๙
ส่วนภายในห้องนอนของหนุ่มสาว ซึ่งช่วยกันลิขิตความเป็นอยู่ของตนตามชอบใจนั้น ก็ปรากฏความยุ่งเหยิงอยู่ไม่น้อยในวันแรก
จิตรีคร่ำครวญอยู่ในอ้อมแขนเผด็จดังนี้
“คุณเล่นโกงกันนี่คะ! คุณรู้ล่วงหน้าแล้วนี่ว่า–ว่าคุณตะวันไม่ตั้งใจจะทิ้งจิตรีเลยสักนิด–จดหมายบอกหมด–ทำไมคุณขืนแต่งงานกับดิฉัน–ทั้งที่คุณก็เคยรู้เรื่องจากปากดิฉันเองอีกซ้ำไป?”
“ก็ช่วยไม่ได้เดี๋ยวนั้นนี่คุณ” เผด็จบอกด้วยเสียงอิดโรยเล็กน้อย “ไม่เคยคิดทำอะไรค้าง ๆ แค่นั้น! นายเผด็จออกบัตรแต่งงานตัวเอง แล้วล้มเลิกเสียเฉยๆ ก็ขายหน้าเขาแย่ ยังงั้น–”
“แต่คุณเป็นสุภาพบุรุษ!” จิตรีร่ำไห้ “ธรรมดาสุภาพบุรุษต้องใจกว้างกับผู้หญิง ต้องไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบในคราวคับขันของผู้หญิง!”
หล่อนร้องไห้ถึง ‘สิ่ง’ ซึ่งหล่อนเสียเปรียบไปแล้วหล่อนน้อยใจคนอื่น–โดยเฉพาะสามี–มากเหลือเกิน มีมนุษย์อยู่เพียงสองคนในโลกที่หล่อนมองไม่เห็นความผิดหรือน้อยอกน้อยใจจนนิดเดียว–คือพันตรีตะวัน และตัวหล่อนเองอีกด้วย!”
ความแสนเสียดายสิ่งซึ่งหล่อนคิดว่า หล่อนและตะวันได้เสียเปรียบไปแล้ว ทำให้หล่อนร้องไห้ตัวสั่นอยู่ในวงแขนของผัว ดูประหนึ่งว่าหล่อนเกือบจะหมดสติสมประดีได้อีก!
หน้าของเผด็จคร่ำเครียดขึ้นด้วย ถึงกระนั้นเขายังพยายามโอบอุ้มร่างอันสั่นสะท้านและหมดหวังไว้แน่นคล้ายกับว่า เขานึกถึงเด็กผู้ผิดหวังมากกว่านึกถึงผู้หญิงอย่างหล่อน
“จิตรี! คุณรู้เรอะน่ะว่าผัว–”
“ผัว!” จิตรีร้องกรี๊ด “โกงกันยังงี้ไม่ใช่ผัว! โธ่! อย่าพูดถึงผัวอีก–ไม่งั้นดิฉันขาดใจตายตรงนี้ละ! ผัวของผู้หญิงทุกคนต้องเป็นผู้ชายที่เรารักเหลือเกิน ไม่ใช่มาเป็นผัวเพราะเงิน เพราะพิธีทุกอย่างหรือแม้เพราะมีเมตตาต่อกัน” จิตรีลืมไปว่าหล่อนแต่งงานกับเผด็จก็เพราะเรื่องเงินทองเท่านั้น “ความรักทำให้หญิงชายเป็นผัวเมียมากกว่าอย่างอื่น ดิฉันเป็นเมียคุณตะวัน–ได้ยินไหม! ดิฉันเป็นเมียเขาคนเดียว! เพราะดิฉันรักเขาคนเดียว ที่นี้รู้เรอะยังล่ะว่าทำไมดิฉันถึงขอให้คุณเรียกตัวเองว่า ‘ผม’ เมื่อพูดกับดิฉัน– ทั้งที่เราแต่งงานกันแล้วหลายเดือน ดิฉันไม่เคยคิดว่าคุณคือผัว เข้าใจเรอะยังคะ?
เขาก้มศีรษะรับคำของหล่อนด้วยสีหน้าและแววตาเคร่งเครียดขึ้นด้วย ดูเหมือนกิริยาสงบเงียบและอ่อนโยนอย่างนั้น จะได้ทำให้จิตรีลดความกระเหี้ยนกระหือรือลงบ้าง หล่อนพูดพลางสะอื้นอีกว่า
“คุณปล่อยดิฉันนะคะ! ปล่อยให้ดิฉันเป็นโสดเสียใหม่! หย่ากันเงียบ ๆ–ขอหนังสือหย่าอย่างเดียวก็ได้ค่ะ–พอเป็นอิสระแล้ว ดิฉันจะไปอยู่ที่อื่น!–ไปหางานทำที่อื่น! เมื่อตะวันกลับมา!–บางทีตะวัน!–ถ้าเขาไม่รังเกียจ!–ตะวัน!–”
แต่ความหวังอันแหลกสลายแล่นขึ้นมาจากหลอดคอหญิงสาวเสียอีก จิตรีเริ่มตัวสั่นและปล่อยแต่เสียงสะอื้นออกมา
“ไม่เป็นไรเรื่องหย่ากัน” เผด็จรีบสอดเสียก่อน “ถ้าคุณอยู่กับผมไม่เป็นสุขเสียแล้ว เราก็ต้องแยกกันอยู่อย่างว่า–ผมจะเป็นคนไปเอง”
“ไม่เอาค่ะ! คุณเช่าบ้านนี้ไว้ล่วงหน้าสามปี ดิฉันยังไม่ลืมหรอกค่ะ คุณอยู่–ดิฉันไป”
เขาประโลมหล่อนว่า
“ทำอย่างงั้นไม่ได้ คุณพี่กับคุณใหญ่จะหาว่าผมไม่เอาใจใส่เสียดาย ความจริงคุณพี่ผดุงเป็นคนคิดอ่านให้ผมเช่าบ้านนี้นะคุณ เขาไม่อยากให้คนอื่นเอาไป แต่เขาไม่ทันหาเงินช่วยคุณคราวนั้นก็เลยมาพูดกับผม พอดีที่ผมก็–” แต่เผด็จพูดค้างแค่นั้น และเปลี่ยนเรื่องไป อีกอย่างหนึ่งเรื่องของเรานี่ต้องใช้เวลาเล็กน้อยไหน ๆ คุณใหญ่ก็ตั้งใจดีถึงได้ขอให้ผมช่วยปิดบังแบบนี้ คุณใหญ่กลัวคุณจะถูกหลอกเรื่อยไป”
“แต่คุณใหญ่ก็น่าจะคิดบ้างว่า ตะวันคงไม่เอาเปรียบหลอกลวงดิฉันหรอก เมื่อคุณใหญ่รู้ความจริงจากจดหมายหมดแล้ว” ความโกรธทำให้หล่อนเข้มแข็งขึ้นได้ “ถ้าดิฉันได้อ่าน จดหมายฉบับนั้นทันเวลา ดิฉันก็ไม่ลำบากแบบนี้หรอก” จิตรีมิได้สังเกตเห็นประกายชอบกลวูบขึ้นมาในดวงตาคมของเผด็จเมื่อหล่อนยืนยันความขื่นขมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “คุณเองก็เถอะ– ถ้าคุณเป็นสุภาพบุรุษละก้อ–คุณจะหลอกผู้หญิงยังงั้นเรอะ?”
