กอไวพจน์

๏ คำกลอนเรื่องนี้ ให้ชื่อว่าไวพจน์ประพันธ์ ๚ะ

๏ พระยาศรีสุนทระเอื้อ เอาภาร
กอบกิจนุสาสน์สาร ศิศย์ซ้อม
คิดกลอนกระวีการ เพลงกาพย์ นี้นา
ไวพจน์ประพันธ์น้อม นับอ้างออกเสนอ ๚ะ
๏ ไว ไวอย่าวากเว้ วนเรียน ยลพ่อ
พจน์ แนบแบบคำเรียน เรียบไว้
พิ เคราะห์พิครวญเพียร พากผูก พันธ์เฮย
จารณ์ จรดจาฤกให้ ถ่องถ้อยทางแถลง ๚ะ

๏ จะเกลากลอนสอนเด็กเล็ก ๆ หลาย ซึ่งตั้งจิตรคิดหาวิชาชาย แล้วขวนขวายพากเพียรเรียนตำรา ตั้งต้นแต่มูลบทบรรพกิจ ที่สองชื่อวาหนิติ์นิกรสา ระบบถัดที่สามตามสมญา ท่านเรียกว่าอักษรประโยคไนย แล้วถัดถึงสังโยคพิธานสาร กับไวพจน์พิจารณ์ท่านขานไข ตัวสกดบทบ่อนอักษรไทย รวมกันไว้ที่สี่มีสำเนา อุส่าห์เพียรเรียนได้เพียงเท่านี้ จะคลายคลี่เคลื่อนโทษที่โฉดเขลา ที่สงไสยใสสร่างบางบันเทา ไม่ต้องเดาโดนใช้เช่นไทยปลอม คำที่ในสังโยคกับไวพจน์ มักจะมาแต่ข้างบทมคธขอม สู้เพียรคิดค้นหามารอมชอม จัดไว้พร้อมละพ่อหนูดูแล้วจำ จงพิเคราะห์ให้ตระหนักประจักษ์เหตุ แล้วสังเกตอย่าให้คลาศพลาดถลำ ในพวกหนึ่งนั้นจะมีสักกี่คำ ต้องเล่าจำเสียให้แน่อย่าแปรแปลง ในไวพจน์พิจารณ์จัดเป็นหมวด แปลว่าตรวจคำเปลี่ยนเขียนแถลง คำละม้ายคล้ายกันสรรออกแจง บางหมวดแปลงเปลี่ยนกันด้วยสั้นยาว ที่บางพวกแผกด้วยตัวสกด แต่กำหนดคล้ายเสียงสำเนียงกล่าว เช่นคำพูดกาวเกาเดากับดาว เชากับชาวไวพลน์บทวิจารณ์ คำเช่นนี้มีแปลกด้วยยาวสั้น จำสำคัญเลศไนยที่ไขขาน หนึ่งนับหมวดตรวจไตรให้ชำนาญ โดยประมาณ ๒๔ ที่ทำเล ปะกิระณะไวพจน์เป็นบทต้น เค้ายุบลแบบอย่างอย่าห่างเห เกาที่คันกาวเขี้ยวเหนียวแล้วเท นับคะเนครบที่เก้าแล้วก้าวเดิน ตูข้าขอถวายขายขาดค่า อันของดีมีค่าเขาสรรเสริญ ฆ่าให้มันฉิบหายตายยับเยิน เราฟังเพลินเพลงจะเข้มะโหรี จรเข้ดุร้ายที่ท้ายคุ้ง คัดไม้ซุงขันตะเฆ่แล้วเร่หนี แถลงไขตอบต่อข้อคดี ลูกกุญแจมันไม่มีไขอย่างไร ของที่เฝือเหลือนับ ๆ ไม่ถ้วน ท่านประมวนเรียกชื่ออะสงไขย ตัวยอต้องมีประคำใช่คำไทย อายุไขยว่าสิ้นอายุกาล เขียนต้องมีตัวยอเข้าต่อท้าย ยังไข่ข่ายสองคำจะร่ำขาน ไข่ซึ่งมีชีวิตจิตรวิญญาณ บทบรรหารเขียนว่าไข่ใช้ว่าฟอง อันตาข่ายขึงดักถักด้วยด้าย เขียนว่าข่ายคำยาวกล่าวสนอง ดอกไม้ร้อยห้อยรายตาข่ายกรอง แบบละบองข่ายไขใช้ให้คง หนึ่งถ้าท่าเถ้าเท่าเล่าแถลง จะแจ้งแจงใช้ความตามประสงค์ อันถ้าโทถิ่นสฐานท่านจำนง ความที่ลงถ้าท้าใช้ถ้าโท เหมือนคำว่าถ้าจะไปถ้าจะอยู่ ถ้าจะดูถ้าจะดีมีอะโข ถ้าจะเป็นถ้าจะเหนก็ใหญ่โต อันถ้าโทบริกับรับกะความ คำท่าเอกใช้สอยว่าคอยท่า กับอีกว่าท่าน้ำคำสยาม ละครหัดรำท่าช้า ๆ งาม ชำระความที่ในกรมท่ากลาง อันท่าเอกเสกใส่ใช้เช่นนี้ จำวิธีเสียให้ชัดอย่าขัดขวาง ยังเถ้าเท่าเล่าก็ปองเป็นสองทาง จงไว้วางให้มันแปลกแยกกระบวน เถ้าโทใช้เถ้าชะราแก่ จำจงแน่ในสำคัญอย่าหันหวน ฒเจริญท่านก็ใช้จงใคร่ครวญ นั่นเป็นส่วนเทียบมคธบทบาฬี วุฑฒะพฤฒาท่านว่าไว้ ตัวสกดนั้นท่านใช้ตัวฒอนี่ เด็ดเอาแต่ตัวปลายท้ายวะจี ดังคำฆ่าราวีเขียนตัวฆอ คืออ้างว่าฆาฏะในมคธ โดยกำหนดคล้ายกันเท่านั้นหนอ อีกคำหนึ่งเท่าท่านใช้ตัวทอ ก็เหนภอที่จะแจ้งตำแหน่งความ คือเท่านั้นเท่านี้เป็นที่อ้าง เท่านี้วางไว้ประจำคำสยาม เอาเท่าแกลบกลบไฟอย่าให้ลาม จนตราบเท่าเข้าถึงยามจะจากจร พอรู้ทันรู้เท่าเจ้าอยู่ดอก นี่คำบอกวาจาอุทาหรณ์ ใช้ให้ถูกแบบอย่างทางสุนทร ถึงคิดกบอนก็คงเพราะเสนาะดี หนึ่งเท้าท้าวยาวสั้นปันเป็นส่วน โดยกระบวนแบบใช้ไว้ตามที่ แม่ ก กา มือเท้าเค้าวิธี พงษ์ผู้ดีนางท้าวท้าวพระยา กับพูดว่าท้าวแขนออกแอ่นหยับ ทีฑะศับท์ใช้ท้าวแม่เกยหนา เสียงยาวสั้นบอกสำคัญในวาจา เป็นตำราแบบละบองของบุราณ หนึ่งบัญญัติคำไทยใช้น่าหน้า เป็นสองท่าสองทางอย่างบรรหาร คำน่าโทใช้ที่มีวิญญาณ สัตว์มนุศย์สาธารณ์ใช้ทั่วไป น่าเอกนั้นสรรใส่ในถิ่นที่ ของไม่มีจิตรวิญญาณท่านขานไข ดังน่าบ้านน่าเมืองน่าบันได บันดาน่าไม่มีใจใช้ทั้งมวน พระมุนีธานีใช้นอเล็ก พวกเด็ก ๆ จำให้มันปันเป็นส่วน ประเพณีธรณีมีจำนวน มะณีส่วนณอใหญ่ใช้กันมา คำเป่าป่าวยาวสั้นสรรเป็นคู่ พิเคราะห์ดูข้อเค้าอย่าเดาหนา เหมือนเป่าเพลิงเศกเป่าพระมนตรา แม่กกาเขียนว่าเป่าจงเข้าใจ ป่าวร้องฟังเทศนามหาชาติ นายอำเภอป่าวประกาศแถลงไข ต้องเขียนป่าวยาวเสียงสำเนียงไทย จำไว้ใช้เป็นแผนกแปลกคดี หนึ่งผ้าพ่าผันพ้องสองกระแส เห็นใช้แต่ผ้าโททุกถิ่นที่ ตัวพ่าเอกเศกใส่ในวะจี ใช้ในที่ตัวหอต่อการันต์ เช่นพระตราครุธพ่าห์พระยาศรี สุริยพ่าห์พาชีขี่ขยัน เป็นจางวางกรมม้ามานานครัน พ่าห์เอกนั้นตัวหอต้องต่อปลาย หนึ่งคำสองปองสรรปันเป็นคู่ คือพู่ผู้โดยแบบแยบขยาย ผู้โทใช้ว่าผู้หญิงแลผู้ชาย คนผู้ร้ายผู้ดีผู้หนึ่งผู้ใด แมลงภู่พู่เรือเจือกันอยู่ พระแสงทวนเทอดพู่ชูไสว ภู่กับพู่ดูระคนปนกันไป นี่คำใช้ภู่พู่ดูคดี ไม่ไหม้ม่ายสามเสียงเรียงกันไว้ จงรู้ใช้ความต่างทางวิถี ตัวไม่เอกปฏิเสธเลศวิธี ของไม่มีขอไม่ได้ไม่ให้ปัน เจ้าไม่มาข้าไม่เห็นไม่เล่นละ ไม่ธุระก็ไม่รู้เอนดูฉัน อันไม่เอกคำไทยใช้จำนัน ล้วนจัดสรรปฏิเสธเหตุยุบล ตัวไหม้โทหอนำคงกำหนด ใช้ในบทเพลิงไหม้อย่าได้ฉงน อันคำม่ายแม่เกยเฉลยกล ใช้ว่าคนแม่ม่ายพ่อม่ายเมีย ป่านไหมปรับไหมอีกสินไหม ไม่รู้ใช้ต้องว่าประดาเสีย เขียนอย่าเติมตัวยอเข้าคลอเคลีย มันจะเสียคำไทยที่ใช้กัน มุ่งหมายจดหมายแลบาดหมาย นี่ควรเขียนอย่าให้กลายเป็นคำสั้น ยกมาเคียงไว้ดูเป็นคู่กัน คำกระชั้นคำยาวกล่าวยุบล อีกสองคำพิสมัยสบไสมย นี่ก็ใช้กันออกแพร่งทุกแห่งหน นักเลงกาพย์ทราบทั่วทุกตัวคน ด้วยขวายขวนใส่ใจใช้ในกลอน วิมหะยะคำมคธบทนี้หนา ท่านแผลงคำพิสมัยในอักษร แปลว่าความพิศวงนั้นแน่นอน แต่ผันผ่อนมาข้างไทยใช้ว่ารัก ดังคำพลอดว่าแม่ยอดพิสมัย ความที่ใช้บอกเช่นเห็นประจักษ ยังคำว่าสบสมัยก็ใช้นัก คำนี้ชักเชิญมาแต่บาฬี แปลว่ากาลครั้งคราวกับลัทธิ จงตรองตริใช้ให้ชอบอักษรศรี ซึ่งคำว่าสบไสมยในวะจี คือวาทีถูกกับคราวกล่าวธิบาย หนึ่งไม้ตรีไมตรีนี้ก็ยาก วิธีภาคพจนำคำขยาย ให้เห็นเหตุเปลี่ยนแปลกแยกกระจาย นับเรียงรายเอกโทแลไม้ตรี นั้นท่านว่าไม้มีเป็นที่สาม คำสยามเป็นบทมคธนี่ หนึ่งเมดติแผลงใช้ว่าไมตรี คำบาฬีเขียนใช้อย่าใส่โท อันฉายาชายานี่คำคู่ มักเขียนตู่อ่านตู่ดูอะโข ไม่ตฤกไตรแล้วก็ใช้แต่โวโว ทั้งชั้นโตชั้นเล็กเด็กเลยจำ ฉายานี้ว่าเงานะเจ้าหนู ชายาว่าเมียอยู่เป็นคู่ขำ เสียงละม้ายคล้ายพ้องกันสองคำ สังเกตุจำนะอย่าให้มันไขว้กัน หนึ่งย่าหญ้าคู่นี้มีอเนก ปู่ย่าย่าเอกท่านเศกสรร หญ้าโทใช้กอหญ้าสาระพรรณ์ ย่าด้วยกันต่างกันด้วยเอกโท อันแอกไถนี่สยามภาษา คนมารยาสาไถยมักปดโป้ นี่เป็นคำสาธกยกเป็นโว หารมคธบทภิยโยต้องมียอ เภรีแปลว่ากลองของไม่ฦก ไพรีว่าข้าศึกคำล่อล่อ เพกับไพไขว้แยกแปลกภอพอ ท้ายตัวรอพินอีรีเหมือนกัน เงินพิไนยนอกในอิกไนหูก อย่าดูถูกพูดเล่นเห็นขันขัน ไม่คงเรียนรู้จริงจะนิ่งงัน คิดไม่ทันก็จะกลุ้มดังสุ่มปลา อันไนหูกในนอกบอกขยาย ไนหูกไม้มลายไม่กลายหนา นอกในไม้ม้วนควรจินดา แต่คำว่าเงินพิไนยต้องใส่ยอ ด้วยเจือเป็นข้างมคธบทฉบับ คือเบี้ยปรับทรมานคนขี้ฉ้อ เงินกำจัดโทษร้ายถ่ายจงพอ วิไนยข้อพระบัญญัติจัดเหมือนกัน ในไวพจน์ที่กำหนดมีอักโข ยังหล้าโทล่าเอกท่านเศกสรร อันล่าเอกล่าหนีมีสำคัญ กับทักกันว่าท่านช้ามาล่าไป คำหล้าโทใช้ว่าหล้าพิภพ ทั่วโลกย์จบโลกธาตุสุดวิไสย เหมือนอย่างพระเลิศหล้านภาไลย สัตว์อยู่ในแหล่งหล้าทั่วสากล หนึ่งสาษาแปลกกันด้วยตัวสกด นี่ก็เป็นเครื่องล่อข้อนุสนธิ ถ้ารู้ใช้เชิงแบบที่แยบยนต์ จะเป็นคนใจไม่อยาบทราบตำรา เด็กไม่รู้เดียงสาเจรจาแจ้ว คนที่แกล้วแกล้วกล้าขันอาสา ถ้าเหนื่อยนักก็เข้าพักในศาลา มาระษาคำปดไม่ลดใคร พระสงฆ์อยู่พรรษกาลจำพรรษา กิ่งตุมกาปักษาจับไสว ปลูกพฤกษาจะต้องมาปฤกษาไย ผิดภาษาว่าอะไรไม่รู้กัน คำสาษาตัวต่างเช่นอย่างนี้ อิกวาทีว่าอุสาห์กับส่าสรร อุส่าห์ใช้นี่ต้องใส่หอการันต์ บอกสำคัญว่ามคธบทวิจารณ์ คำส่าเปล่าส่าเล่าฤๅส่าไข้ นี่แท้เป็นคำไทยพูดไขขาน เขียนให้ชัดตามบัญญัติของบุราณ อย่าหยาบช้าสาธารณ์การกระวี หนึ่งจงรู้บทแยบแบบฉบับ ข้อบังคับเขียนคำว่าสีศรี แปลกด้วยเปลี่ยนสอสามตามวิธี แพรต่างสีสีเข้าเขียนสอลอ ศรีซึ่งมาแต่มคธบทคิริ โดยลัทธิท่านบังคับตำหรับศอ เขียนต้องใส่ศอคอติดกับรอ เป็นเสียงล่อคำศิริจงตริตรอง เช่นคำเรียกบายศรีแลศรีสวัสดิ ศรีพิพัฒน์นายศรีภักดีสนอง สุณิสาศรีสะใภ้ได้ปกครอง แบบลบองคำศรีมีอนันต์ ปักษีฤๅษีอิกราษี กับพาทีกันว่าเจ้าภาษีนั่น ใช้ษอบอส่อคำที่จำนัน บอกสำคัญไว้ให้คิดพินิจคำ คชสีห์ราชสีห์ทวีพจน์ นั่นพวกบทสอลอเป็นข้อขำ ต้องเติมหอการันต์สรรประจำ พจนำเนื่องมาแต่บาฬี เสือกไสหมดใสคำไทยแท้ เหนต่างแต่ม้วนมลายหมายตามที่ อัชฌาไศรยสงไสยนิไสยมี กับวาทีว่าวิไสยอาไศรยกัน ตำราไสยกับอีกว่าอาชาวะไสย ตัวยอใส่เติมติดไม่ผิดผัน กับคำชีพตักไษยใช้จำนัน นี่ต่างกันสอสามตามนิยม จุดตาไลอาไลยไทยมคธ จะวางบทที่ใช้นั้นให้สม ที่ไลเปล่าคำไทยใช้นิยม ยอระดมเติมท้ายฝ่ายบาฬี จะยกเสาวันเสาร์เป็นสองพจน์ จงรู้บทที่แปลกแยกวิถี วันเสาร์เขียนรอการันต์มี ยกเสานี้ไม่ต้องใช้ใส่การันต์ ปะกิระณะไว้พจน์หมดเท่านี้ จัดวิธิเรี่ยรายธิบายสรร ไว้ให้รู้คำลม้ายที่คล้ายกัน จำสำคัญข้อคดีที่มีเคยฯ

