๒๙
ซูซี่หวางทำตามที่สัญญาไว้ เธอแนะนำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับหลีเคื่อจ่างในวันต่อมา สันติบาลใหญ่ยอมให้เราพบที่บ้านรับรองอันหรูหราของเขาในซอยเฉียนเลี่ยงหูทุ่ง บ้านนี้ใหญ่โตมาก มีกำแพงล้อมรอบ ประตูกำแพงทาสีแดงเลือดนกสูงใหญ่ ทำท่าจะเทียบประตูวังหลวง มีเสาสีแดงสี่เสาที่หน้าประตู มีตำรวจยูนิฟอร์มสีดำผ้าพันหมวกขาว ถือปืนยืนยามถึง ๒ นาย
ข้าพเจ้าแนะนำตัวเองด้วยการเล่าความมุ่งหมายที่ขึ้นมาอยู่ปักกิ่ง สรุปแล้วเป็นใจความสำคัญว่า ข้าพเจ้ามาศึกษาเมืองจีนเพื่อประโยชน์ที่จะเชื่อมความเข้าใจกันระหว่างจีนกับไทย เรายังไม่มีสัมพันธไมตรีต่อกันทางการทูต ทั้งๆ ที่เราได้เป็นเพื่อนบ้านกันมานมนานนับพันปี และทั้ง ๆ ที่คนจีนได้อยู่ในเมืองไทยเป็นจำนวนมากมาย ตั้งแต่ยุคสุโขทัยจนถึงยุคปัจจุบัน ข้าพเจ้าได้ให้ความหวังแก่หลีเคื่อจ่าง ว่าสักวันหนึ่งในไม่ช้า จีนกับไทยก็คงจะเปิดสัมพันธไมตรีทางการทูตกันตามประเพณีนิยมอย่างแน่นอน
หลีเคื่อจ่างเป็นคนร่างสูงใหญ่แบบชาวซานตุง ดินแดนแห่งขงจื๊อ ท่าทางมีสง่าน่าเกรงขาม ตลอดเวลาที่พูด เขาวางตัวอย่างผู้มีอำนาจ ต่างกับพวกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่สุภาพเรียบร้อยแบบสุภาพบุรุษชาวจีนแท้ เขามองข้าพเจ้าอย่างชาวต่างชาติที่ไม่มีความหมาย เขาอาจถือว่าไทยกับจีนไม่มีสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันก็ได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ประหลาดใจ เพราะพวกทหารตำรวจที่ข้าพเจ้าได้พบในปักกิ่ง คนไหนคนนั้นต้องมีท่าทีผิดมนุษย์ธรรมดา บางทีเขาอาจคิดว่า เขาคือผู้ครองอำนาจที่เป็นเจ้านายของประชาชนก็ได้ ระบอบฮ่องเต้ได้หมดไปแล้วก็จริง แต่ระบอบทหารได้เข้ามาแทนที่ แสดงจะแทนอยู่ต่อไปอย่างไม่มีกำหนดเวลา จากกวางตุ้งไปจนถึงมุกเด็นแห่งแมนจูเรีย ข้าพเจ้าได้เห็นแต่พวกนายพลสวมทอปบูตย่ำอยู่บนศีรษะของราษฎร นายพลมีกำลังทหารของตัวเอง ใครครองแคว้นไหนก็รีดไถราษฎรแคว้นนั้น เอาเงินภาษีอากรมาเป็นสมบัติส่วนตัว เพื่อบำรุงเลี้ยงกองทัพสำหรับเบ่งกันเอง เข่นฆ่าแย่งอำนาจกันเอง พยายามจะเป็นใหญ่ให้ได้อย่างนานที่สุด เพียงแค่นายพลลูกน้องผู้ทรยศของขุนพลจางโซหลินแห่งแมนจูเรียคนเดียวเท่านั้น ก็คอร์รัปชันเอาเงินไปเข้ากระเป๋าถึงปีละ ๒๐๐ ล้านเหรียญทุกปี จนกระทั่งถูกจ้างโซเหลียงลูกชายจางโซหลินยิงทิ้งที่โต๊ะอาหาร นายพลเมืองจีนยุคมืดมีร้อย ๆ พัน ๆ คน เพราะฉะนั้น เงินภาษีอากรที่ได้มาจากแรงงานของราษฎร จีงถูกรีดไถกอบโกยเอาไปสุดจะคณานับได้ คอร์รัปชันกับสินบนคือความชั่วร้ายของนักปกครองและนักการทหารในเมืองจีนยุคปฏิวัติ หรือแม้แต่ยุคก่อนการปฏิวัติ ซึ่งทำให้สีขาวของหิมะกลายเป็นสีเลือด และบัดนี้ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังเขียนเรื่อง “ผู้เสียสละ” นี้ต่อไป หลังจากที่ได้เขียนไว้ถึงเกือบสามสิบปี แผ่นดินจีนก็กลายเป็นแผ่นดินแดงไป ตามที่เราได้เคยคิดหวาดกลัวกันเมื่อสมัยที่ข้าพเจ้าอยู่ปักกิ่ง ธงดาวแดงได้โบกสะบัดอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่กวางตุ้งจนถึงแมนจูเรีย และเพลง “ตงฟางหง” ก็คำรามกระหึ่มอยู่ใต้ฟ้าสีแดงเพลิง
หลีเคื่อจ่างถามข้าพเจ้าตอนหนึ่งว่า
“เมืองไทยของคุณมีคนจีนเท่าไหร่?”