เขาตอบเลี่ยงหล่อนอีก
“ผู้ชายน่ะ–จะเป็นสุภาพบุรุษหรืออ้ายกุ๊ยก็ตามต้องทำกับผู้หญิงเท่าที่ความประพฤติของผู้หญิงยอมให้”
หล่อนเหนี่ยวคอเสื้อเผด็จด้วยมือสั่นริกและเพ่งตาเขาด้วยตาตื่นกลัว!
“คุณ–คุณเห็นดิฉันประพฤติตัวเหมือนผู้หญิงยังไง–เลวหรือดี?”
เผด็จหลบตาหล่อนแล้วจึงตอบ
“ผมขอแต่งงานกับคุณคราวนั้นก็เพราะหวังดีตามความคิดของผมเอง แล้วก็–”
“แล้วก็ทำตามความคิดของคุณใหญ่อยู่บ้าง!” จิตรีสอดเสียงเย้ย “ดิฉันจำไม่ได้ว่าคุณเคยขอความรักเรอะเปล่า”
“เปล่า!” เขาตอบเต็มเสียง “แต่คุณทำให้ผมเข้าใจว่าคุณต้องการ–เอ้อ–ความปลอบใจจากผมมาก และผมให้คุณได้มากก็โดยที่เราต้องมีความเป็นอยู่อย่างผัวเมียเหมือนอย่างนี้–เท่านั้นเอง–นี่เป็นความคิดของผม”
“เท่านั้นแน่เรอะ?” นัยน์ตาหล่อนมีประกายเกิดขึ้น “เท่านั้นนะคะ?”
“ก็เท่านั้นนะซิ” เสียงเขาอ้อมแอ้มออกมาขณะที่แขนของเขายังรัดร่างจิตรีเรื่อยอยู่
“งั้นคุณคงเต็มใจ จะปล่อยดิฉันเป็นอิสระแล้วซิ?”
“ถูก–ถ้าคุณต้องการจะเป็นอิสระ! แต่ต้องขอเวลาเล็กน้อย”
“แน่นะ?”
“แน่ซี! ขอแต่อย่าหุนหันให้มากนัก ค่อยเป็นค่อยไป เราต้องคิดถึงผู้ใหญ่–คิดถึงเกียรติยศอยู่บ้าง”
จิตรีร้องไห้อีก
“คุณไม่รู้ละซีย ดิฉันไม่มีผู้ใหญ่–ไม่มีญาติพี่น้องนะคะ! ดิฉันไม่มีแม้แต่เกียรติยศอย่างเขา–นอกจากนามสกุลกับเกียรติยศที่คุณให้ดิฉันเมื่อวันแต่งงาน แต่ดิฉันก็กำลังจะคืนคุณหมดแล้วไงล่ะ”
เขาฝืนหัวเราะด้วยกังวานล้อเลียนเล็กน้อย
“แต่คุณก็กำลังจะมีใหม่อีก! คราวนี้คุณจะได้นามสกุลและเกียรติยศจากคนที่คุณรักเหลือเกิน! ต่อไปคุณก็เป็นจิตรี วงศ์วิโรจน์ ละซี!”
เขาได้ยินหล่อนกลั้นหายใจด้วยอาการตื่นเต้นเต็มที่เท่านั้นเอง! เขาคลำพบทางออกให้แก่ความคั่งแค้นของหล่อน จิตรีปลื้มใจจนเห็นชัด!
“คุณเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน!”
“อย่าเพ่อไว้ใจผม–ผมไม่เคยบอกคุณว่าผมเป็นสุภาพบุรุษเลยสักครั้ง”
“ขอบคุณ! จิตรียืนยันอยู่อีก “คราวนี้คุณเป็นสุภาพบุรุษแล้วค่ะ! ขอบคุณมาก!”
“งั้นจูบขอบใจสักทีเถอะคุณ” เขาบอก
หล่อนเอื้อมไปกอดคอเขาไว้ แต่เมื่อเผด็จแลเห็นปากแดงนั้นเผยอขึ้นมาเคลียอยู่ใต้คางเขาแล้ว จิตรีก็กลับผงะและทิ้งตัวไปจนสุดอ้อมแขนเขาอีก
“ไม่เหมาะกระมังคะ! ต่อไปนี้เราไม่ใช่ผัวเมียเหมือนเก่าแล้ว! มันไม่ยุติธรรมกับใครสักคนเดียวด้วยซิ! ต่อไปนี้คุณไปนอนในห้องนอนสำหรับแขกนะคะ”
เขาคลายแขนจากหล่อนและพูดยิ้ม ๆ อย่างเก่า
“ถ้าผมไปนอนในห้องนอนสำหรับแขกคนเดียวคุณต้องหายป่วยไปกินข้าว แล้วก็ทำอย่างเคยไปจนกว่าผมจะจัดการตามที่คุณขอร้องนะ! คุณจะยอมสัญญายังงี้ไหม?”
“ยอมค่ะ! คนดี! เดี๋ยวนี้ดิฉันหิวจะตายอยู่แล้วไม่เห็นมีใครชวนกินข้าวสักคน”
“เอาซุบสักหน่อยไหม?”
“ซุบ! ดิฉันไม่ยอมอดอาหารรักษาทรวดทรงเสียแล้ว! ให้ผิวตั้งสำรับเลยค่ะ”
เผด็จหัวเราะลั่นก่อน จิตรีจึงหัวเราะทั้งน้ำตาตอบเขา!
