ในสมัยก่อนสงครามโลกคราวนี้ ข้าพเจ้าได้เคยพูดถึงความเห็นแก่ตัวซึ่งฟักตัวอยู่ในความหลงชาติ หลงพวก ข้าพเจ้าเคยพูดถึงคณะเชิ้ตสีดำ เชิ้ตสีน้ำตาล เชิ้ตสีน้ำเงิน ตลอดจนเชิ้ตสีเทา ที่มีอุดมคติเรื่องชาติอย่างร้อนแรง ข้าพเจ้าได้เคยแสดงความเห็นว่า เสื้อเชิ้ตเหล่านี้จะจุดชนวนสงครามขึ้นในวันหนึ่ง ความหลงชาติจะทำร้ายชาติมนุษย์อย่างแสนสาหัส ความหลงชาติจะทำให้โลกกลับไปสู่สมัยหินอีกคราวหนึ่ง–สมัยที่อำนาจอยู่เหนือธรรม–สมัยของใครดีใครได้และทีใครทีมัน วันคืนได้ผ่านไป ครั้นแล้วเชิ้ตสีน้ำตาลกับเชิ้ตสีดำก็จุดชนวนสงครามขึ้นในยุโรป คลังดินระเบิดมหึมาได้ระเบิดออก ยุโรปลุกเป็นไฟ และไฟนั้นได้แลบลามมาเผาผลาญบ้านของเราชาวผิวเหลืองเป็นเวลานานถึง ๔ ปี

นั่นเป็นเรื่องของเสื้อเชิ้ตสีต่างๆ–เรื่องของความเห็นแก่ตัว–เรื่องของความหลงชาติ เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วแก่โลกมนุษย์ตลอดเวลา ๒-๓ ปีมานี้ ได้เป็นบทเรียนที่สอนเราว่า ความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นสันดานของคนสืบต่อ ๆ กันมาตั้งแต่สมัยหินคือหลุมฝังศพของชาติมนุษย์ ความเจริญของวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นทาสที่ดีที่สุดของอสุรสงคราม ได้ช่วยให้เราขุดหลุมฝังศพได้รวดเร็วขึ้นเสมอ เราไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมโลกของเราได้ตายไปกี่สิบกี่ร้อยล้านเพราะสงครามคราวนี้ แต่เรารู้ว่าเพชฌฆาดที่ทำลายชีวิตคนเป็นจำนวนล้าน ๆ ครั้งนี้ก็คือเจ้าของเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล สีดำ และสีอื่น ๆ อีกหลายสี

แม้ว่าข้าพเจ้าจะได้กลับมาอยู่ในเมืองไทยกว่าสิบปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังจำเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเสื้อเชิ้ตสีหนึ่งได้อย่างแม่นยำ เสื้อเชิ้ตสีนี้คือเสื้อเชิ้ตสีเทา

ข้าพเจ้ายังจำเช้าตรู่วันนั้นได้–คือวันที่ข้าพเจ้าออกจากปักกิ่ง ตรงไปยังมหาวิทยาลัยเยียนจิงซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่โตแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมหานครปักกิ่ง ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าวันนั้นจะเป็นวันตั้งต้นของหัวเลี้ยวอีกเลี้ยวหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้า คือหัวเลี้ยวที่นำข้าพเจ้าไปพบกับเสื้อเชิ้ตสีเทา!

