วอไวพจน์

๏ วรวากย์จะวากย์เว้า วอไว พจน์แฮ
ลำดับนับเรียงใน ถิ่นท้อง
ตั้งต้นแต่วนไป จวบจบ เกยนา
กลอนเปลี่ยนแปลกบอพ้อง ยักย้ายยานี ๚ะ

ยานี ๑๑ ตั้งต้นวนคำไทย คือพูดใช้ว่าวนเวียน น้ำวนชลดาษเดียรถ์ น้ำเปลี่ยนเปลี่ยนเป็นวนกลม ๏ สนละวนจะวุ่นวาย ด้วยการนายเกณฑ์ระดม กังวลทุกข์ระทม เป็นห่วงใยอาไลยกัน ๏ กังวลก็คำไทย สกดใช้ควรสามัญ แต่เห็นมักเหียนหัน ลอสกดบทอะไร ๏ คิดค้นดูต้นเหตุ ไม่สิ้นเขตรที่สงไสย เขียนตามตามกันไป ชอบอย่างไรก็ผ่อนตาม ๏ คำวนในบาฬี ดูไม่มีที่ใช้ความ มีแต่วนสยาม เช่นจำแนกแจกจำนวน ๚ะ

วัน วันไทยที่ใช้กัน ไปหลายวันก็จวบจวน รายวันเกบประมวญ พอบรรจบครบเจ็ดวัน ๏ คำไทยใช้สำเหนียก สมมุตเรียกดวงสุริยัน ทุกผู้รู้ทั่วกัน ว่าตาวันรอนรำไร ๏ หนึ่งคำที่ใช้กัน ว่ารางวันนี่คำไทย เห็นเขียนเปลี่ยนแปลงไป ลอสกดในบทกลอน ๏ สาวันว่าเดือนเก้า มคธเค้าคำครูสอน วันว่าป่าดงดอน คำบทกลอนว่าไพรวัน ๏ เวฬุว่าไม้ไผ่ ประสมใช้เข้าด้วยกัน คือว่าเวฬุวัน ป่าไม้ไผ่ได้ คำแปล ๏ ปทุมวันพูดพันพัว ว่าป่าบัวโดยกระแส มะม่วงมากเหลือแล เรียกนามแน่ว่าอัมพวัน ๏ สวนราชอุทยาน นามขนานเป็นสำคัญ เรียกว่านันทวัน แปลว่าสวนชวนชื่นชม ๏ เชตวันพระวิหาร ชื่อไขขานนามนิยม พระเชตลูกเธอธม เป็นเจ้าของพ้องพระนาม ๏ ไพรวันพนมวัน เป็นชื่อชั้นป่าระนาม ป่าสูงฝูงคนขาม เขาเรียกว่าพระหาวัน ๏ ของงามยามเพ่งพิด เจิมจูงจิตรเกษมสันต์ ควรเรียกว่าลาวัน แปลว่างามทรามสุกใส ๏ รำพันวันเหล่านี้ สกดชี้เช่นคำไทย สำเนียงก็บไกล จัดเป็นหมู่ดูง่ายดี ๏ สุวรรณแปลว่าทอง สุกเรืองรองงามรุจี เบญจะวรรณว่าห้าสี วรวรรณว่าสีงาม ๏ คำว่าเสวตรวรรณ แปลคำนั้นโดยสยาม ว่าสีขาวโพลงพลาม เช่นชื่อช้างอ้างพอเห็น ๏ สังขะวรรณว่าสีสังข์ โปรดให้ตั้งวานรเป็น คำบอกนอกประเด็น เข้าสมทบบรรจบกัน ๏ กุเพรมหาราช นามประกาศเวศสะวรรณ์ เป็นนายยักษ์อนันต์ เนาด้านเหนือเมรุสิงขร ๏ อายุแลวรรณะ คำนี้พระมักให้พร สาธกอุทาหรณ์ พวกรอหันวรรณณอคุณ ๏ หนึ่งว่าป่าหิมวันต์ มีสำคัญภูเขาขุน น้ำค้างคือพรุณ โปรยปรายสาดไม่ขาดสาย ๏ จึ่งเรียกหิมวันต์ ตอการันต์เป็นที่หมาย จะเรียกโดยคำกลาย นั้นเขาว่าป่าหิมพานต์ ๏ อภิวันท์ว่าไหว้นบ อย่างเคารพว่ากราบกราน สกดตามบุราณ สกดนอทอการันต์ ๏ เกวะละคำบาฬี แผลงใช้มีว่าไกวัล บอกแจ้งแห่งสำคัญ ไว้ประกันความลืมหลง ๏ จะเขียนให้ถูกบท ลอสกดใช้ให้คง ความแปลโดยจำนง ว่าทั้งหมดล้วนสิ้นเชิง ๏ เถาวัลิพันกิ่งไม้ เลื้อยขึ้นคลุมเป็นซุ้มเชิง ลัดาวัลิเถลิง เลื้อยขึ้นรอบครอบพฤกษา ๏ เถาวัลิลัดาวัลิ ใช้เช่นกันสองวาจา สกดตัวลิพา ให้สว่างทางคำแปล ๚ะ