๏ ปะกิระณะไวพจน์ต้น ตามกำ หนดนา
รวมรวบเรียบเรียงนำ แนะไว้
ฃอแรงแต่จดจำ นวนหมวด แม่นเฮย
จักอุส่าห์คิดให้ เสร็จสิ้นแบบสอน ๚ะ
๏ แต่นี้จัดเริ่มต้น กอไว พจน์เฮย
ลำดับเรียบเรียงไป จวบแล้ว
คำแปลที่ควรไข ไขอัดถ์ ออกนา
เพียรอ่านฤๅจักแคล้ว คลาศได้ฉลาดเฉลย ๚ะ

๏ จักเริ่มจักร่ำคำสอน เกลากลั่นสรรกลอน ให้เด็กนักเรียนเพียรดู ๏ อุส่าห์จำใส่ใจหู จงเหนแก่ครู อันสู้ลำบากยากคิด ๏ ตั้งใจไว้เพื่อสอนศิศย จัดข้อลิขิต คดีอันดีรำพัน ๏ แก้ในกอไวพจน์สรร แบบบทแบ่งปัน เป็นหมวดจงตรวจไตรตรา ๏ หมวดหนึ่งกี่คำคณนา แต่ต้นกนมา บรรจบแม่เกยอะวะสาน ๏ เล่าท่องถ่องแท้ชำนาญ เรียงเรียบเทียบทาน ถูกถ้วนขบวนแบบเรียน ๏ แล้วจงพ่ออุส่าห์เพียร จำคำระเบียน รบอบแห่งบทบาฬี ๏ คำสยามความตื้นดื่นมี พ้องถอยพาที บต้องลำบากยากแปล ๏ คำฦกศึกษาดูแล ดย่าให้ปรวนแปร ผิดเพี้ยนที่เรียนราวความ ๏ กนสกดนอนิลคำสยาม จัดตั้งไว้ตาม บุราณท่านพูดสืบมา ๏ ว่ากนแต่จะโสกา ทุกวันนี้นา บ่อได้จะใช้พาที ๏ พระสกนธ์คำในบาฬี ขันธะเดิมที ท่านแผลงมาเป็นสกนธ์ ๏ คำไทยใช้ว่าตัวตน ตามเบื้องยุบล แบบนอมีธอการันต์ ๏ สกดสากลคู่กัน แปลว่าสบสรรพ์ ทั้งต้นทั้งหมดหมดความ ๏ คือทั่วสากลเขตรคาม สกลอาราม ทั่วบ้านทั่ววัดอัดถ์แปล ๏ วิกลพิกลกระแส ความว่าปรวนแปร รูปร่างจริตผิดผัน ๏ หนึ่งเพศกลับกลายหลายพรรณ หนึ่งของฃันขัน ก็เข้าในคำวิกล ๏ เหล่านี้ล้วนแบบยุบล มคธระคน ลิฃิตจงคิดมูลความ ๏ เล่ห์กลชอบกลคำสยาม รู้ได้โดยตาม ที่พูดบ่อพักแปลแปลง ๏ สี่คำสกดลอแถลง เขียนอย่าพลาดแพลง ให้แปลงให้เปลี่ยนเพี้ยนคำ ๚ะ

