคยรู้จักกันมาก่อนตั้งแต่อยู่เมืองไทย เขาเป็นคนมีประสบการณ์ในชีวิตมากกว่าข้าพเจ้า เพราะระหว่างรับราชการอยู่กระทรวงธรรมการหน้าวัดเลียบ เขาเป็นหัวหน้าคณะหมวกทรงมะนาวตัด เป็นนักท่องราตรี มีความรู้เรื่อง “อีปิ้ด” อย่างกว้างขวาง
บัวชวนข้าพเจ้าไปกินอาหารรัสเซียเพื่อฉลองการรับ “ซอง” ที่เขาได้รับจากสถานทูตไทยในโตเกียว เขาพูดถึง “ตาพัว” พ่อครัวไทยมือเอกของสถานทูตไทย ซึ่งพาเขาตระเวนโตเกียวแทบทุกคืน และเพราะ “ตาพัว” คนนี้ เขาก็ได้พบดอกซากุระดอกงามที่เขาพอใจมาก.“ผมเห็นจะลืมผู้หญิงคนนี้ไม่ลง เขารักผมมาก รู้จักเอาใจทุกอย่าง ผมชัดจะเชื่อว่าผู้หญิงญี่ปุ่นปรนนิบัติเก่งกว่าผู้หญิงไทยเยอะแยะทีเดียว”
“แปลว่าคุณจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงไทย?” ข้าพเจ้าถาม
“ผมยังไม่เคยพบผู้หญิงไทยที่ถูกใจเลย” บัวตอบพลางรินวอดก้าให้ข้าพเจ้า
“คุณก็เป็นหัวหน้าคณะหมวกทรงมะนาวตัด คุณควรจะได้พบมาบ้าง” ข้าพเจ้าพูดยิ้มๆ
“ผมเที่ยวมามาก นี่ไม่หมายถึงพวกอีปิ้ดนะ แต่ผมยังไม่พบใครที่สนใจกับผมเลย”
“ผู้หญิงไทยเขาเก็บตัว คุณก็รู้”
“ผมไม่ว่าอะไรเรื่องเก็บตัว แต่เท่าที่ผมเห็น เขาปรนนิบัติสู้ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่ได้”
“คุณหมายถึงคุณโทมิโกะของคุณคนเดียวใช่ไหม?”
“ผมหมายถึงผู้หญิงญี่ปุ่นเกือบทุกคน พอคุณเข้าบ้าน คุณจะหายเหนื่อยทันที ต่างกับผู้หญิงไทย พอกลับถึงบ้าน ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย เขาก็เริ่มสอบสวนทันทีว่าไปไหนมา สตางค์ในกระเป๋าเหลือเท่าไร? ทำไมถึงกลับดึก อะไรทำนองนี้ ไอ้เราอยากพักก็เลยไม่ได้พัก ผู้หญิงญี่ปุ่นเขาไม่ถามอะไร เขาจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เราอาบน้ำ หาอะไรมาให้กิน เวลานอนเขาก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เขาสร้างสวรรค์ให้ผู้ชาย”
“ผมอยากพบคุณโทมิโกะของคุณ” ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
บัวหัวเราะ
“หน้าร้อนนี่ผมจะพาคุณไปโตเกียว เจ้าคุณราชทูตท่านบอกให้ผมกลับไปเที่ยวได้ คุณจะพบโทมิโกะของผมแน่”
คืนนั้นบัวกับข้าพเจ้าไปใช้เวลากันอยู่ที่คาราซาร์จนหลังเที่ยงคืน เราเต้นรำกันหลายรอบ ตอนดึกจรินทร์โผล่เข้ามา เราจึงครึกครื้นยิ่งขึ้น ตอนหนึ่งจรินทร์กระซิบข้าพเจ้าว่า
“นี่ ระพินทร์ คุณรู้ไหมเมื่อเย็นนี้ตำรวจเข้าไปค้นสำนักงานหนังสือพิมพ์ของจางหลิน”
“ตำรวจค้น! แล้วยังไง?” ข้าพเจ้าจ้องหน้าจรินทร์อย่างตื่นเต้น ขณะนั้นบัวถลาออกไปกลางฟลอร์ พร้อมด้วยนางสาวเกาหลีคนเก่าของเขา จึงไม่ได้ยินว่าเราพูดอะไรกัน
“เรื่องมันพัวพันมาจากทามูรา คุณคงรู้จักญี่ปุ่นคนนี้ดี”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“แล้วยังไง?”
“ตำรวจสงสัยว่าจางหลินเป็นสปายให้ญี่ปุ่น”
“หือ! เป็นไปได้หรือ?”