หวัน คำว่าดาราหวัน เสียงขันขันผิดกระเส เป็นพากย์ชวาแปล ว่าสีดาววาวสุกใส ๏ ไอสวรรยว่าสมบัติ ว่าให้ชัดความเป็นใหญ่ เติมคำว่ามะไห สวรรย์เล่าเค้าเดียวกัน ๏ ตัวเดิมอิศริยะ เชิงสกะฏะเกิดรอหัน จึ่งเป็นไอสวรรย์ ยอการันต์คงอยู่ปลาย ๏ สัคคะว่าสวรรค์ รู้ด้วยกันอยู่มากหลาย สัคคะกลับคำกลาย เป็นสวรรค์นั้นด้วยแผลง ๏ วิธีสังสกฤษฎ์ โดยบัณฑิตย์ท่านแสดง มีคอการันต์แผลง ท้ายรอหันหมั่นวิจารณ์ ๏ แปลว่าส่วนดีเลิศ ศุขประเสริฐบมิปาน ลัทธิบางอาจาริย์ ว่าของเกี่ยวเหนี่ยวอารมณ์ ๏ เถลิงถวัลยราช คำนักปราชผู้อุดม ชักคำกัมพุชสม ทบมคธบทแปลแปลง ๏ ถวัลยนั้นว่าทรง คู่ธำรงเป็นคำแผลง กัมพุชคำสำแดง ว่าทรงราชดาษดื่นไป ๏ สยามความตลาด เสวยราชปราศเภทไภย เขมรเทียบกับไทย พอเป็นอย่างอ้างพยาน ๚ะ

วาน สยามตามสังเกต พูดอ้างเขตรว่าวันวาน ถ้าเนิ่นล่วงวันนาน มักอ้างขานว่าวานซืน ๏ หนึ่งพูดว่านายงาน เขาจะวานไปตัดฟืน ฝรั่งนั่งยิงปืน ก้องกังวานสะท้านดัง ๏ เรือต่อติดกงวาน ช่างชำนาญอากึ่งตั้ง ท้องเรือที่น้ำขัง เจาะรูวานธารน้ำไหล ๏ พิศโฉมนางนงคราญ ทรงสังวานงามวิไลย วานห้าภาษาไทย นอนิลใช้สกดตรง ๏ ท่านท้าวมัฆวาน นามขนานท่านผู้ทรง วิเชียรรัตนธำรง คืออมรินทร์ปิ่นดาวดึงษ์ ๏ ตะติยะวารว่า ที่สามคราครบถ้วนถึง ไตรยวารก็คล้ายคลึง ว่าสามครั้งยั่งยืนคำ ๏ บทไตรยทวารว่า กายวาจาจิตรประจำ ต้นเหตุบุญบาปกรรม สามประตูอยู่ในกาย ๏ คำนี่มีมานาน ทุกวันวารใช้มากหลาย ศุภวารเป็นคำหมาย แห่งวันงามฤกษยามดี ๏ วารวารว่าเปลี่ยนผลัด ดุจวันจัดเจ็ดวันมี อาทิตย์ต้นวิถี ท่านเรียกว่ารวิวาร ๏ ศศิวารว่าวันจันทร์ ถัดมานั้นถึงอังคาร เรียกชื่อภุมวาร เป็นที่สามตามเวรเวียน ๏ ถัดถึงพุฒวาร ต่ออังคารเห็นแนบเนียน ครุวารวันเล่าเรียน คือพฤหัศชัดคำไทย ๏ สุกรวารว่าวันสุกร์ โดยทำนุกนับเรียงไป วันเสารเลิศฦๅไชย ชัดคำเรียกโสระวาร ๏ ทั้งเจ็ดหมุนเหมือนจักร ผลัดเปลี่ยนยักย้ายตามกาล อยู่ชั่วกัปกัลป์นาน เจ็ดวันเวียนเปลี่ยนร่ำไป ๏ จึ่งเรียกว่าสับดา หะวารเวียนตามวิไสย ธรรมเนียมแห่งโลไกย ย่อมนับใช้ปีเดือนวัน ๏ คำวารสิบสองบท รอสกดเหมือนเหมือนกัน ความแปลไม่ผิดผัน เปลี่ยนประดนต้นวะจี ๏ ชัชวาลย์ว่ารุ่งโรจ ฉายช่วงโชติรัศมี ตัวลอสกดมี ยอการันต์สรรเสริมปลาย ๏ จักรวาฬสกดมี ฬอบาฬีเป็นที่หมาย ความแปลโดยธิบาย ว่าขอบกลมดังกงเกวียน ๏ ปลาวาฬว่าปลาร้าย ความละม้ายละเมียดเมียน ใช้มาเนิ่นจำเนียร เป็นวาจาภาษาไทย ๚ะ