กัน ในกันไวพจน์จงสำ เหนียกให้แม่นยำ นับคำสิบเก้าวาที ๏ เกียดกันคำไทยใช้มี อีกกรรไพรี ท่านเขียนตัวกอรอหัน ๏ เพื่อจะให้เห็นต่างกัน สังเกตสำคัญ ในตัวอักษรผ่อนตาม ๏ คำเกษากันต์ที่สาม มิใช่คำสยาม เป็นบทมคธคำตรง ๏ แปลว่าตัดจุกจำนง ใช้คำประสงค์ ในยศตระกูลเจ้านาย ๏ กัญญากัลยาคู่หมาย โดยบทธิบาย ทั้งสองนี้แปลว่านาง ๏ กัญญามคธคำกลาง สังสกฤษฏวาง บทแผลงจึ่งแปลงกัลยา ๏ กัลยาณีหนึ่งวาจา โดยแปลกันมา ว่านางอันงามเฉิดฉัน ๏ เขียนใช้คำว่ากับกัลป มีปอการันต์ นักเรียนจงเพียรดูจำ ๏ ตั้งต้นกัลปพฤกษอีกคำ เขียนอย่าพลาดพลำ ให้ใช้เช่นกับกัลปคง ๏ ใจฉกรรจ์พลสกรรจ์โดยประสงค์ รอหันจำนง ต้องเติมตัวจอการันต์ ๏ สองคำยังบได้สำคัญ ว่าจะเป็นอัญ ญะพากย์แลพจน์ใดใด ๏ เป็นแต่เขียนตามตามใน แบบหนังสือไทย เช่นใช้กันมาแต่เพรง ๏ มิใช่คิดบัญญัติเอง บได้ชะเลง ชะล่าแต่อำเพอใจ ๏ นามพระเทวะกรรม์มีใน เวทางคสาตรไสย สองรอมีมอการันต์ ๏ พระยามารมานชื่อทศกรรฐ ใช้สกดรอหัน ข้างท้ายต้องเติมตัว ฐ ๏ แปลว่าท้าวยักษสิบสอ เป็นเจ้าเหล่ากอ กำเนิดณกรุงลงกา ๏ ทรงพระกรรษะนี้หนา คำสูงราชา ศับท์แท้ท่านแปลว่าไอ ๏ หนึ่งพระกรรฐาคำใน ราชาศับท์ไข คดีว่าคอควรฟัง ๏ สกดรอคู่ประดัง ฐอสัณฐานหวัง เป็นที่กำหนดพจน์ไพ ๏ พระกรรณว่าหูครูไข อัดถ์คำอำไพ อำพลด้วยณอรอหัน ๏ หนึ่งคำว่าผิวกายกัณห เติมหอการันต์ สกดตัวณอคุณคำ ๏ แปลว่าคนผิวเนื้อดำ ดูจงแม่นยำ อย่าพลำอย่าพลาดพลิกแพลง ๏ มีเทศสามกัณฑ์แจ้งแจง คำตรงบแปลง สกดตัวณอคุณคง ๏ ฑอบิณฑะบาตบ่งตรง การันต์จำนง จงนับในศับท์บาฬี ๏ อีกกัญเปนชื่อราษี แปลว่านารี ญอญาติสกดจดจำ ๏ ครบถ้วนในกันพจนำ รวมสิบเก้าคำ เป็นข้อคะติตริตรอง ฯะ

กาน จักแจกคำการสารสนอง นับบทละบอง ในแบบสิบสองจำนวร ๏ เลือกคัดจัดคำที่ควร ใช้ในขบวน ระเบียบที่เทียบคำกาน ๏ กานนี้มีแต่เบาราณ กิ่งไม้ย้อยยาน ให้กานให้โล่งโปร่งตา ๏ คำนี้คนไทยใช้มา สามัญวาจา ต้องบทสกดนอนิล ๏ กาญจน์ว่าทองโดยถวิล ญอใหญ่อาจิณ สกดเช่นบทกาญจนา ๏ ทำงานการนี้ภาษา เชาไทยใช้มา มีมากบหลากเลศไนย ๏ บริษการบริกขารคำไข ท่านแผลงแปลงไป เป็นสังสกฤษฏะวาที ๏ ป่วยการช้านานนับปี คนโรคยายี ย่อยยับอาภัพพิการ ๏ ลำดับนับข้อคำขาน คำเรียกโวหาร อากัปอาการก็มี ๏ ความว่ากิริยาพาที อีกไข้ผู้ดี ก็ใช้ว่าไข้อาการ ๏ คือไข้ซึ่งมีรายงาน กราบทูลบหมาลย์ ให้ทราบในเบื้องบาทบงษุ์ ๏ อลังการว่าเครื่องแต่งองค์ ปะวะหล่ำธำมรงค์ คิโรจจรุญพูลแสง ๏ ปราการนี้ว่ากำแพง ก่ออิฐอีกแลง อันล้อมนครขอบคัน ๏ เหล่านี้นับพวกเดียวกัน ล้วนตัวรอสรร สกดเป็นบทบาฬี ๏ หนึ่งในคำไทยพาที ว่าเหตุการณ์มี คำนี้จงรู้ดูไนย ๏ ต้นเติมใช่ภาษาไทย มคธคำไข มาใช้จนชินลิ้นคาง ๏ แต่เขียนต้องใช้ไว้วาง ให้คงคำกลาง สกดรอแลณอการันต์ ๏ พระกาลคือเทพรังสรรค์ สมมุตพูดกัน พระกาลสังหารชีวา ๏ ปีเดือนทุ่มโมงนาฬิกา ปันส่วนเวลา เป็นยามแลวันราตรี ๏ เรียกว่าเวลากาลมี ตามบทบาฬี บังคับสกดตัวลอ ๏ เวลาวิกาลนี้พอ คิดแปลโดยย่อ ว่าผิดเพลาในกาล ๏ คือตั้งแต่เที่ยงสุริฉาน ตลอดราตรีวาร จนรุ่งอรุณใหม่มา ๏ ท่านเรียกวิกาลตามบา ฬีบทบัญชา วิไนยบัญญัติจัดวาง ๏ ไนยหนึ่งแบบเปนสองทาง จัดเอาแต่กลาง คืนเรียกว่าเป็นวิกาล ๏ จะใช้ให้รู้ประมาณ ตามบทบรรหาร แลเหตุจงต้องตามคำ ๏ สีกาฬแปลว่าสีดำ ฬอใหญ่ประจำ สกดตามบทบังคับ ๏ อย่างเดียวเช่นกัณหะศับท์ ในกันฉบับ เปนแบบแต่ต้นหนหลัง ๏ อิกคำกาฬะปักษ์จงฟัง วันฝ่ายแรมทั้ง สิบสี่สิบห้าราตรี ๏ ท้องฟ้ามืดคลุ้มมัวสี เพราะดวงรัชนี บแจ่มบแจ้งอัมพร ๏ จึ่งเรียกกาฬะปักษ์สังหร จัดเป็นนามกร ว่าวันทั้งหลายฝ่ายดำ ๏ ฬอใหญ่สกดประจำ แจกคัดจัดคำ คดีแต่ล้วนควรสอน ๚ะ

