ลอไวพจน์

๏ ลำดับจับจัดตั้ง เติมบท
จำแนกลอไวพจน์ พากย์พ้อง
หมวดคำเร่งจำจด เจนจิตร เทอญพ่อ
โดยบทฉบังคล้อง บ่อแคล้วคลากลอน ๚ะ

ฉบัง จำแนกแจกหมวดลอไว พจน์เรียบเทียบไพ เราะเพราะเสนาะพริ้งเพรา ๏ เพื่อสอนเด็กอ่อนอันเยาว์ จดจำสำเนา สำเหนียกแลนึกตฤกตรอง ๏ เจนจัดชัดจำทำนอง แบบบทละบอง ละบ่อนจงผ่อนพูนเพียร ๏ เรียนให้สมศักดิ์นักเรียน บอเนิ่นจำเนียร จะชัดชำนาญชาญเชาวน์ ๏ เขียนต้องตามเหตุเลศเลา บอพักโดนเดา ดึงดันตะโพงโปงคลุม ๚ะ

ลาน คำลานคนไทยใช้ชุม จัดควบรวบรุม ลนลานอีกลานที่เตียน ๏ หนึ่งลานนวดเข้าควายเวียน อีกใบลานเขียน จรดเหล็กจานลานทอง ๏ ตรงน่าพระที่นั่งว่างปอง เรียกโดยทำนอง ว่าน่าพระลานลานตา ๏ ลาญสกดญอญาติภาษา โบราณใช้มา ว่าหักทำลายชีวัน ๏ ลาญชีพลาญชนม์ใช้กัน แบหลาลาญปัน เป็นพากย์ชวามาปน ๏ เลวลาญในสารนุสนธิ์ แปลแบบแบบยล ของต่ำแลชำรุดพัง ๏ วิลารว่าแมวควรฟัง แต่สำเนียงดัง พูดกันนั้นใช้วิลา ๏ เหมือนเรื่องนางสุริญชา ก็เรียกวิลา เพราะลดเป็นบทละคร ๏ โอฬารคู่เอาฬารสอน ให้รู้คู่จร คำเดิมแลคำเปลี่ยนผัน ๏ มะโหฬารมะเหาฬารคู่กัน ว่ายิ่งใหญ่ครัน ทั้งสี่สกดรอคง ๚ะ

ลิน คำไทยใช้ดอกลินจง ต้นจิกจำนง มคธนั้นว่ามุจลินท์ ๏ แลใช้เป็นชื่อสระสินธุ์ อีกชื่อนาคินทร์ คืออ้างต้นจิกเป็นนาม ๏ กระษัตริย์ในเขตรมลคาม สมญาโดยความ พระเจ้ามิลินท์ปิ่นชน ๚ะ

ลิง ค่างลิงวิ่งวุ่นซุกซน อาลิงค์นฤมล ว่าสร้วมว่ากอดนงคราญ ๚ะ

ลุง ป้าลุงคำไทยไขขาน ชื่อยาลมขนาน หนึ่งเรียกว่ายามาตลุงค์ ๏ เขาผิวผลมะกรูดปรุง เป็นยาบำรุง โลหิตกับพิศม์ลมแสลง ๏ มาตลุงค์แปลคำสำแดง มะกรูดกลิ่นแรง ซึ่งนับในหมู่ไม้หอม ๏ มัดถลุงค์ว่าสมองที่ถนอม ในกระหม่อมจอม ศิริเกล้าแห่งเราทั้งผอง ๏ เขียนต้องคอการันต์รอง ตามแบบละบอง ในบทมคธบาฬี ๏ ตลกคำไทยใช้มี คนช่างพาที จำอวดนักเลงออกสนาม ๏ ไตรยโลกยดิลกฦๅนาม ว่าเฉลิมโลกสาม เป็นปิ่นพิภกพโลไกย ๏ มาฬกว่าโรงอำไพ โรงพิธีใน นิเวศแลโรงอื่นหลาย ๚ะ