วิน คำวินห่วงกระวิน พูดใช้ชินกรมคชไกร วิญญาณนั้นคือใจ รู้เจนจัดชัดอารมณ์ ๏ เสียงเอกวิเวกวิณ คือดีดพิณเพราะควรชม พิณนี้รูปรีกลม คือกระจับปี่มีสี่สาย ๏ คำว่าหวังถวิล ใช้ในถิ่นบทกลอนหลาย เป็นคำโบราณกลาย แปลว่าคิดจิตรผูกพัน ๏ เห็นใช้ลอสกด ผิดกับบทคำสามัญ คิดไม่ได้สำคัญ เขียนตามกันต่อต่อมา ๚ะ

เวน มอบเวนสมบัติให้ แด่หน่อไท้โอรสา จารีตกระษัตรา ธิราชมาแต่โบราณ ๏ มุลนายท่านกะเกณฑ์ ให้อยู่เวรประจำงาน กรรมเวรโทษสาธารณ์ จองเวรมาดเมื่อพลาดแพลง ๏ นามท้าวโลกะบาล คำไขขานท่านสำแดง ว่าท้าวกุเวรแรง ฤทธิเรืองเลื่องฦๅนาม ๚ะ

วอน วิงวอนสุนทรหวาน ใช้แต่สารคำสยาม สรวอนชอ้อนงาม อ้อนวอนว่าภาษาไทย ๏ จีวของพระสงฆ์ นับจำนงเข้าในไตรย จะว่าที่จริงไซ้ จีวรว่าผ้าสามัญ ๏ เดี๋ยวนี้มีสังเกต ผ้าวิเศศจัดเป็นขันธ์ คู่สังฆาฏินั้น จึ่งเรียกว่าผ้าจีวร ๏ ธรรมเนียมข้างฝ่ายไทย มักชอบใจคำลดทอน วรวรรณากร ก็เรียกทอนว่าองค์วรรณ ๏ อาวรณคู่อาไลย ความข้างไทยว่าห่วงกัน อาวรณ์จนนอนฝัน คำพูดกันเช่นนี้มี ๏ เนื้อความไม่ถูกแท้ กับกระแสในบาฬี อาวรณเช่นพาที ว่าเป็นเครื่องกีดกั้นบัง ๏ นิวรณคู่อาวรณ์ พากยพจนผ่อนคล้ายหนหลัง คำศับท์นิวระณัง ว่ากั้นกางทางกุศล ๏ อาวรณ์นิวรณ์นี้ เขียนต้องมีตัวประดน การันต์สรรนุสนธิ์ ตัวณอคุณหนุนท้ายคำ ๏ บวรว่าประเสริฐ ที่ล้ำเลิศโลกย์แลธรรม สังวรว่าปิดงำ สำรวมจิตรคิดระวัง ๏ วิวรว่าเปิดเผย แลเฉลยซึ่งวาจัง วิวรทวารวัง เปิดประตูรู้ทั่วกัน ๏ คำวอนสยามบท ทั้งมคธรวบรวมบรร จบแจ้งแห่งสำคัญ สิบเอ็จคำเช่นร่ำมา ๚ะ

