(๙)

รถแล่นไปตามถนนนอกพระนคร ซึ่งกำลังมืดมัวมากขึ้น บ้านคนค่อย ๆ บางลง ทุ่งนาข้าวหนักยังไม่ได้เก็บเกี่ยวกันเลย แลดูเป็นต่างจังหวัดจริง ๆ ทั้งที่รถยนต์แล่นไปเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแถวนั้น

ถนนซอยเสริมสวัสดิ์เป็นถนนนอกเมืองแท้เพราะมีบ้านไร่เข้าที่หัวมุมทางเข้าแห่งเดียว ตรงข้ามเป็นร้านจีนขายอาหารแห้งคนละครึ่งกับเครื่องดื่มดาด ๆ เช่นน้ำชา กาแฟ มีรถยนต์เช่าและสามล้อจอดอยู่บ้างไม่เกินสี่ห้าคันทั้งสองประเภท คนพวกนี้คอยลูกค้าที่อาจลงจากรถยนต์ประจำทางถนนใหญ่ ไปลงเรือจ้าง หรือเรือยนต์โดยสารสุดซอยเสริมสวัสดิ์ซึ่งตกแม่น้ำเจ้าพระยา สุดซอยตกแม่น้ำก็มีร้านกาแฟและมีรถเช่าแบบเดียวกัน แต่มุมตรงข้ามมีท่าเรือเล็ก ๆ และมีเรือจ้างจอดอยู่บ้าง กรรมกรขับรถและเรือเหล่านี้ไม่ได้ค่าแรงงานจากคนโดยสารเท่าไร แต่เพราะรถเรือและตัวคนขับรถล้วนแต่ร่องแรงเหลือเกิน เขาจึงสมัครทำงานแต่น้อยและหาพิเศษจากการพนันประเภทเลี่ยงกฎหมายได้ง่ายคือ ทอยกอง หยอดหลุม และท้ายเลขท้ายรถยนต์ รายได้พิเศษอาจเป็นเงินจำนวนมากลงไปถึงปากกาหมึกซึม บุหรี่เลว ๆ เหล้าสักก๊ง หรือน้ำชากาแฟอย่างละแก้วก็มี มันเป็นความพอใจของคนที่มีสภาพร่องแร่งเหล่านี้

ฉะนั้น นอกจากปากและปลายซอยซึ่งกล่าวแล้ว ที่ทางสองฟากซอยก็เป็นนาและโรงนาชั่วคราวทั้งสิ้น แสงไฟเริ่มวอมแวมและได้ยินเสียงกระดึงคอควายดังเบา ๆ จากบางแห่ง เมื่อรถพากานดาเลี้ยวเข้าไปในซอยเสริมสวัสดิ์

กานดานึกได้ด้วยความครั่นคร้ามครู่หนึ่งว่า หล่อนยังไม่เคยเดินทางมาสู่ฟาร์มทั้งสองแห่งในตำบลนี้ในยามวิกาลและมาเคว้งคว้างอยู่คนเดียว หล่อนส่งเงินให้คนขับรถแล้วยังรีบร้อนขอบใจเขาเพราะความสะทกสะเทิ้นเท่านั้นหล่อนรีบลงเรือจ้างลำหนึ่งทันทีเพราะไม่อาจคอยเรือยนต์อยู่นาน และปล่อยให้คนเหล่านั้นสังเกตเห็นความว้าเหว่และครั่นคร้ามของหล่อน

“ลุงคงรู้จักดีแล้วนะจ๊ะ บ้านไร่สุขสวัสดิ์ในคลองซอยที่สาม?”

กานดารีบคุยขึ้นก่อน เพื่อให้คนเรือจ้างเห็นว่าหล่อนเป็นคนแถวนั้นนั่นเอง และหล่อนไม่รู้สึกหวาดหวั่นที่ต้องเดินทางคนเดียว คนเรือรีบทึกทักทันที นอกจากรับสมอ้างอีกด้วย

“ครับ! รู้ครับ! อ้อ! คุณนายนี่เอง–ผมเห็นคุณนายนั่งอยู่ที่เรือนแพท่าบ้านไร่เสมอ เมื่อกี้ผมก็ไปส่งคุณผู้ชาย ท่านคงไปเที่ยวบางกอกมาเหมือนคุณนะครับ เพราะท่านก็มีกระเป๋าไปด้วย ดีแล้วครับ–ผมรู้–ผม–นายรอด ปั้นจั่น–รู้จักบ้านไร่เสริมสวัสดิ์นานแล้วครับ”

กานดาสงสัยครู่หนึ่งว่า ใครคือคุณผู้ชายที่มีกระเป๋าไปด้วย แต่หล่อนไม่ติดใจจะซักถามด้วยเหตุสองประการคือ คุณจำรัสอาจมีแขกของเธอไปพักที่แพก็ได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหล่อนปล่อยให้คนแจวเรือซึ่งหล่อนไม่รู้หัวนอนปลายตีนเข้าใจว่าหล่อนเป็นคุณนายบ้านนั้น และมีคุณผู้ชายไปคอยป้องกันอยู่แล้ว ก็ดูปลอดภัยกว่าจะให้เขารู้ว่าหล่อนเป็นสาวต่างถิ่นที่เดินทางด้วยความหวาดสยองอย่างนี้ แต่กานดาท้วงขึ้นคล้ายกับขบขันข้อหนึ่ง