นั่นเป็นเรื่องซึ่งล่วงไปแล้วหลายวัน ทั้งเผด็จและจิตรีปฏิบัติตรงกับที่ได้สัญญาต่อกันเกือบทุกอย่าง
ที่ต้องเรียกว่า ‘เกือบ’ ก็เพราะยังมีสิ่งซึ่งคนทั้งสองมิได้ปฏิบัติให้สมบูรณ์ตามสัญญาอยู่อีก เห็นได้ด้วยการณ์ภายในครอบครัวของจิตรี
แม่ครัวของหล่อน–นางผิวผ่องพูดว่า
“โอ๊ย! รำวงวันนี้เรอะแม้ริ้ว! ฉันอดอีกละ! เดี๋ยวนี้หัวปั่นเป็นจิ้งหรีดรู้ไหม เดี๋ยวนี้คุณผู้หญิงยังออดแอด คุณผู้ชายไม่ได้แตะต้องอะไรเลยจ้ะ น่าเอ็นดู๊คุณผู้ชาย! รักเมียมากจริง ๆ จ้ะแม่ริ้ว ฉันเลยใจอ่อนถึงได้ยอมหัวปั่นไปหมด เอ็นดูคุณผู้ชาย”
“เอ๊ะ! ฉันได้ยินคุณใหญ่บอกคุณผู้ชายฉันว่าคุณจิตรีไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากไม่ใช่เรอะ” นางริ้วรีบถามเพราะไม่เต็มใจจะเสียสมาชิกรำไพ่ผู้สามารถ “คืนนี้มีโจ๊กด้วยจ๊ะ”
“งั้นเรอะ! หาใครขัดขาเข้าไว้ก่อน ดึก ๆ ฉันพอจะย่องไปดูได้บ้าง จริงจ้ะ คุณผู้หญิงฉันไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมากมาย ดูเหมือนเป็นโรคปิศาจหรือปราสาท–ประสาทสะเทือนเท่านั้น ฉันก็ฟังไม่ถนัด ได้ยินนายบุญบอกให้ฟัง แต่คุณผู้ชายแอบเรียกฉันไปสั่งเป็นความลับเลยจ้ะ ว่าให้ฉันดูแลอะไร ๆ เอาเองไม่ให้กวนคุณผู้หญิงอย่างเคย คุณผู้ชายจ่ายอะไร ๆ เองแล้วก็...เธอดี๊ดี! จ่ายเสียจนอีผิวพอกิน! เป็นค่าเหนื่อย...เธอ...แล้วสำหรับดูแลคุณผู้หญิงเป็นพิเศษสักหน่อย นี่แหละจ้ะ! ฉันต้องงดรำวงไว้กะเดี๋ยว”
ดังนี้ ถ้านางผิวและผู้อื่นสามารถล่วงรู้สัญญาลับระหว่างจิตรีและเผด็จได้บ้างก็คงจะไม่พูดเพียงเท่านั้น อย่างน้อยคงไม่มีความเห็นใจจนนิดเดียว
แต่ด้วยกาลลิขิตของคนหรือของเหตุการณ์ก็ตามไม่มีใครรู้ระแคะระคายขึ้นเลย เมื่อเขาเห็นจิตรีลุกขึ้นได้แช่มชื่นและกินอยู่อย่างเคยแล้ว เขาก็พากันโล่งใจและยินดีด้วยหล่อน
“เผด็จมีลูกไม้เหมือนกันนา!” ผดุงแอบยอน้องชายกับจรวยหลายครั้ง “จริง ๆ นะคุณใหญ่! พูดแล้วไม่ใช่คุย พวกฉันมีนะ หน้าทองทุกคน คารมหยดย้อยหยอกเมื่อไร เวลาคิดจะออดเมียขึ้นมาละก็–ถึงกำลังกริ้วลงกาก็อดรักไม่ได้ เผด็จ–”
“โอ๊ย” จรวยตัดบทแบบเดิม “ไม่ใช่หน้าทองหน้าแทะอะไรหรอกค่ะ! ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงอย่างเราลงได้... เอ้อ...ล่มหัวจมท้ายกันแล้ว ก็ต้องรักเรื่อยไป ถึงโกรธก็สักกี่น้ำเชียว! นะเนอะอะไรกัน–คุณก็!”
ถึงกระนั้นจรวยก็แสดงความโล่งใจจนเห็นชัด ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดจะเข้าไปยุ่งกับคู่สมรสใหม่เหมือนแต่ก่อน เขาได้รับบทเรียนหลายอย่าง และเขายังไม่ลืมเลยทีเดียว
ดังนั้นเผด็จกับจิตรีจึงมีโอกาสลิขิตความเป็นไปของตนตามลำพัง จิตรีทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเผด็จอย่างเดียวคือปฏิบัติตามเคยในเรื่องกินกับนอนเท่านั้น
เผด็จก็มิได้เตือนหล่อนให้ปฏิบัติตามสัญญาอย่างอื่น เขาออกไปนอนในห้องนอนสำหรับแขกคนเดียวโดยบอกกับคนใช้เช่นนี้
“คุณไม่ใคร่สบายในระหว่างนี้ ปล่อยให้นอนคนเดียวดีกว่า”
จิตรีคอยเวลา ‘อิสรภาพ’ และเตรียมตัวตามอารมณ์หล่อนเริ่มมองหาแจ้งความรับคนงานและติดต่อตามเพื่อนฝูงเงียบ ๆ เรื่องตำแหน่งหน้าที่ทุกประเภทพิมพ์ดีดการบัญชีเครื่องคิดเลขเหล่านี้ เป็นสิ่งซึ่งหล่อนรู้สึกสนใจจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิตวัยต่อสู้
บัดนี้–เพื่ออนาคตของหล่อนและตะวัน–เพื่ออิสรภาพอันสมบูรณ์แบบใหม่ จิตรีรู้ว่าหล่อนจะต้องพยายามตั้งตัวต่อไปอีก–เพื่อทำตัวให้คู่ควรเขาอีก หล่อนทำให้ค่าตัวต่ำไป เพราะการสมรสและความแหลกเหลวหลายอย่าง หล่อนจะต้องตั้งตัวตามลำพังด้วยอาการกระเสือกกระสนเสียแล้ว!
เวลาของจิตรีหมดเปลืองไปดังนี้
หล่อนหมกมุ่นมากเท่าไรในเรื่องอนาคตของหล่อนและตะวัน–คู่รักอาภัพผู้นั้น–หล่อนก็ลืมเรื่องอื่นมากเท่านั้น ครอบครัวของหล่อนหรือ? หน้าที่แม่เรือนหรือ? สัญญาระหว่างหล่อนและเผด็จด้วยหรือ? จิตรีไม่สนใจจนนิดเดียว!
หล่อนไม่ได้สังเกตว่า วันหนึ่ง ๆ หล่อนและเผด็จเกือบจะไม่ได้พบกันก็ว่าได้ เคราะห์ดีที่หล่อนและเผด็จยังเป็นคู่สมรสใหม่มากนัก ภาวะด้านสังคมจึงยังลดหย่อนอยู่มาก ไม่มีใครคิดจะรบกวน ‘คู่ใหม่’ เหมือนคนอื่น พอมีข่าวว่าจิตรีเริ่มออดแอด ก็เลยไม่ใคร่มีแขกเข้าบ้านและมีบัตรเชิญเช่นเคย
จิตรีลืมสังเกตและเกือบจะลืมเผด็จด้วยเหมือนกัน ถ้ามิใช่เพราะเขาเป็นอุปกรณ์สำคัญในการสร้างอิสรภาพเพื่ออนาคตของหล่อนด้วย อนึ่งความเป็นอยู่ของหล่อนเวลานี้ก็ยังคาบเกี่ยวกับเขามาก
สามีของหล่อนเวลานี้จึงได้รับเกียรติยศอยู่ในความนึกคิดของหล่อนบ้าง แม้จะเป็นเพียงเครื่องอุปกรณ์โดยเผชิญอีกก็ตาม
เป็นต้นเมื่อภรรยาสาวสองเดือนเศษซึ่งกำลังเตรียมตัวหย่าร้างแล้วนั้น ยกหูโทรศัพท์ถึงร้านค้าแห่งหนึ่งดังนี้
“ขอทราบราคาเอเวอชาร์ปชุดหนึ่ง–ปลอกทองเท่าไรนะ? ห้าร้อยเศษ!–อ้อ!–งั้นพรุ่งนี้นำไปส่งที่บ้านเลขที่ ๒๓ ซอยสามบ้าน–ค่ะ! ค่ะ! ซอยสามบ้านราชเทวี–ฮัลโหล! ในราว ๑๐ น.เศษสักหน่อยถูกละขอบใจ!”