วง ที่เตียนทางเวียนวง คนเดินหลงวงไปมา เสมียนเขียนวงกา แลวงรอบขอบอาราม ๏ เช่นนี้วงคำไทย ที่พูดใช้ในสยาม อ่านดูก็รู้ความ ไม่ต้องคิดวินิจตรอง ๏ เขาวงก์ว่าเขาคด ยังอีกบทเป็นชื่อคลอง มหาวงก์ก็เพราะปอง ว่าลำคลองคดเลี้ยวครัน ๏ วงกะแปลว่าคด ต้องในบทกอการันต์ มิใช่คำสามัญ เกี่ยวเป็นบทมคธขอม ๏ เชื้อวงษ์พงษ์นักปราช ทั้งวงษ์ญาติก็ยินยอม ประยุรวงษ์ถนอม ยศศักดิ์ไว้ไม่เสียวงษ์ ๏ ยกนามดวงอาทิตย์ มาต่อติดตามประสงค์ คือว่าภาณุวงษ์ ระวิวงษ์ก็ใช้มี ๏ สุริยวงษ์ก็ว่าชัด วงษ์สะหัศสะรังษี สุรวงษพงษระพี อีกพาทีภาษกรวงษ ๏ อาทิตย์ท่านแจงจัด ยกเปลี่ยนผลัดโดยประสงค์ ประสมเข้ากับวงษ์ เป็นคำใช้ในสยาม ๏ ขัดติยวงษ์นี้ วงษ์ภูมีผู้ทรงนาม เป็นใหญ่ในเขตรคาม ทุกประเทศเขตรมณฑล ๏ ราชวงษานุวงษ์ คือเชื้อพงษ์เจ้าภูวดล วงษชั้นสามัญชน ใช้ดำรงวงษ์สกูล ๏ ร่ำไปไม่สิ้นสุด วงษ์มนุษย์มีมากมูล ผู้รู้จงเพิ่มพูล พจนาสารพัน ๏ บุราณใช้ติดต่อ เขียนษอบอบอกการันต์ นักปราชบางเหล่าผัน ศอคอใช้ในหางเสียง ๏ หนังสือคนไทยอ่าน ไม่ต้องการปลายสำเนียง เป็นแต่ให้เขียนเคียง เป็นพยานอ่านไม่ถึง ๚ะ

วัก วิดวักวารีสาด ถูกคนปราดดุด่าอึง เส้นวักปีศาจสึง วักวาจาภาษาไทย ๏ จัดวรรคปันเป็นตอน จัดอักษรเป็นพวกไป แปลวรรควินิจฉัย ว่าพวกเหล่าเค้าคดี ๏ คำไทยใช้ลวกลวก ว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงมี พูดย้ำซ้ำวาจี ดูเป็นดีด้วยฟังเคย ๏ ภวรรคว่ายอดภพ ตามปรารภคำเฉลย คือภพที่ล่วงเลย กามแลรูปอะรูปี ๚ะ

วาก คำไทยใช้กันมาก เป็นชวากหว่างคิรี ปากน้ำลำนะที มีชวากปากอ่าวนำ ๏ มคธพจนะ วากยะว่าถ้อยคำ วากยเว้าเกลากลอนสำ เหนียกนึกแน่แต่สารา ๚ะ

เวก วิเวกว่าสงัด ความแปลชัดโดยภาษา สังเวคแปลวาจา ว่าสลดทดท้อใจ ๏ วิเวกกอสกด เหมือนกับบทภาษาไทย สังเวคถัดเรียงไป คอสกดบทฝ่ายขอม ๚ะ