กุน จักแก้ในกุนสุนทร ตามอุทาหรณ์ แห่งบทในแบบแยบยนต์ ๏ ปีกุญเขียนใช้สับสน ลัทธิบางคน ก็เขียนสกดตัวนอ ๏ บุราณมักใช้ตัวญอ ไป่รู้ต้นตอ แต่เดิมจักเป็นพากย์ใด ๏ บมิอาจจะเอื้อมวินิจไฉย เขียนตามกันไป บขัดบข้องสองทาง ๏ กุญจิกมคธบทวาง ใช้มาจนจาง ก็กลายเป็นไขกุญแจ ๏ แม้นมาตรปลายคำจักแปล จิกะเป็นแจ ข้างตันยังคงเป็นกุญ ๏ ญอใหญ่สกดบทหนุน ควรเหนเปนสุน ทะรัดม์ที่คัดคำควร ๏ กุญชรว่าช้างทั้งมวน อยู่ในจำนวน พวกญอสกดจดคำ ๏ กุณฑีนี้ว่าเต้าน้ำ ณอใหญ่ประจำ สกดมคธบาฬี ๏ กองกุณฑ์กองเพลิงพิธี เช่นว่าฤๅษี ก่อกุณฑ์พิธีบูชา ๏ เป็นคำมคธภาษา ณอสกดวาจา จงจำแลสำเหนียกใจ ๏ อีกคำแก้วกุณฑลใน แบบแปลแก้ไข ตุ้มหูประดับเพชรนิล ๏ สกดกุณณอควรยิน ฑลตัวฑอบิณ ฑะบาตสกดตัวลอ ๏ ฝูงสกุณว่าฝูงนกหนอ สกดตัวณอ เป็นข้อให้จำวาจี ๏ เชื้อวงษ์พงษ์เผ่าผู้ดี ฝ่ายพระมะเหษี คือราชินีมีบุญ ๏ เรียกว่าราชินิกุล อีกคำว่าคุณ ก็ควรแก่ยศงดงาม ๏ มคธบทกลายเป็นสยาม แบบสอนผ่อนตาม ตัวลอสกดบทมี ๏ พกุลคำในบาฬี ไทยใช้พาที เติมอิเป็นพิกุลไป ๏ พิกุลบุนนาคดอกไสว กลิ่นรื่นชื่นใจ คำไทยเช่นนี้มีชุม ๏ อิอะสระปกคลุม เปนคำสุขุม พะรุณพิรุณเช่นกัน ๏ แจกกุนไวพจน์เสรจสรรพ์ เก้าคำรำพัน เป็นพวกเป็นหมวดตรวจดู

กูน คำกูนพูลแยบแบบครู อุส่าห์หนาหนู เรียนรู้จงเร่งจำประจักษ ๏ กูนขลาว่าลูกพยัคฆ์ คำนี้ท่านชัก แต่พจน์กำพุชภาษา ๏ กูนขลาอาไลยมารดา คำใช้มีมา ในเรื่องเสือโคคำฉันท์ ๏ ควรสกดนอนิลจำนัน เช่นคำสามัญ บผิดบแผกแปลกไป ๏ คำว่าพิธีกูณฑ์แถลงไข ดังว่ามาใน หมวดกุนกำหนดเนื่องคำ ๏ อังกูรว่าหน่อแนวนำ เนื่องตระกูลคำ เช่นนี้สกดรอเรือ ๏ ยังคำเคลือบแคลงแฝงเฝือ มีคำเพิ่มเจือ เช่นว่าวะรางกูรวงษ์ ๏ กับคำพุทธางกูรพงษ์ สองคำจำนง ก็เนื่องในคำอังกูร ๏ วะระพุทธะเพิ่มภูล รวบกับอังกูร บทสนธิ์สนิทติดพัน ๏ วรางกูรรวบรวมกัน แปลคำจำนัน ว่าหน่อประเสริฐเลิศวงษ์ ๏ ในคำพุทธางกูรพงษ์ แปลว่าหน่อองค์ พระผู้ชนะหมู่มาร ๏ คือโพธิสัตว์สร้างสมภาร เพื่อพระโพธิญาณ สมญาว่าพุทธางกูร ๏ เป็นหน่อสืบแนวประยูร บได้เสื่อมสูญ คำนี้สกดรอรา ๏ เกื้อกูลคำไทยใช้หนา อนุกูลนี้นา เจือบทมคธคำควร ๏ สองคำที่ใช้ประมวญ กันตามกระบวน ในทางสงเคราะห์เหมาะความ ๏ ตระกูลนี้แปลเป็นสยาม อนุโลมตาม คำพูดว่าเป็นฝั่งฝา ๏ คือท่านบิดามารดา เป็นฝั่งบุตรา ที่ยึดที่หน่วงอาไศรย์ ๏ สืบสายสืบเชื้อกันไป เล่ห์ฝั่งชะไลย เป็นขอบเป็นคันชลธี ๏ แม้นบุตรนัดดาดีมี สัมมาปะนิธี ขอบฝั่งก็ตั้งยืนนาน ๏ ถ้าบุตรนัดดาอันธะพาล จองร้ายจองผลาญ ขอบฝั่งก็พังทำลาย ๏ สูญชาติสิ้นเชื้อกลับกลาย เสื่อมสิ้นสูญหาย เหตุฝั่งบตั้งประยูร ๏ อีกคำหนึ่งว่าอากูร แปลตามเค้ามูล ว่าเฟอะว่าฟูมมูมมาม ๏ กับว่าเกลื่อนกล่นล้นหลาม หนึ่งแปลในความ ว่าป่วยเวลาช้ากาล ๏ หนึ่งปฏิกูลไขขาน ของบูดเน่านาน แลกลิ่นอันเหมนมองมูน ๏ ท่านว่าน่าเกลียดปฏิกูล มคธคำพูล มาเพิ่มนิพนธ์กลกลอน ๏ ในกูลห้าคำสังหร ตัดลออักษร สกดทุกบทประจำ ๏ รวมกูลทั้งสิ้นสิบคำ ดังข้าแนะนำ นิเทศนิทัศอัดถ์ไข ๏ หนึ่งจงสังเกตเลศไนย จักชักจูงใจ ให้แจ่มกระจ่างทางเรียน ๏ แม้ไม่จำแยบแบบเขียน จักฉงนวนเวียน เช่นวัวบมีแหล่งนอน ๏ ลดเลี้ยวเที่ยวกระเจิงจร ลาดลุ่มแหล่งดอน บแม่นบหมายคลายแคลง ๏ แก้กูนไวพจน์บทแถลง จัดแจกแจ้งแจง ก็จบพิกัดจัดจอง ๚ะ

