เขาเปิดฟลอร์และบาร์กลางแจ้งจนดึก เจ้าสาวสะวิงอยู่ท่ามกลางกลุ่มสะวิงที่กวัดแกว่งกันสุดขีด จิตรีไม่ยอมถอยทุกเพลง และเมื่อมีผู้เสนอถ้วยอมฤตเข้ามาอวยพรเพื่อความสุขในการ สมรสของหล่อนและเผด็จ จิตรี รัถการ–อา!–มิได้! จิตรี ดิเรกกุล ก็ไม่เคยปฏิเสธสักแก้วเดียว!

หล่อนสวยและหล่อนสุขเสียเหลือเกิน

“จิตรี!” แขกสาวคนหนึ่งเย้าอย่างกันเอง “พวกเราไม่เคยคิดสักคนว่า เธอจะด่วนรับวิวาห์บัตรแบบนี้”

“เราคิดว่าเธอคงเกือบสลบเสียแล้ว ตอนที่ไม่มีวาสนาได้รับพระราชทานปริญญาบัตรในวันแจกปริญญาของเรา เมื่อเธอพลาดโอกาสสำคัญที่สุดเสียแล้ว ก็น่าจะอิจฉาแล้วก็เสียใจจนสลบ”

“ก็เกือบสลบละซี!” จิตรีรับตรง ๆ “แต่วันนั้นฉันมีคู่หมั่นไปนั่งเป็นเพื่อนอิจฉาพวกเธอทั้งคน เขาไปคอยให้สติว่าไม่กี่วันฉันก็จะได้วิวาห์บัตรบ้าง ไม่ต้องตาแดง ๆ หรือปล่อยสะอื้นออกมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานยิ้มแถมพกพวกเธอทั้งหลาย คุณเผด็จเห็นเราทำท่าจะเป็นลมเมื่อไรก็รีบบอกว่าอีกหน่อยเถอะน่ะพวกเธอจะต้องหันมาอิจฉาฉันหรอกนี่! ดู ‘คุณ’ ของฉันซิ! สวยไหม?”

เพื่อนสาวของจิตรีหลายคนหันไปดูตรง ๆ ตามคำชวน เจ้าบ่าวยืนถือแก้วอยู่ใกล้บาร์ มีเพื่อนฝูงสนิทที่ตั้งใจจะอยู่ “ยันป้าย” ช่วยกันขู่เข็ญให้ดื่มอวยพรตนเองออกวุ่น

“ว้า–หมอนี่ดื่มน้อย”

“ไก่นา เอาเสียอีกแก้วก่อนเถอะ”

“คอเก่าทำไมยกธงลาในวันสำคัญของตัว?”

“มันก็เริ่มจะกลัวเมียมั่งน่ะซี”

“เซอะ! ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ เขากร่ำเป็นกรดกันแล้ว เอ้า! อีกแก้ว–เอ้อ–เอ๊ะ! เอาคืนมา–เมียลื้อเหลียวมาดูด้วยแฮะ! เดี๋ยวคุณเธอจะจำหน้าอั๊วเอาไว้ว่าเป็นคนคอยหนุนดีนัก ผู้หญิงอาจจะชอบผู้ชายขี้เมาหมดทั้งโลกยกเว้นผู้ชายขี้เมาที่เป็นคู่รักหรือผัว”

“นายนี่พูดเหมือนกับเคยมีคู่รักหรือเมียมาแล้ว รู้มาก! ลื้อโสดไม่ใช่เรอะ?”

“เออ! อั๊วโสดสามัญ! แต่ความเป็นโสดของผู้ชายไม่ได้รับรองเลยนี่เพื่อน ว่าชายโสดจะไม่เคยมีคู่รักหรือเมีย สมัยนี้คำว่าโสด เป็นแต่เพียงนามบัตรบอกว่าผู้ชายยังไม่มีคู่รักหรือเมียออกหน้าออกตาต่างหาก! เฮ้ย! เผด็จ! เมียออกหน้าออกตาของลื้อกำลังจ้องเป๋ง อั๊วเปิดละ!”

ท่ามกลางเสียงล้อเลียนเหล่านี้ เผด็จเหลือบไปสบสายตาเจ้าสาวซึ่งเต็มไปด้วยแววหยิ่งผยองอย่างจัง มันเป็นเวลาเดียวกับที่จิตรีพูดกับเพื่อนสาวของหล่อนด้วยคะนองเสียงและคะนองปากไปว่า

“นี่! ดูคุณของฉันซิ! สวยไหม?”

สายตาของหนุ่มสาวซึ่งเพิ่งผูกชีวิตไว้ด้วยกัน ก็ปะทะกันอย่างเปล่าเปลือยเป็นครั้งแรก ถ้าดวงตาของมนุษย์เป็นบานหน้าต่าง ที่เผยให้เห็นความคิดลี้ลับลึกซึ้งภายในจิตใจจนหมดสิ้น เผด็จ ดิเรกกุล ก็ได้เริ่มรู้จักหัวใจจิตรีบ้างแล้วเวลานั้น–แม้จะไม่โล่งตลอดเลยทีเดียว

เผด็จมิได้ดื่มมากเหมือนเคย ในคืนมงคลของเขาหลายคนสังเกตกันได้ว่าเผด็จดื่มน้อยและน้อยยิ่งกว่าเจ้าสาวเสียอีก

ท่าทางที่แสดงว่าเป็นคนขี้สนุก แต่ไม่มีความหมายมากนัก ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก เผด็จดูขรึมและจริงจังต่อชีวิตวันสมรสเหลือเกิน

อาการของผู้ชายเช่นนี้ ช่างขัดแย้งกับความเป็นอยู่อย่างใหม่เหมือนกับการสวมเสื้อราชปะแตนต์เหนือกางเกงสากลกันอีก ตามทัศนะคนส่วนมาก เหมือนจิตรีย่อมถือว่าเมื่อเริ่มศักราชปรมาณูนี้แล้ว โลกวิสัยย่อมจะไม่จริงจังจนเกินควร ความเลื่อนลอยล้มเหลวของชีวิตวันนี้ ทำให้ความขึงขังของชีวิตจืดจางจนหมดสิ้น

ชีวิตและสรรพสิ่งซึ่งคาบเกี่ยวกับชีวิต จึงดูไม่ยั่งยืนขึ้น บุคคลจึงจะยึดถือให้แน่นอนนักไม่ได้ หากใครจริงจังกับชีวิตวันนี้ ผู้นั้นก็ล้าสมัยมากหน่อย ต้องเกิดผิดหวังและขื่นขมขึ้นด้วย เหมือนจะมิได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น เพราะตกมาในยุคปรมาณูนี้แล้ว โลกย่อมหัวเราะเยาะและหันหลังให้แก่คนขืนสมัย และหลับหูหลับตาต่อโลก

ในชั่วขณะหนึ่งที่เผด็จและจิตรีได้ประสานสายตากันอย่างเปล่าเปลือยเป็นครั้งแรก ความรู้สึกซึ่งคนทั้งคู่มิได้ซุกซ่อนเสียเลยก็โลดออกมาจากห้วงคิดเขาทั้งสอง ฝ่ายชายจริงจังจนเห็นชัดฝ่ายหญิงมีแต่ความผยองต่อชัยชนะเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกขัดแย้งอย่างฉกาจจึงเกิดขึ้น

ความรู้สึกของคนทั้งสองจึงกลายเป็นศัตรูต่อกัน ทั้งที่เขาต้องตั้งปณิธานขณะที่สวมมงคลคู่กันว่า เขาจะต้องเป็นเพื่อนตายต่อกัน!