วัด ศิศย์วัดสนัดลี้ พ่อแม่ตีก็ไม่ยอม พวกวัดพลัดมาปลอม สงฆ์แปลกวัดงัดง้างกัน ๏ นายช่างจะทำฝา หยิบไม้วาวัดฝาพลัน เสนากับกำนัน ขึงเส้นเชือกชักวัดนา ๏ โองการโปรดดำรัส ให้สารวัดจัดโยธา ยกหัดถ์วัดไปมา แว้งวัดเหวี่ยงเลี่ยงหลีกไป ๏ วัดเหวี่ยงเสียให้พ้น จะขุ่นข้นไปทำไม วัดห้าภาษาไทย บอกอย่างใช้ไว้เป็นทุน ๏ วัฏฏะฏอรกชัฏ แปลโดยอัดถ์ว่าความหมุน กรรมะคือบาปบุญ เรียกกรรมวัฏชัดนามนำ ๏ วิบากคือตัวผล สืบนุสนธิ์ออกแต่กรรม เรียกชื่อโดยถ้อยคำ วิบากวัฏถัดกันมา ๏ กิเลศเครื่องเศร้าหมอง ต้นเหตุคลองคือตัณหา เรียกตามนามสมญา กิเลศวัฏรัดรึงใจ ๏ ทั้งสามเรียกว่าวัฏ เพราะหมุนจัดดังจักรไก ทำสัตวหมุนอยู่ใน สังสารวัฏมัดตรึงตรา ๏ สังข์ทักษิณาวัฏ เขาเลือกคัดที่เวียนขวา เวียนซ้ายเรียกอุตรา วัฏดื่นดายขายไม่แพง ๏ วัฒนะว่าจำเริญ คือยิ่งเกินยศศักดิแสง อายุเจริญแรง เรียกไวยวัฒน์จัดเป็นนาม ๏ ข้อวัตรประฏิบัติ ท่านแจกจัดมากล้นหลาม อนุวัตรว่าเป็นตาม ครามต่างต่างอ้างไว้มี ๏ ธรรมานุวัตรว่า เป็นไปตามธรรมอันดี การเป็นตามโลกีย์ เรียกโลกานุวัตรตรง ๏ อิศรานุวัตรนี้ ว่าเป็นตามอิศรองค์ ผู้เป็นใหญ่ยิ่งยง ในแว่นแคว้นแดนมณฑล ๏ จักรวรรดิวัตรว่า ทางมหากุศลผล เป็นไปเพื่อได้ดล เป็นจักรพรรดิสมบัติหลาย ๏ วัตระว่าเป็นไป จะเขียนใช้อย่าให้กลาย สกดตรปลาย คล้ายการันต์สรรวะจี ๏ วัตตะโดยแบบบท แผลงเป็นพรตใช้ก็มี เช่นคำท่านพาที สืบสร้างพรตต้องอดใจ ๏ สวัสดิประวัติ แปดให้ชัดมาเป็นไทย ความว่าท่านเป็นไป โดยสวัสดิไม่ขัดขวาง ๏ วัดวัฏจัดมาไว้ พอรู้ได้เป็นราวทาง นับคำที่ไว้วาง สิบห้าคำเช่นร่ำขาน ๚ะ

