๑๒

เสียงนาฬิกาตีเก้าครั้ง ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่นขึ้นจากความนึกคิดที่แล่นไปไกลสุดขอบฟ้าเมืองจีน ขณะนั้นดวงเดือนในฤดูสปริงกำลังส่องแสงสุกปลั่งอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินแก่ แสงเดือนสาดไปทั่วสวนไม้ดอกข้างนอกหน้าต่าง ยั่วอารมณ์ให้ฟุ้งซ่านไม่รู้สึกง่วง ข้าพเจ้าพลิกข้อมือดูนาฬิกาอย่างไม่ตั้งใจ แล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องพักสองสามกลับ ในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไปข้างนอก ที่ทางเดินยาวผ่ากลางห้องพักทั้งสองแถว ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ห้องพักนักเรียนปิดประตูสนิทเป็นส่วนมาก มือยู่สองสามห้องที่ประตูแง้ม แสงไฟลอดออกมาเป็นทางยาว ข้าพเจ้ายังติดใจแสงเดือนและท้องฟ้าเมืองจีนอยู่ จึงเดินไปทางทิศใต้ผ่านห้องของ ทิงไช ภารโรง แล้วก็ออกประตูตึกไปสู่ถนนกรวดหน้าหอนอน เบื้องหน้าข้าพเจ้าคือบึงใหญ่มีน้ำใสสะอาดซึ่งไหลมาจากอ่างน้ำพุที่อยู่ฉวนซาน (เขาน้ำพุหยก) อันอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๕ ไมล์ บึงแห่งนี้เวลาอากาศเย็นจัดในสมัยเหมันต์ น้ำก็แข็งไปทั่ว กลายเป็นลานสเกตและฮอกกี้ ซึ่งเป็นกีฬาฤดูหนาวที่ทำให้ชีวิตจิตใจของหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความแจ่มใสชื่นบาน ที่ขอบบึงขณะนี้เงียบสงัด มีแต่ต้นหลิวยืนสยายกิ่งที่เริ่มแตกใบอ่อนส่ายสะบัดอยู่ไปมาในสายลมฤดูสปริง ข้าพเจ้ายืนดูแสงเดือนอันเรืองอร่ามบนพื้นน้ำในบึงใหญ่นั้นครู่หนึ่ง แล้วก็เดินเตร่ไปตามถนนกรวดซึ่งทอดยาวโค้งตามแนวตึกและกำแพงเขตมหาวิทยาลัย มีกลุ่มนิสิตและนิสิตาผ่านสวนทางไปเป็นครั้งคราว บางคนเพิ่งออกจากหอสมุด บางคนออกมาเดินเล่น ข้าพเจ้าไม่ได้พบใครที่รู้จัก เพราะยังใหม่ต่อสถานที่มาก แสงเดือนอันสุกสว่างทำให้ต้องเดินต่อไปอีกโดยไม่มีจุดหมาย ผ่านดึกอำนวยการและหอสมุดซึ่งไฟข้างในดับมืดไปแล้ว ต่อจากนั้นก็ผ่านตึกรับแขกเจ่เม่โหลวหรือ Sister Halls ถัดต่อไปเป็นหอนอนนิสิตาซึ่งสร้างเป็นตึกสูงสองชั้นแปดหลังตั้งตระหง่านอยู่ในแสงเดือน จวนฟางคงจะพักอยู่ในตึกหลังใดหลังหนึ่งนี้ หล่อนคงกำลังหลับสบาย หรืออาจออกมาเตินเล่นกับเพื่อนก็ได้ จะเป็นการบังเอิญหรืออะไรก็ตาม ขณะที่กำลังนึกถึงจวนฟางอยู่นั้น สตรีผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากทางแยกที่ปูกระเบื้องซีเมนต์ตรงหน้าหอนอนหลังที่สาม แสงเดือนที่สว่างเกือบจะเป็นกลางวัน ทำให้แลเห็นเสื้อฉีเผาสีเขียวที่หล่อนสวมอยู่ได้ถนัด เป็นเสื้อแขนยาวสำหรับใส่ในต้นฤดูสปริงซึ่งอากาศยังเย็นอยู่ นอกจากเสื้อฉีเผาแล้ว หล่อนยังสวมสเวตเตอร์ทับอยู่ที่ท่อนบนอีกชั้นหนึ่ง ข้าพเจ้าหลีกทางให้ แต่ในระยะอันใกล้ชิดนั้นหล่อนเงยหน้าขึ้นมองข้าพเจ้า แล้วเราทั้งสองก็หยุดเดินอย่างไม่รู้สึกตัว