ขณะนี้เอเวอชาร์ปชุดใหม่เป็นสิ่งซึ่งจิตที่ต้องการมากกว่าเสื้อผ้าและแหวนวงใหม่มากนัก สุภาพสตรีคุณวุฒิผู้มีรายได้ทันสมัยเหมือนเดี๋ยวนี้ต้องการเครื่องเขียนครบชุด จิตรีต้องการงานซึ่งมีเงินเดือนสูงสักหน่อย และงานอย่างนั้นต้องการสมรรถภาพพร้อมกับเครื่องใช้ทันสมัยซึ่งหล่อนเคยมีแต่ทำหายหมดแล้วหลายชิ้น
ตอนนี้แหละ จิตรีจึงนึกถึงเผด็จได้อีก หล่อนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาควรจ่ายเงินให้หล่อนซื้อเอเวอชาร์ปชุดใหม่!
หล่อนตั้งตาคอยให้เขากลับกระทั่งเที่ยงคืนผ่านไปแล้วหลายนาที
“ทำไมเกิดจะกลับดึกเดี๋ยวนี้!”
หล่อนเริ่มรำคาญ แล้วคิดขึ้นได้ว่าเขาอาจหลับปุ๋ยอยู่ในห้องนอนสำหรับแขกคนเดียว ตั้งแต่หล่อนและเขาสัญญาอย่างนั้นแล้ว เขาไม่เคยกลับมากินอาหารเย็นอย่างเคย หล่อนจึงไม่มีโอกาสพบเขาตอนกลางคืนสักครั้งเดียวตั้งแต่ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
บางครั้งเขาเคยเขียนบนหลังนามบัตรบอกหล่อนว่า
“ยุ่งมาก ไม่มีเวลามาคุยกลางคืน คงสบายมากแล้ว บอกเจ้าบุญให้จัดเสื้อสองสามชุดไปใส่ตู้ห้องโน้นหน่อยเถอะ–คิดถึง”
ก่อนนอน เด็กผุดเคยเข้าไปบอกหล่อนหลายครั้งว่า
“คุณเจ้าขา! คุณผู้ชายสั่งให้มาเรียนคุณเจ้าขาก่อนนอนว่า ‘กูดไน๋’ เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” จิตรีร้องขึ้น
“กูดไน๋–คุณผู้ชายว่าเจ้าค่ะ ภาษาอังกฤษเจ้าค่ะ” เด็กผุดผ่องเพียรอธิบาย แต่ไม่ยอมอธิบายไปถึงธนบัตรใบหนึ่งบาทที่เจ้าหล่อนได้รับเป็นค่าส่งคำลานอนนั้นด้วย
“พิลึก!” แต่หัวใจจิตรีเริ่มกระตุกเต็มแรง “แล้วคุณผู้ชายล่ะ?” หล่อนถาม
“ยังไม่กลับเจ้าค่ะ ท่านสั่งไว้แต่เช้า–”
“บ้า!” นายสาวสอดขึ้น “บ้าบอคอแตกจะตายแล้ว!”
หล่อนตาเขียวใส่เด็กผุดขณะที่หล่อนกล่าวคำฉุนเฉียวเช่นนั้น เด็กหญิงจึงคิดว่าตนถูกคุณผู้หญิงเอ็ดอีกตามเคย
คืนนี้เป็นคืนแรกที่หล่อนคิดขึ้นได้! เผด็จเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำไมเขาจึงไม่มาหาหล่อนเลยสักคืน–แม้จะเป็นเพียงเพื่อป้องกันการซุบซิบ และเพื่อเป็นอัธยาศัยสักหน่อย? แน่ละ! หล่อนไม่ยอมให้เขานอนร่วมเตียงต่อไปอีก แต่เขาควรรู้ว่า บางครั้งหล่อนยังอยากพบเขามากเหมือนกัน แม้เป็นการพบที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก–ไม่ว่าในห้องไหนทั้งนั้น คืนนี้หล่อนต้องการพบเขาใจจะขาดขึ้นทีเดียว–ด้วยเรื่องปากกาหมึกซึมเอเวอชาร์ปชุดหนึ่ง!
จิตรีลุกจากเตียงโดยอาศัยแสงสลัวภายนอกซึ่งลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนนั้น หล่อนไม่เคยนอนหลับด้วยแสงไฟฟ้าหรี่เลยสักครั้ง หล่อนคลำทางไปที่ประตูโดยไม่ระวังเสียงสักนิด เพราะภายในตึกเล็กหลังนี้–นอกจากหล่อนและเผด็จก็มีนายบุญพบ ซึ่งนอนอยู่ห้องชั้นล่างคนหนึ่งเท่านั้น
ทั้งขณะนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนเศษเสียแล้ว! จิตรีรู้สึกหนาวเย็นอย่างประหลาดเมื่อไปยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนสำหรับแขกครู่หนึ่งก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะประตูเต็มแรงหลายครั้งแล้ว ก็กระชากลูกบิดด้วยความใจร้อนเล็กน้อย
ประตูเปิดปังออก!
ด้วยความผิดคาด จิตรีเลยถลันเข้าไปภายในห้องนอนซึ่งสว่างจ้าจนหมดตัว แล้วประตูกลับปิดปังอีก หญิงสาวสะดุ้งโหยง! มีความรู้สึกเหมือนกับพลัดเข้าไปในห้องผีหลอกเหลือเกิน ทั้งนี้ เนื่องจากในชั้นแรกหล่อนแลไม่เห็นอะไรเลยสักนิด นอกจากแสงพร่าพรายแปลบปลาบไปหมด
สายตาที่ชินกับความมืดมานานเล่นกลกับหล่อนหลายนาที ครั้นแล้วหล่อนจึงแลเห็นทั่วถึงทั้งห้อง
ชายหนึ่งนั่งเอกเขนกอยู่ข้างโต๊ะหน้าเตียง ขายาวของเขาเหยียดพาดโต๊ะตัวนั้น สิ่งแรกที่จิตรีแลเห็นก็เท้าที่ปราศจากถุงเท้าทั้งคู่เขายังสวมชุดออกจากบ้านแบบเดิม แต่ผ้าผูกคอกองรวมอยู่กับถุงและรองเท้าที่หน้าเตียง หน้าแดงก่ำเกินควร ผมเปียกปรกหน้าผากและเขานั่งคอห้อยไปข้างหลังหลายองศา มุมปากข้างหนึ่งเย้ย้อยอย่างเด็ก ปล่อยเสียงดังครอกแครกคล้ายกรน ดวงตาที่เคยฉาบฉวยกลับแดงมัวซัว เมื่อตานั้นปรือขึ้นตอบเสียงประตูเปิดและปิดปังใหญ่ หน้านั้นช่างไม่มีรอยสวยสักนิดเดียว!