เผด็จยิ้มละไม่เหมือนจิตรี แต่แล้วเขาก็ต้องหันหลังให้หล่อนและเพื่อนหญิง เขายึดบาร์แบบเพื่อนชายและเริ่มดื่มโดยไม่มีคนคะยั้นคะยออย่างเก่า

กว่าเผด็จจะรู้สึกตัวต่อไป เขาและแขกบางคนที่นัดอยู่ยันป้ายเริ่มลำบากในการที่จะยันตัวตามเคย เขาคงจะโอ้เอ้อีกนาน ถ้าผดุงไม่เดินไปดึงแขนเขาขึ้นเรือนเวลานั้น

“นี่น้องชาย! ปล่อยคนอื่นเขาไว้ที่สนามนั่นแหละ วิชัยอาสาจะเก็บใส่รถไปส่งเสียให้หมด เธอต้องไปทำสะอาดเนื้อตัวเสียใหม่ ประเดี๋ยวคุณป้าจะเอาตัวเจ้าสาวมาส่งเธอที่เรือน”

เผด็จมองหน้าพี่ชายของเขาครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หัวเราะลั่นขึ้น

“ทำไมจะต้องทำพิธีส่งตัวตามธรรมเนียมเก่ากันอีก? จิตรีรู้–รู้จักทางมาเรือนแล้วนี่ครับ ที่จริงถ้าคืนนี้เขาเหนื่อยมากก็น่าจะให้เขานอนเรือนคุณป้าไปก่อน”

ผดุงผลักน้องชายเข้าไปในเรือนแล้วว่า

“นายนี่เมาเหมือนกันเรอะ! ไม่ใช่ธุระของนายที่จะยื่นหน้าเข้าไปทักท้วงพิธีทุกอย่าง คุณใหญ่เขาไม่ยอมให้ทำนอกรีตหรอกพ่อคุณ”

ภายในห้องนอนของจิตรีและกานดาก็กำลังมีเหตุการณ์เกิดขึ้น กานดายังสวมเสื้อราตรีตามเดิม จึงช่วยเปลี่ยนเสื้อให้เจ้าสาวด้วยท่าทางไม่ใคร่ทะมัดทะแมงเหมือนเคย

“ฮื้อ–คุณดาดึงเสื้อเสียยับ!” เจ้าสาวส่องกระจกและบ่นปอดแปดไปพลาง “ดู! ดึงอีกแล้ว–ผมเขาลุ่ยลงหมด แล้วยังทำหน้ามุ่ยเหมือนอะไรดี”

กานดาฝืนยิ้มอย่างรื่นเริงเล็กน้อย

“ก็ไม่ถอดเสื้อตัวเก่าก่อนเรอะ เสื้อราตรีตัวนั้นต้องถอดทางศีรษะ แล้วคุณจิตรีหยุกหยิกอยู่เรื่อย ใครจะไม่หน้ามุ่ยมั่งล่ะ”

ความจริงกานดาหมายความว่า จิตรีออกจะมึนมากไปจนผิดธรรมดาหญิงสาวสักหน่อย

“ไม่จริง!” จิตรีรีบค้าน “คุณดาอิจฉาฉันหรอก! เดี๋ยวนี้ฉันไม่ใช่น้องใครเน้อ ฉันเป็นอาสะใภ้คุณดาด้วยซิ! ฉันรู้หรอกน่า–ไม่มีใครหวังดีด้วยฉันเลย–พวกเราน่ะพอเห็นฉันแต่งงานกับคุณเผด็จได้แล้วเลยโกรธ กลัวจะ–”

“นั่งนิ่ง ๆ หน่อยซิ! พูดอะไรไม่รู้–เสื้อนอนตัวนี้แขนสั้นสักหน่อย ต้องสวมเสื้อยาวชั้นนอกนั่นอีกตัวสอดแขนข้างซ้ายเสียก่อน” กานดาบอกบทด้วยเสียงซึ่งไม่สู้มั่นคงของหล่อน “นี่คุณ! ยืนขึ้น เขาจะผูกสายรัดเอวอีกนิด”

“กลัวว่า–ว่า–” จิตรีพูดเรื่อยเปื่อยไปอีก “พอฉันมีนามสกุลกับเขาแล้ว ก็ไม่เป็นผู้หญิงหัวหายให้พวกเราไล่เบี้ยอีก ก็เลยหน้ามุ่ยหมดทั้งบ้าน ฉันมีนามสกุล–”

กานดาดึงจิตรีลุกขึ้น หญิงสาวซึ่งเคยยอมเป็นลูกไก่ของจิตรีเรื่อยมาด้วยอารมณ์เยือกเย็นอยู่เสมอเริ่มแสดงความรู้สึกปั่นป่วนเป็นครั้งแรก หล่อนเหน็ดเหนื่อยและหยั่งไม่ถึงถ้อยคำของจิตรี

“เลิกพล่ามทีเถอะน่ะ! หน่อยคนเขาไม่รู้เรื่องด้วยก็จะรู้ว่าคุณเมาหมดสติ ดูน่าเกลียดเกินไป คุณป้าคอยอยู่ข้างนอกแน่ะค่ะ ท่านจะพาตัวไปส่งอาเผด็จเดี๋ยวนี้ ไปให้พ้นฉันทีเถอะคุณ! รำคาญ–”

“อิจฉาฉันน่ะซิ! แหม! ไล่เราเชียวนะ ทีนี้ตัวจะนอนหง่าวคนเดียวได้เรอะ?”

“ไปให้พ้น! เขานอนคนเดียวได้เหมือนกัน!”