“นั่นเธอหรือ จวนฟาง” ข้าพเจ้าทักเป็นภาษาจีนเหนือ

“ระพินทร์” หล่อนเรียกชื่อข้าพเจ้าอย่างแปลกใจ แล้วพูดต่อไปเป็นภาษาอังกฤษอีกประโยคหนึ่ง “What on earth are you doing here?”

ข้าพเจ้าหัวเราะ แล้วถามว่า “ก็เธอเล่า?”

“ฉันกำลังจะกลับตึก” จวนฟางตอบเสียงหวานตามเคย

“กลับจากเดินเล่นหรือ?”

อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง หล่อนก็ตอบว่า “เดือนหงายดีเหลือเกินคืนนี้ ฉันออกไปเดินเล่นที่ริมบึง”

หยุดนิ่งขณะหนึ่ง ข้าพเจ้าถามว่า

“เธอยังไม่ง่วงไม่ใช่หรือ?”

จวนฟางมองหน้าข้าพเจ้า

“ยัง ทำไม เธอจะชวนฉันเดินเป็นเพื่อนหรือ?”

“เธอเป็นคนเดาเก่งเสมอ” ข้าพเจ้าหัวเราะ “ฉันไม่รู้จะไปเดินกับใคร ดุสิตเขาก็หายเงียบไปตั้งแต่หัวค่ำ”

จวนฟางมีกิริยาพิรุธเล็กน้อย

“เราไปทางหอพักน้ำกันดีกว่า”

หล่อนตัดบท “บางทีเราอาจได้ดื่มน้ำชากันคนละถ้วย ถ้าร้านที่ประตูตุงเหมินยังไม่ปิด”

เราออกเดินเคียงกันกลับไปตามถนนกรวด พอถึงตึกเจ่เม่โหลวก็เลี้ยวไปตามทางแยก ขณะที่ผ่านขอบบึงซึ่งเรียงรายไปด้วยต้นหลิว ข้าพเจ้าก็ชี้ให้จวนฟางดูเกาะเล็กกลางบึงซึ่งมีสะพานเชื่อมกับฝั่ง “เราไปเดินเล่นบนเกาะนั้นสักครู่ไม่ดีหรือ ฉันไม่อยากไปไหนเลยที่ห่างน้ำกับแสงเดือน”

“เธอคงจะชอบศิลปะพอใช้” จวนฟางเอ่ยขึ้นขณะที่เราเลี้ยวไปทางสะพานไม้ “พระจันทร์เมืองจีนกับพระจันทร์เมืองไทยต่างกันบ้างไหม?”

ข้าพเจ้าหัวเราะ

“พระจันทร์ที่ปักกิ่งหนาวกว่าพระจันทร์ที่กรุงเทพฯ สำหรับฉันจากมาคนเดียวยิ่งหนาวใหญ่”

“เธอก็มาอยู่ปักกิ่งนานหลายเดือนแล้ว เธอยังว้าเหว่อยู่หรือจ๊ะระพินทร์?” จวนฟางถามด้วยอารมณ์สนุก