ขณะนั้นอากาศภายในห้องมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์สะอิดสะเอียนออกคลุ้ง ทั้งที่คุ้นกลิ่นเหล้าต่าง ๆ ตลอดมา จิตรียังทนไม่ได้เดี๋ยวนั้นภายในห้องปั่นป่วนไปอีก เนื้อตัวโคลงเคลงขึ้นทันที หญิงสาวซวนทรุดลงบนม้าเตี้ย ๆ ข้างโต๊ะตัวนั้นบ้างและซบศีรษะลงข้างขายาวที่ยังเหยียดอยู่บนโต๊ะตามเดิม สรรพสิ่งในห้องกวัดแกว่งกันใหญ่!
หล่อนได้ยินเสียงหายใจฟู่ฟ่าระคนเสียงหัวเราะเล็กน้อย ขณะที่หล่อนได้กลิ่นเหล้าแรงขึ้น มือหนึ่งยังกรุ่นกลิ่นบุหรี่ และร้อนผ่าวพาดลงบนแก้มอันเย็นเฉียบของจิตรีเลยทีเดียว
หญิงสาวสะท้านกายกระทั่งรู้สึกกำมือเหม็นบุหรี่และรุ่มร้อนเลื่อนไปลูบคลำคอหล่อน...กำลังเลื่อนตามตัวต่อไปอีก...
ช่างเป็นมือชายแปลกหน้านี่กระไร! จิตรีร้องไม่ออกทั้งที่สะอิดสะเอียนและสยดสยองอย่างที่สุด หล่อนพยายามรวบรวมกำลังกายและกำลังสติเต็มแรง อาการหวิววาบและมึนมัวหมดไปเป็นปลิดทิ้ง คงมีแต่ความอิดโรยเล็กน้อย หล่อนตัวแข็งขึ้นทันที เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะตัวนั้น และเหวี่ยงมือเหม็นร้อน ซึ่งกำลังลูบไล้หล่อนอยู่ออกไปจากตัวเต็มเหนี่ยว!
“อวดดี!”
เผด็จหัวเราะระคนเสียงหายใจครอกแครกขึ้นอีก
“อ้าว...งั้น...มะ...มาทำไม? หมายว่าล้มสัญญาผี ๆ นั่นแล้ว...จะมานอนนี่ด้วยกันก็...”
“จ้างให้! ฉันไม่เคย...นอนกับคนขี้เมาเหมือนคุณ!”
เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ไฝดำเม็ดนั้นตัดกับตา แดงมัวซัวเสียเหลือเกิน! จิตรีก็ชังเผด็จเข้ากระดูกดำเดี๋ยวนั้นเมื่อเขาอ้อแอ้อีกว่า
“ไม่...ไม่เคยนอนกับคนขี้เมา...เหมือนผม..นอกจากคืนเข้าหอ...ที่ท้ายสวน...เมื่อคุณก็...เมาเหมือนผม...งั้นซี?”
หญิงสาวนั่งหน้าเย็นอยู่นาน น้ำตาคั่งคลอขึ้นมาอีก
“คุณหลอกลวงเรานี่!...โกงฉันซึ่งหน้านี่คะ! คุณ...ฮื้อ...คืนนี้ดิฉันอยากได้...” จิตรีพยายามกล้ำกลืนน้ำตาต่อไป “ดิฉันอยาก...ดิฉันอยากขอเงินสักห้าหกร้อย..ซื้อปากกาหมึกซึมสักชุดเถอะ! ดิฉันมาหาคุณคืนนี้เพราะกลัวตื่นไม่ทันคุณตอนเช้า ไปนัดให้เขาเอาปากกามาส่งเสียแล้ว”
นัยน์ตาแดงมัวซัวปรือ ดูหล่อนด้วยแววยิ้ม ๆ อย่างเก่า
“อย่าไก๋! โฮย...ซื้อปากกากลางดึก!...เหมือนที่คุณเคยสูบ...เกล็ดทองกลางคืนที่แหลมเหลือละซี อย่างคืนที่เครื่องบินรังควานเข้าพะเยา ยังงั้นเรอะ? ผมพบก้นบุหรี่หลายตัว หล่อนจ๋า! ดูเหมือนออกจะเที่ยวทำอะไร ๆ กลางคืนจนเคยตัวเต็มที แต่เสียดาย...คืนนี้...ไม่มี...ผัวหล่อน...อีกคนหนึ่งเท่านั้น”
จิตรีกระโจนจากม้านั่ง! นัยน์ตาเรียวยาวยิ่งเรียวยิ่งขึ้น ถึงกระนั้นชายผู้กำลังเมามากหน่อย ก็ยังสังเกตเห็นตาเรียวยาวมีประกายเกิดขึ้นคล้ายสายฟ้าฟาดลงดินเดี๋ยวนั้น!
“หยาบยังกะสัตว์!” เสียงหล่อนสั่นเครือขึ้นด้วย “แกนี่เองแอบทะลึ่งเข้าไปที่แหลมเหลือคืนนั้น แล้วยังตีหน้าไก๋กระทั่งเดี๋ยวนี้ ฉันจำไฝโกงแกได้!” หล่อนก้มลงกระชากต้นแขนของเผด็จโดยแรง และจิกเล็บยาวลงบนแขนข้างนั้นอีก “อวดดีนัก! ไปทำไมที่นั่น... ไหนว่าไม่เคยผ่านพะเยายังไงล่ะ?
เผด็จยิ้มหยันอยู่อีกทั้งที่พยายามร่นแขนเข้าหาตัวเพื่อหลบกรงเล็บที่ยังจิกลง ๆ เรื่อยไป!
“ก็...เราไป...ทำธุระลับ ๆ อะไรน่ะซิ ถ้าขืนคุยว่าเคยผ่านพะเยา ที่ไหนเมียอ้ายพันตรีตัวนั้น...จะยอมให้เราตั้งต่อล่ะ! หลอกดูจริตเล่นเฉย ๆ เพราะ...”
“เชื่อเรอะ...” จิตรีหน้าซีดขาวคล้ายไม่มีเลือดเลยสักหยด เชื่อเรอะว่าสุภาพบุรุษเขาจะ...จะฉวยโอกาสกับผู้หญิง...อย่างแก?”
“ก็...พันตรีตัวนั้นน่ะ...เป็นสุภาพบุรุษเรอะเปล่า?” เผด็จย้อนอย่างน่าชังเช่นเดิม “แล้วก็...เจ้าหล่อนเองน่ะเป็นสุภาพผู้หญิงงั้นเรอะ! ถึงเป็นสุภาพบุรุษตั้งแต่หัวจรดตีนก็ต้องฉวยโอกาสกับผู้หญิงอย่างหล่อน...เข้าใจไหม? ผู้หญิงอย่างจิตรีเหมาะสำหรับเป็น...ง่า... เป็น ‘ฉากผ่าน’ ของผู้ชาย...”
