๑๐

ดุสิตพาจวนฟางและข้าพเจ้าเดินออกไปนอกประตูกำแพงด้านหลังริมหอน้ำบาดาล เราพบนักศึกษาหลายคนเดินสวนไปทางหอพัก นักเรียนชายคนหนึ่งใส่สเวตเตอร์สีแดง รูปร่างสูงใหญ่ สำเนียงที่พูดดูจะเป็นชาวซานตุง ท่าทางของเขาคล่องแคล่วว่องไว มีอะไรบางอย่างในแววตาที่กระเทือนใจข้าพเจ้า เขามีลักษณะพิเศษที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าในกลุ่มนั้นข้าพเจ้ามองเห็นเขาก่อนคนอื่น เขาร้องทักดุสิตว่า “ฮัลโหล เหล่าหลิว คืนวันนี้อย่าลืม” ข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่ว่าเขาหมายถึงอะไร สิ่งที่แวบขึ้นในความรู้สึกขณะนั้นก็คือ ชายผู้นั้นคือใคร

เราเข้าไปในโรงเตี๊ยมหรือฟ่านก่วน ทางด้านข้ายมือเป็นโรงอาหารที่เรามักพบเสมอตามหมู่บ้าน คือเป็นตึกดินดิบชั้นเดียวหลังคาลูกฟูก มีบริเวณกว้างสักสิบกว่าตารางวา พื้นมิได้ลาดซีเมนต์ แต่เป็นดินดิบที่ราบเรียบและแข็ง ในห้องใหญ่มีโต๊ะตั้งอยู่หลายหมู่ นิสิตและนิสิตาหลายคนนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ด้วยความเกษมสำราญ เป็นชีวิตง่ายๆ ที่ไม่มีพิธีรีตอง มีแต่ความร่าเริงแจ่มใสตามอารมณ์ของคนหนุ่มคนสาว ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่ข้าพเจ้าถือว่าทำให้โลกนี้งามขึ้นเช่นเดียวกับภาพดอกไม้และเสียงนกร้องเพลง โลกแห่งความเป็นหนุ่มสาว เป็นโลกที่บริสุทธิ์สะอาดสวยงามหาที่เปรียบได้ยาก ความเป็นหนุ่มสาวเป็นรางวัลอันมีค่าของมนุษย์ มันเป็นวัยที่เมื่อเราได้ผ่านไปแล้ว เราก็ต้องหันหลังกลับมามองอีกด้วยความเสียดาย หญิงชายเหล่านั้นร้องทักดุสิตและจวนฟางเสียงเอะอะ และขอให้เราเข้าไปนั่งร่วมวงด้วย ดุสิตบอกว่าเขาเกรงจะถูกเป็นเจ้ามือ จึงขอตัวที่ไม่เข้าไปในวันที่กระเป๋าไม่สู้จะมีอะไรนัก แล้วทุกคนก็หัวเราะกันดังก้อง

เรานั่งลงใกล้หน้าต่าง เลือกได้โต๊ะกลมที่ค่อนข้างสะอาดหมดจด ดุสิตร้องสั่งอาหาร และไม่ลืมถามจวนฟางและข้าพเจ้าว่าจะต้องการอะไรบ้าง

คุยกันด้วยเรื่องดินฟ้าอากาศสักครู่ จวนฟางก็ถามดุสิตขึ้นว่า “เมื่อกี้นัดอะไรกัน ประชุมนักเรียนอีกหรือ?”

ดุสิตนิ่งคิดคล้ายกับจะหาคำตอบ

“เปล่า เราคิดจะเล่นบริดจ์กันนิดหน่อย เพราะคืนนี้ไม่มีอะไร”

“ฉันเคยเห็นหน้า–คนที่พูดคนนั้น” จวนฟางเอ่ยขึ้นเปรยๆ

“คนที่ใส่สเวตเตอร์สีแดงน่ะหรือ?”