กานดาเสียงเครือขึ้นก่อน เพราะเริ่มรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเป็นกำลัง เตียงเล็กหลังหนึ่งภายในมุ้งลวดของหล่อนและจิตรีก็กลายเป็นเตียงว่างเปล่าไปแล้ว! ต่อไปนี้จะไม่มีใครชวนคุยจ้อจนดึกอีก

จิตรีมองดูหน้าคู่สาวซึ่งเคยร่วมกินร่วมนอนมาแต่น้อยครู่หนึ่ง หัวใจจิตรีเริ่มกระตุก!

“เอาเถอะ” จิตรีเริ่มพูด “พรุ่งนี้ฉันจะ–จะเล่าอะไรให้ฟัง”

แล้วหล่อนก็ผลุนผลันออกประตูตอนนั้นไปโดยไม่กล้าเหลียวหลังเลยสักแวบ

ผดุงรีบเดินลงไปทางบันไดตึกตอนหน้าเพื่อช่วยวิชัย ‘ปิด’ งานรื่นเริงให้เรียบร้อยลงจริง ๆ

“ให้มันสิ้นเสร็จเสียทีครับ” เขาบอกหญิงผู้มีอายุอย่างรื่นเริง “คุณป้ากลับไปก่อนเถอะครับ อดนอนมาหลายคืนแล้วลมจะใส่”

แต่คุณจำรัสรู้ว่าหลานเขยคนใหญ่ต้องการหลบหน้าเท่านั้น แม้เธอยืนอยู่ที่หัวบันไดด้านข้างก็สามารถมองเห็นว่าที่สนามหน้าตึกไม่มีแขกอื่นอีกเลย ภายหลังที่เธอนำเจ้าสาวมาส่งตัวตอนนี้แล้ว งานเก็บและงานเอะอะอื่น ๆ ก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนเธอทั้งหมด

ผดุงรีบหลบหน้าเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องส่งตัว จิตรีกับเธอเท่านั้น ซึ่งทั้งเธอและเขาจำจะต้องปรารภปรารมภ์เล็กน้อยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเธอและเขายังขืนเผชิญหน้ากันอยู่อย่างเมื่อกี้

ท่านหญิงผู้มีอายุถอนใจใหญ่อย่างโล่งอก คืนนี้เธอเองก็ไม่อยากพูดมากเหมือนกัน เมื่อเสร็จพิธีส่งตัวตอนนี้แล้ว ภาระสุดท้ายของเธอก็เสร็จสิ้นเสียที เธอรู้สึกมากเหมือนกันว่าจรวย และคนอื่นภายในครอบครัวของเธอต่างก็รู้สึกโล่งใจเหมือนเธอทั้งนั้น

คุณจำรัสยังไม่ทันเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายที่เดียวก็ได้ยินเสียงซอยถี่ของเท้าที่สวมรองเท้าแตะตามหลังลงมาด้วย

ครั้นแล้วก็มีร่างหนึ่งโถมเข้ามากอดเอวเธอทางเบื้องหลัง

“เอ๊ะ! อะไร–?”

“คุณป้าคะ–”

“จิตรี! เขาห้ามไม่ให้ออกจากห้องนอนนะหลาน เสียฤกษ์ละซี! ออกมาทำไมกัน?”

เจ้าสาวซุกหน้าลงกับแขนของเธอ หัวเราะคล้ายสะอื้นออกมาว่า

“ดิฉันนึกได้ว่า–ว่า–ยังไม่ได้ลาคุณใหญ่อีกคน คุณใหญ่ไม่–ไม่มาส่งเสียเลย”

คุณจำรัสรู้ดี แต่เธอทำเสียงเขียวขัดไว้ก่อน

“ก็แม่ใหญ่ยุ่งจะตาย! พรุ่งนี้เธอก็วิ่งไปวิ่งมาเหมือนเก่า กลัวอะไร?”

“ไม่กลัวอะไรหรอกค่ะ แต่รู้สึกว่าคุณใหญ่เกลียดจิตรีเหลือเกิน! ราวกับว่าจิตรีน่ะไม่ใช่ลูกคุณพ่อคุณแม่เหมือนเก่า คุณป้าคะ! จิตรีลูกใครแน่?”

“จิตรี!”

แล้วญาติผู้ใหญ่ก็ผละไปพิงราวบันไดตึกตอนนั้นนิ่งอึ้งอยู่ แสงไฟดวงน้อยที่หัวบันไดลอดสลัวลงมา ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยผมขาวประปรายเป็นบางแห่ง ก้มลงมาชิดศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยผมสลวยดำดุจไหม คุณจำรัสตกใจจนหน้าซีด ส่วนจิตรีหน้าแดงเข้มขึ้นอีก

“เอา–เอาอะไรมาพูดก็ไม่รู้!” ในที่สุดคุณจำรัสเสียงเขียวอีกครั้ง “นี่คงมึนมากเหมือนกัน–ฮื้อ! ป้าหมุนไม่ทันหนุ่มสาวสมัยนี้ อะไร! วันมงคลของตัวแท้ ๆ เห็นเป็นสนุกเมาเสียเลื่อนเปื้อนไปหมด แล้วจะเป็นบ้านเป็นเรือนยังไงได้ ดูเรอะ! ตัวก็จะเป็นพ่อคนแม่คนกับเขาแล้ว เกิดจะไม่รู้ว่าตัวลูกใครขันละ พิลึก!”

“ก็–ก็ ลูกใครล่ะคะ?”

“ขวาง! ลูกพ่อหลวงเจริญกับคุณจำเรียงละซี! แต่แม่ใหญ่เขาเลี้ยงมามากเหมือนกัน ก็นับว่าเป็นลูกแม่ใหญ่อยู่มาก ไม่ใช่เป็นน้องเท่านั้น”

“คุณใหญ่เกลียดจิตรีแล้วค่ะ!”

คุณจำรัสรีบแก้

“ก็อยากหัวแข็งกับเขานี่! ดื้อนักใคร ๆ เขาต้องเกลียดไปชั่วครู่ชั่วคราว พี่น้องน่ะตัดกันไม่ลงหรอกจ้ะ! ระวังผัวเถอะ! ถึงยังไงเขาก็เป็นคนอื่น เมียนะถ้าผัวเกลียดก็แย่”

ศีรษะซึ่งเคลียอยู่กับแขนของเธอผงกขึ้นอย่างหยิ่งผยองอยู่มาก แม้จะมีอาการตกใจเจืออยู่

“แม๊! ถ้าเมียเกลียดผัวล่ะคะ คุณป้า?–เกลียดอย่างดิฉันเกลียดคุณเผด็จเดี๋ยวนี้”

“ตายจริง! จิตรีเลอะใหญ่” เสียงคุณจำรัสร้อนรนเล็กน้อย “นี่แน่ะหลาน! ใคร ๆ ก็รู้ว่าเธอสมัครใจจะแต่งงานทั้ง ๆ ที่พวกเราไม่ได้เร่งรัดหรือเห็นดีด้วยเลย–แล้วยังจะมาพูดเล่นลงคอว่าเพิ่งรู้สึกเกลียดพ่อเผด็จเดี๋ยวนี้ กลับขึ้นไปบ้างบนเสียเถอะ ป้าไปละ!”

