๒๕

ธรรมของจางหลิน! ข้าพเจ้านอนคิดอยู่หลายวัน นับตั้งแต่เกิดเรื่องตำรวจเข้าค้นสำนักงานหนังสือพิมพ์ของเขา มีใครบ้างที่สนใจกับความคิดของคนหนุ่มคนหนึ่งที่เกิดมากับการปฏิวัติ อยู่มากับสงครามกลางเมือง เติบโตมากับเลือดและน้ำตา ชีวิตของจางหลินเป็นชีวิตที่ถ้าไม่คิดก็เป็นของธรรมดา เช่นเดียวกับชีวิตของชาวไร่ชาวนาที่อยู่เพื่อจะเป็นทาส และอยู่โดยปราศจากความรู้สึกนึกคิดว่าจะแก้ไขชีวิตของตนให้ดีขึ้นได้อย่างไร จางหลินเกิดมาด้วยปัญญา เขาใช้ปัญญาเพื่อจะหาทางรอดให้แก่ตัวเขาและเพื่อนร่วมโลกร่วมชาติ เขาเกือบจะกินนอนอยู่ในหอสมุด อ่านหนังสืออย่างกว้างขวาง ศึกษางานและชีวิตของมั่วจื่อ, สมิท, รุสโซ, มากซ์, เลนิน, คานธี, วิลสัน, บิสมาร์ก ตลอดจนซุนยัดเซนและเหลียงฉีเชา บุคคลเหล่านี้เป็นเทพเจ้าในความรู้สึกของเขา ความคิดของคนเหล่านี้ไม่เหมือนกันเป็นส่วนมาก แต่ทุกคนเป็นวีรบุรุษผู้มีสัจธรรม ทุกคนซื่อสัตย์ต่อตัวเองและต่อประชาชน กับประเทศชาติ เขาเป็นจอมคน มีอำนาจเหนือจิตใจของคนเป็นอันมากทั่วไปทั้งโลก โดยไม่ต้องเป็นจอมพล จางหลินถือว่าจอมคนเหล่านี้เป็นมหาบุรุษของชาติมนุษย์ เป็นมนุษย์ตัวอย่างที่เขาจะต้องศึกษาวิธีคิดวิธีทำงาน ตลอดจนบุคลิกลักษณะของแต่ละคน สิ่งหนึ่งที่ประทับใจเขาอย่างยิ่งก็คือความกล้าหาญ คือกล้าเผชิญกับความตาย กล้าสละชีวิตให้แก่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของชาติเจ้าของโลก จางหลินเติบโตมากับความเคารพบูชาวีรชนเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงอบรมตัวเองให้เป็นคนกล้า มั่นคงในความคิดที่ตนเห็นว่าถูกต้อง และยอมตายเพื่อความคิดอันนี้ถ้าหากมีความจำเป็น

ในเมืองจีน ตลอดสมัยที่ข้าพเจ้าเร่ร่อนอยู่ในฐานะของนักศึกษาและนักเขียน ข้าพเจ้าได้พบมิตรหรือคนรู้จักที่มีความคิดความเห็นแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ มากคนมีความคลุ้มคลั่งเรื่องชาติอย่างรุนแรง เพราะถูกกดดันอยู่ตลอดเวลาด้วยความรู้สึกที่ว่า จีนถูกชาติจักรวรรดินิยมข่มเหงรังแกมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด และในปัจจุบันก็ยังถูกรังแกอยู่ แม้โลกจะมีสันนิบาตชาติ (The League of Nations) ซึ่งวิลสันได้บากบั่นพากเพียรก่อตั้งขึ้นหลังสงครามพระเจ้าไกเซอร์ แต่สันนิบาตชาติก็ไม่ได้ช่วยอะไรจีน แผนบุกของทานากา ปัญหาซานตุง ปัญหาเซี่ยงไฮ้ ปัญหาแมนจูเรีย สันนิบาตชาติก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย ลัทธิมือใครยาวสาวได้สาวเอายังคงใช้กันอยู่ทั่วโลก อำนาจของปืนยังคงครองโลกครองใจนักการเมืองอยู่ตลอดเวลา เมื่อสันนิบาตชาติก็ช่วยอะไรจีนไม่ได้ ปล่อยให้จีนถูกญี่ปุ่นแล่เนื้อเถือหนังเอาตามเดิม ความคลั่งชาติของชาวจีนก็ยิ่งทวีขึ้นจนกลายเป็นความหลงชาติ กลายเป็นความเกลียดชังซึ่งเป็นการเอาเวรเข้าระงับเวรอย่างที่ช่วยไม่ได้