“ก็ไม่รู้ แต่จางหลินติดต่อกับพวกฝ่ายซ้ายในญี่ปุ่น”
“ไม่ใช่ฝ่ายซ้าย เป็นสมาชิกแนวราษฎรระหว่างชาติที่เขาพยายามให้ทุกชาติตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านสงคราม”
“คุณรู้ได้อย่างไร?” จรินทร์ถามอย่างสงสัย
“จางหลินบอกผม”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมจางหลินจึงจะต้องตั้งแนวราษฎร ญี่ปุ่นมีแนวราษฎรด้วยหรือ?”
“จางหลินบอกผมว่า เขาทำงานชิ้นนี้มาหลายปีแล้ว ทามูราเป็นสมาชิกคนหนึ่งของแนวราษฎรฝ่ายญี่ปุ่น เวลานี้ทามูราต้องระวังชีวิตมาก เพราะฝ่ายขวาของญี่ปุ่นถือว่าเป็นคนทรยศต่อชาติและพระเจ้าจักรพรรดิ”
“ผมไม่ได้สนใจกับเรื่องเหล่านี้ มันยังไงกัน–แนวราษฎร”
ข้าพเจ้ามองดูบัววาดลวดลายอยู่กลางฟลอร์ แล้วก็หันมาพูดกับจรินทร์ต่อไป
“เวลานี้โปลิติกของโลกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือฝ่ายขวาซึ่งหมายถึงค่ายนายทุนและค่ายจักรวรรดินิยม อีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายซ้าย ซึ่งหมายถึงพวกโซชะลิสต์และพวกคอมมิวนิสต์ ยังมีอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายกลาง เช่นพวกแปซิฟิสต์หรือพวกรักสันติ ซึ่งคลุมไปถึงด้านเศรษฐกิจด้วย คือเศรษฐกิจสายกลางที่เราเรียกว่า สหกรณ์ นี่ก็เป็นค่ายสำคัญแขนงใหญ่ ๆ ส่วนค่ายเล็ก ๆ ไม่คิดหรือไม่ก็อนุโลมเข้าในแขนงใดแขนงหนึ่ง พวกซ้ายนับว่าเป็นพวกรุนแรงที่สุด ต้องการจะทำลายของเก่าเพื่อสร้างของใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งเขาคิดว่ามีความเป็นธรรมและมีความถูกต้องมากกว่า พวกขวาเป็นพวกรักษาของเก่าโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เช่นนายทุนที่เคยใช้เล่ห์เหลี่ยมกอบโกยเอาเปรียบคนอื่น ก็ยังคงต้องการกอบโกยต่อไป ส่วนพวกกลางคือพวกสันตินิยม เวลานี้เพิ่งจะเริ่มก่อตัว มีกำลังน้อยที่สุด กำลังต้องการเวลาที่จะรวมราษฎรของโลกเข้าด้วยกัน เพื่อปรับปรุงแก้ไขปปัญหาเศรษฐกิจสังคมของโลกด้วยสันติวิธี พวกกลางนี้คงจะก้าวไปได้ช้ามาก เพราะไม่นิยมการใช้กำลัง จางหลินเป็นพวกกลาง ต้องการล้มเลิกสงคราม ลดการเอาเปรียบกินแรงในสังคม ต้องการปฏิรูปสังคมเสียใหม่ ให้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางฐานะความเป็นอยู่ของมนุษย์น้อยที่สุด ต้องการให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาค และมีสิทธิเสรีภาพในการเก็บเกี่ยวผลได้ของแรงงานแต่ละคน โดยที่ไม่ถูกผู้อื่นกินแรงและไม่ไปกินแรงผู้อื่น จางหลินเชื่อว่าวันหนึ่งลัทธิสายกลางนี้จะต้องมีชัยชนะ เพราะเป็นลัทธิที่ตรงกับความต้องการของจิตใจของมนุษย์แต่ละคน ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะและศาสนา วิธีของจางหลินก็คือ ต้องสร้างแนวราษฎรขึ้น เรียกร้องให้มนุษย์ทุกชาติตั้งแนวเชื่อมโยงกันตลอดทั้งโลก ยืนหยัดต่อสู้กับความผิดที่ชาติมนุษย์ได้กระทำมาตลอดพัน ๆ ปีในประวัติศาสตร์–คือความผิดที่เกิดจากความโลภและความเหี้ยมโหดทารุณ เป็นต้นว่าการกดขี่เอาเปรียบกินแรงกันแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา การก่อสงครามเพื่อประโยชน์ของคนคนเดียวหรือคนกลุ่มเดียว ซึ่งเอาชีวิตราษฎรเป็นชาติพลี มนุษย์ได้ทำผิดมามากและทำผิดมานาน เดี๋ยวนี้ก็ยังทำผิดอยู่ และทำผิดมากขึ้นทุกวัน แนวราษฎรของจางหลินจะเป็นทางออกทางเดียวของชาติมนุษย์ทั่วโลกทกำงเดือตร้อนอยู่ไนขณะนี้ ความเดือดร้อนของมนุษย์ทุกคนจะทวีขึ้นเหมือนปรอทลนไฟ แล้ววันหนึ่งมันก็จะถึงขึดสูงสุดซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะทนต่อไปได้ วันนั้นแหละ โลกจะจลาจล และวันนั้นแหละแนวราษฎรจะได้ชัยชำนะ”
จรินทร์ขมวดคิ้วฟังข้าพเจ้าพูดอย่างคนใช้ความคิด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเพลงแจชซ์ ซึ่งดังอยู่ครึกโครมในห้องโถงของคาราซาร์ เราเงียบกันไปพักหนึ่ง จรินทร์จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ผมว่าจางหลินเขาคิดดี แต่ผมมองไม่เห็นทางสำเร็จ ผมไม่เชื่อเลยว่าพวกกลางจะสร้างแนวราษฎรขึ้นได้ อุปสรรคที่แบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นพวกเป็นชาติ ยังมีอยู่อีกมากมายเหลือเกิน ไม่มีใครจะเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจยิ่งเป็นปัญหาโลกแตก”
ข้าพเจ้าโคลงศีรษะช้า ๆ
“คุณก็มีเหตุผลของคุณ แต่ผมเชื่อว่าความทุกข์ยากของมนุษย์ที่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จะต้องถึงขีดสูงสุดในวันหนึ่ง แล้ววันนั้นมนุษย์ทุกชาติจะรวมกันได้”
----------------------------
เรื่องตำรวจเข้าตรวจค้นสำนักงานหนังสือเป่ผิงฉือป้าวของจางหลิน เป็นข่าวใหญ่ที่พาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในจีนเหนือ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในปักกิ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากคือหนังสือพิมพ์ The Leader อันมีเอดเวิร์ดบิงชวนหลีเป็นบรรณาธิการ ก็คอมเมนต์เรื่องนื้อย่างยืดยาว คัดค้านการกระทำของตำรวจที่ตั้งข้อกล่าวหาจางหลินโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรว่ามีเจตนาดีต่อชาติมนุษย์ ซึ่งกำลังจะล่มจมไปเพราะสงครามที่เยอรมนีกับญี่ปุ่นกำลังพยายามจะก่อขึ้นอีก หนังสือพิมพ์กวอหมินป้าวซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฝ่ายขวาได้โจมตีจางหลินซ้ำเติมอย่างรุนแรง กล่าวหาว่าจางหลินคบญี่ปุ่น และทำตัวเป็นคนทรยศต่อชาติจีน ข้อความที่หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวาตีพิมพ์ลงไป ได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเกรียวกราวในหมู่ประชาชน และในกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ และความเห็นส่วนใหญ่ได้บ่งไปในทางที่ว่า จางหลินเป็นคนที่ชาติไม่ต้องการ เป็นคนคบศัตรูคือญี่ปุ่น เพื่อจะเป็นหุ่นให้ญี่ปุ่นเชิดเล่น เมื่อญี่ปุ่นได้ชัยชำนะ คนเป็นอันมากโดยเฉพาะนักศึกษาปักใจเชื่อว่า จางหลินมีแผนจะตั้งตัวเป็นใหญ่โดยอาศัยญี่ปุ่นหนุนหลัง ความเชื่อเช่นนี้ได้กลายเป็นมติมหาชน และจางหลินก็ถูกเกลียดชัง และความเกลียดชังนี้ได้ขยายกว้างออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟป่า
วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าพบจวนฟางที่ Y.W.C.A สี่แยกตงอันซื่อฉ่างโดยบังเอิญ ข้าพเจ้าไปเยี่ยม ดร. เจียง แพทย์หญิง P.U.M.C ซึ่งเป็นวีรสตรีในความรู้สึกของข้าพเจ้า แต่บังเอิญ ดร. เจียงออกไปเยี่ยมไข้ในหมู่บ้านซีซานนอกเมือง ข้าพเจ้าจึงคุยอยู่กับมิสฉูแม่บ้านของ Y.W.C.A. ครู่หนึ่ง ก็พอดีจวนฟางเดินเข้ามา เราก็เลยนั่งคุยกันอยู่อีกครู่ใหญ่ จนมิสฉูขอตัวไปดูแลคนครัวซึ่งเป็นงานด้านหนึ่งที่แกควบคุมอยู่
เมื่อมิสฉูลุกออกไปแล้ว ก็เหลือแต่จวนฟางกับข้าพเจ้าในห้องรับแขกอันกว้างใหญ่ ไม่มีใครอีก จวนฟางรีบพูดถึงจางหลินทันที
“เธอคงรู้เรื่องแล้ว–สำนักงานของพี่จางถูกค้นเมื่อเย็นวาน”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“ฉันกำลังจะไปเยี่ยมจางหลิน เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เธอพบจางหลินแล้วหรือ?”