วาด เจอพบหลบวูดวาด ไล่พิฆาฏจนวายปราณ เรือล่องในท้องธาร วัดวาดวุ่นหมุนเป็นวง ๏ จะวาดรูปอะไร รูปใครใครก็วาดลง เล่าเรียนอักษรจง อย่าเกียจคร้านการวาดเขียน ๏ ผัดช้างอาละวาด คนกลุ้มกลาดล่อไล่เวียน โรงร้านรื้อจนเตียน ร้องเว้อว้าโกลาหล ๏ ช้อนปลาสังคะวาด สวิงขาดเข้าตาคน สังคะวาดวังวน แกงฉู่่ฉี่ดีขยัน ๏ วาดวาดเช่นอย่างว่า วาดภาษาไทยสามัญ สกดดอยืนยัน บยักย้ายยืนตามบท ๏ วาตะแปลว่าลม ไทยนิยมเสียงสกด ใช้คำว่าวาตหมด ตอสกดเป็นที่หมาย ๏ เช่นฉัพพิธะวาต คำนักปราชแปลขยาย หกกองลมในกาย แห่งมนุษยสิ้นทั้งผอง ๏ ลมหนึ่งพัดขึ้นมา แต่บาทาถึงสมอง เรียกนามตามทำนอง อุทธังคะมะวาตบน ๏ ลมหนึ่งพัดลงไป ท่อนข้างใต้แห่งสกนธ์ แต่เศียรถึงเท้าดล เรียกอะโธคะมะวาต ๏ อังคานุสารี ลมกองนี้พัดทั่วอาตม์ เป็นลมเกิดแต่ชาติ พัดซ่านผิวหนังกายา ๏ ลมหนึ่งพัดในไส้ ตั้งชื่อไว้ว่าโกษฐา สะยะวาตโดยบา ฬีแถลงแจ้งนามลม ๏ อัศศะวาตปัสศะวาต พจนาดถ์นามนิยม คือกองสองทางลม หายใจออกแลเข้าไป ๏ รวมลมทั้งหกกอง ล้วนลมครองกายภายใน ธาตุวินิจฉัย แสดงชัดจัดเป็นกอง ๏ ชื่อลมนิศวาต ผู้ฉลาดจงตฤกตรอง ระหว่างลมทั้งสอง คืออัดอั้นกลั้นลมปราณ ๏ เชิงชายอนุวาต คำนักปราชหากบรรหาร คือเชิงจิวรพาน พ้องลมพัดสบัดลม ๏ ศรองค์นะรายน์ราช อัคนิวาตนามนิยม ที่สองรองนุกรม บัลไลวาตชาติศรราม ๏ ลมหนึ่งลมดังสาดถ์ สัดถะกะวาตเรียกโดยนาม เชือดตัดหัวใจตาม ตับไตขาดซีวาตสูญ ๏ ลมหนึ่งชื่อเวรัม ภะวาตแขงแรงเพิ่มพูล เพิกพังพฤกษามูล ล้มเนรนาดดาษดาดง ๏ วาตชื่อลมทั้งหมด ตอสกดตัวเดียวคง เขียนใช้อย่าใหลหลง ทำเลอะเลือนเคลื่อนคำครู ๏ มุสาวาทว่าพูดปด อ้อมเลี้ยวลดแลพร่ำพรู หักหาญประโยชน์ผู้ อื่นให้ขาดปราศจากผล ๏ โอวาทว่าคำสอน อุทาหรณ์แบบแยบยนต์ สาสะโนวาทกล เล่ห์คำสอนในสาสนา ๏ พุทโธวาทบวร คือคำสอนพระศาสดา บรมพุทธะภา สิตทุกสิ่งจริงทุกประการ ๏ คำว่าราโชวาท คือบรมราชบรรหาร ตรัสสอนราชบริพาร ให้ประพฤติยุติธรรม ๏ โอวาทสิ้นทั้งหมด ทอสกดหมดทุกคำ นักเรียนควรเพียรสำ เหนียกนึกใส่ใจจำสอน ๏ พวกหนึ่งศอคอสกด จงกำหนดในสุนทร จะชี้อุทาหรณ์ ให้เห็นแจ้งแห่งสำคัญ ๏ อาวาศว่าที่อยู่ คำนี้รู้สังเกตกัน ว่าวัดอารามอัน เป็นที่อยู่หมู่พระสงฆ์ ๏ รังษีสุทธาวาศ นามประกาศโดยจำนง เอาชื่อชั้นพรหมลง มาตั้งนามอารามหลวง ๏ จงรู้ให้แน่ชัด ในชื่อวัดอื่นทั้งปวง ตั้งนามตามกระทรวง ท้ายลงว่าอาวาศชุม ๏ บรมนิวาศวัด ชื่อท่านจัดโดยสุขุม แปลคำไม่คลำคลุม ว่าที่อยู่อย่างยิ่งดี ๏ สังวาศสมสังวาศ คำนักปราชท่านพาที แปลว่าอยู่ด้วยดี แลอยู่กับอยู่ร่วมกัน ๏ ข้างไทยใช้สมพาศ โดยความมาดหมายยืนยัน ชายหญิงร่วมรักหรร ษาภิรมย์ประสมสอง ๏ สมัคสังวาศไซ้ ท่านก็ใช้โดยทำนอง คืออยู่ด้วยปรองดอง ผูกจิตรรักสมัคสมาน ๏ เหล่านี้ศอคอสกด ตามแบบบทแต่โบราณ รู้คำจำวิจารณ์ ให้เจนจัดชัดชินใจ ๚ะ