“ไม่ต่ำกว่าล้าน”
“ทำอะไรกิน?”
“ค้าขาย”.
“ร่ำรวยกว่าคนไทยใช่ไหม?” เสียงเขามีกังวานเยาะเย้ยอยู่ในที
ข้าพเจ้านิ่งคิดนิดหนึ่ง
“บางคนก็ร่ำรวย บางคนก็ยากจน”
“จริงหรือ?” เขายิ้มอย่างยวน “เราได้ยินแต่ว่า โดยมากคนจีนในเมืองไทยพากันเป็นเศรษฐีไปตามๆ กันเพราะคนจีนทำงานหนัก ขยันกว่าคนไทยมาก ไม่หยิบโหย่งกรีดกราย แต่ก่อนคนจีนเป็นนายอากร รัฐบาลให้เกียรติสูง เป็นขุนนางไปก็เยอะแยะ คนจีนมีอำนาจมาก”
“คนจีนไม่มีอำนาจ” ข้าพเจ้าตอบสวนไปหันที “คนจีนในเมืองไทยอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องการอำนาจ เพราะทุกคนมีความสุข คนไทยต้อนรับคนจีนอย่างพี่น้อง เราเป็นเจ้าบ้านที่ดีที่สุดสำหรับคนจีนและคนด่างชาติที่เข้ามาอาศัย”
หลีเคื่อจ่างหัวเราะเสียงดัง ดูเหมือนเขาจะแกล้งหัวเราะเพื่อจะทำเสียงให้อึกทึกอย่างไว้อำนาจ
“แต่คนจีนควรมีอำนาจ เพราะเมืองไทยเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศจีน”
ข้าพเจ้าเลือดขึ้นหน้า อารมณ์หนุ่มทำให้โพล่งออกไปว่า
“เมืองไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เราเป็นประเทศเอกราช”
หลีเคื่อจ่างหัวเราะอีก เสียงดังตามเคย
“สมัยโบราณเมืองไทยเคยมาจิ้มก้องเมืองจีน เมืองญวนก็มาเหมือนกัน เราจดไว้ในประวัติศาสตร์” เขาพูดอย่างภาคภูมิ
“นั่นเป็นประเพณีของการไปมาหาสู่” ข้าพเจ้าค้านเสียงหนักแน่น “เราเคยถวายเครื่องราชบรรณาการพระเจ้าหลุยส์ แต่เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส”
“ดร. ซุนยัดเซนพูดไว้ในปาฐกถาซานหมินจู่อี้ ดร. ซุนเคยไปเมืองไทย ถูกแล้วเดี๋ยวนี้ไทยเป็นเอกราช แต่ในประวัติศาสตร์ไทยเป็นเมืองขึ้นของจีน คุณอ่านประวัติศาสตร์หรือเปล่า?”