ลัก ฉกลักคำไทยบมิกลาย ลักขะธิบาย ลูกบาดแลลูกคะแนน ๏ ลักขะณะใช้ลักษณแทน ยกศับท์นับแสน ก็ว่าเครื่องหมายถ่ายเดียว ๏ นรลักษณ์บพีผอมเพรียว หัดถ์บาทชงฆ์เรียว ก็เรียกว่าลักษณดี ๏ สุภลักษณ์งามสิ้นอินทรีย์ ทุกสิ่งพร้อมมี ท่านเรียกว่าลักษณ์สมบูรณ์ ๏ ลักษณสมบัติเพิ่มพูน เฉลิมยศประยูร ด้วยธัญญลักษณศักดิ์สม ๏ เสาวลักษณลักษณน่าชม งามเอกอุดม อดุลย์ลักษณใครปาน ๏ ลักษณชั่วช้าสาธารณ์ มีคำไขขาน ว่าทรลักษณบมิงาม ๏ อัประลักษณว่าลักษณน้อยทราม ยอบหย่อนฤกษยาม ในดวงชตาราษี ๏ ไตรยลักษณเครืองหมายสามมี โดยพุทธฎี กาตรัสไว้ชัดทั้งสาม ๏ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ถึงความ สูญเปล่าจากงาม บควรคจะนับว่าตน ๏ ทั้งสามความสอนทศพล รู้แทบทุกคน แต่ไม่พอใจรำพึง ๏ อาลักษณมีผู้รู้อึง แต่ไม่รู้ถึง ที่แปลเป็นภาษาไทย ๏ ว่ามีเครื่องหมายทั่วไป อักษรใดใด อาลักษณประจักษ์แจ้งความ ๚ะ

เลข คำเลขบมีคำสยาม คนไทยใช้ตาม มคธที่บทบาฬี ๏ บังคับขอสกดวาที โดยคำแปลมี ว่าขีดว่าเขียนเป็นรอย ๏ เดิมครูสอนเลขใช้สอย คำอื่นอื่นพลอย สักเลขจ่ายเลขตามกรม ๏ ต้องเขียนหมายหมู่นิยม ไพร่หลวงไพร่สม สกรรจแลทานทั้งหลาย ๏ เพราะเขียนศักตามหมู่หมาย บาชญีทุกราย จึ่งเรียกกว่าเลขรายมี ๏ สระเลขแปลว่าเขียนดี เสาวเลขวาที ก็แปลประดุจเดียวกัน ๚ะ

โลก เรียกไม้อุโลกสามัญ คนไทยจำนัน ก็นับในคำสาธารณ์ ๏ อุลโลกแปลว่าเพดาน มคธพจมาน มีใช้ในศับท์สอนหลาย ๏ อาโลกแปลว่าสว่างฉาย จันทาโลกหมาย ว่าแสงศศิจันทร ๏ สุริยาโลกศับท์สาธร ว่าแสงทินกร กำหนดแต่ต้นต่างกัน ๏ ว่าสัตว์ในโลกย์อนันต์ มียอการันต์ เพราะอ้างแต่คำโลกี ๏ หมู่สัตวโลกย์มากมี นานาสัญญี แลนับว่านานากาย ๚ะ

ลด ลดลั่นชั้นลดหลากหลาย ลดหย่อนผ่อนคลาย แลต้องในบทลดทอน ๏ เหล่านี้คำลดสังหร สยามพจนนิกร คือคำข้างไทยใช้ชุม ๏ ลาลดนี้คำสุขุม พานจะเคลือบคลุม ไม่ชัดวาภาษาใด ๏ แปลว่าโศกเศร้าอาไลย เห็นจะเป็นคำไทย บุราณบรรหารสืบมา ๏ โสฬศนี้ชัดวาจา มคธภาษา แปลว่าสิบหกเห็นตรง ๏ เช่นอัฐโสฬศประสงค์ สิบหกอันคง เป็นเฟื้องทวีจากอัฐ ๏ แต่ไทยพูดใช้สั้นจัด จึ่งพูดตัดลัด ร้องเรียกแต่ฬศโสหาย ๏ สังเกตรู้กันง่ายดาย ทั้งหญิงทั้งชาย บอขัดบดข้องพาที ๏ โสพศเขียนฬอบาฬี ตัวศอคอมี สกดกำหนดเบาราณ ๚ะ