เกน จักแก้เกนโกนทั้งสอง โดยแบบละบอง คำใช้ฉบับพิมพ์บรรณ์ ๏ ร้องด่าเกนเกนจำนัน เป็นบทสามัญ คำไทยที่ใช้อัตรา ๏ กะเกนฑ์โยคเกนฑ์นี้หนา ทั้งสองวาจา เนื่องบทมคธเค้ามูล ๏ สกดณอใหญ่ไพบูลย์ ตัวฑอไพฑูริย์ ท่านจัดเป็นตัวการันต์ ๏ คำเกนฑ์บางอาจารย์ผัน สกดต่างกัน นอนิลแลท้ายทอทาน ๏ สองอย่างมีแต่เบาราณ ควรจะพิจารณ์ ว่าใช้ทั้งสองวาจา ๏ กู่ตะโกนสยามภาษา พูดกันอัตรา บต้องดำริห์ตริตรอง ๏ โกญจนาทว่าคชคนอง บันฦๅลำพอง ดังเสียงแห่งนกกาเรียน ๏ โกญจามยุรารำเวียน ที่ลานเตียน ๆ สกุณโกญจโผนโผ ๏ สองโกญจ์กอเกิดแต่โว หารพุทธพจโน ญอใหญ่แลใส่ตัวจอ ๏ คำโกณฑ์สกดตัวณอ ใหญ่กับมีฑอ พิฑูริย์มาพูลการันต์ ๏ แปลคำขาดด้วนควรสรร ไทยใช้คำนัน โกนจุกแลโกนเกษา ๏ ต้นเดิมใช้โกนฑ์นี้หนา เนิ่นกาลนานมา ก็ตกเป็นโกนไทย ๆ ๏ แก้เกนโกนตามมีใน แบบพจน์บทไข ระบิลก็สิ้นคำสอน ฯะ

กอน แต่นี้จักแก้หมวดกอน เรียบคำทำกลอน จะกลั่นจะสรรพาที ๏ คำไทยใช้พูดกอนมี อยู่สองวะจี จะจัดให้ชัดคำไทย ๏ ตุ่มที่ขังน้ำใดใด ข้างปนน้ำไส ข้างล่างตะกอนมูลดิน ๏ ยาปั้นกลม ๆ กลืนกิน คำนิยมยิน ว่ากลืนเป็นยาลูกกอน ๏ สองคำคำไทยสังหร พูดทั้งราษฎร ตลอดถึงชั้นผู้ดี ๏ คำกรรอสกดมากมี มาแต่บาฬี สาธกจะยกรำพัน ๏ ศุภกรว่าฤกษยามอัน ทำงามตามกัน ซึ่งมีดิถีโชคไชย ๏ พระกรคำเขมรว่าใด แปลภาษาไทย ว่ามือทั้งสองซ้ายขวา ๏ กำไลยสรวมใส่หัดถา คำสูงราชา ศับท์เรียกว่าทองพระกร ๏ ไม้ท้าวเครื่องทรงภูธร ชื่อธารพระกร จงเรียกสำเหนียกใช้ตาม ๏ พระศรีสังข์กรคือนาม นารายน์พงษราม ศรีกรสี่กรอีกสอง ๏ นามดวงอาทิตย์ผู้ครอง โลกย์ทุกวันปอง เป็นพากย์มคธบทมี ๏ ทิวากรทินกรรังษี ภาษกรระพี อีกศับท์ว่าประภากร ๏ รัชนิกรแลนิสากร สองนามจันทร เป็นคู่ดวงสุริยน ๏ หนึ่งดารากรนภดล หมู่ดาวอำพน ดาดาษณพื้นอัมพร ๏ อีกคำว่าแสนยากร หมู่เสนาจร บันจบในหมู่จัตุรงค์ ๏ ไวยาวะจะกรแห่งสงฆ์ คือผู้จำนง ขวนขวายแก่บุตรชินวร ๏ หนึ่งว่าตรารูปมังกร ฝ่ายจีนนคร นับถือกันทุกกระทรวง ๏ พระราชลัญจกรตราหลวง ฝ่ายไทยทั้งปวง คำนับแลรับทำตาม ๏ พวกพลนิกรล้นหลาม ทุกเขตรทุกคาม ล้วนพวกพลากรกอง ๏ หนึ่งว่านะรากรปอง แปลโดยทำนอง ว่าหมู่นะรานรชน ๏ คลังสรรพากรสองคน ในนอกตำบล เจ้ากรมปลัดซ้ายขวา ๏ หนึ่งนั้นอากรสวนนา อากรคงคา อากรทุกอย่างต่างพรรณ์ ๏ อากรบ่อนเบี้ยแบ่งปัน เป็นส่วนส่วนกัน เรียกชื่อขุนพัฒนากร ๏ นามเจ้าภาษีละคร ขุนสัมมัชชากร ได้เก็บภาษีเต้นรำ ๏ ขุนสินยากรอีกคำ เจ้าภาษีกำ กับเก็บพวกน้ำตาลทราย ๏ เจ้าภาษีฝางอีกราย ชื่อตั้งบาดหมาย ว่ามัญเชฐีกากร ๏ คนรับทำงานจ้างออน เรียกว่ากรรมกร คู่กันกับทาษทาษา ๏ คำกรซึ่งร่ำพรรณา สามสิบเอ็ดวาจา สกดรอบมีการันต์ ๏ ยังกรณ์พวกหนึ่งท่านสรร ณอใหญ่ใส่ทัณ ฑะฆาฏทุกคำจำสอน ๏ คือคำว่ายกอธิกรณ์ สงฆ์คะณะมอญ ฟ้องพระคะณะฝ่ายไทย ๏ คำภีร์พระกรณ์ไข ดีร้ายใดใด ก็แจ้งประจักษทักทาย ๏ สับดปกรณ์นี้หมาย ใช้แทนที่ราย คำราษฎร์ที่เรียกบังสุกุล ๏ ยกเป็นคำสูงตามคุณ ศพผู้มีบุญ บรมศพพระศพเจ้านาย ๏ มหาปกรณ์พิปราย โดยคำธิบาย บอกชื่อคำภีร์ใหญ่ยง ๏ ิลงกรณ์เครื่องประดับองค์ เป็นชื่อเครื่องทรง ภูสิตวิจิตรนาๆ ๏ เครื่องกรรมกรณ์นี้หนา เป็นชื่อขื่อคา เครื่องจำแลทำโทษทัณฑ์ ๏ คำกรณ์เช่นร่ำรำพัน ล้วนณอมหันต์ เป็นตัวมาเสริมเติมปลาย ๏ กรกรณ์สองอย่างบรรยาย นับคำเรียงราย รวมสามสิบสี่คำคง ๏ เรียกกอนไวพจน์บรรจง จัดเพื่อประสงค์ สำหรับนักเรียนเพียรจำ ฯ

เกียน เกวียนเกียนเพี้ยนปากหลากคำ เกวียนนี้บูรำ บูราณบรรหารสืบมา ๏ เรียกขานนานเคลื่อนวาจา ตัววอนิรา นิราศก็คลาศเป็นเกียน ๏ ใช้ให้ต้องแบบแนบเนียน ควรใช้คำเกวียน สมความที่กงหมุนไกว ๏ อาเกียรณ์เดียรดาษคำใน มคธข้อไข ว่าโปรยแลโรยเรี่ยราย ๏ เขียนตัวรอสกดบทหมาย ณอคุณเติมปลาย ให้แปลกกับเกียนคำสยาม ๏ รามเกียรดิ์เกี่ยวเนื่องเรื่องราม แปลโดยเนื้อความ ว่ายอพระเกียรดิ์นารายน์ ๏ เขียนต้องมิตัวดิปลาย เปนการันต์หมาย ด้วยไม้บได้ออกเสียง ๚ะ