แล้วหญิงผู้สูงอายุก็รีบลงบันไดโดยเร็ว ทิ้งให้เมียสาวซึ่งเกลียดผัวยืนมองตามแต่ผู้เดียว กระทั่งเธอลับตาไปตามส่วนโค้งของถนนในบ้าน

จิตรียื่นแขนข้างหนึ่งออก มีอาการเหมือนจะโผตามหลังลงไปด้วย ขณะนั้นเจ้าสาวรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังหล่อนอีก

เขาถอยหลังเล็กน้อย แต่เขาคว้าข้อมือทั้งสองข้างของหล่อนบีบไว้แน่น ขณะที่ถามหล่อนด้วยเสียงคลุมเครือคล้ายเมา

“ทำไมเกลียด? เมื่อกี้คุณบอกคุณป้าว่าเกลียด”

“ก็เพราะ–” เสียงหล่อนครุมเครือคล้ายกัน

“คุณเหม็น เหมือน–เหมือนเหล้า! แล้วก็–สกปรก–ดูผมแน่ะ! น่าเกลียด–ยุ่งยังกะ–ยัง–ยังกะผมคน–คนขับสามล้อเหลือเกิน!”

“เมื่อกี้–” เขายิ้มหยันหล่อน “ไหนคุณอวดพวกสาว ๆ เสียงลั่นสนามเหมือนอวดเสื้อสักตัวว่า ผัวสวย–เราทนไม่ไหวก็ต้องกร่ำ–เหล้าให้หน้าทนเท่านั้น เดี๋ยวนี้เกิดจะบ่นว่าผมผัวเหมือนผมคนขับสามล้ออีกแล้ว–คุณนี่ออกจะเป็นเมียที่เอาใจยากอยู่สักหน่อย! เดี๋ยวนี้คุณเมามากกว่าผม! เมื่อเมียสมัครจะเมาผิดผู้หญิงยังงี้ ผัวก็ต้องเมาให้มากกว่าเมียไม่ใช่เรอะ?–ไม่งั้นคนเขาก็สังเกตกันหมดซิ! ผัวเมาน่ะมันไม่งาม แต่เมียเมาน่ะมันหมดงาม”

แม้สติสัมปชัญญะของจิตรีเลือนลางเหลือเกิน หล่อนก็ยังสำเหนียกและสำนึกความจริงจากถ้อยคำของเผด็จได้อยู่ แต่ทว่าความจริงก็อุปมาเหมือนกระสุนซึ่งผิดเป้า ย่อมทำให้สัตว์ซึ่งถูกยิงตื่นเปิดเปิงไปเสียมากกว่าที่จะยอมจำนนให้เถือทันที

สัตว์ที่ถูกระสุนเฉี่ยวทันใด ฉะนั้นหญิงซึ่งสำเหนียกว่าตัวกำลังถูกต้อนไปจนมุมด้วยความจริงจากผู้ชาย!

จิตรีหมดมุมซุกซ่อนเสียแล้ว! หล่อนแลเห็นคุกของชีวิตอันขื่นขมของหล่อนในวงแขนของเผด็จ วงแขนของชายนี้ มิใช่วิมานในวงแขนของชายหนึ่ง ความกระหายอันมูมมามในดวงตาคมของชายนี้ มิใช่ความปรารถนาอันละมุนละไมของชายหนึ่ง ซึ่งประสานสนิทอยู่กับความปรารถนาของหล่อนเองอีกด้วย และ–โอ้! พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันศักดิ์สิทธิ์!–หล่อนเกลียดกลิ่นเหล้า และกลิ่นผู้ชายเช่นเผด็จ!

มันมิใช่กลิ่นเหล้า และกลิ่นผู้ชายของชายอีกคนหนึ่งนั่นเอง!

อนิจจา! จิตรีหกล้มหลายครั้ง ล้มเมื่อเสียน้ำใจจากแหลมเหลือ ล้มเมื่อเสียปริญญาบัตรใบสำคัญของชีวิตวัยเรียน ล้มเมื่อเสียกำเนิดอันมั่นคงของสกุลรัถการ แก่ความลับเหล่านั้น

จิตรีหกคะเมนหมดทั้งตัว เมื่อถูกไล่ออกจากอาชีพอันเป็นอุปกรณ์การยังชีวิตวันนี้ หล่อนบอบช้ำระกำใจจากการที่ต้องสูญเสียสัญญาเกียรติยศจากชายที่หล่อนไว้วางใจจนหมดตัว หล่อนล้มลง ครั้งนี้หล่อนจมลงในปลักอัปยศอย่างไร้เกียรติกันจริง ๆ จนกระทั่งหล่อนแลเห็นการฆ่าตัวตายเป็นการล้างราคีคาวของหล่อนได้

ครั้นแล้ว ชายแปลกหน้าผู้หนึ่งซึ่งเผอิญไปพบความตายตอนนั้นด้วย ได้ฉุดรั้งหล่อนไว้ตามหน้าที่เท่านั้น และบัดนี้หล่อนรู้สึกว่าเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่งนั่นเอง

เขาได้ใช้ลิ้น และปฏิภาณผู้ชายช่วยหล่อนไว้ ทำให้หล่อนทะนงในชีวิตวันนี้อีก กระทั่งหล่อนเหลิงใจว่าหล่อนลุกขึ้นยืนอย่างเก่าได้ วางแผนการโชคชาตาตัวเองได้ และสามารถลิขิตความต้องการแก่ตนเองกระทั่งถึงหลักชัยเช่นนี้แล้ว จิตรีก็ปราโมทย์เมื่อมีชัยโดยการลิขิตของตนเอง ชัยชนะเหนือสิ่งปรารถนาในชีวิตวันนี้ช่างมาถึงมือหล่อนได้โดยราบรื่นเหลือเกิน!

แต่–คืนนี้–ท่ามกลางอากาศมืดมัว และภายใต้น้ำฟ้าอันเยือกเย็นยามดึก–ขณะที่หล่อนระรัวอยู่เพียงเอื้อมแขนของเผด็จเดี๋ยวนี้ หล่อนเริ่มสำนึกเป็นครั้งแรกแล้วว่า ชัยชนะของหล่อนเป็นชัยชนะที่น่าสงสารเสียจริง ๆ และการมิได้เป็นไปโดยราบรื่นเลยทีเดียว!