“อ่านแล้ว มีแต่ข้อความย่อๆ ว่า วันนั้นปีนั้นไทยมาถวายเครื่องราชบรรณาการ นั่นสมัยพระร่วง การถวายแลกเปลี่ยนเครื่องราชบรรณาการกันเป็นธรรมเนียมของการเยี่ยมเยียนของประเทศที่มีไมตรีต่อกัน ประวัติศาสตร์จีนก็ไม่ได้บอกว่าไทยเป็นเมืองขึ้น คนจีนเข้าใจเอาเอง ดร. ซุนยัดเซนก็เข้าใจเอาเอง” ข้าพเจ้าหยุดพูด พยายามระงับอารมณ์ที่ทำท่าจะเดือดพลุ่งขึ้นมา
ท่านหัวหน้ากองหลีเคื่อจ่างเงียบไปประเดี๋ยวหนึ่ง คล้ายกับรู้ว่าข้าพเจ้าไม่พอใจ แม้เขาจะมีอำนาจกว้างขวางในกรุงปักกิ่ง แต่เขาก็มีความรู้สึกผิดชอบพอที่จะนึกละอายใจที่พูดจาพล่อยเกินไปจนกลายเป็นคนก้าวร้าวผู้อื่น เขาอาจจะได้สำนึกว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทย เป็นแขกเมืองของเขา และข้าพเจ้าเป็นคนที่มีการศึกษาแล้วก็ได้ เขาจึงเลิกพูดถึงเรื่องนี้ต่อไป พยายามสำรวมและทำตัวสุภาพขึ้นนิดหนึ่ง อย่างที่สุภาพบุรุษชาวจีนทั้งหลายผู้อ่านคัมภีร์ท่านศาสดาขงจื๊อมาแล้วจะพึงสำนึก
เรานิ่งกันไปครู่ใหญ่ ข้าพเจ้ามองหน้าซูซี่หวางซึ่งนั่งฟังอยู่ที่เก้าอี้ตรงกันข้าม แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดว่า
“เรื่องญี่ปุ่นจะยึดแมนจูเรีย ท่านหัวหน้ากองคิดว่าจะลามมาถึงปักกิ่งไหม?”
หลีเคื่อจ่างขมวดคิ้วนิ่งคิดสักประเดี๋ยว จึงตอบว่า
“ตามแผนการของพวกทหารญี่ปุ่น ปักกิ่งหนีไม่พ้น แต่เราก็ยังมีสันนิบาตชาติ คงไม่สู้กระไรนัก”
“เรื่องนักศึกษาที่ทำท่าจะวุ่นวาย ท่านมีความเห็นอย่างไร?” ข้าพเจ้าถามต่อไป
“มันสองพวก พวกหนึ่งเป็นคอมมิวนิสต์หรือเอียงซ้าย อีกพวกหนึ่งชาตินิยม สองพวกนี้พยายามบังคับรัฐบาลให้ใช้นโยบายไม้แข็งกับญี่ปุ่น”
“ท่านเคยรู้จักหลูกวงไหม?”
“นั่นคอมมิวนิสต์ เป็นสหายเมาเซตุง”
“แล้วท่านจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้?”
“เรารอเวลา”
“หลิวจิ้งหวนเล่า?”
“เป็นพวกโอเวอร์ซี มาจากเมืองไทย คุณรู้จักหรือ?”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“เขามีชื่อไทยว่าดุสิต”
หลีเคื่อจ่างยิ้มที่มุมปาก นิ่งอยู่สักครู่ก็ตอบว่า
“หัวหน้าพวกเชิ้ตสีเทามีหัวชาตินิยมรุนแรง แต่มีอันตรายน้อยกว่าหลูกวง”
ข้าพเจ้าชวนผู้ยิ่งใหญ่ในวงการตำรวจคุยเรื่องนักศึกษาอีกเล็กน้อย ก็หวนมาหาเรื่องของจางหลิน ซึ่งเป็นจุดหมายสำคัญที่ข้าพเจ้าต้องการรู้
พอเอ่ยชื่อจางหลิน หลีเคื่อจ่างก็ขมวดคิ้ว มีอารมณ์ขุ่นมัวไปทันที
“คุณรู้จักคนคนนี้ดีหรือ?” เขาถาม
ข้าพเจ้าพยักหน้า ไม่พูดอะไร ไม่แน่ใจว่าการพูดอะไร่ออกไปจะสบอารมณ์นายตำรวจก๊กมินตังผู้ยิ่งใหญ่นี้หรือไม่ ข้าพเจ้าเห็นซูซี่หวางจ้องตาข้าพเจ้าคล้ายกับจะเตือนให้ระวังตัว
“อยากจะขอเตือนคุณให้ระวังตัว” หลีเคื่อจ่างพูดต่อไป “คุณมาจากเมืองไทย คงไม่รู้อะไรมาก ดูเป็นชาวต่างประเทศ อย่าเอาตัวเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองในบ้านของเราจะดีกว่า”
“ผมไม่ยุ่ง ผมเข้าใจดี” ข้าพเจ้าพูดอย่างระมัดระวัง “ที่ถามก็เพราะผมต้องการรู้ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นในปักกิ่ง ผมเป็นนักหนังสือพิมพ์ อยากแสวงหาความจริงบ้างเท่านั้น”
“อ้อ คุณเป็นนักหนังสือพิมพ์” หลีเคื่อจ่างพูดอย่างตรึกตรอง นิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง “เวลานี้ปักกิ่งเต็มไปด้วยนักหนังสือพิมพ์ เขาชอบเอาข่าวผิด ๆ ไปเขียน”
“เราต้องการความจริง จริงเขียนไม่ผิด” ข้าพเจ้าสวมรอยทันที
“คุณต้องการความจริงเรื่องจางหลินใช่ไหม?”