วิด อักษรกลอนต่อติด แก้ด้วยวิดภาษาไทย เรือรั่ววิดร่ำไป วิดน้ำใส่ในนาดอน ๏ หนึ่งนกต้อยติวิด สยามนิติ์อุทาหรณ์ สำเหนียกสำเนากลอน ทางลิขิตวิดคำขอม ๏ ประวิชว่าแหวนก้อย ของ/*น้องน้อยค่อยถนอม ตัวอื่นอย่าเอาปลอม ชอสกดบทบอกตรง ๏ ชีวิตรความเป็นอยู่ เขียนจงรู้ที่ประสงค์ ตอรอสกดลง ใช้ให้คงคำบุราณ ๏ คำวิตรและประวิตร ของปลื้มจิตรคือธนสาร สกดบทบรรหาร เช่นชีวิตรชนิดกัน ๏ ปวิธธอสกด นี่ก็บทแบบสำคัญ แปลว่าทำสร้างสรร เช่นอารามราชบพิธ ๏ สองคำในหนังสือ วิวิธคือนานาวิธ แปลความเหมือนพิพิธ ว่ามีอย่างต่างต่างเห็น ๏ คำวิดคิดแก้ไข ตามว่าไว้ในประเด็น นับควบรวบรวมเป็น ครบแปดคำจำวิจารณ์ ๚ะ

วุด สยามความที่ใช้ หลบวุดไปมิได้นาน คำเดียวพูดไขขาน นอกนี้ไปไม่มีความ ๏ วุฑฒะคำเจริญ คือยิ่งเกินอายุนาม เจริญด้วยคุณตาม ความสิ่งดีมีในตน ๏ ข้างไทยว่าผู้เถ้า พูดลงเค้าทุกแห่งหน แต่มักใช้ประดน แผลงแยบยนต์ว่าพฤฒา ๏ เหมือนว่าพฤฒาจาริย์ ข้ออ้างขานเคยมีมา คือครูเถ้าชรา เรียกพฤฒาจาริย์ทุกคน ๏ กำหนดโดยบุรุษย์ ไวยวุฒิ์เจริญชน มายุหนุ่มเต็มตน ควรสมสู่มีคู่เคียง ๏ วุฑฒะกับวุฑฒิ โดยคะติตามสำเนียง เป็นคำเดียวกันเสียง แปลกอิอะสระปลาย ๏ รวมแปลว่าเจริญ บยิ่งเกินบคลาศคลาย ถึงว่าผู้เถ้าหมาย เอาอายุเจริญยืน ๏ มีดพร้าแลหอกดาบ ศรกำสาบโล่ห์ดั้งปืน เล็กใหญ่ยิงครืน ๆ เรียกอาวุธทุกสิ่งสรรพ์ ๏ ธอเธอตัวสกด ในมคธตัวเรียงกัน ไม่มีสังโยคันต์ คำอ่านว่าอาวุโธ ๏ เสมียนเขียนยอกย้อน ทอท่านซ้อนเพิ่มภิยโย ผิดจากพากยโว หารแห่งพจน์บทบาฬี ๏ ข้อความตามสมมุต ว่าอาวุธทั้งสี่มี ปรากฏทั่วธาตรี ว่าล้ำเลิศในโลกา ๏ คือแก้ววชิระรัตน์ เป็นคู่หัดถ์ท้าวเทวา นะมินอำมรินทรา เจ้าภพฟ้าสุราไลย ๏ เรียกวะชิราวุธ แก้วสูงสุดฤทธิเกรียงไกร ปรามปราบอรินไพ รีแพ้พ่ายส่ายสงคราม ๏ เวศสะวรรณมหาราช ทรงอำนาจปีศาจขาม ทรงถือตะบองนาม คธาวุธเป็นคู่กร ๏ พระยมอุดมเดช เปล่งไนยเนตรด้วยฤทธิรอน กำจัดดัษกร พ่ายพินาศไม่อาจรอ ๏ เรียกไนยนาวุธ ประเสริฐสุดฤทธิ์เพียงพอ นึกได้ทันใจฅอ เพราะติดต่ออยู่ในตน ๏ อาฬวกยักษ์เป็นโจก มีผ้าโพกฤทธิแรงรน จับขว้างกลางประจน ประจามิตรปลิดชีวี ๏ ขว้างไปในอากาศ ฝนแล้งขาดไปหลายปี อาวุธทั้งสี่มี ปรากฎเลิศในโลกา ๏ แต่ยังไม่สูงสุด เท่าอาวุธคือปัญญา ท่านเรียกว่าญาณา วุธวิเศศรู้เหตุผล ๏ รู้ผิดทั้งรู้ชอบ รู้ประกอบประโยชน์ตน รู้ฆ่ากิเลศจน ได้บันลุพระนฤพาน ๏ ซึ่งว่าเทพาวุธ ของมนุษย์ไม่ปูนปาน ตามเค้าที่เล่าขาน เทพอาวุธวิเศศหลาย ๏ หุ้มแพรในเวรฤทธิ นามรังสฤษดิ์เป็นตัวนายด ชื่อเล่ห์อาวุธหมาย คมดังราชสาตรา ๏ เจ้ากรมแสงหอกดาบ โดยชื่อทราบในสัญญา บัตรตั้งหลวงสรรอา วุธรู้เลือกพระแสงทรง ๏ คาวุตว่าร้อยเส้น ประมาณเช่นเห็นใช้คง คำนี้ท่านจำนง เป็นคาพยุตวิธีแผลง ๏ คำวุธไม่สุดสิ้น แบบรบิลบอกแจ้งแจง นับคำที่สำแดง โดยวิธีสิบสี่คำ ๚ะ