จิตรีรู้สึกเสมือนว่า หล่อนกำลังจะล้มลงไปอีก และล้มลงไปในเหวลึก ซึ่งหล่อนไม่เคยตระหนักแน่นอนในชีวิตวัยสาว!

ด้วยกิริยาของคนหายใจไม่สะดวกเดี๋ยวนั้น จิตรีกระชากแขนของหล่อนออกไปจากกำมือของเผด็จโดยเร็ว

“เกลียดดิฉันเถอะค่ะ!” หล่อนขอร้องเร็วปรื๋อ “ดิฉันเมา หมดงามแล้ว–คืนนี้–เกลียดดิฉันให้มากได้ไหมคะ–คืนนี้!”

หล่อนแลเห็นฟันขาวของเผด็จ เขายิ้มอย่างผู้ร้ายเลือดเย็น จิตรีก็สะท้านไปทั้งตัว

“จะให้เกลียดคุณคืนนี้เท่านั้นเรอะ?”

“ค่ะ! ค่ะ!–เกลียดทุกคืนซิ! คุณขึ้นไปนอนคนเดียวได้ไหม? ดิฉันจะ–จะลงไปนั่งเล่นหลังบ้าน–แล้วคุณอย่าให้ใครรู้เลยนะคะ”

จิตรีแลเห็นฟันขาวของเผด็จอีก!

หล่อนหมดสติตอนนี้เอง หล่อนหันหลังให้เผด็จเดี๋ยวนั้น วิ่งลงบันไดโดยเร็ว และลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ หลังบ้าน หูหล่อนหวาดว่าเขาวิ่งตามหลังหล่อนมาหล่อนก็หลบจากถนนนั้นเสีย วิ่งลัดไปตามพุ่มพิกุลหางนกยูงและชมพู่เตี้ย ๆ ต่อไป

เขตสวนหลังบ้านนั้น มืดมัวเหมือนป่าทึบ จิตรีสะดุดรากหางนกยูงเกือบถลาล้มลงหลายครั้ง รองเท้าแตะหลุดไปตั้งแต่หล่อนวิ่งเข้าเขตสวนเสียแล้ว หล่อนจึงวิ่งเท้าเปล่าไปอีกจนกระทั่งหล่อนแลเห็นความมืดของน้ำในคูข้างหน้า

หล่อนมาถึงท้ายสวนสุดอาณาเขตของบ้าน!

นอกจากน้ำในคู ซึ่งกระทบประกายดาวดูระยิบระยับอยู่บ้าง นอกจากความมืดครึ้มของสวนและเสียงเรไรรอบข้าง จิตรีไม่สังเกตเห็นหรือสำเหนียกเสียงอื่น ๆ อีกเลย

หล่อนเหลียวหลังไปดูด้วยความหวาด! แต่ไม่มีใครวิ่งตามหลังหล่อนมา หญิงสาวทรุดตัวลงข้างคูน้ำในสวน ครั้นแล้วหล่อนก็นอนราบลงไปทั้งตัว เพราะทุกอย่างแลดูกวัดไกวกันไปหมด หางนกยูงและพิกุลขึ้นขนาบชมพู่เตี้ย ๆ ต้นหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่ข้างคูน้ำ กิ่งไม้สามพันธุ์ตอนหนึ่งโน้มลงมาถึงพื้นพอดี แลดูประหนึ่งม่านมีค่า ธรรมชาติที่ช่วยบังบริเวณนั้นให้พ้นความเยือกเย็นและความเปิดเผยภายนอก

จิตรีค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปสู่ความมืดครึ้มของม่านนั้น หล่อนนอนพังพาบเหยียดยาวอย่างหมดแรง ดวงหน้าร้อนระอุและเปียกไปด้วยน้ำตาและน้ำค้างของราตรี ซุกสงบอยู่บนแขนข้างหนึ่ง จินตนาการล่องลอยจากแหล่ง ขณะที่ร่างกายก็หมดกำลังด้วย

“แหลมเหลือ!” หล่อนพึม “แหลมเหลือเรอะนี่! ตะวันคะ–คุณมา–”

เหมือนหนึ่งเสียงคร่ำครวญของจิตรีเป็นสัญญาณนิมิตเมื่อยามดึก ซึ่งช่วยประโลมหัวใจเจ็บช้ำให้สงบสุขเสียได้โดยก่อให้เกิดปรากฏการณ์แก่หล่อน

เจ้าสาวรู้สึกว่าภายในม่านมืดครึ้มของพิกุลชมพู่และหางนกยูงซึ่งเหนี่ยวกิ่งกันลงมาจรดดินด้านหนึ่งมีแสงรำไรเรื่อขึ้น สายตาเจ้าสาวซึ่งมืดมัวแล้วก็แลเห็นภาพพิศวงรอบตัวตามมโนรมย์

หล่อนเอนกายอยู่เหนือเนินดินรูปสามเหลี่ยมทอดปลายแหลมลงสู่น้ำ เนินนั้นเขียวสดเหมือนหนึ่งปูด้วยพรมผืนวิเศษ ศีรษะจิตรีทอดประทับอยู่บนรากไม้ใหญ่อย่างสบาย ไม้ใหญ่นั้นโน้มกิ่งลงระน้ำด้านหนึ่ง และโอบมาจรดดินด้านหนึ่ง ดอกเป็นฝอยสีชมพูหล่นเกลื่อนดินดุจดอกดวงประดับพรมพื้นหญ้า

“ดอกก้ามปู!” หล่อนพึมพำและปราโมทย์เหมือนเด็ก “แหลมเหลือของเราเรอะคะคุณตะวัน”

แขนข้างหนึ่ง เอื้อมออกจากเงามืด แขนนั้นรัดรึงรอบตัวหล่อน และมีเสียงกระเส่ากระซิบว่า

“เนื้อที่ทุกตารางนิ้วในโลกก็เป็นแผ่นดินเดียวกันพื้นดินที่รองรับชายหญิงอย่างเรา ก็เป็นอาณาเขตของเราละซี! จิตรีของเรา”

เสียงนั้นหนักหน่วงด้วยเจตนารมณ์หลายอย่างพลิ้วผ่านอารมณ์จิตรีลงไป ประดุจคลื่นดนตรีซึ่งพลิ้วผ่านแทรกซึมสายลมและอากาศ กังวานหนักหน่วงนั้นเหนี่ยวรั้งรสนิยมหญิงสาวให้ตื่นตัวตามไปด้วย กังวานที่บอกถึงเจตนารมณ์ร้อนแรงนั้นได้ให้สัญญาณถึงภาวะของมนุษย์ชายหญิงอย่างหล่อนและเขา ภาวะหญิงของจิตรีก็ตื่นตัวต่อสัญญาณธรรมชาติ เช่นเดียวกับนักดนตรีตื่นต่อการให้จังหวะของนายวงผู้เชี่ยวชาญเชิงดนตรี