คนจีนไม่น้อยที่คลั่งชาติยังคลั่งต่อไปถึงการปฏิวัติระบอบเศรษฐกิจ เพื่อทำเมืองจีนให้เป็นโซเวียต คนจีนพวกนี้มักเป็นพวกคนหนุ่ม มีความคิดรุนแรง ต้องการจะทำคนจนให้เป็นคนมี โดยวิธีปลดแอกปลดโซ่ตรวนนายทุนออกจากบ่าและคอของคนจน ซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาเป็นส่วนมาก เราได้พบคนจีนจำพวกนี้ในเรือนร่างของนักปฏิวัติที่มีแนวคิดใหม่ที่สุด แรงที่สุด ก้าวไปไกลที่สุดยิ่งกว่า ดร. ซุนยัดเซนซึ่งเป็นผู้เปิดประดูรับเอเยนต์แห่งความคิดเช่นนี้เข้ามาในประเทศจีน ดร. ซุนยัดเซนได้คิดเพียงแต่ว่าต้องการปลดแอกของฮ่องเต้ออกจากบ่าคนจีน แล้วก็ขับไล่มนุษย์จักรวรรดินิยมออกไปจากเมืองจีน แต่คนหนุ่มพวกนี้ เช่น หลีต้าเจา, หลีซานซาน ตลอดจนเมาเซตุงกับสหาย ได้คิดเลยไปจนถึงกับจะฝังระบอบนายทุนเสียทั่วประเทศ เพื่อปลดแอกนายทุนออกไปจากบ่าของชาวนา นักปฏิวัติของจีนในยุคนั้นซึ่งมี ดร. ซุนยัดเซนนำขึ้นเป็นคนแรกของนักปฏิวัติที่ปฏิวัติสำเร็จ จึงแบ่งออกได้เป็นสองพวกใหญ่ๆ พวกหนึ่งปฏิวัติระบอบฮ่องเต้ อีกพวกหนึ่งปฏิวัติระบอบทุนนิยม ทั้งสองพวก เช่น นักชาตินิยมอย่างรุนแรง มีความรักชาติอย่างมหาศาล คือรักอย่างเสรีชนแบบหนึ่ง และรักอย่างคอมมิวนิสต์อีกแบบหนึ่ง

เมาเซตุงผู้ครองจีนปัจจุบันอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ เป็นนักชาตินิยมที่ต้องการเปลี่ยนระบอบเศรษฐกิจจากทุนนิยมเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ดุสิตผู้มีเลือดจีนผสมและถือกำเนิดในเมืองไทย เป็นนักชาตินิยมที่ไม่มีความคิดเรื่องจะทำเมืองจีนให้เป็นโซเวียต เขามุ่งแต่จะทำเมืองจีนให้เป็นมหาของโลกเสรี โดยอาศัยลัทธิไตรราษฎร์ของ ดร. ซุนยัดเซนเป็นพื้นฐาน แต่ว่าความคิดเรื่องชาติของเขา เป็นความคิดที่รุนแรงตามเลือดของคนหนุ่ม ซึ่งมีการแอนตี้ชาวต่างประเทศที่คิดรุกรานประเทศจีน โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งกำลังจะตะครุบจีนเหนืออยู่ในขณะนั้น ดุสิตเกิดในเมืองไทย ถ้าเขาอยู่ในเมืองไทยเขาก็คงจะคิดอย่างคนไทย และกลายเป็นพ่อค้ามากกว่าจะเป็นนักคิดและนักการเมืองแบบชาตินิยม ที่เทิดทูนเสรีภาพของประชาชนและอิสรภาพของชาติ ดุสิตถูกส่งออกไปศึกษายังประเทศจีนตั้งแต่เด็ก เขาจึงกลายเป็นคนจีนไปเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มีความรู้สึกเพียงว่า เมืองไทยเป็นเพียงเมืองที่เขาอาศัยเกิดเท่านั้น แต่ชาติของเขาคือชาติจีน และเขามีหน้าที่มีความรับผิดชอบต่อชาติจีนของเขา อย่างที่พลเมืองดีผู้หนึ่งควรจะมี

และด้วยหน้าที่กับความรับผิดชอบอันนี้ ซึ่งเคร่งเครียดและรุนแรง ประกอบกับความเกลียดชังคนญี่ปุ่น ซึ่งคิดแต่จะเอาจีนเป็นเมืองขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดุสิตก็ปักใจถือว่าคนญี่ปุ่นเป็นศัตรูของเขา และคนจีนที่คบกับคนญี่ปุ่นก็เป็นศัตรูของเขาด้วย

ดังนี้จางหลิน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เป่ผิงฉือป้าว หรือ Peiping Times จึงกลายเป็นศัตรูอันร้ายแรงของเขาไป และไม่มีทางที่จะช่วยทำให้เขาเป็นมิตรด้วยได้เลย เพราะจางหลินไปคบค้าสมาคมกับพวกญี่ปุ่น โดยเฉพาะนายทามูรา

ดุสิตไม่พยายามเข้าใจธรรมของจางหลิน เขาคิดแต่ว่าจางหลินเป็นคนขายชาติ เพราะไปตรงกับญี่ปุ่น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจางหลินจึงไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามกับญี่ปุ่น ดุสิตคิดแต่เพียงว่า เมื่อญี่ปุ่นรุกจีนก็ต้องสู้ แต่จางหลินคิดว่าชาตินิยมอย่างเดียวจะเอาชนะญี่ปุ่นไม่ได้เลย การคบญี่ปุ่นเพื่อสร้างแนวราษฎรผู้รักสันติขึ้นในเกาะญี่ปุ่นเอง เป็นทางที่จะเอาชนะซามูไรญี่ปุ่นได้ในที่สุดด้วยแรงประชามติ จางหลินเชื่อว่ายังมีคนญี่ปุ่นอีกเป็นอันมากที่เข้าใจดีว่า ญี่ปุ่นจะขาดทุนมากกว่าได้กำไร ถ้าแม้ญี่ปุ่นทำสงครามรุกรานจีน จีนใหญ่เกินไปที่ญี่ปุ่นจะกลืนเข้าไปได้ ญี่ปุ่นจะต้องสำลักและหายใจไม่ออกถ้าขืนกลืนจีนเข้าไป ซึ่งจะติดอยู่เพียงลูกกระเดือกเพราะจะกลืนไม่เข้า

จางหลินเชื่อมั่นในความคิดของมัวจื่อ ปราชญ์เมื่อสองพันปีก่อน คือความคิดที่ว่าความรักชาติมนุษย์เท่านั้นจะช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมโลกกันด้วยความสุขได้ ความรักที่จำกัดขอบเขตเช่นความรักพวกรักตัว เป็นบ่อเกิดของความเกลียดผู้อื่น และเป็นที่มาของความไม่เข้าใจกัน ซึ่งทำให้เกิดสงครามโลกตลอดหลายพันปีในประวัติศาสตร์ ต้องรบราฆ่าฟันกันไม่มีวันว่างวันเว้น ก็เพราะความรักพวกรักตัว ไม่เผื่อแผ่ความรักไปให้ผู้อื่น ความสงบในโลกจะมีไม่ได้เลยถ้ามนุษย์ยังรักตัวและเห็นแก่ตัวอย่างเดียว ความรักตัวเป็นความรักที่คับแคบ โลกจะสันติเพราะความรักตัวอย่างเดียวไม่ได้เลย มนุษย์มีธรรมชาติของจิตให้รักตัว แต่ถ้าจะอยู่ร่วมโลกกันอย่างสงบก็ต้องรักคนอื่นด้วย จางหลินเชื่อว่าชาติมนุษย์ได้หลงฆ่ากันเพราะความรักตัวมานานแล้ว ถ้าจะให้มนุษย์หยุดฆ่ากัน ก็ต้องเผยแผ่ความรักตัวให้กว้างขวางออกไป คีอรักเพื่อนบ้านด้วย ความรักชาติของดุสิต จางหลินเข้าใจ แต่เขาบอกว่ารักชาติอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องรักมนุษยชาติด้วย