“ฉากผ่าน?” ปากซีดขาวของจิตรีพึมพำพอได้ยิน
“ครับ!” เขาหรี่ตาตอบหล่อน “ฉากผ่านหรือโสเภณีนั่นเองครับ!”
มือขาว ๆ ของหล่อนที่กำลังขยุ้มอยู่ที่ต้นแขนของเขาก็ปล่อยต้นแขนเขาเสีย อีกครั้งหนึ่งเหมือนสายฟ้าฟาดลงดินเดี๋ยวนั้น...มือขาว ๆ ข้างนั้นก็เงื้อขึ้นและฟาดโครมเข้าที่ปากเผด็จโดยแรง พร้อมกับเพชรที่หัวแหวนหมั้นเม็ดใหญ่! แหวนนั้นจิตรีรักมากเพราะเพชรพราวมาก หล่อนถอดจากนิ้วนางซ้ายมาสวมนิ้วนางขวาของหล่อน และมิได้ถอดเก็บเหมือนแหวนแต่งงาน เมื่อหล่อนตัดสินใจจะหย่าเขา
เพชรเม็ดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยเหลี่ยมระยับตาก็ตัดปากเผด็จเป็นรอยยาวอย่างถูกกรีด จิตรีแลเห็นเลือดไหลซิบ ส่วนเผด็จรู้สึกเสียวแปรับ!
เขาลดขาตัวเองลงจากโต๊ะตัวนั้น และผุดลุกขึ้นเผชิญหน้าหล่อน ด้วยดวงตาแดงมัวซัว ซึ่งกลับมีประกายเกิดขึ้นแล้ว จิตรีผงะหลังเล็กน้อย เผด็จจึงยิ้มอย่างมีนัย หน้าหญิงสาวซีดเผือด
“อย่าค่ะ..อย่าตีฉัน! คุณว่าฉันเป็นโสเภณี ฉันถึงได้...หยาบยังงั้น! ก็ฉันเป็นเมียคุณนี่คะ!”
เขายิ้มอย่างเดิม มันเป็นอาการยิ้มของผู้ร้ายเลือดเย็น เขาพูดพลางทำมือไม้เหมือนละคร
“เสียผม! โน!...ดาร์ลิงก์ลัฟ! ม่ายช้าย! จิตรี รัถการ? โน! จิตรี วงศ์วิโรจน์! โน! จิตรี ดิเรกกุล? โน! โน! ...No darling! Love! Sorry! Sweet! คุณเป็นมิสโนเนม แน่แล้ว”
“บ้า!” จิตรีร้องขึ้น “ถูกละ! ฉันไม่ใช่เมียคุณเพราะฉันกำลังจะหย่าคุณ”
เขายิ้มอย่างเก่าอีก และแสดงความสุภาพเพิ่มขึ้นอีก เขาโค้งให้จิตรีทั้ง ๆ ที่เขายืนโยกเยกอยู่บ้าง
“ไม่จำเป็นต้องหย่า! คุณไม่ใช่เมียถูกต้องตามกฎหมาย เมียผมเอลิซาเบ็ธเบิร์น ดิเรกกุล–แต่งกันที่สถานทูตไทยที่อังกฤษก่อนสงครามคราวนี้นิดเดียว ยังไม่ได้บอกเลิกทะเบียน เดี๋ยวนี้ไปอยู่ออสเตรเลีย ไม่มีใครเคยรู้เพราะแต่งแล้วมันเกิดยุ่งกันใหญ่ แล้วก็...นายเผด็จไม่ใช่คนสำคัญที่ใคร ๆ จะอยากสอดรู้ว่าเขามีเมียฝรั่งเรอะเปล่า”
“ขี้ปด! อย่ามาขู่เขานะ” เสียงจิตรีเริ่มสั่น เมื่อหล่อนแลเห็นฟันขาวของเผด็จ
“เปล่า! มิสโนเนม! ผมปดคุณก่อนหน้าคืนนี้เท่านั้น ถ้าคุณไม่เลินเล่อเหลือเกินนักก็คงสังเกตเห็นหลักฐานที่ผมเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือเสียแล้ว เก็บไว้กับจดหมายสามีคุณน่ะ...” เขายิ้มเมื่อเห็นหล่อนสะท้านเพราะถ้อยคำเขาอีก “คุณคงสังเกตกระมังเมื่อเปิดดู? จดหมายมัดนั้น–จ่าหน้าซองถึงผมเป็นภาษาอังกฤษ นั่นแหละจดหมายเมียผม! ถ้าคุณไม่แน่ใจก็เชิญไปเปิดดูได้อีก”
เขาถอดพวงกุญแจจากเข็มขัด โยนลงบนโต๊ะตัวนั้น แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนอย่างสบายอารมณ์เหลือเกิน!
ภายในห้องเงียบกริบกันหมด
ไม่แน่ใจหรือ? ไม่แน่นอนนักหรือ?
ไม่มีอะไรที่แน่นอนยิ่งไปเสียกว่าความจริงจากตาหล่อน ด้วยความคิดย้อนหลังเล็กน้อย จิตรีแลเห็นจดหมายมัดนั้นอีก–ลายมือบาง ๆ แบบผู้หญิง–ลายมือเอลิซาเบ็ธเบิร์นดิเรกกุล! “ดิกกี้” กับ “เบธ” ยังเป็นผัวเมียถูกต้องตามกฎหมายหมดทุกอย่าง–ยกเว้นที่เขายังแยกกันอยู่ด้วยเหตุผลเพียงชั่วคราวของเขา
เป็นไปได้หรือ?–หล่อนเคลิ้มคิดคนเดียว คนธรรมดาเดี๋ยวนี้จะถูกความเสื่อมของสงครามครั้งที่สองฉุดให้จมดิ่งด้วยการโกงกันซึ่งหน้า และด้วยการหลอกลวงถึงขนาดนี้แน่หรือ? ช่างไม่มีใครล่วงรู้และสนใจจริง ๆ หรือ–ในการกระทำที่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรมทุกอย่างในกลุ่มสุภาพชนเช่นนี้?
ครั้นแล้วจิตรีก็รำลึกได้เดี๋ยวนั้นว่า ชีวิตหล่อนเองก็ได้ปรวนแปรไปมากเหมือนกัน ในระยะเวลาเล็กน้อยนี่เอง ชีวิตเยาว์อย่างหล่อนได้ผ่านความจัดเจนเกินวัย ผ่านมุมมืดมุมโกง และมุมหลอกลวงมาแล้วหลายอย่างก่อนที่จะถลำเข้ามาจนมุมอยู่ในอ้อมแขนของเผด็จดังนี้
ความรักความหลังที่แหลมเหลือเหล่านั้น–ชีวิตปราดเปรียวไปมา เมื่อชิงสุกก่อนห่ามเข้าไปอยู่ในวงงานธนาคารครั้งนั้น ล้วนเต็มไปด้วยมุมมืดเหมือนกัน! จิตรีมิได้หลอกลวงวิชัยและกานดาดอกหรือ ในการเกี่ยวข้องกับตะวันเกินขอบเขตของเพื่อน? เมื่อหล่อนรีไทร์หล่อนก็มิได้ให้เหตุผลอันแท้จริงแก่ครอบครัวของหล่อน หลวงธนกิจฯ–เพื่อนผู้ใหญ่ใจดีของผดุงได้ใช้อำนาจหน้าที่ผิด ๆ เพื่อหล่อน และทั้งเขาทั้งหล่อนต้องขื่นขมแค่ไหน?