กด ในกดไวพจน์ต่อเคียง นับคำแบบเรียง แปดคำจงจำเจนใจ ๏ ปลากดกดขี่คำไทย เขียนตัวกอใช้ สกดเป็นบทสามัญ ๏ คำแก้วมรกฎนี้สรร มคธจำนัน สกดตัวฏอรกชัฎ ๏ ราษีกรกฎสังกัด ดาวรูปปูจัด เข้าในสิบสองราษี ๏ บันทุกสกฎบทมี แปลในวาที ว่าเกวียนบันทุกใดใด ๏ หนึ่งแก้วมรกฎสดใส อลงกฎอำไพ แปลว่าประดับสัพสรรพ์ ๏ ปรากฎว่าเหตุการณ์อัน ชัดแจ้งเจนกรรณ แก่โสตรประจักษเจิดใจ ๏ สี่คำกฎกฎบทไข ตัวฎอตอนใน ท่านใช้สกดทุกคำ ๏ บงกชว่าบัวควรสำ เหนียกในใจจำ ว่าใช้สกดตัวชอ ๏ จบกดไวพจน์จวบพอ ครบเค้าเหล่ากอ กำหนดว่าแปดคำคง

กาด คำกาดที่ปราชจำนง จัดเพื่อประสงค์ แก่ศิศย์ซึ่งคิดศึกษา ๏ ผักกาดคำไทยใช้มา พูดกันอัตรา สกดตัวดอสามัญ ๏ เก่งกาจฉกาจฉกรรจ์ ร้ายกาจสามอัญ ญะพจน์สกตตัวจอ ๏ กองกาษฐว่ากองไม้ษอ สกดมีฐอ เพิ่มท้ายมีไม้หางกระแต ๏ อากาศกำหนดคำแปล ว่าทางแห่งแข คำไทยว่าฟ้าฝ่ายบน ๏ หนึ่งคำประกาศควรยล คำป่าวร้องคน ให้รู้แลดูทำตาม ๏ โอกาศว่าช่องว่างความ แปลในพากย์สยาม ที่ว่างแลว่างเวลา ๏ สามคำเช่นร่ำพรรณา กาศสามสารา ศอคอสกดบทหมาย ๚ะ

กิด หมวดกิดคิดแจกแยกราย กับกฤศเติมปลาย กำหนดสิบสองวาที ๏ คิดภาษาไทยใช้มี สะกิดแผลฝี ค่อยแคะสะกิดเบาเบา ๏ ดอเดชสกดบทเรา จงจำสำเนา ในเค้าคดีดูคำ ๏ ราชกิจติดตัวประจำ มีกิจการทำ ตัวจอสกดกิจการ ๏ แผลงจะเป็นตยะก็มาน ใช้แต่โบราณ พระราชกิตยวินิจไฉย ๏ กิตติศับท์กิดติคุณคำใน มคธขานไข ตัวติสกดบทเดิม ๏ กิดติแผลงเป็นเกิยรติเติม เอยอต่อเสริม เป็นสังสกฤษฏภาษา ๏ ชำระพระกฤตยฎีกา คำนี้ใช้มา แต่เบื้องบุรำคำเพรง ๏ พวกช่างอังกฤศนักเลง ผูกลวดลายเอง เดินปรุฉลุเป็นลาย ๏ เรื่องนี้พูดกันแพร่หลาย ศิศย์ฆ่าครูตาย เพราะคิดว่าทำทองเป็น ๏ ครั้นครูตายแล้วจึงเห็น ทองคำบมิเป็น แต่เพียงอังกฤศติดมา ๏ จึ่งเรียกอังกฤศสมญา เพราะต้นตำรา อังกฤศนั้นคิดทำขาย ๏ คำว่าอังกฤศโดยหมาย เขียนกฤศตัวปลาย ต้องบทสกดศอคอ ๏ ดาบกฤชสกดตัวชอ บทราบต้นตอ จะมาแต่พจน์พากย์ใด ๏ มีแบบเขียนตามแบบไข ยังบแจ่มใจ ก็ใช้พอแยกแปลกคำ ๏ กฤษณาแปลว่าไม้ดำ คู่กับกะลำ พักใช้เป็นไม้แก่นหอม ๏ พระกฤษณะรักษคือจอม นารายน์บมิปลอม บเปลี่ยนเป็นองค์อะวะตาร ๏ คำโทษอุกฤษฐ์บรรหาร สกดพจมาน ษอบอแลฐอการันต์ ๏ แปลคำอุกฤษฐ์ติดพัน เป็นคำสำคัญ มคธเป็นบทกลางกลาง ๏ ฝ่ายดีก็ดีสุดปาง ฝ่ายชั่วสุดทาง ข้างชั่วบกลั้วกลับดี ๏ คำกิดคิดจัดวะจี สิบเอ็จคำมี เป็นหมวดจงตรวจไตรตรา

กุด คำกุดสยามภาษา ใช้พูดกันมา ว่าสั้นตมุดกุดไป ๏ กุฎิบทมคธคำไข ตัวฎิตอนใน สกดว่ากุฎิกุฎี ๏ เขียนว่ากระฎิก็มี สะกะฎะวิธี เอาอุเป็นระประสม ๏ คำว่ามงกุฎนิยม เครื่องสูงอุดม สำหรับกระษัตริยสรวมทรง ๏ ขอเหล็กขอไม้ใช้คง ขอช้างอ้างตรง กับคำว่าอังกุษขอม ๏ สกดษอบอยินยอม ษออื่นอย่าปลอม จะแปลกบุราณขานไข ๏ คำกุดทั้งขอมทั้งไทย สี่คำเรียงไว พจน์พิศพินิจคำครู ๚ะ

กูด ผักกูดพูดกันแส้หู ไม่ต้องถามครู อีกว่าจังกูดท้ายเรือ ๏ สองคำใช่คำฝั่นเฝือ มคธบเจือ ประจักษว่าพรรคพากย์สยาม ๏ กูฎในมคธแปลความ ว่ายอดอย่างนาม ภูเขาตรีกูฎพูดมา ๏ ว่าเขาสามยอดภูผา หนึ่งบรรพตา ชื่อคิชฌะกูฎเงื้อมงำ ๏ หินเป็นรูปแร้งเล่ห์ทำ เหยียบยืนประจำ ที่ยอดภูเขาเงางาม ๏ จึ่งเรียกคิชฌะกูฎโดยนาม จงสำเหนียกตาม แบบบทสกดตัวฎอ ๏ กูฏว่าเกียจโกงคดงอ แปลไว้ให้พอ ได้รู้แลดูเลศไนย ๏ สกดตัวฎอตอนใน แต่ดูคำไทย มิใคร่จะใช้ความถึง ๏ อีกคำคนไทยใช้อึง ว่าเราพรั่นพรึง แต่บิดตะกูดแก่กัน ๏ คำนี้เป็นคำสามัญ นับกูดเสร็จสรรพ์ หกถ้วนขบวนวาจา ฯะ