แต่ดุสิตว่าถ้าไม่รักชาติรักตัวให้มากที่สุด จีนก็จะรักษาเอกราชไว้ไม่ได้ ชาติต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด และชาติจีนต้องมาก่อนชาติอื่น

นี่คือประเด็นของการขัดแย้งระหว่างจางหลินกับดุสิต

ดุสิตเคยพูดกับข้าพเจ้าว่า จางหลินเป็นศัตรูของชาติจีน มีอันตรายยิ่งกว่าญี่ปุ่น เพราะเป็นผู้ที่ทำให้คนจีนหมดความเข้มแข็งทางใจที่จะต่อสู้กับศัตรู ซึ่งกำลังจะเข้ามายึดครองชาติจีน

ข้าพเจ้าถามเขาเป็นภาษาไทยว่า

“คุณไม่คิดบ้างหรือว่า การสร้างแนวต่อต้านขึ้นในญี่ปุ่นเอง ก็ควรจะทำได้ตามความคิดของจางหลิน”

“คุณรู้จักญี่ปุ่นน้อยไป” ดุสิตตอบ “ญี่ปุ่นไม่ต่อต้านกันเอง ความสามัคคีของเขาเป็นเลิศ เรื่องจะมีแนวต่อต้านกันเองจนเกิดปฏิวัติกำจัดพวกขวาไปนั้น อย่าได้หวังเลย อาจมีคนไม่เห็นด้วยกับพวกซามูไรที่คิดจะยึดครองจีน แต่คนเหล่านี้มีเพียงหยิบมือเดียว แล้วก็จะไม่ต่อต้าน เพราะ ญี่ปุ่นทุกคนรักชาติของเขามากกว่าชาติอื่น ความคิดของจางหลินที่จะเอาอย่างมั่วจื่อไม่มีทางสำเร็จ มันไม่ใช่สมัยที่จะมาคิดถึงความรักชาติมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า Universal Love ทุกวันนี้เป็นสมัยของชาตินิยม คุณดูมุสโสลินี ดูฮิตเลอร์ ดูทานากา คุณไม่ควรแปลกใจถ้าผมจะพูดว่า ความรักชาติคือทางออกทางเดียว พวกเราชาวจีนถ้าเราเผื่อแผ่ความรักไปให้ผู้อื่น เราจะล้มชาติอย่างคนทรยศ ผมจะไม่ยอมให้คนทรยศคนไหนล้มชาติจีนของเราอย่างเด็ดขาด”

ข้าพเจ้าเป็นคนไทย จึงได้แต่ฟังดุสิตกับจางหลินพูดด้วยใจเป็นกลาง คนทั้งสองมีเหตุผลด้วยกันทั้งคู่ แต่เวลาเท่านั้นจะตัดสินว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกต้อง

แล้ววันหนึ่งก็ผ่านมา ข้าพเจ้าไปเยี่ยมจางหลินที่สำนักงานเป่ผิงฉือป้าวของเขา ทามูรากำลังนั่งอยู่ที่นั่น คุยอยู่กับจางหลินในห้องทำงานตามลำพังสองต่อสอง สีหน้าของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

ข้าพเจ้าเป็นแขกที่ไปมาบ่อย และเป็นผู้พบนายทามูราบ่อย ๆ จึงไม่ทำให้การสนทนาของคนทั้งสองต้องชะงัก เมื่อข้าพเจ้าเคาะประตูโผล่เข้าไป

