๑๔
ข้าพเจ้าสนใจกับคนกลุ่มนั้นเพียงเล็กน้อย เพราะไม่ทราบว่าคำพูดของเขาหมายถึงอะไร แต่ดูเหมือนจวนฟางจะสนใจอย่างเต็มที่ หล่อนนั่งนิ่ง จ้องดูจนกระทั่งคนเหล่านั้นเดินผ่านลับดาไป
“เธอพบพี่จางบ้างไหม?” ในที่สุดหล่อนถามขึ้น
“ฉันไปหาเขาเสมอ” ข้าพเจ้าตอบ “ดูเขาจะมีอะไรยุ่ง ๆ ใจอยู่”
“ก็ตามเคยของเขา ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ควรจะมาเกิดในเมืองจีน”
“ทำไม” ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ
จวนฟางยิ้มเศร้า ๆ
“เขาควรจะไปเกิดในโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกนี้“ หยุดหัวเราะอย่างตั้งใจ “ฉันอาจจะนับถือเขามากเกินไป จนกระทั่งเผลอคิดไปว่าเขาเป็นพระเจ้าของฉันก็ได้”
“เขาก็มีอะไรที่เธอควรจะนับถือไม่ใช่หรือ?”
“มีมากทีเดียว แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าความเห็นของฉันจะถูกต้องเสมอไป ฉันอาจมีความลำเอียงก็ได้”
“แต่จางหลินเป็นคนน่ารักมากสำหรับฉัน”
“แต่คงจะไม่ใช่สำหรับคนหมู่หนึ่งที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับเขา”
“เธอหมายถึงใคร?”
“พวกคณะชาติ”
“ฉันเคยได้ยินเรื่องพวกเกรย์เชิ้ตบ่อย ๆ”
“นั่นแหละ”
เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง แล้วจวนฟางก็พูดต่อไป
“ความจริงฉันอยากจะพูดว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเจตนาดีด้วยกัน ไม่มีฝ่ายใดที่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเกณฑ์ พวกเกรย์เชิ้ตต้องการจะต่อสู้เพื่อชาติของเรา ประเทศจีนถูกรุกราน เธอก็รู้อยู่ พี่จางก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการความสงบของโลก ต้องการความยุติธรรมที่มนุษย์ควรจะให้แก่กัน เขาต้องการจะแก้ปัญหาที่รากฐาน เขามีความเห็นว่าการแก้ปัญหาด้วยการส่งเสริมลัทธิชาตินิยม เป็นแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น มันเท่ากับการสาดน้ำรดกัน ผลที่ได้รับไม่ใช่ผลที่ถาวร เพราะผู้แพ้ได้แพ้ด้วยความเกลียด วันหนึ่งก็จะต้องลุกขึ้นมาใหม่ และการแก้แค้นก็จะต้องมีขึ้นอีก สู้ขุดรากของสงครามทิ้งเสียไม่ได้ ไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหากันบ่อย ๆ”
“ฉันไม่ประหลาดใจว่าทำไมจางหลินจึงเป็นพระเจ้าของเธอ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น “ความคิดของเขาไปไกลเหลือเกิน มันจะสำเร็จได้ยากในเมื่อทุกวันนี้การตัดสินใจของประเทศเกือบทุกประเทศในโลก หาได้มาจากมติมหาชนไม่ ฉันเข้าใจว่าลัทธิชนหมู่น้อยปกครองชนหมู่มากยังมีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โลกเต็มไปด้วยประชาธิปไตย”
จวนฟางถอนใจเบา ๆ อาการนิ่งของหล่อนแสดงให้เห็นความหนักอึ้งบางประการที่ถ่วงอยู่ในใจ
ข้าพเจ้าพูดต่อไปอีก
“ทุกวันนี้ฉันมองดูโลกด้วยความเศร้าหมอง มันเป็นโลกของความเกลียดชัง ไม่ใช่โลกของการร่วมมือร่วมใจอย่างสุจริต ฉันเกลียดพวกนักการทูตนักการเมืองที่ทำตัวเป็นผู้ดีแปดสาแหรก เขาพูดถึงสันติภาพ พูดถึงการเสียสละประโยชน์ส่วนตัว แต่ในใจจริงของเขาไม่มีอะไรเลย มีปากก็พูดไป–พูดไป แต่พอถึงบททำแล้วก็ไปเสียอีกรูปหนึ่ง คนพวกนี้เป็นผู้กุมอำนาจของบ้านเมือง อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือของเขา อำนาจที่ว่าเป็นของราษฎร เป็นของประชาชน แต่เธอคิดหรือว่า อำนาจเหล่านี้เป็นของประชาชน?”