ลัด ลัดเกร็ดแลลัดปากกราน คลองลัดชลธาร ปากลัดนครเขื่อนขันธ์ ๏ ล่วงลัดตัดแดนดุดัน ไม่ลัดถูกกัน ลูกชีกู้ลัดแดงงาม ๏ เหล่านี้ลัดใช้คำสยาม อ่านดูรู้ความ บต้องจะคัดอัดถ์แปล ๏ ลัฐิรู้โดยกระแส ซึ่งได้ดูแล ว่าหนุ่มว่าอ่อนผ่อนผัน ๏ เช่นว่าลัฐิตาละวัน ว่าป่าตาลอัน อ่อนหนุ่มสะพรั่งเพราตา ๏ สกดฐอสัณฐานนา สยามภาษา แต่เห็นบอได้ใช้กัน ๏ ลัทธิว่าธรรมเนียมอัน เป็นสิ่งสำคัญ แห่งครูแลผู้ธิบดี ๏ สกดทอทานแลมี ธิธอเธอทวี เป็นแบบฉบับเบาราณ ๏ อีกคำลัดาวัลิมาน มากหลากสัณฐาน เป็นเถาแลเลื้อยพันทุม ๏ คำนี้บมีเคลือบคลุม เพราะไทยใช้ชุม ในบทในกลอนเกลื่อนดาย ๚ะ

ลาด ปูลาดเสื่อสาดพรมลาย เนินลาดหาดทราย ที่ลุ่มที่ลาดดาษเดียร ๏ เที่ยวลาดตะเวนวนเวียน ลาดเนินเขาเตียน แลเหล็กวิลาดดาดบัง ๏ คำลาดเหล่านี้โดยหวัง ไทยใช้ประดัง ตัวดอสกดบทไทย ๏ ลีลาศนี้น่าสงไสย เป็นคำอะไร จึ่งต้องสกดศอคอ ๏ คิดค้นต้นเค้าเหล่ากอ ลีลาต้นตอ แต่ในมคธบทมี ๏ คำพูดลีลาเดิมที นักปราชกระวี ประสงค์สำผัศฟัดกลอน ๏ จึ่งเติมตัวศออักษร ไพเราะสุนทร เช่นคำลีลาศยาตรา ๏ แปลความว่าเดินไปมา ที่ใช้ลีลา ก็ยังเป็นอย่างอ้างหลาย ๏ วิลาศแปลว่าเยื้องกราย เช่นกับโชยชาย ที่ใช้สำหรับศับท์สยาม ๏ ธรรมภาณพิลาศนี้ความ ว่าเยื้องกรายตาม วิธีที่สำแดงธรรม์ ๏ เทศนาวิลาศลาวัน ตามแปลดุจกัน เทศเพราะเสนาะธรรมนอง ๏ ขุนพจนวิลาศนามครอง โดยความแปลปอง ว่าเป็นผู้แต่งคำดี ขุนเขาไกรลาศคีรี ประลาศแล่นหนี แลวิปลาศผิดผัน ๏ ในลาศห้าคำจำนัน สำเนียงร่วมกัน สกดตัวศอคอควร ๏ กมลาศน์นี้จงใคร่ครวญ ว่าพรหมทั้งมวน ซึ่งเรียกว่าธาดาวงษ์ ๏ กมลาศน์นี้เนื่องจำนง สกดศอ คอคง ตัวนอสำเนียงการันต์ ๚ะ

ลิด ลับมีดลิดไม้เร็วพลัน โปลิดผลัดกัน รักษาที่ยามตามเวร ๏ กลอนรายลิลิดจัดเจน ชำนาญชาญเชน เรียกชื่อลิลิตคำไทย ๏ ช่วงโชติชวลิดอำไพ ชุลิตแจ่มใส ด้วยแสงสว่างอัคคี ๏ โมฬิศออกจากโมฬี นักเลงกระวี ประสงค์สัมผัศฟัดกลอน ๏ จึ่งเติมตัวสกดสังกร มีอุทาหรณ์ เช่นอย่างพรหมเมศพรหมมาน ๏ โมฬิศแปลคงคำขาน โดยแบบบรรหาร ว่าจุกว่ายอมมวยผม ๚ะ