ข้าพเจ้าพยักหน้าแทนคำตอบ
“คุณเข้าใจว่าอย่างไร–จางหลินคนนี้?”
ข้าพเจ้าใจเต้นเล็กน้อย รู้สึกว่าแววตาที่เขามองข้าพเจ้า เป็นแววตาที่อยากจะจับผิด แบบแววตาของตำรวจที่ต้องการจะเอาผิดกับคนที่เขาสงสัย เพราะถ้าไม่เอาผิดให้ได้ เขาก็คงเลื่อนชั้นได้ช้า
นิ่งไปสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าก็ตอบว่า
“ผมไม่รู้อะไรมาก แต่ได้ยินคนเขาพูดกันว่า จางหลินชอบคบกับญี่ปุ่น”
เมื่อพูดเข้าเป้า หลีเคื่อจ่างก็ร้องฮื่อในคอ แววตาเป็นประกาย พูดสวนขึ้นทันทีว่า
“จางหลินเป็นคนใช้ไม่ได้ ผมยังไม่อยากใช้คำว่าทรยศ เพราะอยากจะดูเขาไปอีกหน่อย เรากำลังคิดกันว่า เขาต้องการจะเป็นหุ่นให้ญี่ปุ่นเชิด พอญี่ปุ่นชนะ เขาก็จะได้เป็นใหญ่ เวลานี้ในแมนจูเรียก็มีคนทรยศไปเข้าข้างญี่ปุ่นเยอะแยะ คนจีนพวกนี้กำลังขายชาติจีนให้ญี่ปุ่นด้วยราคาถูกๆ เขาต้องการเอาตัวรอด แล้วในเวลาเดียวกันก็หากำไรเข้ากระเป๋า ไม่มีปัญหา พอญี่ปุ่นยึดครองเมืองจีนได้ เขาก็จะต้องได้ตำแหน่งใหญ่โต พอได้เป็นใหญ่เงินก็จะไหลมาเทมา ในเมืองจีนเวลานี้อำนาจกับเงินสำคัญกว่าอะไร ชาติมักจะมาทีหลัง”
ข้าพเจ้าอยากจะถามว่า แล้วนายพลทั้งหลายที่ครองอำนาจอยู่ตามแคว้นต่าง ๆ ล่ะ เขามีความเห็นอย่างไร แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าการพูดเช่นนั้นก็คือการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ข้าพเจ้าอยากอยู่ปักกิ่งให้นานที่สุดที่จะนานได้ เพื่อศึกษาเมืองจีน
“แปลว่าจางหลินอาจจะต้องถูกจับในวันหนึ่ง” ข้าพเจ้าแกล้งพูดเพื่อจะลองใจเขา
หลีเคื่อจ่างหัวเราะหึๆ ตอบด้วยน้ำเสียงอันกร้าวว่า
“ถ้าเขาไม่หยุดเขียนหนังสือเข้ากับญี่ปุ่น ก็น่ากลัวว่าเขาจะต้องเข้าคุก และถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าเขาทรยศต่อชาติ ก็น่ากลัวว่าเขาจะต้องไปเทียนเฉียว”
“เทียนเฉียว” ข้าพเจ้าทวนคำพูดของเขาด้วยความตกใจ
“คุณคงรู้จักเทียนเฉียวดี ไม่มีใครอยากไปหรอก–ที่นั่น!” พูดแล้วหลีเคื่อจ่างก็หัวเราะเสียงดัง แบบที่ผู้มีอำนาจชอบหัวเราะ
ข้าพเจ้ากับซูซี่หวางคุยอยู่กับนายตำรวจผู้ยิ่งใหญ่อีกสักครู่ก็ลากลับ ข้าพเจ้าชวนซูซี่หวางไปกินอาหารว่างที่ฮาตะเหมินฟ่านเตี้ยน แล้วก็ไปส่งเธอจนถึงบ้าน ที่บ้านอันแสนสบายของอนุแห่งอดีตนายพลจางโซหลินผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าอยู่คุยกับเธออีกชั่วโมงเศษ เพราะเธอไม่ยอมให้กลับ
“เธอจะอยู่ปักกิ่งอีกกี่ปี?” ซูซี่หวางถามข้าพเจ้าในตอนหนึ่ง
“ฉันจะต้องทำปริญญาให้สำเร็จเสียก่อนจึงจะกลับได้” ข้าพเจ้าตอบ “สิ้นปีนี้ภาษาฉันคงจะใช้ได้สำหรับเข้ามหาวิทยาลัย”
“เธอคิดจะเข้ามหาวิทยาลัยไหน?” ซูซี่หวางรินน้ำชาให้ข้าพเจ้าถ้วยหนึ่ง เธอบรรจงวางถ้วยลงที่โต๊ะหน้าข้าพเจ้าอย่างสุภาพ ซึ่งเป็นมารยาทอันงามที่สตรีจีนยังรักษาไว้ได้อย่างมั่นคง ในท่ามกลางการบุกรุกอันแข็งกระด้างของวัฒนธรรมตะวันตก
“ตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง” ข้าพเจ้าตอบ
“เป่ต้า”
ข้าพเจ้าพยักหน้า ไม่พูดอะไร
“เปต้าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่ามาก” ซูซี่หวางรินน้ำชาให้กับตัวเอง “เธอคงเป็นคนไทยคนแรกที่จะเป็นนักเรียนเป่ต้า ฉันมีเพื่อนชาวสวีเดนคนหนึ่งในเป่ต้า เขาเรียนโดยทุนของสมาคมหมอสอนศาสนา พยายามจะเป็นฮ่านเฉือเจีย”
“ฉันพยายามกวดภาษาอย่างเต็มที่ กลัวจะเรียนไม่ทันเขา เขาเรียนกันมาตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ฉันเพิ่งตั้งต้น” ข้าพเจ้าพูดอย่างปรับทุกข์
“ป๋ายหว้าไม่ยาก เขียนตามพูด ต่างกับกวู่เหวิน” ซูซี่หวางอธิบาย “เรากำลังปฏิวัติภาษาหนังสือของเราให้ง่ายขึ้น เวลานี้ถือว่าปฏิวัติสำเร็จแล้ว ดร. หูซื่อเป็นหัวแรงคนหนึ่งในการปฏิวัติภาษาหนังสือ เธอรู้จัก ดร. หูซื่อไหม? ท่านสอนอยู่ที่เป่ต้า”
“ฉันเคยอ่านหนังสือที่ท่านเขียน เป็นภาษาเข้าใจง่าย ท่านเขียนปรัชญาจีนหลายเล่ม”
“เรามีนักปรัชญาเทียบเท่าของกรีก เธออ่านปรัชญาของเหลาจื่อ
“อ่านบ้าง เข้าใจยาก โดยเฉพาะปรัชญาของเหลาจื่อ” ข้าพเจ้าตอบยิ้มๆ “ฉันใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจหลักหวูเหวยของท่าน”
ซูซี่หวางหัวเราะเบาๆ
“เวลานี้โลกกำลังพิสูจน์ปรัชญาของเหลาจื่อ” เธอพูดช้า ๆ อย่างใช้ความพยายามที่จะให้ข้าพเจ้าเข้าใจ “โลกเรากำลังเจริญถึงขีดสูงสุดแล้ว แต่เป็นความเจริญทางวัตถุเท่านั้น ความเจริญเหล่านี้เกิดจากการทำลายธรรมชาติ เรากระทำทุกอย่างที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ เราทำลายทรัพยากรเพื่อจะสร้างวัตถุทางอุตสาหกรรม เราทำลายน้ำ ทำลายอากาศ ทำให้น้ำกับอากาศเป็นพิษ เราทำลายตัวเอง เพราะอยู่ดีกินดีเกินไป เรารบราฆ่าฟันกันเพราะเราแย่งวัตถุกัน เช่นแย่งวัตถุดิบ แย่งตลาด เราอยู่กับความโลภ ไม่มีใครรู้จักพอ เราพยายามแก้ปัญหาชีวิต แต่ยิ่งแก้ปัญหาก็ยิ่งมากขึ้น นี่เพราะเราขัดแย้งกับธรรมชาติ เราทำลายธรรมชาติ อีกหน่อยเราก็จะเสื่อมและสิ้นชาติสูญพันธุ์ เหลาจื่อสอนว่าอย่าขัดแย้งกับธรรมชาติ จงปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามธรรมชาติ คือเป็นไปดามทางของ ‘ต้าว’