แม้กระทั่งในบทบาทสุดท้ายทีเดียว จิตรีหลอกลวงหรือเปล่า?
หล่อนเล่าความจริงแก่เผด็จหลายประการก็จริง แต่หล่อนมิได้เปิดเผยความจริงจนตลอด เมื่อหล่อนเปิด ‘โอกาส’ แก่เขา เผด็จอาจรู้เรื่องตะวันกับหล่อนหลายอย่าง–อาจรู้ดีกว่าคนอื่น ๆ อีกด้วย แต่หล่อนไม่เคยบอกสักครั้ง ว่าหล่อนเจตนาแต่งงานกับเขา เพราะหล่อนจนมุมหมดแล้ว และเขาไม่เคยล่วงรู้กำเนิดอันไขว้เขวของหล่อน
จิตรีมิได้ตรงต่อเผด็จโดยตลอด และไม่มีใครรู้อะไรมากเหมือนกัน ก็ไฉนเล่าเผด็จจึงจะหลอกลวงหล่อนไม่ได้ดังนี้?
ส่วนการสมรสครั้งแรกของเผด็จนั้นเล่า ก็เกิดขึ้นคราวฉุกเฉินเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องที่ใครควรสนใจจดจำจนบัดนี้ นักการค้าไทยคนหนึ่งในต่างด้าวมิได้ทำการสมรสเรื่องเดียว เขาต้องกลิ้งเกลือกเพื่อความเป็นอยู่อย่างอื่นด้วย และเขาไม่ใช่คนสำคัญของสังคมไหนทั้งนั้น...นอกจากสังคมของตนเอง มหาสงครามคราวนี้ทำให้มนุษย์เลิกสนใจซึ่งกันและกันเกือบหมด นอกจากที่เขาว่าเขาได้ประโยชน์ จากการยื่นจมูกเข้าไปเกี่ยวกับคนอื่น คนอย่างเผด็จ...หรือ แม้แต่ดีกว่าเผด็จด้วยซ้ำ...ก็ไม่ใช่ผู้ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์อย่างนั้น เรื่องของเขาจึงเป็นเพียงเรื่องของเขาคนเดียวโดยแท้ รวมทั้งเรื่องสมรสซ้ำสอง ซึ่งทำให้รายที่สองกลายเป็นโมฆะคราวนี้ด้วย
โมหะในใจจิตรีไม่ยอมให้หล่อนรู้สึกว่าหล่อนโกงก่อนเผด็จด้วยซ้ำ! แต่เหตุการณ์ที่เกิดแล้วบังคับหล่อนให้รู้ตัวเต็มที่ว่าในการลิขิตโชคชาตาตนเอง ได้มีการโกงเกิดขึ้นแล้ว
และถ้าเผด็จได้โกงหล่อนอย่างทารุณเหลือเกิน หล่อนนั้นแหละได้เปิดโอกาสแก่เขาเอง! เกลือจิ้มเกลือ–มืดกับมืดเหมือนกัน!
จิตรี รัถการ...ไม่ใช่! เพราะหล่อนสมรสร่วมสามเดือนได้แล้ว จิตรี ดิเรกกุล...ก็ไม่ใช่! เพราะสามีของหล่อนยังมิได้เพิกถอนทะเบียนสมรสครั้งแรกอันถูกต้องตามกฎหมาย จิตรี วงศ์วิโรจน์ หรือเปล่า? ไม่ใช่! หญิงชั่วเช่นหล่อนไม่กล้าหวังเกินตัวต่อไปแล้ว ถึงจะชั่วช้าเช่นนั้น ก็ยังไม่ลืมการอบรมและภาวะแวดล้อมมาแต่หลังเลยทีเดียว ดังนั้นหล่อนก็ไม่กล้าหอบหิ้วร่างไร้เกียรติกลับไปหาชายที่หล่อนรักเหลือเกินได้ มิใช่แต่ตะวัน วงศ์วิโรจน์ จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงมลทินเท่านั้น แต่เป็นหญิงมลทินที่ไม่มีสกุลกับใคร เหมือนหญิงเสเพลผู้หนึ่ง! หล่อนไม่อาจเอาเปรียบชายที่หล่อนรักเหลือเกิน
ตะวัน วงศ์วิโรจน์...ความรักและความหวังวัยรุ่นก็ถูกคร่าไปจากชีวิตของจิตรีอย่างเด็ดขาดคราวนี้เอง และที่น่าอนาถนั้นคือ...ด้วยการกระทำของหล่อนเองอีกด้วย! หล่อนทำกระทั่งตนต้องกลายสภาพเป็นเพียง ‘เมียน้อย’ คนหนึ่งในโลก
ชีวิตและความหวังของหล่อนก็ว่างเปล่าไปหมด!
“เมียน้อย! ฉันไม่ยอมอย่างเด็ดขาด...ขอเป็นโสเภณีอย่างเดียวดีกว่า”
มานะในใจจิตรียังดิ้นรนเรื่อยอยู่ เพราะกายหล่อนยังอุดมไปด้วยเลือดร้อนผ่าว เมื่อมานะยังฝังแน่นในใจจิตรีก็เกิดความอับอายและความคั่งแค้นสุดขีด
หล่อนหันขวับไปที่เตียงนอนนั้นอีก
“งั้น...ตลอดเวลา...” หล่อนกระเส่าใส่หน้าเผด็จเดี๋ยวนั้น “คุณก็คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงเลวละซิ–ถึงได้หลอกเล่นยังงี้ ?”
“แน่นอน! น้องสาว...” เขาไม่เคยหยาบคายและมึนเมามากเหมือนคืนนี้
เขาคว้าแขนหล่อนแล้วก็ยิ้มอย่างหวาน เมื่อนอนตอบตามสบาย เสียงและยิ้มของเขามีแววอ่อนโยนและตรงไปตรงมาเหมือนเด็ก
ดังนั้น จิตรีก็รันทดสะท้อนและปล่อยให้เขากุมแขนข้างนั้นไว้ แต่หล่อนย้อนเขาด้วยเสียงเย้ยหยันเสียดแทงถึงขีดความอาย และความคั่งแค้นของผู้หญิง
“งั้นก็...ผู้ชายที่ยังมีเมียดีอยู่ทั้งคนอย่างคุณ ทำไมถึงต้องซมซานมาเที่ยวล่อลวงแต่งงานกับผู้หญิงเลวล่ะคะ?”