ทามูรากำลังได้รับคำบอกเล่าจากจางหลินว่า ตำรวจจะปิดหนังสือพิมพ์เป่ผิงฉือป้าวของเขา ฐ ฐานลงพิมพ์ความเห็นที่เป็นภัยต่อชาติจีน คือความเห็นเรื่องอันตรายที่เกิดจากการแสดงความรักชาติอย่างรุนแรงด้วย การแสดงความเกลียดชังทำร้ายญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ในเมืองจีน ซึ่งจะกลายเป็นชนวนให้ญี่ปุ่นรุกรานจีนเร็วขึ้น รัฐบาลจีนหาว่าจางหลินพูดเป็นฝ่ายญี่ปุ่น และพวกนักศึกษาส่วนใหญ่ที่กำลังคลั่งชาติก็กำลังโกรธแค้นจางหลินมาก

“ฉันว่าขณะนี้อย่าพูดถึงญี่ปุ่นเลยจะดีกว่า” ทามูราเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง

“ดุสิตพบฉันเมื่อวานซืน” ข้าพเจ้าพูดอย่างห่วงใย “เขาไม่ยอมเข้าใจความคิดเห็นของเธอ”

“ช่วยไม่ได้” จางหลินพูดเสียงปกติ แต่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง” ฉันทำถูกต้องแล้ว ฉันก็รักชาติจีนไม่น้อยกว่าดุสิต ฉันเขียนฉันพูดก็เพื่อความปลอดภัยของชาติจีน ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นชาติอื่น ฉันมีความเห็นเรื่องความรักชาติ ก็เพราะเป็นห่วงว่าถ้าเรารักชาติอย่างหลับตา เราจะล้มชาติของเราเอง เวลานี้เราสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ เมื่อสู้ไม่ได้ก็ควรหาทางที่เราจะชนะเขาได้อย่างสันติ เราไม่ควรไปเกลียดเขา เพราะความเกลียดจะช่วยให้เขาหาเรื่องกับเราได้มากขึ้น เรื่องการทำร้ายชาวญี่ปุ่นที่เซี่ยงไฮ้เมื่อสัปดาห์ก่อน ญี่ปุ่นก็ประท้วงเข้ามาแล้ว มันอาจเป็นชนวนสงครามก็ได้ แล้วเราพร้อมหรือที่จะทำสงครามกับญี่ปุ่น?”

ข้าพเจ้าชำเลืองมองดูหน้าทามูรา เขานิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลย

จางหลินจึงกล่าวต่อไป

“ดุสิตเป็นเด็กมากไป รักชาติอย่างรุนแรง มองไม่เห็นความหวังดีของคนอื่น ฉันวิตกเหลือเกินว่านักศึกษาของเราทุกวันนี้ กำลังทำอันตรายให้เกิดแก่ชาติจีนอย่างน่ากลัวมาก นักศึกษาพวกหนึ่งรักชาติอย่างหลับตา เรียกร้องให้ประชาชนแอนตี้ญี่ปุ่น เรียกร้องให้รัฐบาลทำสงครามกับญี่ปุ่น มันเรื่องของการฆ่าตัวตายทั้งนั้น นักศึกษาอีกพวกหนึ่งลงไปอยู่ใต้ดินคิดล้มรัฐบาล คิดจะตั้งโซเวียตซ้อนขี้นมาในเมืองจีน เขาเชื่อว่าการเป็นคอมมิวนิสต์จะช่วยชาติจีนได้ เพราะจะได้กำลังจากรัสเซีย ฉันมองไม่เห็นว่ารัสเซียจะซื่อตรงต่อเราได้อย่างไร เราจะเสียเอกราชแก่รัสเซีย กลายเป็นดาวบริวารของรัสเซีย ถ้าเราขืนคบรัสเซีย”

ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นในห้องกลางชั้นล่าง แล้วก็มีเสียงฝีเท้าคนหลายคนวิ่งขึ้นบันไดมา เหตุการณ์ที่เราเคยกลัวคงจะกำลังเกิดขึ้นแล้วในสำนักงานหนังสือพิมพ์ของจางหลิน!

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