ความจัดเจนและรสนิยมอย่างเดียวกัน ได้โน้มนำนักดนตรีต่างประเภทให้บรรเลงเพลงพร้อมเพรียงกลมกลืนกันไปได้ด้วย จังหวะนายวงผู้เชี่ยวชาญฉันใดภาวะมนุษย์ในกิเลสร่วมกันของหญิงอย่างจิตรี และชายผู้เป็นเจ้าของแขนข้างนั้น–แขนที่รัดรึงตัว หล่อน–ก็ตะล่อมเขาทั้งสองไปสู่ความกลมกลืนของเพลงธรรมชาติฉันนั้น

หล่อนกระซิบกระซาบอยู่ภายในอ้อมแขนของเขาอีก

“ตะวันคะ! คุณกลับมาเมื่อไหร่? ก่อนนี้ทำไมคุณไม่พูดอะไรมากเหมือนคืนนี้นะคะ? เราเคยแอบออกมาอยู่ด้วยกันที่แหลมเหลือหลายครั้ง คุณไม่เคย–”

เขา–เจ้าของแขนข้างนั้น–หัวเราะเสียงกร้าวกับหล่อน และเขาเพิ่มความทารุณที่แขนทั้งสองข้างขึ้นอีก

“คืนนี้–ฉันไม่ใช่อ้ายหน้าโง่คนนั้นนี่คุณ! ถ้าคุณไม่ลืมว่า อ้ายโง่นั่นก็เคยจูบคุณที่แหลมเหลือหลายครั้ง–กล่อนหลบเครื่องบินรังควานคืนนั้นด้วย–ใช่ไหม?”

“ตะวัน!” จิตรีร่ำว่า “ก็คุณขอร้อง–”

“คืนนี้–เราไม่ขอร้องคุณละ! เราจะเอาอย่างที่เป็นของเราเลยทีเดียว!”

ดังนั้น จิตรีก็หมดโอกาสที่จะคัดค้านถ้อยคำเขาอีก ปากถูกปิดด้วยปากเร่าร้อนและมีกลิ่นสุราแรงจัด จิตรีวิงเวียนและมัวเมามากขึ้น ร่างกายก็ปลิวไปจากพื้นดินด้วยกำลังแขนคู่หนึ่ง ซึ่งคร่าหล่อนไปสู่ความเปิดเผยภายนอกนัยน์ตาหล่อนแลเห็นดวงดาวดาษฟ้า ทางช้างเผือกขาวโพลนเพราะใกล้รุ่ง หล่อนได้กลิ่นรื่นรวยรอบตัวขณะที่ลมเริ่มพัด และเสียงเรไรหริ่งร้อง

“แหลมเหลือ!” หล่อนสะอื้นออกมา

แขนซึ่งรัดรึงตัวหล่อนราวกับปลอกเหล็กรัดแน่นขึ้น ขณะที่โอบอุ้มตัวหล่อนออกไปจากอาณาเขตความฝัน กระดูกจิตรีลั่นเผียะ! ลมหายใจและเสียงคร่ำครวญของหล่อนเงียบหายลงไปอัดแน่นในอก พรหมจรรย์และจิตรีก็ปลิวไปตามลมและรอยลิขิตของหล่อนเอง

ภาพพิศวงของแหลมเหลือหลบหายเมื่อจิตรีรู้สึกตัวตื่นขึ้น และจำเตียงวิวาห์ของหล่อนและเผด็จได้แล้ว

ในห้องกินข้าว คุณจำรัส วิชัย นั่งหัวโต๊ะตามเดิม กานดาง่วนอยู่กับจานข้าวของหล่อนอย่างไม่ยอมเหลียวแลอะไรอีก เก้าอี้ตรงข้ามและเบื้องขวาของวิชัยว่างเปล่าไปแล้ว และเขามิได้จัดจานอาหารทางขวามือวิชัยเช่นเคย จิตรีจะไม่กลับมานั่งที่เก่ากันอีก วิชัยชักหงุดหงิด

“คุณแม่ไม่กินข้าวเช้าเรอะน้องดา?”

“ทานแล้วละมังคะ” หญิงสาวยังทำธุระเรื่อยไป “คุณป้าตื่นแต่มืด เป็นห่วงครัวคุณจิตรี”

“ก็นางแม่ผิวผ่องของคุณใหญ่น่ะ ไม่ได้ไปทำครัวให้จิตรีหรอกเรอะ–แล้วก็เด็กผุด”

“ก็–” กานดาดูไปทางอื่นซึ่งไม่ใช่หน้าของวิชัย “ไปอยู่กับคุณจิตรีทั้งแม่ทั้งลูกละค่ะ แต่คุณป้าอยากจะให้ทำกับข้าวที่นี่ไปส่งสักสัปดาห์สองสัปดาห์เท่านั้น ให้คุณจิตรีได้พักผ่อนเตรียมตัวตามสบายก่อน”

พอพูดจบกานดาก็ก้มดูโต๊ะต่อไป ตามปรกติหล่อนเป็นคนพูดน้อยนานแล้ว แต่หล่อนมักจะฟังคนอื่นพูดอย่างสนใจและอารมณ์ดีด้วยเสมอ มาเช้านี้หล่อนเปลี่ยนแปลงไปมาก หล่อนไม่มีความสนใจจนนิดเดียวเมื่อวิชัยชวนคุยหล่อนตอบคำถามเท่านั้น จิตรีไม่เคยปล่อยให้อาหารทุกมื้อผ่านไปด้วยอาการชาเย็นอย่างนี้ น้องสาวเขาคนนั้นยังทำให้กานดาช่างคุยขึ้นด้วย อารมณ์วิชัยทวีความขุ่นข้องขึ้นอีก

“เออ! อยากรู้นัก” เสียงวิชัยชักเปร่ง “เมียเราจะไม่ยอมหาข้าวให้ผัวกินแบบจิตรีเรอะเปล่านะ! เรายิ่งไม่มีสตางค์จ้างแม่ครัวเหมือนนายเผด็จด้วยซิ!”

คำพูดของเขาได้ผลพอใช้ กานดาสะดุ้งเยือกหน้าแดงเข้มขึ้นทันที หล่อนเหลือบปราดไปสบสายตาอันเดือดดาลของเขาครู่หนึ่ง

ขณะนั้นเอง วิชัยก็แลเห็นคำตอบในแววตาโตดำและอ่อนโยนอย่างถนัด แต่แววอ่อนโยนซึ่งยืนยันความภักดีด้วยนั้นมีแววว่าน้อยใจเจืออยู่ด้วย เขาเคืองตัวเองที่ได้ทำร้ายความรู้สึกอ่อนโยนนั้น และเขาเคืองกานดาที่ปล่อยให้เขาทำร้ายหล่อนข้างเดียวได้เสมอ

ไม่ทันที่เขาจะได้มีโอกาสแก้ไขความผิด บังตาห้องกินข้าวก็เปิดและปิดบังใหญ่!