เผด็จยิ้มอย่างหวานอีก แต่คราวนี้นัยน์ตาแดงมัวซัวมีประกายเกิดขึ้น เขารั้งจิตรีเข้าไปหาตัวเต็มแรงและใช้มืออีกข้างหนึ่งเหนี่ยวคอเสื้อนอนของหล่อนจนขาดลงไปตลอดแขนข้างนั้น ร่างจิตรีก็เปลือยไปแถบหนึ่ง
หล่อนถูกตรึงอยู่ในวงแขนเขาแน่น ไม่มีทางหลุดเลยสักนิด นัยน์ตาเขาทั้งสองประสานกันด้วยแววเชือดเฉือนเช่นนั้น...ฝ่ายหนึ่งเยาะเย้ยอย่างดูหมิ่น ฝ่ายหนึ่งชิงชังเพราะเข้าใจความหมายหมดแล้ว...ชายเยาะ...หญิงชัง!
“ทำไม!” เขากระซิบใส่หูหล่อน “ทำไมผู้ชายถึงซมซานเข้าหาผู้หญิงเลว ๆ น่ะเรอะ? นี่ไม่รู้แน่เรอะ? จิตรี! ก็เพราะ...” เขาบีบแขนเปลือยเปล่าของหล่อนแรงขึ้น “ก็เพราะความที่คุณเป็นผู้หญิงยังงี้แหละ! ไม่ใช่เพราะรักหรืออะไรหรอกคุณ... เพราะคุณเป็นผู้หญิงอย่างเดียว!...อย่าร้องไห้...ผู้หญิงอย่างคุณไม่มีอะไรจะต้องเสียใจจนนิดเดียว คุณได้รับค่าตัวคุณจากผมพอแล้ว...อย่าร้อง...”
จิตรีร้องไห้พลางพูดว่า
“ไม่พอ! ไม่พอ! โธ่ ฉันเห็นใจผู้หญิงเลว ๆ เหลือเกิน...ฉันเห็นใจผู้หญิงที่เป็นนางบำเรอทั้งโลก แล้วทีนี้...ผู้หญิงเลวได้ลงคอก็เพราะผู้ชายช่วยทำให้เลวละซี...เพราะผู้ชายถือว่าเราเป็นผู้หญิงอย่างเดียว! ผู้ชายน่ะแหละเลวอย่างร้าย! ผู้ชายบางคนอย่างคุณ...”
เขาสอดเสียงขบขันขึ้นว่า
“นายตะวันอยู่ในประเทศลาวเรอะเปล่า?”
จิตรีหยุดร้องไห้เหมือนปลิดทิ้งทันที! หล่อนพยายามจะดิ้นออกจากวงแขนเขาให้ได้ เมื่อเห็นว่าไม่มีทางสำเร็จแน่แล้ว หล่อนก็ใช้วิธีต่อสู้ใหม่ซึ่งหล่อนคิดขึ้นได้เดี๋ยวนี้ หล่อนยอมอยู่ในวงแขนเขาโดยดี แต่ใช้มือทั้งสองทุบอกตัวเองอีกด้วย หล่อนไม่มีน้ำตาแต่สักหยด
เผด็จดึงมือจิตรีแล้วปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างเดิม
“อย่าทำยังงั้น! ขอโทษที่ก้าวก่ายถึงตะวัน ผมรู้ว่าเขาเป็นคนดี ถ้าผมเป็นผู้หญิงก็คงรักผู้ชายดี ๆ ด้วยเหมือนกัน”
จิตรีร้องไห้อีก แต่ไม่พยายามทำร้ายตัวเองอีกต่อไป หล่อนคร่ำครวญขึ้นว่า
“ดิฉันเลวเสียแล้ว...จะไม่เกี่ยวข้องกับใครละ! ไหนคุณสัญญาว่าจะไม่ยุ่งอย่างเมื่อก่อน”
“ก็คุณตามเข้ามาหาผมทำไมล่ะ?”
เลือดแล่นขึ้นหน้าจิตรีร้อนผ่าว เขาไม่ยอมให้หล่อนลืมว่าหล่อนเป็นเพียงผู้หญิงอย่างเดียว!
“ดิฉันมาขอ...ขอเงินซื้อเอเวอร์ชาร์ปชุดหนึ่งเท่านั้นเอง”
“เอาเถอะ! คุณซื้อเอเวอร์ชาร์ปชุดนั้นได้...แต่ต้องนอนนี่นะ”
“เผื่อดิฉันไม่เอาปากกา...” เสียงจิตรีเริ่มขุ่น
“ก็ต้องนอนที่นี่อยู่นั่นเอง! อย่าร้องไห้หน่อยเลย...เบื่อน้ำตาเต็มที! ทำไมผมถึงให้คุณข้างเดียวได้ตั้งนาน...ผู้หญิงอย่างคุณน่ะ...ได้ไปจากผมพอแล้ว”
จิตรีรู้สึกเหมือนว่า หล่อนจมลงไปในปลักอันโสโครกและมืดมิดหมดทั้งตัว ภายในเวลาอันเล็กน้อยเท่านั้น ความละอายอันเป็นอาภรณ์ล้ำค่าของผู้หญิงถูกปลดเปลื้องไปจากหล่อนหลายครั้ง เพื่อประโยชน์อันใดเล่าที่หล่อนจะยืนยันว่าหล่อนยังบริบูรณ์ด้วยความละอายอีกมาก เมื่อชายที่ใกล้ชิดเช่นเผด็จมิได้เห็นว่าหล่อนยังมีความรู้สึกสักนิดเดียว?
“ยังค่ะ–ยังไม่พอ” เสียงจิตรีแห้งแล้งและระคนสะอื้นอีกบ้าง “เอาเงินให้เขาก่อน–ค่าธรรมเนียมผู้หญิงอย่างฉัน!”
“เช้อ–” แต่เผด็จล้วงซองธนบัตรให้หล่อนเร็วมาก “หมู่นี้การเงินไม่ดีด้วยนา!”
ความมืดเคลื่อนเข้าปกคลุมเขาทั้งสอง เขาอาจจะมีความรันทดเท่ากัน แต่เขาก็ช่วยกันเอาความมืดมาปิดบังความรู้สึกฝ่ายสูญเสียได้ ทั้งนี้เพราะภาวะแห่งความเป็นชายหญิงอย่างเขานั้น เป็นภาวะอันมืดมนเหมือนกัน มืดในความมืด และบาปซ้อนบาป เป็นสิ่งซึ่งปุถุชนชอบประพฤติ
เมื่อไก่ขันค่อนรุ่งหลายครั้ง เมื่อดาวประกายพฤกษ์โชติช่วงขึ้นในนภากาศกรุงเทพฯ หญิงผู้เป็น ‘Miss No Name’ แน่แล้ว นอนหลับสนิทอยู่ในวงแขนของชายที่เป็นผัวผู้หญิงอื่น
และในวงแขนของหล่อนเอง–แอบอยู่กับอกอันขาวผ่อง คือซองธนบัตรค่าตัวของหล่อนและค่าปากกาเอเวอร์ชาร์ปชุดนั้น
----------------------------