ข้าพเจ้านิ่งคิดอยู่ขณะหนึ่ง พลางเอามือลูบราวสะพานเล่น คำถามของจวนฟางแม้จะถามกันอย่างอารมณ์สนุก แต่ก็ชวนให้ข้าพเจ้าคิดไปไกล ข้าพเจ้านึกไปถึง วารยา ราเนฟสกายา ผู้หญิงชาวรัสเซียที่ข้าพเจ้าได้พบที่ภัตตาคารคาราซาร์ ผู้หญิงคนนี้ทำให้ข้าพเจ้าเคลิบเคลิ้มไปในอารมณ์ฝัน เธอทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า แม้เมืองไทยจะอยู่ไกลแสนไกล—แม้ประณุทเพื่อนต่างเพศที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยเด็ก จะอยู่ห่างออกไปนับเป็นระยะทางเกือบครึ่งโลก—แต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกอบอุ่นอยู่ในชีวิตจิตใจอย่างที่อธิบายไม่ถูก ท่านฟังข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ คงจะคิดว่าระพินทร์นี้เป็นเจ้าชู้ตัวเอก คอยแต่จะเอาผู้หญิงเป็นผ้าห่มสำหรับตัว ถ้าท่านจะคิดเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็หาอาจที่จะเคืองใจท่านไม่ เพราะสัญชาติผู้ชายมักจะเป็นเช่นนั้น จะเป็นเพราะธรรมชาติสร้างมาสำหรับเป็นผู้ให้การสืบพันธุ์หรือเพราะอะไร ข้าพเจ้าต้องขอยกให้ท่านผู้อ่านที่เป็นเพศชายตอบเอาเอง แต่อย่างไรก็ดี การที่ข้าพเจ้าจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของท่าน ถ้าท่านจะบังเอิญกล่าวหาข้าพเจ้า ย่อมเป็นการปฏิเสธที่ไม่มีข้อพิสูจน์ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจะไม่ปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าขอเพียงแต่เล่าความจริงใจที่ข้าพเจ้ามีต่อผู้หญิงทุกคน ซึ่งบังเอิญผ่านเข้ามาในหนทางที่พรหมลิขิตได้กำหนดไว้ให้แก่ระพินทร์

วารยา ราเนฟสกายา ที่ข้าพเจ้าพบ ณ ภัตตาคารคาราซาร์ ในฤดูดอกไม้บานเมื่อไม่นานมานี้ เป็นผู้หญิงที่มีอะไรบางอย่างอยู่ในแววตา วารยาทำให้ข้าพเจ้าอดที่จะคิดไม่ได้ว่า ในโลกนี้คนเป็นอันมากได้ตายไปโดยที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจเขา–ตายไปเงียบ ๆ เหมือนใบไม้ร่วงในป่าทึบ–ไม่มีผู้ใดสนใจ–ไม่มีใครอยากจะรู้ว่าในชีวิตหนึ่งของเขา เขาได้คิดอะไรและได้ทำอะไรบ้าง ผู้ร้ายใจทมิฬได้ตายไปที่ตะแลงแกงโดยที่บางทีอาจไม่มีใครทราบว่า เขามีชีวิตจิตใจเป็นอย่างไร เขาได้ฆ่าคนด้วยความโหดร้ายทารุณจริงหรือไม่ แต่ทำไมเขาจึงได้ทำเช่นนั้น ความจริงของชีวิต–ความจริงในมุมมืด–ได้มีอยู่ทุกสมัย–ทุกตัวคน ความจริงเหล่านี้มีอยู่ไม่น้อยเลยที่ได้จมหายลงไปในหลุมฝังศพ หรือถูกเผาผลาญไปที่เชิงตะกอน ชีวิตของวารยา ราเนฟสกายา เป็นชีวิตที่อยู่ในมุมมืด คนเป็นอันมากได้ผ่านเลยไปโดยไม่ทันสังเกต หรือไม่ต้องการสังเกต ข้าพเจ้าไม่เข้าใจตัวเองว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงผ่านชีวิตของผู้หญิงคนนี้ไปโดยไม่สังเกตไม่ได้ ดูมันเป็นเรื่องที่ประหลาดจนเกินที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้เอง

ถ้อยคำของจวนฟางทำให้ข้าพเจ้าหวนคิดไปถึงวารยาขึ้นมาทันที แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อยที่เราได้รู้จักกัน แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า วารยาเป็นเพื่อนผู้หนึ่งที่ทำให้ชีวิตข้าพเจ้าอบอุ่น ไม่มีอะไรที่จะทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจรักวารยาได้ หล่อนเป็นเพียงเพื่อนผู้หนึ่ง–เพื่อนที่เข้าใจกันและหวังดีต่อกัน

  1. ๑. หมายเหตุ ดูเรื่องปักกิ่งนครแห่งความหลัง ตอน วารยา ราเนฟสกายา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