ข้าพเจ้ามองหน้าซูซี่หวางด้วยความแปลกใจ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเธอจะพูดเรื่องที่เธอไม่ควรจะพูดออกมาเลย เธอควรจะพูดถึงเครื่องแต่งตัวที่สวยและมีราคาแพง พูดถึงการเต้นรำและเพลงของชาวตะวันตก พูดถึงความหรรษาร่าเริงของชีวิตที่เหมือนชีวิตนกซึ่งบินปร๋อไปปร๋อมา ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร มุ่งหาแต่ความสุขความสำราญใจไปวันหนึ่งๆ คำพูดของเธอครั้งนี้ควรจะเป็นคำพูดของ ดร. หูซื่อ หรือ ดร. เจี่ยงเมิ่งหลิน นักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงของประเทศจีนและของโลก ผู้หญิงที่ได้ใช้ชีวิตมาอย่างอิสรเสรีเหมือนนกในพงไพรอันเขียวขอุ่ม–ผู้หญิงที่มีประสบการณ์อันโชกโชนด้วยการระเริงรักที่ไม่ต้องการจะหาความจริงกับความรัก–ผู้หญิงอย่างนี้น่ะหรือสามารถจะกล่าวคำปรัชญาที่น้อยคนจะมองเห็นออกมาได้?
ข้าพเจ้านิ่งงงไปสักประเดี๋ยวจึงพูดว่า
“ฉันเห็นจะต้องมาเรียนปรัชญากับเธอเสียแล้ว ซูซี่”
ซูซี่หวางหัวเราะชอบใจ
“เธอคงแปลกใจ ผู้หญิงอย่างฉันไม่ควรจะพูดอะไรที่คนไม่ใช่คนเขาพูดกัน” หยุดเว้นระยะคล้ายกับจะคิดถึงคำที่จะกล่าวต่อไป “ฉันหาคำพูดไม่ได้ที่จะทำให้เธอเข้าใจฉัน ฉันจะเล่าเพียงย่อ ๆ ฉันเรียนจบที่มหาวิทยาลัยซือฟ่านต้าเฉือ เป็นมหาวิทยาลัยฝึกหัดครู แต่ฉันทำสิ่งที่ครูเขาไม่ทำ ชีวิตมันเหมือนสายน้ำ ไหลไปตามทางของมัน คือตาม ‘ต้าว’ ของเหลาจื่อ ฝืนไม่ได้ หนีไม่ได้ มันมีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้ฉันไม่ได้เป็นครู ฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็นเมียเก็บของจางโซหลิน แล้วฉันก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาใช้ชีวิตอย่างง่าย ๆ แบบนี้ มันเป็นเรื่องของมิ่งยุ่น–เรื่องของเฟตกับเดสตินี่ ฉันต้องยอมแพ้ ฉันไม่เข้าใจตัวเอง เมื่อไม่เข้าใจก็ต้องหาหนังสือปรัชญามาอ่าน ฉันชอบหลักของเหลาจื่อ อยู่อย่างธรรมชาติ อยู่กับ ‘ต้าว’ ไม่ผูกมัดกับอะไร คนสร้างประเพณีให้เป็นโซ่ผูกมัดคน เราต้องอยู่เหนือประเพณี เราต้องไม่เป็นทาสของประเพณีหรือของทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นมามัดตัวเอง ซึ่งธรรมชาติไม่เคยสร้างเลย ธรรมชาติหรือ ‘ต้าว’ เป็นสิ่งที่สวยงาม เฉยและเงียบสงบ มีสันติ มีความสุข ธรรมชาติให้ชีวิตเรามา ธรรมชาติเป็นแม่ของเรา เราไม่ทิ้งแม่ของเรา เราต้องอยู่กับธรรมชาติ เราต้องไม่กลัวสังคมจนต้องทิ้งธรรมชาติที่เป็นแม่ของชีวิต”
“ฉันจะจดจำคำของเธอไว้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ สบตาเธอ รู้สึกว่าในแววตาคู่นั้นมีความจริงจังและสุจริต “เธอพูดความจริงที่เถียงได้ยาก คำพูดของเธอต้องคิดทุกคำ เธอทำให้ฉันได้สติ ซูซี่”