ในเมืองจีน แม้ว่าปรัชญาของมั่วจื่อที่ว่าด้วยลัทธิปั๋วอ้าย คือความรักมนุษยชาติ (Universal Love) จะเป็นกำแพงที่กั้นกางขวางหน้าไม่ให้ชาวจีนหลงชาติของตนเกินไปก็ดี และถึงแม้ว่าความรู้สึกอันเป็นหมวดหมู่กลุ่มก้อนในเรื่องชาติจะมีอยู่ไม่มากนักในชีวิตจิตใจคนจีนในสมัยก่อนๆ ก็ดี แต่ความบีบคั้นของมหาอำนาจที่กระทำต่อชนชาติจีนเรื่อยมาตั้งแต่สมัยสงครามฝิ่น (Opium War 1840) ได้เป็นเหตุสำคัญยิ่งที่ทำให้ชาวจีนบังเกิดความรู้สึกในเรื่องชาติของตนหนักหน่วงยิ่งขึ้นทุกวัน จนกระทั่งลัทธิชาตินิยมได้ฟักตัวขึ้นโดยเกือบจะไม่มีใครรู้สึก การศึกษาตามแผนตะวันตกเป็นเรี่ยวแรงอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยผลักดันจีนใหม่หลังการปฏิวัติเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ ให้จมดิ่งไปสู่ก้นเหวแห่งลัทธิชาตินิยมอันร้อนแรง ข้าพเจ้าเห็นใจชาวจีนเป็นที่สุดที่ต้องลุกขึ้นป่าวร้องให้พี่น้องของเขาเลิกล้มลัทธิรักแซ่ (Clannism) เสีย และให้ใช้ลัทธิชาติแทน ทั้งนี้เพื่อจะได้รวมกันให้เป็นปึกแผ่นทั้งชาติสำหรับที่จะต่อต้านกับอำนาจอธรรมที่กำลังคืบคลานเข้ามาปล้นคนจีนต่อหน้าต่อตา ความศิวิไลซ์ทั้งปวงที่ซ่อนอยู่ในเสื้ออกแข็งของท่านนักการเมืองประเทศมหาอำนาจบางประเทศในศตวรรษนั้น จีนก่อนการปฏิวัติเป็นจีนที่ขาดความเป็นปึกแผ่นด้วยประการทั้งปวง ดร. ซุนยัดเซนเคยกล่าวไว้ว่า จีนสมัยนั้นเป็นแต่เพียงแผ่นทรายร่วนที่คุมกันไม่ติด ชาวจีนได้ทุ่มเทความรักของตนลงไปในกลุ่มพวกพ้องวงศ์ตระกูลที่จับกลุ่มอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนร้อยจำนวนพันในละแวกบ้านละแวกหนึ่ง ๆ ความรักและความเป็นปึกแผ่นนี้ไม่ได้ขยายตัวออกไปจนถึงประเทศชาติและไม่แต่ไม่ขยายตัวเท่านั้น ชาวจีนบางหมู่ยังใช้ความรักวงศ์ตระกูลหรือแซ่นี้ เข้าเข่นฆ่ากันอีกระหว่างแคว้นต่อแคว้น ลัทธิรักแซ่ (Clannism) ได้ทำให้สงครามระหว่างแซ่หรือ Clan เกิดขึ้นเนือง ๆ บางครั้งแคว้นต่อแคว้นหรือตำบลต่อตำบล ได้ใช้เวลารบพุ่งกันนับด้วยจำนวนปี จนกระทั่งชายฉกรรจ์ต้องล้มตายไปเกือนหมดสิ้น เหลือแต่เด็กผู้หญิงและคนแก่จึงได้เลิกรากันไป ดร. ซุนยัดเซนเป็นตัวแทนของจีนใหม่ ที่พยายามระงับสงครามระหว่างแซ่นี้เสียและนำลัทธิรักชาติแผนใหม่ฉีดเข้าไปในจิตใจของจีนใหม่ ด้วยวิธีให้การศึกษาอบรมแบบชาวตะวันตก ตลอดจนการโฆษณาชักชวนทุก ๆ อย่างที่สามารถจะทำได้ ผลที่เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสิบกว่าปีหลังจากการปฏิวัติเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ ก็คือลัทธิชาตินิยมได้แผ่คลุมไปตั้งแต่ซินเจียงจนถึงเซี่ยงไฮ้–ตั้งแต่แม่น้ำมังกรดำในดงหิมะของแมนจูเรียจนถึงเกาะไหหลำ!

แต่ลัทธิชาตินิยมที่คัมภีร์ซานหมินจู่อี้ของ ดร. ซุนยัดเซนได้ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดของจีนใหม่นี้ แท้จริงก็เป็นการรักชาติตามปรกติธรรมดา เช่นเดียวกับลัทธิรักชาติในประเทศอื่น ๆ ทุกคนที่เกิดมาย่อมมีสิทธิที่จะรักชาติของตน ดร. ซุนเพียงแต่ขอร้องให้ชาวจีนใช้สิทธิอันนี้ตามสมควรเท่านั้น ท่านมิได้มุ่งหมายจะให้ชาวจีนใช้สิทธิอันนี้จนเกินขอบเขตลัทธิปั๋วอ้ายของมั่วจื่อเมื่อยุคหลายพันปีก่อน ที่ว่าด้วยความรักมนุษยชาติได้แสดงตัวออกมาในแนวปรัชญาของ ดร. ซุนหลายตอน ซึ่งตนเองอาจไม่รู้สึกก็ได้ ดร. ซุนเคยพูดถึงการร่วมมือของชนชาติอ่อนแอ–เคยพูดถึงสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองอันเกิดจากการที่มนุษย์ทั้งปวงได้มีการร่วมใจกันและเห็นใจกัน ข้าพเจ้าเชื่อว่า ดร. ซุนยัดเซนมิได้มุ่งถึงลัทธิรักชาติอย่างรุนแรง อย่างที่เราได้เคยพบในประเทศเยอรมนีและอิตาลีสมัยหนึ่ง ทั้งนี้เพราะ ดร. ซุนย่อมรู้ดีว่า ลัทธิรักชาติแบบนั้นคือแม่ของลัทธิจักรพรรดินิยม ที่ล้างผลาญความเจริญสุขของชาติมนุษย์ มิได้เป็นคุณแก่โลกเลย

อย่างไรก็ดี การเติบโตของความรู้สึกนึกคิดย่อมจะต้องมีอยู่ ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่หยุดคิด ประเทศจีนหลังจากการปฏิวัติใหญ่เมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ ยังคงได้รับการกดขี่ย่ำยีจากต่างประเทศอยู่เสมอมา ทุกคนยังจำเหตุการณ์ในแหลมซานตุงสมัยสงครามไกเซอร์ได้ดี คำขาด ๒๑ ข้อที่จีนได้รับจากญี่ปุ่นในระยะนั้น ทุกคนก็ยังจำได้แม่นยำ การขยายแถวยิงนักเรียนชายหญิงจีนในเซี่ยงไฮ้ ก็ยังเป็นเรื่องที่พูดกันอยู่ ครั้นแล้วแมนจูเรียก็ถูกยึดโดยกองทัพแห่งประเทศอาทิตย์อุทัยใน ค.ศ. ๑๙๓๒–ฯลฯเหตุการณ์เหล่านี้ได้กระตุ้นเตือนให้ชาวจีนบางหมู่ที่ทนความเจ็บช้ำไม่ไหว บังเกิดความรู้สึกในเรื่องชาติอย่างรุนแรง จนกระทั่งในที่สุดลัทธิชาติอย่างนี้ก็แสดงตัวออกมาในเสื้อเชิ้ตสีเทา!

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