๘
ถ้าไม่มี เรเวอเรนด์ไลแมน ฮูเวอร์อยู่ในโลกนี้ ข้าพเจ้าก็คงไม่ได้พบละครอีกฉากหนึ่งในปักกิ่ง คือฉากของการต่อสู้ระหว่างลัทธิชาตินิยมอย่างแรงกับลัทธิมนุษยชาตินิยม ซึ่งคนที่ไม่พยายามเข้าใจได้กล่าวหาว่า เป็นลัทธิชั่วร้ายเช่นเดียวกับที่ตำหนิลัทธิคอมมิวนิสต์
เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้พบกับดุสิต–ดาราวอลเลย์บอลแห่งจีนเหนือ ฮูเวอร์บอกข้าพเจ้าว่าดุสิตเคยอยู่ในเมืองไทย เป็นคนดีใจคอกว้างขวางสมเป็นนักกีฬา เขาแนะนำให้ข้าพเจ้าไปพบเพราะข้าพเจ้าจะได้มิตรที่ควรจะเข้าใจกันได้อีกคนหนึ่ง
ข้าพเจ้าไม่ลืมการเดินทางไปมหาวิทยาลัยเยียนจิงในวันนั้น ข้าพเจ้าต้องการพบดุสิต แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่า ผู้ที่ข้าพเจ้าได้พบก่อนดุสิตนั้นคือจวนฟาง
เหตุการณ์ในตึกเจ่เม่โหลว หรือหอรับแขกของมหาวิทยาลัยในเช้าวันนั้น เป็นหัวเลี้ยวอีกเลี้ยวหนึ่งของเรื่องละครที่ทุกคนเป็นผู้แสดง โดยมีโชคเป็นผู้กำกับการ ข้าพเจ้าพบจวนฟางโดยไม่คาดหมาย และหล่อนเองก็คงเช่นเดียวกัน คือไม่นึกว่าจะมาเจอกับมิตรว่ายกวอเหรินของหล่อนในที่เช่นนี้ แววตาและกิริยาท่าทางของจวนฟางมีพิรุธบางอย่างซึ่งข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เราคุยกันครู่ใหญ่โดยที่ข้าพเจ้าเกือบจะจับกิริยาได้ว่าจวนฟางกำลังคอยใครอยู่ ซึ่งคงจะเป็นเพื่อนเก่าที่เคยคุ้นเคยกันสมัยที่หล่อนศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ โดยปรกติจวนฟางเป็นคนแจ่มใสร่าเริง แต่ในวันนั้นดูเหมือนว่าหล่อนมีอะไรกังวลในใจตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี ในที่สุดข้าพเจ้าก็แจ้งในข้อกังวลของหล่อน และรู้ชัดว่าหล่อนจะต้องการพบใคร
เสียงฝีเท้ากระทบกระเบื้องศิลาแดงเบื้องหลังเก้าอี้นวมสีเขียวทำให้ข้าพเจ้าต้องหันไปดู ผู้ที่ยืนอยู่อย่างงง ๆ เป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างสันทัด สวมกางเกงสักหลาดสีเทา ใส่เสื้อสเวตเตอร์ขาวปักตราเยียนจิงไว้ที่หน้าอกด้วยไหมสีน้ำเงินแก่ เขาเป็นบุรุษคนเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้เคยพบขณะที่ไปเยี่ยมเจียงเหมยน้องสาวเจียงเฟ ที่มหาวิทยาลัยนี้เมื่อคราวก่อน “เป็นหัวหน้าทีมวอลเลย์บอล–มาจากเมืองไทย–ชื่อหลิวจิงหวน” เสียงของเจียงเหมยดังก้องขี้นเข้าหูอีกครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้าคิดว่าบุรุษผู้นี้คงจะเป็นดุสิตที่ฮูเวอร์เล่าให้ฟัง และความคิดของข้าพเจ้านับว่าถูกต้องทุกประการ ขณะที่จวนฟางแนะนำให้เรารู้จักกัน
เราบีบมือกันด้วยความรู้สึกอันอบอุ่น เดิมหลิวจิงหวนหรือดุสิตคิดว่าข้าพเจ้าเป็นชาวกวางตุ้ง เพราะหน้าตาท่าทางของข้าพเจ้าอาจมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาคิดว่า ข้าพเจ้าควรจะเป็นชาวกวางตุ้งมากกว่าชาวเมืองอื่น แต่พอจวนฟางเอ่ยชื่อข้าพเจ้า เขาก็รู้ได้ทันทีว่าข้าพเจ้าคือใคร
“มิสเตอร์ฮูเวอร์เคยพูดถึงคุณอยู่เมื่อไม่กี่วันนี้” เขาพูดเป็นภาษาไทยด้วยความยิ้มแย้ม “ผมดีใจที่เราได้พบกันรวดเร็วเกินคาด”
“ผมมาวันนี้ก็เพราะมิสเตอร์ฮูเวอร์บอกให้มา” ข้าพเจ้าตอบขณะที่เราคลายมือออกจากกัน “ผมเหงาเหลือเกิน รู้ว่าคุณมาจากเมืองไทยก็อยากคุยกันบ้าง”
“ผมยินดีอย่างยิ่ง” ภาษาไทยของเขามีสำเนียงชัดเจนและได้ความกะทัดรัด “คุณมาถึงปักกิ่งเมื่อไหร่?”
“เมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง” ข้าพเจ้าตอบ “เข้าใจว่าจะไม่พบใครเสียแล้ว ลำบากเหลือเกิน แรก ๆ พูดปักกิ่งไม่ได้ ต้องพึ่งภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา”
เราชวนกันนั่งลงยังเก้าอี้นวมสีเขียว ข้าพเจ้าสังเกตเห็นจวนฟางคลายความกระสับกระส่ายลงบ้าง หล่อนยิ้มแย้มที่เห็นเราจับมือถือแขนกันด้วยอัธยาศัยไมตรีที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
“นี่คือเพื่อนผู้หญิงคนแรกที่เล่าเรื่องปักกิ่งให้ผมฟัง จนผมเกือบจะเป็นชาวปักกิ่งไปแล้ว” ข้าพเจ้าพูดพล่างหันไปยิ้มกับจวนฟาง “ผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างที่เรียกว่าใช้กันไม่หมด”
จวนฟางหันไปมองดุสิตเป็นเชิงถามว่าข้าพเจ้าพูดว่ากระไร ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ว่า พูดไทยมาหลายประโยค ดูจะเป็นการเสียกิริยาที่จวนฟางไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่าเราพูดอะไรกัน จึงเริ่มลงมือใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อเพื่อช่วยให้การสนทนาได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสามคน
ดุสิตแปลให้หล่อนฟังว่า เมื่อกี้ข้าพเจ้าพูดว่ากระไร จวนฟางหัวเราะเบา ๆ เสียงของหล่อนไพเราะเหมือนเสียงระฆังเงิน
“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติยศเหลือเกินที่มีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับคนไทยคนแรก” จวนฟางกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ
“เธออาจจะลืมไปก็ได้” ข้าพเจ้าท้วง “ฉันไม่ไข่คนไทยคนแรกที่เป็นเพื่อนกับเธอ”
“เป็นคนแรกจริง ๆ นะ ระพินทร์”
“ต้องพนันกินหยางโล่วกันวันนี้เอง!” ข้าพเจ้าหัวเราะ
ดุสิตยิ้มละไมอยู่ในหน้า มองดูดวงหน้าอันไม่เดียงสาของหญิงสาว แล้วก็ถามว่า
“ฉันอาจเป็นเพื่อนคนไทยคนแรกของเธอบ้างไม่ได้หรอกหรือ?”
จวนฟางจ้องหน้านักกีฬาหนุ่ม ดวงตาของหล่อนเป็นงาวาวมีความหมายบางอย่างซุกซ่อนอยู่
“อ้อ ฉันเข้าใจละ เธอเห็นจะประกาศตัวเป็นคนไทยกันวันนี้เอง”
“ฉันชื่อดุสิต” เขายืนยัน วางหน้าตาเฉย
“อ้อ มิสเตอร์ดุสิต” หล่อนตีหน้าเคร่งขรึม “ต่อไปฉันจะเรียกเธอว่ามิสเตอร์ดุสิต”
“ก็ดีเหมือนกัน” ดุสิตรับรอง แล้วเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน