บทที่ ๖ แดนสวรรค์ชั้นฉกามาพจร

สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

ต่อไปนี้จะกล่าวถึงบรรดาเทพยดาที่เกิดในสวรรค์ชั้นฉกามาพจร หรือ สวรรค์ ๖ ชั้น เทพยดาในสวรรค์ชั้นนี้มี ๓ ประเภท คือ สมมุติเทวดา อุปปัติเทวดา และวิสุทธิเทวดา

สมมุติเทวดา ได้แก่ พระราชามหากษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน และพระองค์ทรงรอบรู้หลัก รู้บุญรู้ธรรม ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมทั้งสิบประการ[๑]

อุปบัติเทวดา ได้แก่ เทพที่เกิดในแดนสวรรค์ชั้นฟ้า นับตั้งแต่ชั้นฉกามาพจร ไปจนถึงชั้นพรหม

วิสุทธิเทวดา ได้แก่ พระพุทธเจ้าพระปัจเจกโพธิเจ้า พระอรหันตขีณาสพซึ่งได้บรรลุนิพพาน

บรรดาเทพยดาที่เกิดในแดนสวรรค์ เกิดในอากาศ เกิดบนพื้นดินในโลกนี้ ย่อมเกิดด้วยอุปปาติกโยนิเพียงอย่างเดียว และเกิดด้วยจิต ๙ ดวง ดังกล่าวแล้ว

เทพยดาจำพวกหนึ่งซึ่งน่าจะรู้จักไว้คือ พวกแรกเป็นพวกที่สถิตอยู่ตามภูเขาในโลกนี้ มีวิมานอยู่บนภูเขา พวกที่สอง สถิตอยู่ตามต้นไม้ ทั้งที่มีวิมานอยู่บนยอดไม้ กลางลำต้นของต้นไม้ใหญ่และอยู่ตามพุ่มไม้ ถ้ามีผู้ฟันพุ่มไม้ขาด วิมานของเทพยดาก็จะพังลง และแม้พุ่มไม้หักเอง วิมานก็พังลงได้เช่นกัน ถ้าคบไม้หักค้างอยู่ ปราสาทหรือวิมานก็ยังคงค้างอยู่กับคบไม้นั้น ถ้ากิ่งไม้หักจนหมดสิ้นวิมานของเทวดาก็หักพังสิ้นด้วย บรรดาเทวดาที่สถิตอยู่ในต้นไม้ (หรือพฤกษวิมาน) นั้น ถ้าต้นไม้หักโค่นลง วิมานก็พังทลาย แต่ถ้ายังมีตอไม้เหลืออยู่ วิมานก็ยังตั้งอยู่ตามเดิม ถ้าต้นไม้นั้นถูกทำลายทั้งโคนและราก ปราสาทก็จะหายไป ปราสาทของเทวดาตามต้นไม้นั้นคนธรรมดาไม่อาจจะแลเห็นได้ พวกผีและเทวดาเท่านั้นที่แลเห็นวิมานได้ พระจตุโลกบาลทรงใช้ บรรดาเทวดาลงมาเนรมิตวิมานแจกให้แก่เทพยดานั้น ดังนั้นเทพยดาเหล่านั้นเลือกสถิต ณ ที่ใดตามใจชอบไม่ได้

นับจากแผ่นดินที่เราอยู่นี้ขึ้นไปเบื้องบน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ วา คิดเป็นโยชน์ได้ ๔๖,๐๐๐ โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที่ชื่อว่าจาตุมหาราชิกาภูมิ สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่บนยอดเขายุคันธรทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ส่วนทางทิศใต้เป็นเขาสิเนรุราช มีเมืองสวรรค์สำหรับเทพยดาอยู่ ๔ เมืองด้วยกัน แต่ละเมืองมีความกว้างและยาวเท่ากันคือ ๔๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงทองล้อมรอบ ประดับประดาด้วยแก้ว ๗ ประการ กำแพงนี้มีความสูง ๘,๐๐๐ วา บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาททองอยู่เหนือประตูทุกด้าน ภายในเมืองมีปราสาทแก้วเป็นที่สถิตของเหล่าเทพยดา แผ่นดินในเมืองนั้นเป็นแผ่นดินทองคำแวววาวงดงามและราบเรียบราวหน้ากลอง แต่อ่อนละมุนเหมือนฟูกผ้า แก้วที่ประดับพื้นนั้นเมื่อเหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมา เหมือนเดิม ไม่ปรากฏรอยเท้าที่เหยียบ

นอกจากนี้ยังมีน้ำที่ใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัวห้าชนิดบานอยู่ในสระน้ำ มีกลิ่นหอมราวอบไว้ มีดอกไม้ที่สวยงาม และต้นไม้ที่งามเลิศ มีผลไม้รสอร่อยยิ่งนัก ต้นไม้ดังกล่าวนี้ออกดอกออกผลตลอดปีไม่รู้วาย

เทพยดาผู้เป็นใหญ่เหนือเทพยดาทั้งหลาย สถิตอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุราช ทรงนามว่าท้าวธตรฐราช เป็นใหญ่ปกครองเทพยดาทั้งหมดในบริเวณกำแพงจักรวาลด้านทิศตะวันออก

ส่วนเทพยดาที่เป็นใหญ่ปกครองเหล่าครุฑราชและนาคนั้น สถิตอยู่ทางกำแพงด้านตะวันตก

เทพยดาผู้เป็นใหญ่ทางทิศใต้ ทรงนามว่าท้าววิรุฬหกราช ปกครองเหล่ายักษ์ที่ชื่อว่า กุมภัณฑ์ รวมทั้งเหล่าเทพยดาที่สถิตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุราช ตลอดถึงกำแพงจักรวาลด้านทิศใต้

เทพยดาผู้เป็นใหญ่ทางทิศเหนือ ทรงนามว่าท้าวไพศรพณ์มหาราช ปกครองเหล่ายักษ์และเทพยดาที่สถิตอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุราช จนถึงกำแพงจักรวาลด้านเหนือ

เทพยดาในแดนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานั้นมีอายุยืนถึง ๕๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเปรียบเทียบกับปีมนุษย์เราก็คือ ๙ ล้านปีมนุษย์

เทพยดาที่สถิตในอากาศ บางเหล่าสถิตในปราสาทแก้วซึ่งกว้าง ๘,๐๐๐ วา บางเหล่ามีปราสาทแก้วกว้าง ๑๖,๐๐๐ วา บางเหล่ามีปราสาทแก้วกว้าง ๘๐,๐๐๐ วา บางเหล่ามีปราสาทแก้วกว้าง ๘๘,๐๐๐ วา ปราสาทเหล่านี้ตั้งอยู่ทั้งสี่ด้านของเขาพระสิเนรุราชซึ่งเป็นเมืองใหญ่

เทพยดาทั้งสี่เหล่าสถิตอยู่เหนือยอดเขาใหญ่ยุคันธร แม้ใกล้กำแพงจักรวาลก็เรียกว่าจาตุมหาราชิกา

พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ ตลอดจนดวงดารากรทั้งหลาย ต่างหมุนรอบเขาพระสิเนรุราชตลอดเวลา

พระเทวราชทั้งสี่องค์นั้น พระอินทร์โปรดให้เนรมิตเมืองฟ้าและเมืองดินทุกแห่ง เรียกว่าท้าวจตุโลกบาล องค์ท้าวเทวราชนั้นสูงใหญ่ถึง ๖,๐๐๐ วา ส่วนองค์เทวดาบริวารสูง ๔,๐๐๐ วา ผู้ใดทำบุญไว้ดีก็จะไปเกิดเป็นเทพยดา มีปราสาทแก้วเงินทองและสมบัติทิพย์มากมาย ขณะที่เทพยดาสถิตอยู่ในปราสาทและมีเทพยดาองค์ใหม่บังเกิดที่ขายผ้าพับ (พกผ้า) เทพยดาองค์ที่เกิดใหม่นี้นับเป็นเทพธิดา คือลูกสาวของเทพยดาที่เกิดก่อนนั้น เทพยดาบางพวกที่จะเกิดเหนือที่นอนนับเป็นเมียเทพยดาผู้เป็นเจ้าของวิมาน เทพยดาบางจำพวกเกิดที่เชิงฐานบัลลังก์ของเทพยดา ก็จะมีฐานเป็นสาวใช้ของเทพยดาองค์นั้น ถ้าเทพยดาใดทำบุญไว้น้อย ได้ไปเกิดที่ประตูปราสาทหรือภายในกำแพงของเทพยดาองค์ใด ก็จะมีฐานะเป็นข้ารับใช้ของเทพยดาองค์นั้น แม้ว่าเกิดที่ภายนอกกำแพงแก้วซึ่งล้อมรอบปราสาทแก้วของเทพยดาองค์ใด ก็จะกลายเป็นไพร่ฟ้าบริวารของเทพยดาองค์นั้น แต่ถ้าเทพยดาองค์ใดเกิดระหว่างแดนเทพยดาทั้งสอง ก็ต้องนำเทพยดาองค์นั้นไปเฝ้าพระอินทร์ พระองค์ก็จะทรงใช้ให้เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งมาวัดที่เกิดของเทพยดาองค์ใหม่ว่าเกิดใกล้แดนองค์ใดมากที่สุด ก็ทรงตัดสินให้เป็นบริวารขององค์นั้น แต่ถ้าระยะห่างเท่ากันทั้งสองฝ่าย พระอินทร์ก็จะทรงถามว่าเทพยดาองค์ใหม่หันหน้าไปทางฝ่ายใด แล้วทรงตัดสินให้เป็นบริวารของฝ่ายนั้น ถ้าเทพยดาเมื่อแรกเกิดหนอนหงายเงยหน้าสู่เบื้องบน ไมได้หันหน้าไปทางทิศใดทิศหนึ่ง พระอินทร์ก็จะไม่ทรงปล่อยให้เทพยดาแย่งชิงวิวาทกัน พระองค์จะทรงรับไว้เป็นไพร่ฟ้าของพระองค์เอง

เทพยดาเมื่อไปเกิดในแดนสวรรค์นั้นจะมีร่างกายโตใหญ่ขึ้นทันที สักครู่หนึ่งต่อมาก็จะมีเครื่องประดับที่สวยงาม มีรูปโฉมโนมพรรณเป็นหนุ่มหรือสาววัย ๑๖ ปี และจะคงสภาพเช่นนี้ตลอดไป เทพยดาจะมีร่างกายสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน ภายในกายปราศจากกลิ่นเหม็นแม้เพียงเล็กน้อย

เทพยดาทั้งหลายรู้จักเนรมิตกายให้ใหญ่โตตามความประสงค์ และถ้าต้องการย่อตัวให้เล็กลง ก็สามารถเนรมิตได้เช่นกัน อาจจะย่อกายให้เล็กถึงขนาดสถิตอยู่ที่ปลายเส้นผมถึงยี่สิบองค์ก็ได้ หรือ ๔๐ องค์ก็ได้ หรือ ๖๐ องค์ก็ได้ หรือ ๘๐ องค์ก็ได้ เทพยดาย่อมมีอำนาจเนรมิตได้ทั้งสิ้น

อาหารของเทพยดา คืออาหารทิพย์ทุกมื้อ อาหารนั้นแห้งหายเข้าสู่ร่างกายของเทพยดา ไม่มีกากมูล (หรืออุจจาระปัสสาวะ) ดังเช่นมนุษย์เรา

การเจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่บังเกิดแก่เทพยดาตราบจนสิ้นอายุ เทพยดาไม่รู้จักป่วยไข้ มีแต่ความสุขสำราญใจตลอดเวลา อยู่กับครอบครัวลูกเมียด้วยความสุขเบิกบานชั่วกาลนาน

เรื่องราวของเทพยดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิก็มีเพียงเท่านี้

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

เหนือสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไป ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา เป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทวดาทั้งหลาย อาณาเขตของเมืองที่พระอินทร์อยู่นี้กว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาทแก้ว มีสถานที่สำหรับเล่นเพลิดเพลิน จากประตูเมืองด้านตะวันออกไปถึงประตูเมืองด้านตะวันตก กว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา จากประตูเมืองด้านใต้ไปถึงประตูเมืองด้านเหนือ กว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบเมืองและมีประตูทั้งหมดโดยรอบ ๑,๐๐๐ ประตู ทุกประตูมียอดเป็นปราสาท ทำด้วยทอง ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ประตูนั้นวัดตั้งแต่เชิงประตูขึ้นไปถึงยอดปราสาทสูง ๒๕๐,๐๐๐ วา เวลาเปิดปิดประตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรีเป็นที่พึงพอใจ เทวดาที่อยู่ในนครดาวดึงส์สามารถได้ยินเสียงร้องของช้างแก้ว และเสียงของราชรถแก้วอันไพเราะเป็นที่พออกพอใจยิ่ง

กลางนครดาวดึงส์นั้น มีปราสาทชื่อไพชยนต์ปราสาท สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา งดงามด้วยแก้ว ๗ ประการ สุดจะพรรณนา เป็นที่ประทับของพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ ทางทิศตะวันออกของนครดาวดึงส์ มีสวนทิพย์ชื่อนันทนวัน มีอาณาเขตโดยรอบวัดได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา ล้อมด้วยกำแพงแก้วโดยรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู สวนนี้เป็นสวนสนุก มีสมบัติทิพย์ และต้นไม้ทั้งหลายทั้งไม้ผลไม้ดอกมากมาย เป็นสถานที่เล่นสนุกสนานสำหรับเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ใกล้ ๆ อุทยานก่อนจะเข้าสู่นครนั้นมีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อนันทาโบกขรณีและจุลนันทาโบกขรณี น้ำในสระนั้นใสงามดังแผ่นแก้วอินทนิล เรืองงามราวกับมีแสงฟ้าแลบจับอยู่บนผิวน้ำนั้น มีแท่นหินแก้วใกล้สระนั้น ๒ แผ่น ชื่อนันทาปริฐิปาสาณ และจุลนันทาปริฐิปาสาณ แผ่นหินแก้วทั้งสองแผ่นนี้มีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก เวลาจับต้องแผ่นหินนี้อ่อนนุ่มราวกับแผ่นหนังเหน

ด้านทิศใต้ของนครดาวดึงส์ มีสวนอุทยานใหญ่ชื่อผารุสกวัน ต้นไม้ที่อยู่ในสวนนี้มีลักษณะอ่อนค้อมราวกับมีผู้ดัดไว้ รอบสวนมีกำแพงแก้วล้อม และมีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกประตู อาณาเขตของอุทยานวัดได้ ๕,๖๐๐๐,๐๐๐ วา ในอุทยานก่อนจะเข้าตัวเมืองมีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อภัทราโบกขรณี และสุภัทราโบกขรณี ริมฝั่งสระมีก้อนหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อภัทราปริฐิปาสาณ และสุภัทราปริฐิปาสาณ เวลาจับต้องหินนี้อ่อนนุ่มและเกลี้ยงเกลาราวกับแผ่นหนังสาน

ทางทิศตะวันตกของนครดาวดึงส์ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง เป็นที่เล่นสนุกสนานถูกใจเทวดาทั้งหลาย อุทยานนี้งดงามมาก ชื่อจิตรลดา ต้นไม้และเถาวัลย์ในสวนนี้สวยงามราวกับมีผู้แต่งประดับไว้ มีกำแพงแก้วล้อมสวนนี้โดยรอบ และมีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตูดูรุ่งเรืองงดงามไปทั่ว อุทยานโดยรอบวัดได้ ๔๐๐,๐๐๐ วา ในอุทยานด้านที่จะเข้าสู่เมืองมีสระ ๒ สระ ชื่อจิตรโบกขรณี และจุลจิตรโบกขรณี สระแต่ละสระมีแผ่นศิลาแก้วอยู่ ๑ อัน ๆ หนึ่ง ชื่อจิตรปาสาณ อีกอันหนึ่งชื่อจุลจิตรปาสาณ ดูรุ่งเรืองเหลือบงามมาก เมื่อจับต้องดูจะอ่อนนุ่มราวกับแผ่นหนังสาน ทวยเทพทั้งหลายทั้งเทพบุตรเทพธิดาจะพากันไปเล่นเป็นที่เพลิดเพลินในสวนอุทยานแห่งนี้

ทางทิศเหนือของนครดาวดึงส์ มีสวนอุทยานใหญ่ชื่อมิสสกวัน บรรดาต้นไม้และเถาวัลย์ในสวนนี้งามราวกับมีผู้แต่งไว้ มีกำแพงแก้วล้อมรอบสวน และมีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกประตู วัดโดยรอบสวนได้ ๔,๐๐๐,๐๐๐ วา ในอุทยานด้านใกล้ตัวเมืองจะมีสระใหญ่ ๒ สระ ชื่อธรรมาโบกขรณี และสุธรรมาโบกขรณี ริมฝั่งสระนั้นมีก้อนหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อธรรมาปริฐิปาสาณ และ สุธรรมาปริฐิปาสาณ หินนั้นมีรัศมีรุ่งเรืองสวยงามและอ่อนนุ่มราวแผ่นหนังเหน

ทางทิศตะวันออกเอียงเหนือของนครดาวดึงส์ มีสวนใหญ่ชื่อมหาพน เป็นสวนสนุกเพลิดเพลิน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ และมีปราสาทแก้วอยู่เหนือประตูทุกแห่ง โดยรอบสวนวัดได้ ๖๐๐,๐๐๐ วา ในสวนมหาวันนี้มีปราสาททองคำ ๑,๐๐๐ หลัง ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ระหว่างสวนมหาวันและสวนนันทนวันมีสระแก้วงดงามประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ใต้พื้นสระนี้วัดได้ ๘๐๐,๐๐๐ วา และมีแท่นแก้วอยู่ในรถไพชยนต์ กว้าง ๘,๐๐๐ วา ยาว ๘,๐๐๐ วา เหนือกลางแท่นแก้วมีกลดแก้วกางอยู่กว้างหนึ่งโยชน์ แท่นแก้วนั้นมองดูขาว และกลดแก้วนั้นเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ส่องลงมาเหนือแสงจันทร์ในคืนเดือนแรม หัวรถไพชยนต์ มีม้าแก้ว ๒,๐๐๐ ตัว เทียมอยู่ข้างละ ๑,๐๐๐ ตัว ม้าทุกตัวมีเครื่องแก้วประดับ และรถก็เป็นทองคำประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสร้อยมุกดาห้อยประดับ พร้อมทั้งมาลัยดอกไม้ทิพย์และแก้วทองห้อยประดับอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีสไบแก้วและพรวนทองมีรัศมีงดงามราวสายอินทรธนูและลายฟ้าแลบดังแสงอาทิตย์ ไม่สามารถจะพรรณนาถึงความงามได้ถ้วนทั่ว เวลาลมพัดจะได้ยินเสียงดังก้องราวเสียงพิณพาทย์ฆ้องกลองและแตรสังข์ที่เทวดาตีในเมืองฟ้า

เมื่อขึ้น ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔ ค่ำ ท้าวธตรฐราชผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทวดาบนเขายุคันธร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขากำแพงจักรวาล พร้อมทั้งหมู่คนธรรพ์ที่ประดับประดาไปด้วยเงินและทองตั้งแต่ศีรษะตลอดถึงทั่วลำตัว มีเงินทองมากกว่าร้อยล้าน มีเครื่องแห่แหนและหอก ดาบ จามรจามรี ล้วนแต่เป็นเงินและทองทั้งสิ้น เทวดาบางพวกถือค้อนถือสากทำด้วยเงินและทอง บางพวกถือธงเงินธงทอง เทวดาทั้งหลายนี้ก็เดินทางมาในอากาศจากเมืองที่ยอดเขายุคันธรนี้ ตรงไปยังทิศตะวันออกของกำแพงจักรวาล

ยังมีท้าวพระยาอีกองค์หนึ่ง ชื่อท้าววิรุฬหกราช เป็นใหญ่ในหมู่ผีเสื้อ ผีกุมภัณฑ์ทั้งหลาย กว้างใหญ่ไปจนถึงทิศใต้ของกำแพงจักรวาล เครื่องประดับกายของท้าววิรุฬหกราชและบริวารล้วนเป็นแก้วมณีงดงามมาก จำนวนไม่รู้กี่ร้อยกี่พันล้าน หมู่เทวดาถือค้อนและกระบองทำด้วยแก้วมณี ท้าววิรุฬหกราชนั้นทรงม้ามีเครื่องประดับเป็นแก้วมณี นำพลไปทางอากาศไปจนถึงด้านทิศใต้ของกำแพงจักรวาล

นอกจากนั้นก็ยังมีท้าววิรูปักขราช ผู้เป็นใหญ่ปกครองเหล่านาคราชทั้งหลายตลอดแดนทางทิศตะวันตกของกำแพงจักรวาล มีเทวดาเป็นบริวารไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้าน ล้วนประดับประดาไปด้วยแก้วมณีงดงามยิ่ง หมู่เทวดาถือสาก ค้อน จามรี ทำด้วยแก้วมณี ท้าววิรูปักขราชนำพลเดินทางไปในอากาศ ตรงไปถึงทิศตะวันตกของกำแพงจักรวาล อันเป็นที่ตั้งของเขายุคันธร

ท้าวไพศรพณ์มหาราช ผู้เป็นใหญ่ปกครองหมู่ยักษ์และเทวดาทั้งหลายทางทิศเหนือของกำแพงจักรวาล ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เครื่องประดับกายของท้าวไพศรพณ์และบริวารเป็นทองเนื้อสุกงาม หมู่ยักษ์ทั้งหลายบ้างก็ถือค้อนถือสากและจามรีล้วนเป็นทองคำทั้งสิ้นไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้าน หมู่ยักษ์เหล่านี้มีหน้าตาน่ากลัว ท้าวไพศรพณ์มหาราชทรงม้าสีเหลืองดังทอง ขับพลนำไปถึงกำแพงจักรวาลด้านทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เดินทางไปทางอากาศจนถึงเขายุคันธรด้านทิศเหนือ

ที่เขาพระสุเมรุนั้น มีช้างตัวหนึ่งชื่อไอยราพต ช้างตัวนี้ไม่ใข่สัตว์เดรัจฉาน เพราะในเมืองสวรรค์ไม่มีสัตว์เดรัจฉานอยู่เลย มีแต่เทวดาทั้งสิ้น มีเทวดาองค์หนึ่งชื่อเอราวัณเทวบุตร ยามเมื่อพระอินทร์เสด็จไปเล่นที่ใดก็ตาม และพระองค์ประสงค์จะทรงช้างไป เอราวัณเทวบุตรก็จะเนรมิตตัวเป็นช้างเผือกเชือกใหญ่สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร มีเศียรเล็ก ๆ อีก ๒ เศียรอยู่รอบนอกเศียรใหญ่เหล่านั้น เศียรใหญ่มีขนาด ๒,๐๐๐ วา เศียรต่าง ๆ ถัดเข้าไปขนาด ๓,๐๐๐ วา ๔,๐๐๐ วา ๕,๐๐๐ วา ๖,๐๐๐ วา แต่ต่อ ๆ ไปกว้างขึ้นตามลำดับเช่นนี้ เศียรใหญ่ที่สุดตรงกลางชื่อสุทัศน์ เป็นที่ประทับของพระอินทร์ กว้างได้ ๒๔๐,๐๐๐ วา เหนือเศียรนี้มีแท่นแก้วกว้าง ๙๖,๐๐๐ วา มีปราสาทตั้งอยู่กลางแท่นแก้วนี้ มีธงแก้วจำนวนมาก สูง ๘,๐๐๐ วา ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพรวนทองคำห้อยประดับกวัดแกว่งไปมา มีเสียงดังไพเราะนัก ราวกับเสียงพิณพาทย์ในเมืองสวรรค์ ในปราสาทนั้น เพดานตกแต่งไว้ด้วยผ้าทิพย์ มีแท่นบรรทมกว้าง ๘,๐๐๐ วา พร้อมด้วยราชอาสน์ หมอนใบใหญ่ใบเล็กและหมอนพิง องค์พระอินทร์นั้นสูง ๖,๐๐๐ วา ประดับด้วยอาภรณ์ต่าง ๆ ทรงประทับเหนือแท่นแก้วบนเศียรช้าง ๓๓ เศียร และทรงให้เทวดาทั้งหลายผู้มีบุญบารมีเท่าพระองค์นั่งเหนือเศียร ๒๒ เศียร

เศียรช้างทั้ง ๓๓ เศียรนั้น แต่ละเศียรมีงา ๗ งา อันหนึ่งยาว ๔๐๐,๐๐๐ วา งาหนึ่งมีสระ ๗ สระ แต่ละสระมีกอบัว ๗ กอ แต่ละกอมีดอกบัว ๗ ดอก ดอกหนึ่งมี ๗ กลีบ กลีบหนึ่งมีนางฟ้ายืนร่ายรำอยู่ ๗ นาง แต่ละนางมีบริวาร ๗ ตน รวมกันทั้งหมดแล้ว ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ มีนางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง มีบริวารทั้งหมด ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง ทั้งหมดนี้อยู่ในงาช้างเอราวัณ และยังมีบริเวณกว้าง ๕๐ โยชน์ เป็นที่อยู่ของนางระบำและบริวารทั้งหลายด้วย

เมื่อพระอินทร์เสด็จประทับเหนือแท่นแก้วเหนือเศียรช้างเอราวัณนั้น นางสุธัมมามเหสี ผู้ประเสริฐของพระอินทร์พร้อมบริวารประดับด้วยเครื่องถนิมอาภรณ์งดงามด้วยแก้ว ๗ ประการ ก็ประทับเฝ้าอยู่ทางเบื้องซ้ายของพระอินทร์ มเหสีอีกองค์คือสุชาดา ผู้ทรงศีลมิได้ขาด ประดับเครื่องอาภรณ์พร้อมบริวาร ประทับเฝ้าอยู่ทางเบื้องขวาของพระอินทร์ ส่วนนางสุนันทามเหสีอีกองค์หนึ่งประดับกายด้วยเครื่องประดับทำด้วยแก้ว ๗ ประการ พร้อมบริวารก็ประทับเฝ้าอยู่ด้านหลังของพระอินทร์ ส่วนนางสุจิตรามเหสีอีกองค์หนึ่งตกแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบริวาร ประทับเฝ้าอยู่ทางเบื้องซ้าย ถัดจากนั้นรอบนอกออกไปก็มีนางฟ้าที่เป็นมเหสีของพระอินทร์อีก ๙๒ นาง ประทับเฝ้าอยู่ มีดวงหน้างดงามและประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ล้วนแต่เป็นแก้วแหวนเงินทองทั้งสิ้น บ้างก็ถือกละออมแก้ว บ้างก็ถือ คนที จามรี จามรแก้ว บ้างก็ถือธงแก้วและธงทองแกว่งไกวไปมา เครื่องแห่แหนนี้ล้วนแต่เป็นแก้ว ๗ ประการทั้งสิ้น ถัดออกไปก็มีนางบริวารสาวใช้มากมาย บางคนก็ถือคนทีทองกละออมทอง ถัดออกไปอีกก็มีบรรดานางฟ้าชาวสวรรค์มากมายฟ้อนรำถวายพระอินทร์อยู่

มีเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อคิดครา ถือพิณชื่อมหาวีณา ยามเมื่อนางดีดพิณอันนี้ พิณอื่น ๆ อีก ๖๐,๐๐๐ อันก็จะดังขึ้นมาเองด้วย มีเสียงไพเราะนักหนา เทพธิดาอีกองค์หนึ่งชื่อสาธุ เป่าปี่คู่หนึ่งชื่อสุภัทรา ยามเมื่อนางเป่าปี่คู่นี้ ปี่อื่น ๆ อีก ๖๐,๐๐๐ เลาก็จะดังขึ้นมาเองด้วย มีเสียงไพเราะราวกับมีผู้เป่าด้วย นางฟ้าชื่อหสัจจนารี ดีดพิณชื่อมธุรตระ มีเสียงเพราะเป็นที่พึงพอใจ นางฟ้ามณีเมขลาเป่าสังข์ใหญ่ชื่อพิชัยสังขะ เมื่อเป่าสังข์อันนี้ สังข์อีก ๖๐,๐๐๐ อันก็จะดังขึ้นมาเองด้วยราวกับมีผู้เป่าไพเราะมาก เทพธิดามหาตุมุทิงคสังขะตีตะโพนอันหนึ่งชื่อปุถุพิมพนะ เวลาตีตะโพนนี้ ตะโพนทั้งหลายอีก ๖๐,๐๐๐ อันก็จะดังขึ้นมาด้วย เทพธิดาชื่อตปนัคคิ ตีกลองชื่ออานันทเภรี เวลานางตีกลองนี้ กลองอื่นอีก ๖๐,๐๐๐ ลูกก็จะดังขึ้นด้วยไพเราะมาก เทพธิดาชื่อปนัคคิ ตีกลองหน้าเดียวชื่อรณมุขเภรี เวลาตีแล้ว กลองหน้าเดียวอีก ๖๐,๐๐๐ ลูกก็จะดังขึ้นมาด้วย เทพธิดานันทาตีกลองใหญ่ชื่อโกฬมธุรสสุรเภรี เมื่อตีกลองนี้ กลองใหญ่อื่น ๆ อีก ๖๐,๐๐๐ ลูก ก็จะดังขึ้นมาเองอีกด้วย เทพธิดายามาตีบัณเฑาะว์ชื่อโบกขรบัณเฑาะว์ ทำให้บัณเฑาะว์อื่น ๆ อีก ๖๐,๐๐๐ อันดังขึ้นมาด้วย เทพธิดาสรโฆสสุร เป่าปี่ไฉนแก้วชื่อนันทไฉน เมื่อเป่าปี่นี้ ปี่อื่น ๆ อีก ๖๐,๐๐๐ เลาก็จะดังขึ้นมาเองอีกด้วยเช่นกัน ราวกับมีผู้เป่าไพเราะมาก เทพธิดาชื่อสรพางคณา ตีกลองใหญ่ชื่อทัสสโกฏส เมื่อนางตีกลองนี้ กลองอื่น ๆ อีก ๖๐,๐๐๐ กลองก็จะดังขึ้นมาเอง ไพเราะมาก หมู่เทพธิดาทั้งหลายนี้มากมายนักมีชื่อต่าง ๆ กัน ถือปัญจางคิกตุริย ๕ สิ่ง ได้แก่ อาตตะ พิตตะ อาตตพิตตะ ฆนะ และสุสิระ เครื่องดนตรี ๕ อย่างนี้ เวลาบรรเลงจะมีเสียงดังผสมผสานเป็นเสียงเดียวกัน เครื่องดนตรีปัญจางคิกอื่นจำนวน ๖๐,๐๐๐ อัน ซึ่งเป็นพวกเดียวกับปัญจางคิกดุริยะนั้นก็จะดังขึ้นมาเองด้วย ราวกับมีผู้ดีดสีตีเป่าด้วย มีเสียงไพเราะยิ่งนัก

มีคนธรรพ์ตนหนึ่งชื่อสุธรรมา ตีกลองใหญ่ชื่อสุรันธะ สะพายเหนือบ่าด้านหนึ่ง เวลาตีมีผลให้กลองใหญ่อีก ๖๘,๐๐๐ ใบ มีเสียงดังขึ้นพร้อมกันตามจังหวะเพลงระบำไพเราะยิ่ง ได้ยินไปได้โดยรอบถึง ๔๐๐,๐๐๐ วา เหล่าคนธรรพ์และเทพธิดาทั้งหลายก็ฟ้อนรำเข้ากับเสียงกลองนี้ ที่เหนือเขาจักรวาลด้านทิศตะวันออก คนธรรพ์อีกตนหนึ่งชื่อพิมพรุสกะ สะพายกลองหน้าเดียวลูกหนึ่งชื่อเอกโบกขรเภรี บรรเลงเป็นเพลงคนธรรพ์ ทำให้หมู่กลองหน้าเดียวอีก ๖๘,๐๐๐ ใบ ดังขึ้นมาเองด้วย ไพเราะมากราวกับมีผู้บรรเลง ในบริเวณนั้นโดยรอบ ๔๐๐,๐๐๐ วา หมู่คนธรรพ์เทพยดาทั้งหลายก็จะเต้นระบำรำฟ้อนไปกับเพลงคนธรรพ์อยู่ที่ปลายกำแพงจักรวาล ทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ คนธรรพ์อีกตนหนึ่งชื่อทีฆมุขะ สะพายกลองใหญ่ชื่อมหาภัณฑเภรี ตีกลองนี้อยู่บนกำแพงจักรวาล ด้านทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เมื่อตีกลองนี้นั้น กลองอื่น ๆ ในที่นั้นอีก ๖๘,๐๐๐ ใบก็จะดังขึ้นมาเองอีกเป็นเสียงเดียวกัน มีหมู่คนธรรพ์เทวดามากมายฟ้อนรำอยู่ในบริเวณนั้นโดยรอบ ๔๐๐,๐๐๐ วา ส่วนคนธรรพ์ชื่อปัญจสิขร สะพายกลองใหญ่ชื่อสัสสสุระ เวลาตีกลองนี้ กลองอื่นอีก ๖๘,๐๐๐ อันก็จะดังขึ้นเองด้วย ในบริเวณโดยรอบ ๔๐๐,๐๐๐ วา หมู่คนธรรพ์เทวดามากมายก็จะฟ้อนรำระบำเต้นอยู่เหนือเขาจักรวาล ด้านทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ ทั้งหมดที่พรรณนามานี้ คือไพร่ฟ้าข้าไทบริวารของพระอินทร์นั้นเอง รวมทั้งท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็จะพาบริวารไปเฝ้าพระอินทร์ และยังมีพระยายักษ์อีก ๒๘ ตน พร้อมอาวุธครบครันแห่แหนเข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่

พระอินทร์นั้นประดับเครื่องอาภรณ์งดงามดังได้กล่าวแล้ว พร้อมด้วยหมู่เทวดาบริวารทั้งหลาย ก็ล้วนแต่ประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสีสันต่าง ๆ งดงามยิ่ง เข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งนางฟ้าทั้งหลายที่เป็นมเหสีของพระอินทร์อีก ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ องค์ บ้างก็ถือกาน้ำ คือ กละออมแก้ว กละออมทอง และฉัตรพัดธง จามรีต่าง ๆ ประดับประดาสวยงามเกินกว่าจะพรรณนาได้ นอกจากนั้นก็มีหมู่คนธรรพฟ้อนรำอีก ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ คน ตีกลองตีฉิ่งเป็นเพลงคู่ไปกับเสียงพิณพาทย์ดนตรี ฟ้อนรำเล่นกันทั่วไป ที่เขาจักรวาลทั้ง ๔ ทิศ กลิ่นเครื่องหอมดอกไม้กระจายไปทั่วทุกแห่ง ขจรเข้าไปถึงพระอินทร์ จนพระองค์ต้องเสด็จลงไปเล่นที่สวนสนุกนั้นด้วย บางครั้งพระอินทร์ก็เสด็จลงจากช้างไอยราพต ดำเนินเล่นไปในสวนสนุกนั้น ท่ามกลางนางฟ้าบริวารทั้งหลาย ประดับด้วยอาภรณ์อันประเสริฐต่าง ๆ ดำเนินไปในเมืองสวรรค์อันกว้างได้ ๔๘๐,๐๐๐ วา

ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนครดาวดึงส์นี้ มีพระเจดีย์องค์หนึ่งชื่อพระจุฬามณีเจดีย์ รุ่งเรืองงามประดับด้วยอินทนิล ตั้งแต่กลางองค์เจดีย์ไปจนถึงยอดเป็นทอง ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘๐,๐๐๐ วา มีกำแพงทองล้อมรอบกำแพงแต่ละด้านยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา มีธงปฏากและธงชัย กลด ชุมสายทั้งหลาย ล้วนประดับด้วยแก้วเงินทองมีสีต่าง ๆ กัน ดำบ้าง แดงบ้าง เหลืองบ้าง ขาวและเขียวก็มี ล้วนแล้วแต่แก้ว ๗ ประการ ทำให้มองดูเลื่อมงามยิ่งนัก เทวดาทั้งหลายก็จะถือเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่าต่าง ๆ มาบรรเลงบูชาถวายพระเจดีย์ทุกวันไม่มีขาด พระอินทร์ได้เสด็จไปนมัสการพระเจดีย์พร้อมหมู่เทพยดาและนางฟ้าบริวารทั้งหลาย ทรงนำข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน ของหอมและชวาลาทั้งหลายถวายแก่องค์พระเจดีย์ไม่ได้ขาด และทรงทำปทักษิณพระเจดีย์ทุกวัน

นอกเมืองดาวดึงส์นี้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานชื่อบุณฑริกวันอยู่ใกล้กับอุทยานชื่อมหาวัน สวนบุณฑริกวันนี้มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน ด้านละ ๑๖๐,๐๐๐ วา มีประตูแก้วและมีปราสาทแก้วเหนือประตูนั้นทุกประตูดังได้บรรยายมาแล้ว ในสวนอุทยานนี้มีต้นทองหลางใหญ่ต้นหนึ่งชื่อปาริชาตกัลปพฤกษ์ วัดโดยรอบพุ่มไม้ได้ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วา โดยรอบต้นได้ ๑๒๐,๐๐๐ วา สูง ๘๐๐,๐๐๐ วา ใต้ต้นไม้นี้มีแท่นศิลาแก้วชื่อปัณฑุกัมพล ยาว ๔๘๐,๐๐๐ วา กว้าง ๔๐๐,๐๐๐ วา หนา ๑๒๐,๐๐๐ วา สีแดงเข้มราวดอกสะเอ้ง อ่อนนุ่มราวกับฟูกผ้าและหงอนของราชหงส์ทอง เมื่อพระอินทร์ประทับบนแท่นนี้ แท่นหินจะยุบลงไปเสมอสะดือ เมื่อทรงลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะคืบรูปดังเดิม ใกล้กับต้นปาริชาตนั้นมีศาลาใหญ่ชื่อสุธรรมาเทพยสภาคยศาลา งามยิ่งกว่าศาลาอื่น ๆ ความกว้างและยาวเท่ากันคือ ๒,๔๐๐,๐๐๐ วา ความสูง ๔,๐๐๐,๐๐๐ วา วัดโดยรอบได้ ๗,๒๐๐,๐๐๐ วา พื้นศาลาเป็นแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงทองล้อมรอบ มีดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่ออาสาพตี มีกลิ่นหอมมาก ดอกไม้นี้บานช้ามาก เวลา ๑ พันปีจึงจะบาน เทวดาทั้งหลายมีใจรักใคร่ดอกไม้นี้ เมื่อเห็นดอกไม้นี้บาน เทวดาจะผลัดเวียนกันไปเผ้าดอกไม้นั้นตลอดพันปี เพราะใจรักดอกไม้นี้เอง

ดอกทองหลางชื่อปาริชาต นั้นร้อยปีจึงจะบาน หมู่เทวดาก็มีใจรักใคร่ในดอกไม้นี้ เมื่อเห็นว่าดอกไม้กำลังจะบาน ก็จะผลัดเปลี่ยนกันไปเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบาน เมื่อดอกไม้บานทั่วทุกกิ่งก้านแล้วจะมีแสงรุ่งเรืองงามมาก ส่งแผ่รัศมีไปไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา เวลาลมพัด กลิ่นหอมของดอกไม้นี้จะหอมไปได้ไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา เหล่าเทวดามิได้ขึ้นเก็บดอกไม้นี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อเทวดาผู้ใดใคร่จะเก็บดอกไม้นั้นไม่ว่าจะเอาผ้าไปห่อหรือเอาผอบไปใส่ ก็จะมีลมพัดดอกไม้นั้นให้หล่นตกไปในที่ที่ต้องการเอง ถ้าเทวดายังไม่ทันรับ ก็จะมีลมอีกชนิดหนึ่ง พัดดอกไม้เหล่านั้นเข้าไปในสุธรรมาเทวสภาคยศาลา ซึ่งมีธรรมาสน์แก้วกว้าง ๘,๐๐๐ วา อยู่ในศาลานั้น เมื่อดอกปาริชาตินั้นเหี่ยวแล้ว ก็จะมีลมจำพวกหนึ่งมาพัดดอกไม้นั้น ออกไปจากสุธรรมาเทวสภาคยศาลานั้น และที่ศาลานั้นมีราชอาสน์ทิพย์ของพระอินทร์ อีกทั้งที่นั่งของเทวดาทั้ง ๓๒ องค์ ที่เคยได้กระทำบุญไว้ร่วมกับพระอินทร์ในปางก่อนเป็นอาสนะทิพย์เช่นกัน และยังมีที่นั่งของเทวดาทั้งหลายปูลาดด้วยผ้าทิพย์เรียงกันตามลำดับ เทวดาบางหมู่มีดอกไม้ทิพย์ปูลาดเป็นที่นั่ง บางหมู่มีดอกกรรณิการ์ทิพย์เป็นที่นั่ง มองดูเหลืองอร่ามเหมือนทองคำสุกปลั่ง ล้วนแต่เป็นที่นั่งของเทวดาทั้งหลายถ้วนทั่วทุกองค์

พระอินทร์เสด็จไปในสุธรรมาเทวสภาคยศาลา เพื่อให้เทวดาทั้งหลายมาชุมนุมกันในที่นั้น มีลมพัดเอาละอองเกสรดอกไม้ทิพย์ทั้งหลายในนครดาวดึงส์เข้ามาในศาลานั้นแล้วตกลงบนตัวเทวดาซึ่งสูง ๖,๐๐๐ วา ทำให้มองดูเหลืองอร่ามเหมือนแต้มด้วยน้ำครั่ง หมู่เทวดาเล่นเพลิดเพลินอยู่เช่นนี้เป็นเวลาถึง ๔ เดือน

เมื่อใดเทวดาทั้งหลายในนครดาวดึงส์ต้องการจะฟังธรรม ก็จะมีพรหมตนหนึ่งชื่อ สนังกุมาร ลงมาจากพรหมโลก เนรมิตตนเป็นคนธรรพ์ชื่อปัญจสิขร ปัญจสิขรคนธรรพ์จะขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์เพื่อเทศนาธรรม เหตุที่พรหมเนรมิตตัวเป็นปัญจสิขรคนธรรพ์นั้นเพราะมีรูปงามเป็นที่พึงพอใจแก่เทวดาทั้งหลาย เมื่อยังอยู่ในโลกมนุษย์ คนธรรพ์ผู้นี้ได้ทำบุญไว้มาก จึงได้ไปเกิดในจาตุมหาราชิกาสวรรค์ มีกายสูง ๖๐๐๐ วา ประดับไปด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งหลายล้วนเป็นแก้วเงินทองดูรุ่งเรืองงามราวกับภูเขาทอง ถ้าถอดเครื่องประดับอาภรณ์ออกจากกายคนธรรพ์ แล้วใส่เกวียนในมนุษย์โลก จะได้ถึง ๑,๐๐๐ เกวียน ส่วนกระแจะจันทน์ที่ทาตัวเทวดานั้น ถ้าขูดออกใส่ตุ่มและไหจะได้ถึง ๙ ตุ่ม ขนาดตุ่มและไหแต่ละลูกนั้นสามารถจุข้าวได้ถึง ๔ กระเชอ ปัญจสิขรนุ่งผ้าขาวบริสุทธิ์ ใส่ตุ้มหูทั้งสองข้างงามยิ่งนัก เกล้าผมเป็น ๕ เกล้า มุ่นเป็นมวย ๕ มวย ห้อยปลายผมไปทางข้างหลัง การที่คนธรรพผู้นี้เกล้าผมเป็น ๕ เกล้านี้ทำให้ได้ชื่อว่าปัญจสิขร และเป็นที่พึงใจแก่เทวดาทั้งหลาย หากว่าพรหมสนังกุมารไม่มาเทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟัง บางครั้งเทวดาในสวรรค์ที่เป็นผู้รู้ธรรมก็จะได้รับเชิญให้ขึ้นเทศนาธรรมในที่นั้น บางครั้งพระอินทร์เองก็ทรงขึ้นธรรมาสน์เทศนาธรรมเอง เมื่อใดพระอินทร์ทรงเทศนาธรรม ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็จะพาบริวารไปเฝ้าทั้ง ๔ ทิศของสุธรรมาเทวสภาคยศาลานั้น และหมู่คนธรรพ์ก็จะนำเครื่องดนตรีทั้งหลายมาบรรเลงแล้วร่ายรำกับอยู่ที่ปลายเขากำแพงจักรวาลทั้ง ๔ ด้าน เพื่อถวายแก่พระอินทร์เจ้าดังกล่าวแล้ว

ส่วนท้าวจตุโลกบาลนั้นจะเสด็จตรวจดูคนในโลกนี้ทำความดีความชั่วทุกวัน บางวันก็จะใช้เทวดาองค์อื่นมาแทน เช่น ในวันพระ ๘ ค่ำ ก็จะใช้เทวบุตรมาแทน ส่วนในวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันพระข้างแรมนั้น ท้าวจตุโลกบาลจะเสด็จด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นเทวดาองค์ใดหรือเทวบุตร หรือท้าวจตุโลกบาลเองมาตรวจตรา ก็จะถือแผ่นทองเนื้อสุกและดินสอทำด้วยหินแดง เดินไปดูทุกแห่งทั่วบ้านเรือนทั้งหลายในโลกมนุษย์นี้ ถ้าเห็นผู้ใดทำบุญทำกรรม ก็จะเขียนชื่อผู้นั้นลงในแผ่นทองนั้นว่า คนนี้ชื่อนี้อยู่บ้านนี้ได้ทำบุญกุศลเช่นนี้ มีอาทิเช่น กราบไหว้เคารพบูชาและปฏิบัติธรรมต่อพระศรีรัตนตรัย เลี้ยงดูบิดามารดา เคารพยำเกรงผู้เฒ่า ผู้ชรา รักพี่รักน้อง รักผู้อื่น เช่น พระสงฆ์ ครูอุปัชฌาย์ ถวายผ้ากฐิน สร้างพระเจดีย์ ปลูกกุฎี วิหาร ปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ สดับฟังพระธรรมเทศนา ถือศีลเมตตาภาวนาสวดมนต์บูชาพระให้ทาน เคารพยำเกรงสมณะพราหมณ์ผู้ทรงศีล บูชาธรรมเหล่านี้ ถ้าผู้ใดได้กระทำสิ่งใดก็ดี เทวดาก็จะเขียนชื่อลงในแผ่นทอง แล้วมอบให้แก่ปัญจสิขรเทพบุตรเพื่อไปกวายแก่พระมาตุลี พระมาตุลีจึงนำไปถวายแก่พระอินทร์ เทวดาทั้งหลายจะมาอ่านดูในแผ่นทองนี้ ถ้าเห็นว่าบัญชีรายชื่อในแผ่นทองมีมาก เทวดาก็จะแซ่ซ้องสาธุการยินดีด้วยเห็นว่า มนุษย์ทั้งหลายจะได้เกิดขี้นมาเป็นเพื่อนตนมากมาย และจตุราบายก็จะว่างเปล่าลง ถ้าเทวดาเห็นบัญชีชื่อในแผ่นทองนั้นน้อย เทวดาทั้งหลายก็เสียใจแล้วกล่าวว่า อนิจจาคนทั้งหลายในมนุษย์โลกทำบุญกันน้อยนัก คงจะชวนกันทำบาปมาก คงจะพากันไปเกิดในจตุราบายกันเป็นจำนวนมากต่อไปในภายหน้า เมืองสวรรค์ของเราคงจะว่างลงเป็นแน่ พระอินทร์เจ้าทรงถือแผ่นทองที่มีนามคนที่ทำบุญความดีทั้งหลาย แล้วอ่านให้เทวดาทั้งหลายฟัง เมื่อพระอินทร์ทรงอ่านค่อย ๆ นั้น ได้ยินไปไกลถึง ๙๖,๐๐๐ วา แต่ถ้าทรงอ่านเสียงดัง จะได้ยินกังวานไปทั่วนครดาวดึงส์อันกว้างโดยประมาณถึง ๘๐,๐๐๐,๐๐๐ วา

ยังมีปราสาทแก้วปราสาททองมากมายอันเป็นวิมานของเทวดาทั้งหลายอยู่ในอากาศสูงเทียมเท่าเขาพระสุเมรุ แผ่ขยายไปจนถึงกำแพงจักรวาลนั้นเรียกว่าดาวดึงส์ เทวดาทั้งหลายนี้ มีอายุยืนถึง ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์ สมบัติยศศักดิ์ทั้งหลายของพระอินทร์และเหล่าเทวดาที่ได้กล่าวมานั้น ได้มาเพราะได้กระทำบุญกุศลธรรมมาแต่ก่อน ผู้ใดปรารถนาจะได้ไปเกิดในสวรรค์อย่าได้ประมาทลืมตน ควรเร่งขวนขวายทำบุญกุศลให้ทาน รักษาศีลเมตตาภาวนา ดูแลบิดามารดา ผู้เฒ่าผู้แก่ ครู อุปัชฌาย์อาจารย์และสมณพราหมณ์ ผู้ทรงศีล ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ ขอกล่าวถึงเมืองสวรรค์ดาวดึงส์นี้เพียงเท่านี้

สวรรค์ชั้นยามา

นับจากดาวดึงส์สวรรค์ขึ้นไป ๖๗๒,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ก็จะถึงชั้นฟ้าชื่อยามา เทวดาที่อยู่ในชั้นฟ้านี้จะมีปราสาทแก้วปราสาททองเป็นวิมาน มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีสวนอุทยานแก้วและมีสระโบกขรณี เทวดาทั้งหลายในชั้นนี้มีหน้าตารุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก กายสูง ๘,๐๐๐ วา เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้านี้ ชื่อ พระสุยามเทวราช ในชั้นฟ้านี้ไม่มีแสงอาทิตย์เลยเพราะอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์มากนัก เทวดาทั้งหลายมองเห็นได้ด้วยแสงรัศมีจากแก้วทั้งหลายและรัศมีจากตัวเทวดานั่นเอง ส่วนจะรู้ว่าเช้าหรือค่ำได้ก็อาศัยดูจากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์บาน จึงรู้ว่ารุ่งเช้า ถ้าเห็นดอกไม้นั้นหุบ จึงรู้ว่าเป็นยามกลางคืน อายุเทวดาในชั้นฟ้านี้ยืนถึง ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๑๔๔,๐๐๐,๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์

สวรรค์ชั้นดุสิต

นับจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไปอีก ๑,๓๔๔,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๑๖๘๐๐๐ โยชน์จะถึงสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นนี้มีวิมานเป็นปราสาทแก้วและปราสาททอง มีกำแพงแก้วล้อมรอบไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ความสูง ความงามนั้น มีมากกว่าปราสาทของเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นยามาทั้งสิ้น มีสระและสวนเช่นในสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหลาย เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ คือ พระสันตุสิตเทพยราช เทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ รู้บุญ รู้ธรรม แม้แต่พระโพธิสัตว์ผู้สร้างสมบารมีก่อนจะเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ ขณะนี้พระศรีอาริยเมตไตรย ผู้จะเสด็จลงมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในภัททกัลป์นี้ ก็สถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้และเทศนาธรรมให้เทวดาทั้งหลายฟังอยู่ทุกเมื่อมิได้ขาด อายุของเทวดาในชั้นนี้ยืนถึง ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๔๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์

สวรรค์ชั้นนิมมานรดี

นับจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป ๒,๖๘๘,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๓๓๖,๐๐๐ โยชน์ ก็ถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ซึ่งมีปราสาทแก้วปราสาททองเป็นที่อยู่ของเทวดา มีกำแพงแก้วกำแพงทองล้อมรอบ และมีแผ่นดินเป็นทองราบเรียบเสมอกันทุกแห่งงดงาม มีสระน้ำอาบน้ำ สรงน้ำพร้อมสรรพ และมีสวนแก้วเหมือนสวรรค์ชั้นดุสิต แต่งามขึ้นไปอีก เทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ หากปรารถนาจะได้สิ่งใด ก็จะเนรมิตสิ่งนั้นขึ้นมาเองตามใจปรารถนาได้ทุกประการ เทวดาทั้งหลายสนุกสนานอยู่กับนางฟ้าทั้งหลายด้วยใจนั่นเอง จึงเรียกสวรรค์ชั้นนี้ว่า นิมมานรดี เทวดาในชั้นฟ้านี้อายุยืนได้ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๒,๓๐๔,๐๐๐,๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์

สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัดดี

เหนือขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ๕,๓๗๖,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๖๗๒,๐๐๐ โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัดดี สวรรค์ชั้นที่ ๖ อันเป็นฉกามาพจรสวรรค์ สวรรค์ชั้นฟ้าที่ ๖ นี้ ประเสริฐด้วยสุขสมบัติมากยิ่งไปกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าที่กล่าวมาแล้ว หากว่าปรารถนาจะได้สรรพทิพย์อาหารใด ๆ ก็จะมีเทวดาองค์อื่นมาเนรมิตให้ดังใจปรารถนา จึงชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัดดีสวรรค์ เทวดาในสวรรค์ชั้นนี้สูง ๖๔,๐๐๐ วา เทพยดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อพระปรนิมิตวสวัดดีเทวราชเป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งหลายฝ่ายหนึ่ง และพระยามาราธิราชเป็นใหญ่ในหมู่มารทั้งหลายอีกฝ่ายหนึ่ง ในชั้นฟ้านี้จึงมีพระยาผู้เป็นใหญ่ ๒ องค์ ไม่เคยไปเฝ้าไปหากันและกันเลย สวรรค์ทุกชั้นมีอาณาเขตจดขอบแดนจักรวาล ชั้น ๖ นี้ ชื่อฉกามาพจรภูมิ อายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ยืนได้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๘,๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์