“นั่นแหละ”

“ชื่อ เฉินจง เป็นชาวซานตุง”

“อ๋อ อยู่ในทีมวอลเลย์บอลของเธอนั่นเอง จำได้แล้ว”

เราคุยกันถึงเรื่องอาหารแล้วก็เลยไปถึงเมืองไทย ข้าพเจ้าถูกถามหลายข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเจริญก้าวหน้า ข้าพเจ้าเล่าให้เขาฟังว่า เมืองไทยเป็นเมืองสงบ เราไม่ต้องการจะทะเยอทะยานอย่างประเทศหลายประเทศ เราอาจมีบ้านหลังคาจากอีกมากตามชนบท แต่ความสงบย่อมเป็นของประเสริฐกว่าอะไรทั้งสิ้น เราพยายามก้าวให้มั่นคง ช้าหน่อยไม่เป็นไร การก้าวยาว ๆ แล้วพลาดย่อมมีโทษมากกว่าคุณ ประเทศบางประเทศเมื่อปฏิวัติแล้วก็พยายามก้าวหน้าโดยขาดความระวัง ผลที่เกิดขึ้นก็คือความแตกร้าวระส่ำระสาย และบางคราวก็ถึงเลือดตกยางออก เราไม่ต้องการสงครามกลางเมืองอย่างในต่างประเทศ และเราจะไม่มีสงครามกลางเมือง เพราะเรารักษาเอกภาพของเราไว้ได้โดยไม่พยายามทำลายสิ่งที่ประชาชนนับถือร่วมกัน นั่นคือศาสนาและกษัตริย์ เราจำเป็นจะต้องสร้างคนดีให้มีมาก ๆ เสียก่อน รากฐานของประชาธิปไตยจึงจะแน่นแฟ้น เราจะทำอะไรกันรวดเร็วรุนแรงย่อมทำไม่ได้ แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการหวังดีต่อประเทศชาติอย่างสุจริตใจเพียงใดก็ตาม ทั้งนี้เพราะว่าผลสำเร็จของงานทุกชนิดในโลกนี้ ตั้งแต่งานขุดดินขึ้นไปจนถึงงานสร้างบ้านสร้างเมือง ย่อมขึ้นอยู่กับปัญหาเรื่องคนโดยตรง ตราบใดที่คนดียังไม่มีพอ ตราบใดที่คนหลายคนยังไม่รู้จักความสำคัญของหน้าที่และความรับผิดชอบ ตราบใดที่คนเป็นจำนวนไม่น้อยยังคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่มีใจเผื่อแผ่ยอมเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ตราบใดที่การศึกษาอบรมยังอยู่ในระดับต่ำทั้งปริมาณและคุณภาพ ตราบนั้นการก้าวออกไปข้างหน้าทุกก้าวก็ต้องการความละเอียดสุขุมมากขึ้นตามส่วน ก้าวใดที่ทำลายเอกภาพของชาติ ก้าวนั้นคือก้าวแห่งความตาย—อย่าได้สงสัยเลย

ดุสิตนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด สักครู่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมเข้าใจว่าคุณคงจะหมายถึงเมืองจีน เมื่อพูดถึงหลักเอกภาพ”

ข้าพเจ้าจิบน้ำชา มิได้ตอบในทันที ดุสิตแม้จะหนุ่มกว่าข้าพเจ้าก็จริง แต่ดูเขามีความละเอียดและความจริงจังในเรื่องการใช้ความคิดไม่น้อยเลย

“ก็ไม่แน่นัก ผมพูดกลาง ๆ ผมอาจมีสิทธิน้อยไปที่จะพูดถึงเมืองจีนซึ่งผมมีความรู้น้อย”

ดุสิตยิ้ม อาการยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความหมาย

“จะอย่างไรก็ตาม สำหรับเมืองจีน ผมยอมรับว่าเราขาดหลักเอกภาพของชาติ”

ข้าพเจ้านึกถึงคำของจางหลิน จึงพูดว่า

“จางหลินเคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งถึงเรื่องเอกภาพของประเทศจีน คุณรู้จักจางหลินไหม?”

ดุสิตนิ่งอั้น และในเวลาเดียวกันสีหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใสของจวนฟางก็เปลี่ยนแปลงไปทันที

“คุณคงรู้จักเขาดี” เขาย้อนถาม

“ผมมารถคันเดียวกับเขาตั้งแต่เซี่ยงไฮ้”

“อ้อ คุณก็ได้คนนำทางที่สามารถคนหนึ่ง จางหลินเป็นคนนำทาง เขานำทางเสมอ เวลานี้เขากำลังนำคนทั่วโลก คุณรู้จักลัทธิของเขาดีแล้วกระมัง?”

“ผมยังไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่คุณคงรู้จักเขาดี”

“เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมยังเป็นคนหนุ่ม” ดุสิตพูดช้า ๆ อย่างตรึกตรอง “แต่ผมไม่คิดว่าเราจะวัดความคิดความเห็นกันด้วยอายุที่มากกว่ากันเพียงไม่กี่ปี”

“ถูกแล้ว” ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะพูดอะไรให้ดีกว่านี้ จวนฟางชวนพูดถึงเรื่องอื่น แต่ดุสิตยังไม่ยอมผละจากเรื่องของจางหลิน

“ผมเห็นว่าจางหลินเป็นคนดีคนหนึ่ง ผมบูชาเขาอย่างบูชานักบุญ แต่เวลาเช่นนี้ แม้แต่พระเยซูก็หาประโยชน์อะไรไม่ได้ มันเป็นเวลาที่เราจะต้องใช้กำลัง เราจะต้องต่อสู้ เราจะนั่งประกาศสันติภาพอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ผมไม่เห็นด้วย”

ข้าพเจ้าพยักหน้าอย่างที่เข้าใจความหมายของเขา

“จางหลินเกิดมาผิดเวลา” ดุสิตพูดต่อไป “เวลานี้เป็นเวลาที่เราต้องเอาเลือดทาแผ่นดินกันแล้วเราได้พูดกันดี ๆ มานานเรื่องสันติภาพ แต่กองทัพซามูไรเขาได้วางแผนการมานานที่จะเอาประเทศจีนเป็นทาสของเขา จะให้เราทำอย่างไร ในเมื่อเราถูกรุกราน ผมยอมสู้ตาย”

“เป็นเรื่องน่าเห็นใจ”

“ในเรื่องหลักเอกภาพ จางหลินก็เคยพูดถึงระบอบกษัตริย์ ถึงเขาจะไม่ปักความเชื่อถือลงไปในตัวกษัตริย์ เพราะเขาไม่ใช่รอแยลิสต์ แต่เขาก็เคยมีความเห็นว่า ระบอบกษัตริย์เป็นประเพณีเก่าของจีนมาหลายพันปีแล้ว ประเพณีอันนี้เป็นรากเหง้าอันหนึ่งของความเป็นปึกแผ่น เขาอ้างถึงญี่ปุ่นและอังกฤษ ผมไม่เถียง ถ้าเราสามารถจะมึกษัตริย์ที่ดีได้ แต่ที่ผมไม่เห็นด้วยก็เพราะว่าราชวงศ์แมนจูซึ่งไม่ใช่จีนแท้ เป็นราชวงศ์ที่เกือบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ความเหลวแหลกของราชวงศ์นี้ในตอนปลายมือมีอยู่เพียงไร เราก็ได้เห็นประจักษ์กันแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงเชื่อว่า แม้จะรักษาระบอบกษัตริย์ไว้ โดยจับตัวมาไว้ใต้รัฐธรรมนูญเสีย เราก็คงจะรักษาเอกภาพของชาติไว้ไม่ได้อยู่ดี ผมยอมรับว่าประเทศจีนได้สูญเสียเวลาไปอย่างน่าเสียดายในเรื่องสงครามกลางเมือง แต่ถ้าดูตามประวัติศาสตร์แล้ว เราก็ไม่น่าประหลาดใจ ประเทศเก่า ๆ และประเทศใหญ่ ๆ อย่างประเทศของเรา จำเป็นจะต้องมีความผันแปรบ้างตามสมัยเวลา เวลานี้เป็นเวลาของยุคเข็ญ แต่ก็สมควรแล้วที่เราจะต้องทำการผ่าตัดกันบ้าง ประเทศเก่าแก่อย่างเมืองจีน มักจะมีโรคเรื้อรัง เราต้องมีการผ่าตัดกันเป็นการใหญ่ เลือดจะต้องนองคนจะต้องตาย แต่มันเป็นของชั่วคราว วันหนึ่งในไม่ช้าเราจะหายโรคเป็นปรกติ แล้วเราก็จะเจริญรุ่งเรือง มีความสุขกายสบายใจด้วยกัน นี่คือความเชื่อของผม เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่ามันถึงเวลาที่เลือดจะต้องนอง มันถึงเวลาที่เราจะต้องจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้อย่างที่บรรพบุรุษของเราได้ต่อสู้มาแล้ว เราจะนั่งประกาศสันติภาพอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