๖
เราได้จากกันแล้วจนวันตาย—เขากับข้าพเจ้า
แต่เราจะพบกันอีก—พบกันเสมอ—และเราจะต่อสู้กันเรื่อยไป ข้าพเจ้ามีปากกา เขามีอำนาจ
เมื่อคิดถึงเขากับข้าพเจ้า ภาพของจางหลินและดุสิตก็มาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เขากับข้าพเจ้าไม่ใช่จางหลินและดุสิต เรามีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่ข้าพเจ้ายกเอาจางหลินกับดุสิตมาพูดก็เพราะเรามีเรื่องอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน–นั่นคือ ความเป็นปรปักษ์ต่อกัน
แต่ก็อีกนั่นแหละ ความเป็นปรปักษ์ต่อกันระหว่างจางหลินกับดุสิต แม้ว่าจะร้ายแรงจนถึงเลือดตกยางออก แต่ความเป็นปรปักษ์นั้นก็หาเหมือนกับความเป็นปรปักษ์ระหว่างเขากับข้าพเจ้าทุกกระเบียดนิ้วไม่
จางหลินมีอุดมคติสูง–เป็นยอดของอุดมคติทั้งปวง อุดมคตินี้ก็คือ มนุษยชาติย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
ดุสิตหรือหลิวจิงหวนซึ่งเป็นชื่อจีนของเขา ก็มีอุดมคติสูงเหมือนกัน ที่ว่าสูงก็เพราะไม่มีประโยชน์ส่วนตัวเจือปนอยู่ อุดมคติอันนี้ก็คือ ชาติย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
ข้าพเจ้ามีอุดมคติอย่างโง่ ๆ ว่า หลักการสำคัญกว่าบุคคล
ส่วนเขามีอุดมคติที่พรรคพวกของเขายกย่อง คืออุดมคติที่ว่า บุคคลสำคัญกว่าหลักการ เพราะถ้าสอพลอให้ดี ๆ บุคคลย่อมให้ลาภ ยศ สรรเสริญแก่เขาได้
โดยประการฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงพูดว่า ความเป็นปรปักษ์ระหว่างจางหลินกับดุสิต กับความเป็นปรปักษ์ระหว่างเขากับข้าพเจ้า ไม่ได้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
จะอย่างไรก็ตามเถิด ข้าพเจ้ายกย่องจางหลินและดุสิต มากเท่ากับที่ข้าพเจ้ายกย่องคนดีทั้งปวงที่ได้เกิดมาแล้วและได้ตายไปแล้วทุกยุคทุกสมัย
ปักกิ่ง–เมื่อชุนเทียนกำลังจะแย้มกลีบ—
จากหิมะมาถึงดอกไม้—จากความเย็นยะเยือกมาหาความหอมตลบอบอวล—จากสีขาวของปุยสโนว์มาสู่สีชมพูของดอกเถา—มันควรจะเป็นเวลาแห่งความสุขสำราญบานใจ—
แต่เรื่องของจางหลิน จวนฟาง ดุสิต ตลอดจนเรื่องของเจียงเฟและเจียงเหมย ทำให้บรรยากาศรอบตัวข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเหี่ยวแห้ง มันเป็นละครแห่งความสลดใจอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พบในเมืองจีน
แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึง ๑๕ ปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังจำเหตุการณ์ที่เศร้าใจไม่แพ้เรื่องชีวิตของวารยา ราเนฟสกายา ได้ดีเสมอ มันเป็นประวัติชีวิตตอนหนึ่งของหน่วยแห่งมนุษยชาติ หน่วยที่ถือว่าโลกนี้คือบ้านของเขา—โลกเป็นบ้านเกิดและเรือนตายที่มนุษย์ทุกคนจะต้องรัก—โลกสำคัญกว่าอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของส่วนรวม
ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่า ข้าพเจ้าจะได้พบชีวิตของบุคคลบางคนในมหานครปักกิ่ง ที่เป็นเสมือนกระจกเงาที่ส่องให้ข้าพเจ้าแลเห็นทางเดินในอนาคตอย่างถนัดชัดเจน ชีวิตของจางหลิน และชีวิตของดุสิตหรือหลิวจิงหวน ตลอดจนจวนฟาง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกตัวว่า ข้าพเจ้าจะต้องเป็นคนอดทนให้มากขึ้นอีกเมื่อข้าพเจ้ากลับเมืองไทย เมืองจีนกับเมืองไทยหรือแม้แต่ปารีสและสปิตซ์เบอร์เกนก็คงจะเหมือน ๆ กัน คือมีคนมาก ๆ สับสนอลหม่าน แย่งกันกินแย่งกันอยู่ ในกลุ่มคนเหล่านี้ การต่อสู้ได้มีอยู่ทุกขณะลมหายใจ คือต่อสู้ระหว่างมีกับไม่มี ระหว่างสูงกับต่ำ ระหว่างดำกับขาว แน่นอนเหลือเกิน ข้าพเจ้าจะได้พบกับการต่อสู้ในบ้านเกิดเมืองนอนตลอดจนแหลมทอง ข้าพเจ้าปลอบใจตนเอง พยายามทำให้กล้าสอนตัวเองว่าทางเดินของชีวิตไม่เคยราบเรียบสะดวกสบายสักสายเดียว เราจะต้องพบคนดีคนชั่ว พบคนแปดเหลี่ยมร้อยคม—พบคนที่กลมเหมือนลูกมะนาว สามารถหันเหไปได้ทุกทิศทุกทางไม่ว่าที่ใดเวลาใด—พบคนที่พูดจริงทำจริง ตรงจนศีรษะของเขาต้องชนกับกำแพงใหญ่ที่บางขวาง—พบคนที่ควรจะเป็นนักบุญแต่กลายเป็นคนใจบาปที่เกือบไม่มีใครเข้าใจได้—พบคนที่ทำทุก ๆ อย่างที่เขาบอกว่าไม่ต้องการจะทำหรือรังเกียจที่จะทำ—พบคนที่นิยมวิถีประชาธิปไตยในตอนเช้า และบูชาวิถีเผด็จการในตอนบ่าย—พบคนแปลก ๆ ที่ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ได้ และคนเหล่านี้ถ้าข้าพเจ้าไม่พบเสียได้จะสบายใจ เพราะไม่มีอะไรทำให้ภาพอันสวยงามของโลกและชีวิตในดวงใจของข้าพเจ้าต้องแปดเปื้อนไปอย่างน่าเสียดาย แต่ว่าคนเหล่านี้แม้จะทำให้ข้าพเจ้าต้องนอนปวดศีรษะไปนานๆ แต่ก็ได้ทำประโยชน์ให้ข้าพเจ้าไม่น้อยเหมือนกัน เขาทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตดีขึ้นเสมอและเข้มแข็งแกร่งกล้าขึ้นเสมอ เขาทำให้ข้าพเจ้าทรหดอดทน มีความผิดหวังน้อยลง เพราะเหตุที่ได้พบกับความผิดหวังเสียจนนับครั้งไม่ถ้วน เขาสอนข้าพเจ้าว่าความจริงในหัวใจของมนุษย์นั้นมีน้อย เราพบแต่ความโกหกหลอกลวง เราใส่หน้ากากกันแล้วก็ยิ้มให้แก่กันเพื่อประโยชน์ที่เราจะได้ และเพื่อรักษามารยาทของ “ผู้เจริญ” คนพวกนี้ช่วยให้ข้าพเจ้าสรุปความได้ว่า การคบหาสมาคมกันในโลกนี้ โดยมากเขามองกันที่ประโยชน์ ไม่ได้มองกันที่หัวใจ ความรัก ความหวังดี ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประโยชน์ เพราะมันจับต้องไม่ได้ บทเรียนเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจน้อยลงที่เห็นมนุษย์หลาย ๆ คนเขาคบกันได้ ดื่มสุรากันได้ ทั้ง ๆ ที่เขาเคยกล่าวคำสบประมาทกัน ย่ำเหยียบกัน ด่าทอกัน เกลียดชังกัน มันเป็นเรื่องของความรักในแก้วเหล้า และความอารีในถ้วยน้ำหวาน มันเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่ได้เกิดมาแล้วตั้งแต่สมัยของขงจื๊อและโซเครติส
จะอย่างไรก็ตามเถิด คนพวกนี้ได้มอบบทเรียนอันหาค่ามิได้ให้แก่ข้าพเจ้าบทหนึ่ง นั้นคือ ชีวิตคือการต่อสู้ ผู้ใดไม่สู้ ผู้นั้นเท่ากับคนที่ตายแล้ว และคนที่ตายแล้วมักเป็นคนที่เขาลืมแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเมืองที่นิยมการ “เซ็งลี้” มากกว่าการตั้งอนุสาวรีย์และหอสมุด ซึ่งล้วนเป็นวิธีให้การศึกษาอบรมพลเมืองอย่างฉลาดและสำคัญ