เทวดาทั้งหลายจะสิ้นอายุจากเมืองฟ้านั้นเป็นไปได้ ๔ ประการ คือ อายุขยะ บุญญขยะ อาหารขยะ และโกรธพละ หากว่าเทพยดาองค์ใดทำบุญมาแต่ก่อนเมื่อสิ้นอายุในสวรรค์ที่อยู่แล้ว จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้าสูงขึ้นไป หรือสวรรค์ชั้นเดิมก็ดี เรียกว่า อายุขยะ หากเทวดาองค์ใดได้ทำบุญมาก่อน และได้ไปเกิดในสวรรค์แต่อายุเทวดานั้นไม่ถึงกำหนดของอายุเทวดาทั่ว ๆ ไปในสวรรค์ชั้นนั้น ทำให้สิ้นบุญไปก่อน ก็จะไปเกิดในสวรรค์แห่งอื่นเพราะสิ้นบุญก่อน เรียกว่า บุญญขยะ ส่วนเทวดาบางพวกเล่นสนุกเพลิดเพลินอยู่กับนางฟ้าทั้งหลาย จนลืมกินอาหาร เทวดาก็จะสิ้นชีวิตลงแม้จะลืมกินอาหารเพียงมื้อเดียวก็ตาม แม้นว่ามากินภายหลังสักร้อยมื้อก็ไม่สามารถจะคงชีวิตต่อไปได้ เพราะเหตุว่าเนื้อของเทวดาอ่อนเหมือนดอกบัว ถ้านำดอกบัวไปตากบนหินเวลาแดดร้อนจัดไว้หนึ่งวันแล้วจึงเอามาแช่น้ำ แม้นว่าจะแช่ไว้นานเท่าใดก็ตามดอกบัวก็จะไม่มีวันฟื้นสดชื่นขึ้นมาอีกได้ เช่นเดียวกับเทวดาที่อดอาหารแล้วตายลง เทวดาที่สิ้นชีวิตลงด้วยเหตุเช่นนี้ เรียกว่า อาหารขยะ เทวดาบางจำพวกเห็นเทวดาองค์อื่นได้ดีมียศถาบรรดาศักดิ์มากกว่าตนก็มีใจคิดริษยาโกรธ ทำให้เกิดเป็นปากเสียงด่าทอกับเทวดาทั้งสองนั้น ถ้าฝ่ายใดอดใจไม่โกรธได้ ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุว่าใจของเทวดาผู้โกรธนั้นเปรียบเป็นไฟ และใจของเทวดาผู้ไม่โกรธนั้นเป็นน้ำ ไปดับไฟของเทวดาที่โกรธเสีย จึงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าเทวดาทั้งสององค์ต่างถือความโกรธเข้าหากันไม่สามารถถอดใจได้ ต่างด่าทอถกเถียงกัน นางฟ้าทั้งหลายที่เป็นบริวารของทั้งสองฝ่ายก็จะสยายผมลงแล้วร้องไห้ เมื่อเทวดาตั้งความโกรธต่อกันเช่นนั้น หัวใจของทั้งสองฝ่ายก็จะเป็นไฟไหม้ตัวของเขาทั้งสองสิ้นชีวิตลง เทวดาหมู่ใดสิ้นชีวิตลงด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เรียกว่า โกรธพละ

ลักษณะพิเศษของเทวดาทั้งหลายมีดังนี้ แม้ว่าเสวยอาหารแล้วก็จะไม่มีลามกอาจมเหมือนที่มนุษย์เรามีเลย เทวดาที่จุติจากสวรรค์ไม่มีแม้แต่ซากศพเช่นมนุษย์เราเลย เมื่อเวลาจุตินั้น ร่างกายก็จะหายไปเลย ถ้าเทวดาผู้มีบุญนั้นจะจุติสิ้นชีวิต ๗ วันก่อนจะจุติ จะเห็นนิมิต ๕ ประการ เมื่อเห็นแล้วเทวดาองค์นั้นก็จะรู้ว่าตนกำลังจะจุติสิ้นชีวิตแล้ว นิมิตทั้ง ๕ คือ หนึ่ง เห็นดอกไม้ที่มีในวิมานของตนเหี่ยวและสิ้นกลิ่นหอม ปกติแล้วดอกไม้นี้มีกลิ่นหอมมากและไม่มีวันเหี่ยว สอง เห็นผ้าทรงดูหม่นหมอง ปกติผ้าทรงจะดูสดใสงดงามเสมอ สาม มีความสุขดีอยู่ แต่ไม่รู้สึกเป็นสุข มีเหงื่อไคลไหลออกมาจากรักแร้ เมื่อก่อนเคยอยู่เป็นสุขทุกเวลา ไม่เคยมีเหงื่อไคลเลย สี่ อาสนะที่นั่งนอนดูร้อนแข็งกระด้าง แต่ก่อนไม่เคยร้อนหรือแข็งกระด้างเลย และ ห้า กายของเทวดาเหี่ยวแห้งเศร้าหมองไม่มีรัศมีเหมือนแต่ก่อน และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยทั้งมือและเท้า ซึ่งแต่ก่อนตัวเทวดามีรัศมีรุ่งเรืองงามตลอดเวลา และไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยตัวแต่ประการใด

การเห็นนิมิตทั้ง ๕ ประการนี้จะเกิดมีขึ้นแก่เทวดาผู้มีบุญและจะจุติเปรียบเหมือนพระราชาในเมืองมนุษย์ เมื่อจะสวรรคตก็จะเห็นนิมิตในทำนองเดียวกัน ส่วนเทวดาผู้มีบุญน้อย เมื่อจะจุติก็จะสิ้นชีวิตเลย ในขณะที่เทวดาผู้มีบุญก็จะเห็นนิมิต ๕ ประการดังกล่าวแล้ว เทวดาองค์อื่น ๆ ที่เป็นที่รักใคร่ และนางฟ้าบริวารทั้งหลายก็จะมาหามาสู่ตลอด ๗ วันนั้น มีความทุกข์โศกไปด้วย แล้วก็จะชักชวนเทวดาองค์นั้นให้ไปเล่นที่สวนสนุกเพื่อให้ลืมความทุกข์ลง นางฟ้าบริวารทั้งหลายก็จะร้องไห้เศร้าโศกทุกคน แล้วครวญว่า ขอให้พระองค์มาเกิดในวิมานนี้อีก เมื่อครบ ๗ วันแล้ว เทวดาองค์นั้นก็จะจุติ แล้วไปเกิดใหม่ตามอำนาจบุญและอำนาจบาปของเทวดาเอง เมื่อเทวดาสิ้นชีวิตลง เครื่องประดับอาภรณ์ต่าง ๆ ของเทวดาก็จะหายไป ร่างกายของเทวดาก็จะหายไป แม้แต่ผมสักเส้นหนึ่งก็จะไม่มีเหลือปรากฏให้เห็นเลย

แม้นว่าเทวดาทั้งหลายจะมีสุขสมบัติปานใดก็ดี ก็ยังหมดสิ้นจากความสุขและสมบัติต่าง ๆ ลงได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายจะยึดมั่นในสมบัติหรืออายุของตนได้อย่างไร เหตุฉะนี้ พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็ดี จึงไม่มีใจปรารถนาในสุขสมบัติในสงสารวัฏนี้ ท่านจึงเสด็จเข้าสู่นิพพานสุข เพราะเหตุนี้เอง อันว่าจะเกิดมาได้สุขสมบัติในเทวโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ก็เป็นเพราะได้กระทำบุญมาก่อน รวมทั้งไตรเหตุ ๓ ประการ คือ อโลโภเหตุ ไม่โลภอยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่น อโทโสเหตุ ไม่โกรธขึ้งโกรธแค้น กล่าวโทษหรือริษยาผู้อื่น อโมโหเหตุ ไม่หลง ไม่กระทำบาปทำแต่บุญ เหตุทั้ง ๓ ประการนี้จะทำให้มียศศักดิ์และสุขสมบัติ จิตใจที่เป็นบุญมีทั้งหมด ๑๗,๒๘๐ ดวงดังได้กล่าวมาแล้ว สวรรค์ในฉกามาพจรภูมิ อันเป็นกัณฑ์ที่ ๖ กล่าวโดยสังเขปแต่เพียงเท่านี้



[๑] ทศพิธราชธรรม ดูภาคผนวก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