จวนฟางสั่นศีรษะไม่ตอบว่ากระไร ด้วยความเห็นอกเห็นใจ หล่อนรักจางหลินหรือ? แล้วข้าพเจ้าก็นึกถึงดุสิต ชายผู้นี้หนุ่มกว่า มีชีวิตแจ่มใสมากกว่า และมีความสนิทสนมกับหล่อนไม่น้อยกว่า เขาไม่ควรจะได้รับความรักอันมีค่าของจวนฟางด้วยดอกหรือ?
แล้วเราก็ชวนกันกลับ ข้าพเจ้าเดินไปส่งจวนฟางที่หอนอนของหล่อน คือซานย่วน ซึ่งแวดล้อมไปด้วยต้นหลิวที่กำลังผลิใบ
ข้าพเจ้าเดินกลับตึกเพื่อจะพักนอน แต่ขณะที่ผ่านหน้าต่างด้านนอกบานหนึ่งของตึกซานโหลว ซึ่งเป็นตึกที่ดุสิตพำนักอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนพูดกันดังออกมาจนได้ยินถนัด เสียงนั้นแสดงความโกรธแค้นเต็มไปด้วยความดุเดือด
“ขอให้เชื่อเถิด อีกไม่ช้ามันก็จะยึดแมนจูเรีย ไอ้ทามูรามันก็สปายดี ๆ นี่เอง เราจะนั่งรอดูมันยึดแมนจูเรียเช่นนั้นหรือ?”
คนที่ห้อยเท้าอยู่ทางปลายเตียงเอ่ยขึ้นว่า
“ฉันก็เชื่อเช่นนั้น คงไม่ใช่ที่อื่นนอกจากแมนจูเรีย”
เฉินจงหัวเราะ
“แมนจูเรีย! เซรายาโวของตะวันออก!”
ดุสิตยกมือขึ้นกอดอก กัดกรามนูน
“ถูกแล้ว แมนจูเรีย! แต่ต้องไม่ลืมว่าสงครามคราวนี้ไม่ใช่เมื่อสามสิบปีก่อน เรามีกำลังพอที่จะสู้ได้ถึงเราจะหวังชนะได้ยาก ข้อสำคัญมันอยู่ที่พวกเรา ปัญหามีอยู่ว่าเราพร้อมหรือยังที่จะลุกขึ้นพร้อม ๆ กัน” เขาหยุดคิดในท่าตรึกตรอง “เราต้องเริ่มทำงาน เราต้องลงมือเดี๋ยวนี้ ถ้าคนหนุ่มอย่างพวกเราไม่เอาเรื่อง ชาติของเราก็หมดหวัง ทางกวางตุ้งตอบมาว่าอย่างไร?”
เฉินจงชักลิ้นชักออกมา แล้วล้วงเอาจดหมายซองใหญ่ส่งให้ดุสิต เชารับมาคลี่ออกอ่าน สักครู่จึงพูดว่า
“พวกเราทางมหาวิทยาลัยซุนยัดเซนในกวางตุ้งก็มีความเห็นเหมือนกับเรา นี่เรากำลังรอทางหันเค้าและเซี่ยงไฮ้อยู่อีกสองแห่ง แต่คงไม่ขัดแย้งอะไรกันหรอก”
“ประชุมใหญ่เมื่อไหร่?” คนที่นั่งอยู่บนเตียงถามขึ้น
“เข้าใจว่าภายในเดือนนี้ ต้องรอผู้แทนมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้ครบเสียก่อน ที่รอก็มีทางหันเค้ากับเซี่ยงไฮ้เท่านั้น”