จิตรีวิ่งปราดเข้ามานั่งที่เก้าอี้คุณจำรัสเหมือนที่หล่อนเคยทำทุกครั้ง

“วู๊! ไข่คนขาวแง๋! ไม่ได้คนกับมาการีนเรอะคะคุณดา...ทำไมมะเขือเทศถึงน้อยนักล่ะ? แล้วก็...พี่ชัยกลืนลงเรอะคะ? ตับหมูไม่มี! แหม!”

เจ้าสาวคืนเดียวยังสวมชุดนอนสีกลีบบัวแบบใหม่ซึ่งใช้เป็นชุดเดินเล่นเลยก็ได้เมื่อสวมเสื้อคลุมสามส่วนเสียด้วย สีชมพูอ่อนของชุดนอนแพรขับผิวจิตรีเปล่งปลั่งเป็นสีชมพูเพิ่มขึ้น ดูหล่อนราวกับดอกบัวแรกแย้มเช้า

ผมดำสลวยสยายปลิวประบ่า บนศีรษะคาดโบสีชมพูผืนหนึ่ง จิตรีรีบตักไข่คนเข้าปาก หยิบขนมปังไปวางไว้บนจานของตัวตั้งสามแผ่น และมีท่าทางว่าจะใช้ถ้วยข้าวต้มต่อไปอีก

กานดาได้สติก่อนวิชัยตามเคย ขณะที่เลื่อนจานหมูทอดและเครื่องข้าวต้มไปให้เจ้าสาวซึ่งหิวโหย หล่อนบอกจิตรีเหมือนไม่มีเหตุการณ์พิกลเกิดขึ้น

“นี่อาเผด็จมิต้องตื่นทานข้าวคนเดียวเรอะ คุณป้าคุมแม่ผิวไปจัดโต๊ะแต่เช้ามืด”

จิตรียังเคี้ยวหมูชิ้นหนึ่งในปาก และกำลังปาดเนยทาขนมปังไปพลาง! จึงไม่คิดจะชี้แจงจนคำเดียว วิชัยฉุนกึก! ความคิดถึงน้องสาวส่างซาเสียแล้ว เพราะเหตุพิสดารเดี๋ยวนั้น

“นี่รู้เรอะเปล่าว่าผัวตื่นเรอะยัง ถึงได้มานั่งเคี้ยวเหยอยู่ทางนี้?”

กานดาสะดุ้งอีกพร้อมกับดวงหน้าแดงเข้มขึ้นด้วยจิตรียังเป็นทองไม่รู้ร้อนเรื่อยไป แม้ดวงหน้าจะเป็นสีชมพูขึ้นเพราะถ้อยคำขรุขระของวิชัย

“เขา–คุณเผด็จตื่นตั้งนานละ! ออกไปเดินเล่นตั้งแต่มืดเหมือนกัน–เจ้าบุญบอก! เราลุกขึ้นมาไม่เห็นนี่ น่ากลัวผีหลอกเหลือเกิน–บ้านนั้น–เลยหนีน่ะแหละ เงียบจะตาย”

คำบอกกล่าวของจิตรีกระท่อนกระแท่นทั้งสิ้นเพราะหล่อนใช้ปากทำงานกินและงานพูดพร้อมกันไป

“งั้นอีกหน่อยคงกลับมาทานข้าวคนเดียว” กานดารีบพูด เพราะแลเห็นสีหน้าวิชัยชอบกลมาก “มิน่าเล่า คุณจิตรีรีบทานข้าวใหญ่ คงรีบกลับไปคอยอาเผด็จเดี๋ยวนี้”

“ปล๊าว! จะรีบขึ้นไปนอนที่ห้องเรา–ห้องคุณดาเดี๋ยวนี้–เหนื่อยจัง!

วิชัยลุกโครมครามขึ้นเสียง

“บ้า! ทำไมไม่ไปนอนโน่นล่ะ!”

จิตรีแลดูพี่ชายอย่างรำคาญขึ้นบ้าง

“บ้า! เรามีสิทธิจะนอนที่ไหน ๆ ทั้งนั้นวันนี้...” หล่อนยิ้มอย่างมีชัย “ฉันมานอนคุยกับหลานสาวสักหน่อย ว่าแต่พี่ชัยเถอะ ทำไมไม่ไปทำงานล่ะ หยุดงานเหมือนคุณเผด็จด้วยเรอะคะ?”

จิตรีเน้นคำว่า ‘หลานสาว’ เสียงดัง ดูประหนึ่งจะเตือนพี่ชายว่า เมื่อเขายังคงสมัครจะเกี่ยวข้องกับกานดาโดยยอมเป็นหลานเขยของเผด็จ เขาต้องกลายเป็นหลานเขยของหล่อนด้วย

“เด็กผี! ทำไมไม่ตายเพราะถูกระเบิดบ้างนะ! เด็กเลว! ขอ ห้ผัวตัวตีตายโหงตายห่าเสียทีเถอะน่ะ จะได้นึกถึงบุญคุณของพี่!”

“โธ่! พี่ชัย!”

กานดาแทรกแซงเสียงละห้อย แต่จิตรีหัวเราะเสียงแหลมลั่นขึ้น

“ดูหลานเขยของฉันแน่ะ! น่าเอ็นดู๊...โกรธก็เหมือนเด็ก ๆ ด้วยซิ! คุณดาจะแต่งงานกับเด็ก ๆ ได้เรอะ รำคาญตายหยาบก็ยังงั้นเอง! เอาเถอะ! ไปให้พ้นหูพ้นตา...ไปจับจิ้งหรีดเล่นไป๊!”

“โธ่! คุณจิตรีละก็...”