“พบแล้วเมื่อกี้ เขายังปลอดภัย ไม่มีอะไร แต่คนพูดกันมาก หนังสือพิมพ์เช้าวิจารณ์กันป่นปี้ มี Leader ฉบับเดียวที่พูดเป็นกลาง และดูเหมือนจะเข้าใจอุดมคติของพี่จาง”
“ฉันอ่านแล้ว–Leader เข้าใจจางหลินดี แต่ก็มีอยู่เพียงฉบับเดียว นอกนั้นรุมกันด่าเป็นการใหญ่ ฉันว่าถ้ามันกลายเป็นมติมหาชนไปจะไม่ดีเอามากๆ”
“มันก็กำลังจะกลายเป็นมติมหาชนไปแล้ว” จวนฟางถอนใจยาว คนยิ่งเกลียดญี่ปุ่นเ่าใดก็ยิ่งเกลียดพี่จางเท่านั้น ฉันกลัวเหลือเกิน”
“ดุสิตว่ายังไง?” ข้าพเจ้าสบตาหญิงสาวด้วยเจตนาจะค้นหาความรู้สึกในใจ
จวนฟางนิ่ง ถอนใจเบา ๆ หยุดคิดอยู่ชั่วขณะคล้ายกับมีความยุ่งยากใจที่จะพูดอะไรออกมา
ในที่สุดเธอก็พูดด้วยเสียงอันเบาและสั่นเครือ
“ดุสิตเกลียดพี่จางมาก เขาหาว่าพี่จางขายชาติ”
ข้าพเจ้าก้มหน้าแอบถอนใจเบา ๆ เพราะรู้ดีว่าจางหลินกำลังเป็นเป้าของความเกลียดชัง ซึ่งยากที่จะแก้ให้เกิดความเข้าใจดีขึ้นได้ ความกดขี่เหยียบย่ำที่จีนได้รับจากประเทศจักรวรรดินิยมทั้งฝรั่งและญี่ปุ่น นับเป็นเวลาสิบ ๆ ปี ได้เป็นพื้นฐานของความโกรธแค้นเรื่อยมา ครั้นมาถึงยุคหลัง ๆ ญี่ปุ่นก็ได้สำแดงท่าทีว่าจะเข้ายึดครองเมืองจีนให้จงได้ และก็ได้เข้าครอบงำแผ่อิทธิพลคลุมแมนจูเรียหรือตุงซานเสิ่งอยู่แล้วตั้งแต่บุกเข้าเกาหลีเป็นต้นมา อิทธิพลของญี่ปุ่นในแมนจูเรียได้ทวีเพิ่มขึ้นทุกวัน และความโกรธแค้นของชาติจีนก็ทวีตามไม่มีวันลดถอย ความเกลียดคนญี่ปุ่นได้สลักปักลึกลงไปในหัวใจชาวจีนอย่างแน่นหนา ไม่มีวันจะหลุดถอนได้ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่คิดคบค้าสมาคมกับคนญี่ปุ่นจึงถูกมองในแง่ร้าย และบางทีก็ถูกฆ่าตาย จางหลินเข้าใจดีว่าการคบกับคนญี่ปุ่นที่มีอุดมการณ์ร่วมกับตนเป็นสิ่งที่มีอันตรายอย่างยิ่ง แต่เขายอมที่จะยืนตายอยู่ในมาตุภูมิของเขา มากกว่าจะทิ้งอุดมคติไปเป็นเศรษฐีเหมืองแร่อยู่ในมลายู เขาบอกข้าพเจ้าว่า เกิดเป็นคนก็ต้องคิด และเมื่อคิดถูกต้องแล้วก็ควรยืนหยัดเพื่อความคิดอันนั้น ไม่ท้อถอยเพราะคอยกลัว โลกจะก้าวหน้าไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ใดยืนขึ้นเพื่อความถูกต้อง เราต้องอยู่ด้วยธรรม และธรรมของเราก็คือความจริงแท้ที่ธรรมชาติชีวิตต้องการ