เวด เวดเวดคำสยาม ไม่มีความจะแนะนำ มีแต่พูดคลุมคลำ เวทนาแก่ทารก ๏ เป็นขอมก็มิใช่ จะเป็นไทยก็กระดก ชักมาเป็นสาธก ต้องเกณฑ์ยกเอาเป็นไทย ๏ ไปรเวตคำอังกฤศ ว่าลับปิดเป็นความใน พวกเราก็เข้าใจ พูดกันกลุ้มชุมชัดเจน ๏ หิมเวดคู่หิมวันต์ นี่ใช้กันโดยเกณฑ์เกณฑ์ ประสมสัมผัศเบน บากเยื้องว่าหากลอนพัน ๏ เช่นกับพนาเวด ออกจากเหตุพนาวัน เพื่อให้รับรองกัน จึ่งเหียนหันท้ายวาจา ๏ สังเวชว่าสลด จิตรระทดท้อวิญญา มคธภาษา ชอสกดบทแบบมี ๏ เวทมนต์บ่นสังเกต ร่ายพระเวทวิเศศดี ไสยเวทโดยวิธี ไสยสาตรนักปราชพราหมณ์ ๏ อ่านเขียนเพียรสังเกต ในต้นเหตุเวททั้งสาม ทอท่านสกดตาม แบบบังคับฉบับบรรพ์ ๏ เทเวศรคำมคธ ศอสกดรอการันต์ แปลว่าเทพยอัน เป็นเค้าใหญ่ในนิกร ๏ พระนิเวศน์สมมตตั้ง เป็นช่ื่อวังสถาวร ที่อยู่องค์อดิศร เจ้าแผ่นดินปิ่นประชา ๏ วัดบวรนิเวศน์ อาไศรยเหตุในสมญา ท่านผู้ฐาปนา คือพระบวรราชวัง ๏ นิเวศน์ว่าที่อยู่ แปลก็รู้ได้โดยหวัง สกดศอประดัง นอการันต์สรรวจี ๏ เสด็จประเวศวัง ประเวศยังพระบุรี ประเวศพนาลี ว่าเข้าไปในป่าดง ๏ ประเวศว่าเข้าไป ศับท์นี้ไซ้ใช้ให้คง ศอคอสกดลง ท้ายบอมีที่การันต์ ๏ องค์ท้าวมหาราช นามประกาศเวศสุวรรณ์ อีกนามพระเวศสัน ดรผ่านภพสีพี ๏ รำพันว่าเวตเวด ซึ่งสังเกตตามวิธี นับสิบสองวจี พอจบหมวดตรวจวิจารณ์ ๏ อุส่าห์กำหนดนึก คำตื้นฦกที่ไขขาน จงจำให้ชำนาญ นับว่าปราชชาติเมธา ๚ะ

๏ จบวอไวพจน์เพ้อ รำพัน
ตามแยบแบบยืนยัน เยี่ยงอ้าง
เรียงคำร่ำเลือกสรร สาวสืบ ไว้นา
บกพร่องต้องตั้งค้าง คิดค้นปดนเสริม ๚ะ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