กานดาเสียงเครือเข้าทุกที วิชัยเพ่งดูหน้าหญิงสาวสองคน ครู่หนึ่งแล้วก็เดินปัง ๆ ไปจากห้อง จิตรีหัวเราะลั่นอีก

แต่เมื่อขึ้นไปอยู่บนห้องนอนตามลำพังกับกานดาได้แล้ว จิตรีมีท่าทางกะปลกกะเปลี้ยไปมาก หล่อนไม่ใคร่พูดหรือยิ้มแย้มอย่างเมื่อกี้

“คุณดา! หยิบหมอนมาอีกใบ เช้านี้ฉันปวดศีรษะสักหน่อย”

“เมื่อคืนหนักเหล้าละซิ! เอาโอเดอโคโลญเช็ดหน้าหน่อยเถอะ”

“ดี! ชุบผ้าเช็ดหน้าเปียก ๆ ปิดหน้าผากด้วยนะคุณดา! เอามือมานี่! ลูบเบา ๆ ที่แก้ม...ที่คอของฉันซิ! นั่นแหละ...ฉันหลับละนะ”

“ไหนว่าจะคุยให้เขาฟัง”

จิตรีลืมตาซึ่งเต็มไปด้วยความรอบรู้หลายอย่าง

“จริงซิ! ฉันจะคุยให้คุณดาเข้าใจแจ๋วทีเดียว เพราะคุณดาคงจะต้องแต่งงานแน่นอน พี่ชัยคงไม่ยอมให้คุณดาหลุดมือเหมือนกัน ผู้ชายชอบกล! ลองได้ตั้งใจจริงแล้ว รักหรือไม่รักพ่อไม่ยอมปล่อยเป็นอันขาด คุณดา...”

“คะ?”

“จะบอกให้เข้าใจแจ๋วเลย...”

ทั้งที่จิตรียืนยันอย่างแข็งแรงเหลือเกิน กานดาก็รู้ดี จิตรี ไม่อาจจะชี้แจงให้หล่อนเข้าใจ ‘แจ๋ว’ ได้บทเรียนความรักและการสมรสมิใช่สิ่งที่จะถ่ายทอดได้ทั่วถึง ด้วยถ้อยคำของผู้อื่น มันเป็นบทพิสูจน์ส่วนตัวของคนหนึ่ง ๆ นั่นเอง หล่อนจะเข้าใจแจ๋วไม่ได้ เพราะอาการของจิตรีเองก็ยังแย้งอยู่ว่า จิตใจของตัวเองก็ยังมิได้แจ่มกระจ่างจนนิดเดียว

ดูเหมือนว่าความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและความวิมุติสงสัยยังกระพือพัดอยู่ในจิตใจจิตรีเรื่อยอยู่ หล่อนเป็นประดุจนาฬิกาที่ขาดลานใหญ่อย่างสำคัญ หล่อนมีอุปมาเหมือนถนนซึ่งปราศจากหลักกิโลเมตร และชื่อตำบลของปลายทางทั้งสอง หล่อนและกานดาไม่รู้เลยว่า...ความรักสามารถปัดเป่าความกลัวและความสงสัยสารพัดให้พ้นไปจากความคิดของหล่อน ความรักจะจูงไปสู่ปลายทางที่ไหนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผู้มีความรักต้องวิตกถึงทั้งสิ้น วิถีความรักย่อมมีมากมายหลายกระแส เหมือนกับทางที่สัตว์ป่าใช้สัญจรลงไปสู่ห้วงน้ำนั่นเอง อาจผ่านพงหนาม อาจมีหล่มโคลนขวางอยู่ อาจมีน้ำตาและความเจ็บปวดเป็นคราว ๆ แต่เมื่อมีผู้พยายามผ่านอุปสรรคเสียได้ด้วยความมั่นคงของตน วิถีความรักเหล่านี้ย่อมจะนำไปสู่ปลายทางอันวิเศษสมบูรณ์แบบเดียวกัน ที่นั่นเป็นแดนสุขาวดีโดยแท้ เรืองรองด้วยสีเขียวครามของสวรรค์งามจรัส และอบอวลไปด้วยสุคนธรสแห่งความสงบสุขแสนหวาน เป็นที่พำนักแน่นอนของอารมณ์และจิตใจ ซึ่งระหกระเหินไปตามวิถีธรรมชาติและตามภาวะมนุษย์นั่นเอง

สองสาวซึ่งมีบทเรียนแล้วคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งยังไม่ล่วงรู้อะไรมาก จึงไม่อาจช่วยเหลือกันได้ถูกต้องตามความจริง ทั้งนี้เนื่องจากหญิงผู้มีบทเรียนแล้วนั้น ยังไม่สำเหนียกวิญญาณรักในหัวใจจนนิดเดียว! ส่วนอีกหญิงหนึ่งนั้นเล่า ถึงสำเหนียกในความรักเหลือเกินก็ไม่เคยมีบทเรียนเลยสักครั้ง!

ด้วยประการฉะนี้ กานดากับจิตรีจึงเปรียบเหมือนคนตามืดมัวเหมือนกัน แต่พยายามจะจูงกันมะงุมมะงาหราเรื่อยไป

เมื่อจิตรีโอ้อวดแก่กานดาด้วยความผยองแบบหญิงผู้มีเรือนแล้วว่า “จะบอกให้เข้าใจแจ๋วเลย” กานดาจึงไม่เข้าใจจนนิดเดียว

“ผู้ชายชอบกล!” จิตรีรำพึงเพียงเท่านั้น “แต่...จะบอกอะไรให้นะ คุณดา ผู้ชายที่แต่งงานแล้วนะง่า...”

“เป็นไง?”

“เอ้อ...เอาแต่ใจตัว...ผู้หญิงอย่างเราเป็นขี้ข้าเขาตายเต็มทีแท้ ๆ ฉันนอนละนะ เหนื่อยจัง! วันนี้ฉันไม่กลับไปบ้านโน้นแน่ ๆ”

แล้วจิตรีก็หลับตาต่อไป

กานดานั่งตะลึง หล่อนอยากจะซักจิตรีหลายอย่างแต่เมื่อมองเห็นจิตรีหลับตานิ่งหัวใจอันอ่อนโยนของกานดาก็เสียวปลายไปหมด หล่อนคลี่แพรผืนบางคลุมตัวให้จิตรีและหันไปจุปากกับเด็กหญิงผุดผ่องผู้คลานเข้ามาพูดด้วยเสียงสดใสสักหน่อย

“คุณผู้ชายบ้านโน้นให้มาเรียนถามว่าคุณผู้หญิงอยู่ไหนเจ้าคะ คุณผู้ชายเชิญไปบ้านเจ้าค่ะ”

กานดานึกไม่ออกว่า ใครคือคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงอยู่นาน ในที่สุดหล่อนบอกเด็กรับใช้เบา ๆ ว่า

“ไปเรียนอาเผด็จว่าคุณจิตรีกำลังนอนนะผุด ตื่นแล้วจะบอกให้ เพิ่งจะหลับละแก”

“ไม่ต้องหรอกผุด!” จิตรีลืมตาและเปิดแพรผืนนั้นออก “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ละ!”

นัยน์ตาจิตรียิ้มยวนอย่างประหลาด และหล่อนลุกออกไปจากห้องโดยมิได้รีรอเลยสักนิด กานดามองตามตาค้างคนเดียว

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