ลุด มาลุตนี้แปลว่าลม อย่างเดียวระดม ดุจป่านมารุตเรือไฟ ๏ ศีลุจยคู่กับไศล แปลความตามไนย ก็ว่าภูเขาศิลา ๏ มิคะลุทธิ์ว่าพรานมฤคา ค้นเสาะแสวงหา กะทิงมฤคกวางทราย ๚ะ

เลด เป็นเลศโดยเลศบรรยาย กิเลศเหลือหลาย เกลศก็ใช้พาที ๏ แปลว่าเครื่องหมองใจมี กำหนัดราคี โลภหลงแลโกรธเกรียมใจ ๏ กมเลศเลียนกมลาศน์ไข ย้ายยักเยื้องไป ประสงค์แต่กลอนผ่อนหา ๚ะ

ลบ เขียนลบลบพื้นภาษา สยามพจนา นิเทศในเหตุสามัญ ๏ เมืองลพบุรีเรียกกัน เพราะแต่ปางบรรพ์ เขาเรียกละโว้โดยนาม ๏ ละโว้กลับเป็นลพตาม วิธีแผลงสยาม เป็นพจนมคธภาษา ๚ะ

ลับ ความลับแลลับสาตรา ที่ลับลับตา ต่อหน้าแลที่ลับหลัง ๏ คำไทยพูดใช้ลับบัง ตัวบอประดัง สกดเป็นบทสามัญ ๏ คูณหารได้เลขลับธ์พลัน ลับธอการันต์ นี่นับในลับธ์บาฬี ๏ เขียนใช้ลัพภ์ก็มี แต่ไม่สู้ดี ไม่เหมือนกับลับธ์คำควร ๏ ลับธ์แปลว่าได้จำนวน หารตามกระบวน แต่ตกเป็นลับธ์เลขคง ๚ะ

ลาบ พวกลาวนั่งล้อมเป็นวง กินลาบจำนง ว่าแซบบอแพ่ลาบลาว ๏ เหมืลงน้ำลำลาบยืดยาว มือเราเมื่อคราว เป็นแผลลำลาบอาบพัง ๏ ลาบสามสยามพจนัง กระบวนควรฟัง สกดก็คงตัวบอ ๏ เคราะห์ดีได้ลาภเพียงพอ เคราะห์ร้ายร่อยหรอ วิบัติทั้งขัดลาภทาน ๏ สกดภอภรรยาควรการ ลาภยศศฤงฆาร ก็ใช้ดุจเช่นนี้ตรง ๏ พิลาปครวญคร่ำถึงองค์ อนุชนวนอนงค์ แลร่ำพิลาปโหยหา ๏ สรรสาปว่าคำเจรจา สั่งสนทนา แก่กันแลกันโดยใจ ๚ะ

โลบ โลบนี้มิใช่คำไทย เป็นคำมาใน มคธพากย์ภาษา ๏ สกดตัวภอภรรยา แปลว่าปราถนา แลเหนียวกระหนี่ทรัพย์สิน ๏ ละโมภไทยพูดอาจิณ ทุกคนยลยิน แลใช้ชำนาญชาญหู ๏ แต่มาพิเคราะห์คำดู เห็นในแบบครู ว่าโลภละโมบผวนผัน ๏ ตัวสกดควรคงยืนยัน ใช้ตัวภอภรร ระยาเช่นโลภคำเติม ๏ เรื่องนี้เป็นข้อต่อเสริม พอเห็นเป็นเฉลิม จะเชื่อบอเชื่อตามใจ ๏ รวบรวมแจงเหตุเลศไนย มคธะพากย์ไว พจน์แยกจำแนกจำนวน ๏ เลือกคัดจัดคำที่ควร โดยแบบกระบวน บรรเจิดบรรจบครบครัน ๏ หวังเพื่อพอเป็นสำคัญ แก่เด็กอ่อนอัน จะเล่าจะเรียนเพียรดู ๏ อ่านชัดชาญเชนเจนหู ตามแยบแบบครู จะปรุจะโปร่งปรีชา ๚ะ

๏ หมวดลอไวพจน์ค้น คำขยาย
โดยเลศโดยเลาหลาย หลากถ้อย
บอกสกดบทธิบาย บอกพากย์ ด้วยเฮย
จบครบบอคลาศคล้อย เคลื่อนเบื้องฉบับบรรพ์ ๚ะ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