เกด เกดในสยามภาษา ที่ใช้เจรจา คือว่าต้นเกดมีผล ๏ ไม้ท้าวไม้เกดชอบกล ชอบถือทุกคน น้ำมันลูบไล้แลเหลือง ๏ คนชื่อนายเกดนายเรือง มีต้นเกดเมือง แลการะเกดกลิ่นเกลา ๏ ทั้งห้าคำพวกเชาเรา คำตื้นเพลาเพลา ดอเดชสกดบทไทย ๏ ไรเกษพระเกษมาใน มคธคำไข ว่าผมแลไรจุกวง ๏ ชื่อวัดสระเกษคำคง แปลความตามตรง ว่าวัดที่สระเกษา ๏ เกษะว่าผมนี้หนา อย่างใช้กันมา แต่ก่อนสกดษอบอ ๏ บัดนี้มักเปนศอคอ สุดแล้วแต่พอ ใจใช้บได้ทัดทาน ๏ พระเกตุชื่อดาวสัณฐาน ดังธงชายฉาน เหนชัดจังหวัดในสวรรค์ ๏ ธุมเกตุนี้ว่าธงควัน เปนของร้ายอัน แสดงนิมิตรฤกษบน ๏ สองคำเกตุนี้อย่าฉงน เหมือนเหตุยุบล ตัวตุสกดการันต์ ๏ อีกคำว่าสังเกตอัญ ญะพากย์สำคัญ มคธสกดตอตรา ๏ พระโลเกสนี้สมญา พระพรหมธาดา สกดสอลอพอควร ๏ คำเกตุแจกตามกระบวน ครบในจำนวน สิบคำจงจำตริตรอง

โกด คำโกดตรวจตามแบบละบอง บอเหนคำปอง จะเปนข้างบทพจน์สยาม ๏ ใช้โกฐทั้งห้าว่าตาม ซึ่งมีในคาม ภีร์แพทย์ประกอบเก็บยา ๏ สกดฐอสัณฐานมา เปนอย่างตำรา ในศับท์มคธบทมี ๏ พระโกษบุทาจามี กรรุ่งรังษี ตสำหรับพระศพเจ้านาย ๏ อย่างสูงบรมโกษนามหมาย เสมอชั้นเจ้านาย นับนามแต่พระโกษควร ๏ โกษชั้นขุนนางทั้งมวน ลดหย่อนทอนทวน เรียกใช้ว่าโกษปิดทอง ๏ คำโกษเช่นนี้ทั้งผอง แบบเทียบทำนอง ษอบอสกดงดงาม ๏ สุวรรณจังโกฏนี้ความ แปลเปนสยาม ท่านว่าผอบทองคำ ๏ ตัวฏอรกชัฏประจำ สกดคือคำ แนะว่าเปนพากย์บาฬี ๏ หนึ่งโกษฐาคารคำมี ความแปลวาที ท่านใช้ว่าหอเรือนคลัง ๏ ษอบอฐอสัณฐานหวัง สกดประดัง ทั้งสองอักษรษอฐอ ๏ คำโกฏิปะโกฏินี้พอ ทราบเค้าเหล่ากอ กำเนิตนับศับท์สังขยา ๏ สิบล้านเปนโกฏิหนึ่งรา ร้อยแสนโกฏิครา จึ่งเปนปะโกฏิหนึ่งไป ๏ โกฏินี้ใช่ภาษาไทย ตัวฏิตอนใน สกดเช่นบทแบบวาง ๏ นับโกฏิิหกคำคำกลาง ไว้พอเปนทาง นิทัศน์นิเทศเหตุการณ์ ๚ะ

เกียด คำเกียดเสียดแทรกเสาวนาน นับบทพจมาน ประมาณเพียงห้าคำคง ๏ เสาเกียดชาวนาจำนง ปักกลางลานลง แลนวดเมล็ดธัญญา ๏ จัดเปนสยามภาษา ดอเดชบัญชา สกดตามบทไทยไทย ๏ รังเกียจเกียจคร้านขานไข นี่คำอะไร จึ่งต้องสกดตัวจอ ๏ สาระภาพบมิทราบต้นตอ เก่าใช้มาพอ ลิขิตก็ติดตามกัน ๏ เกียรดิยศเกียรดิคุณสรร มคธจำนัน จะนับก็เช่นกิดติคุณ ๏ เกียรดิยศคือผู้มีบุญ ดำรงยศสุน ทรานุวัตร์สัตยธรรม ๏ แม่กบบรรจบลำนำ ไทยใช้ประจำ ว่าหนูมาติดกับนาน ๏ อีกว่ากำกับดูการ กับเข้าเรียงจาน แลวานช่วยไปกับเรา ๏ กับกับเช่นนี้คำเชา สยามควรเอา ตัวบอสกดสามัญ ๏ มคธคำว่ากัปกัลป์ คือกาลนานครัน บังคับสกดตัวปอ ๏ วิกับฝากไว้แต่พอ พ้นอาบัติรอ ผ่อนเขตรให้เนิ่นนานไป ๏ อากัปอาการขานไข ความข้างคำไทย ก็ใช้ว่าเลศกิริยา ๏ กากัปวิกัปนี้นา ทั้งสองวาจา สกดตัวปอภอควร ฯะ

กาบ กาบภาษาไทยใคร่ครวญ ประมาณประมวญ มีมากหลากหลากหลายคำ ๏ กาบอ้อยกล้วยน้ำกาบดำ กาบกอระกำ กาบหมากแลกาบปลีมี ๏ ร่ำไปไม่สุดสุดทวี กาบไทยพาที ต้องที่ตัวบอสกด ๏ โคลงกาพย์กาพย์กลอนมคธ ใช้ตามไวพจน์ สกดพอยอทั้งสอง ๏ แม่กบกาบต่างโดยคลอง ในแบบละบอง สามคำเช่นร่ำพรรณา ๏ กำมือกำแม่กกา บาปกรรมภาษา มคธมีมอรอหัน ๏ คำว่าคนกุมกรกัน เปนคำสามัญ สกดตัวมอพอดี ๏ คำกุมภ์เปนชื่อราษี ภอการันต์มี ท่านแปลว่าหม้อขังชล ๏ จบกอไวพจน์นุสนธิ์ เลาเลศยุบล เปนแบบล้วนแยบคายคำ ๏ นักเรียนเพียรดูเพียรจำ ในกลอนลำนำ จะจำก็ง่ายดายดี ๏ เพียรผูกพากย์พจน์พาที หวังให้เปนศรี สวัสดิ์แต่ผู้เพียรเรียน ๚ะ

๏ จบ คำร่ำเพ้อพูด พรรณา
กอ แจกแต่ ก กา ก่อเค้า
ไว ว่องถ่องศึกษา สำเหนียก แม่นเฮย
พจน์ พากย์หลาก ๆ เย้า ยั่วให้เหิมเรียน ๚ะ

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