“ถ้าล่องอย่างนี้ละก็ไปไร่สุขสวัสดิ์จ๊ะลุง ไร่เสริมสวัสดิ์ต้องทวนน้ำขึ้นไป แต่ไร่เสริมสวัสดิ์เขาใช้รถหน้าแล้งได้เพราะมีถนนซอยตัดจากถนนเสริมสวัสดิ์เข้าไปถึงได้ เขาเดินทางรถมากกว่า ทางเรือหรอกจ๊ะ แต่ไร่เสริมสวัสดิ์ก็เป็นของพวกเดียวกัน ถึงจะอยู่คนละฟากถนนแล้วทางน้ำก็ดูไกลกันสักหน่อย”

“น่าน–น่านแล้วคร้าบ!” คนแจวเรือรีบแก้ “ผมรู้จักทั้งสองไร่ละครับ ถูกของคุณ! เมื่อกี้ผมไปบ้านไร่สุขสวัสดิ์ของคุณ ผมแจวล่องลงไป พ้นคุ้งน้ำแล้วเข้าคลองซอยที่สามอีกหน่อยหนึ่งนะครับ”

แต่ตอนนี้น้ำขึ้นอีก การแจวล่องจึงล่าช้าเพราะกลายเป็นแจวทวนกระแสน้ำไป เรือจ้างในคลองซอยหยุดไปมาหมดแล้ว กานดาไปถึงท่าหน้าบ้านไร่คุณจำรัสเกือบสามทุ่ม หล่อนเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องนอนในแพ

“คุณป้ามีแขกจริง ๆ แหละ”

แล้วกานดาก็บอกให้คนเรือแจวเลยไปเทียบที่สะพานน้ำเล็ก ๆ ต่อจากแพ ทุกหนทุกแห่งมืดสนิท ลมเย็นจากแม่น้ำ ท้องน้ำ และเรือนสวนใกล้เคียงกลั้วกลิ่นโมก ลำดวนและดอกแก้วหอม ตระหลบ กานดารู้สึกเป็นตัวเองอีกครั้งหนึ่ง หล่อนเดินเกือบเป็นวิ่งไปหาเรือนใหญ่ คนเรือหิ้วกระเป๋าตามไปห่าง ๆ

สุนัขหมู่หนึ่งเห่าเกรียวกราวขึ้น มีเสียงเด็กหญิงร้องปรามออกมาแจ้ว ๆ

“อ้ายแด่น! อ้ายดิ้ว! เดี๋ยวเถอะ!”

“ทำไมกันหา–หนูจี่?”

“คนจ้า–ยาย! สองคน–อ้าว! คุณท่านมาจากบางกอก ยายจ๋า! คุณมาจากบางกอก”

เสียงหญิงแก่ไม่มีฟันถามอู้อี้ออกมาจากเรือนเล็กหลังบ้าน

“คุณคนไหนอีกล่ะ?”

“คุณหลาน!”

“ลิ้นจี่! ยายจัน! ฉันเอง” กานดาส่งเงินให้คนแจวเรือผู้รีบกลับไปท่าน้ำโดยเร็ว เพราะฝูงหมากลุ้มรุมเหลือเกิน “นี่คนอื่นออกไปนอนนากันหมดละซิ ท่านกับป้าม้วนก็ออกไปเหมือนกันเรอะ? บนเรือนถึงไฟมืดหมดหรือนอนแล้ว?”

“ลูกกุญแจเรือนใหญ่อยู่ที่ยายค่ะ” ลิ้นจี่รายงานด่วน “ฉันเอาไปเปิดแพให้คุณผู้ชายพักแล้วหนหนึ่ง ไหนจ๊ะยายพวง กุญแจห้องท่านข้างบน ฉันจะไปเปิดให้คุณขึ้นไป ท่านกับป้าม้วนไม่อยู่ค่ะ”

เด็กหญิงลิ้นจี่ หอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ของกานดาขึ้นไปแล้ว หล่อนจึงเข้าไปนั่งบนแคร่ไม้เตี้ย ๆ ที่ยกขึ้นจากพื้นดินราบของกระท่อมเล็กหลังบ้าน หญิงชราและทุพพลภาพนั่งอยู่ในกองผ้าห่มบนแคร่ข้างประตูด้านหนึ่ง นางจ้องกานดาเหมือนมองไม่ใคร่เห็น แต่แล้วก็เอออวยอีกครั้ง

“คุณหลานจริง ๆ แหละ! ไม่รู้เลยว่าคุณจะมาระหว่างนี้”

“คุณป้าไปไหนจ๊ะ ?”

“คุณว่าไหง ?” นางจันเอามือป้องหู และเมื่อกานดาพูดดังขึ้น แกจึงบอกทั้งกระแอมไออีกด้วย “อ๋อ–ท่านกับแม่ม้วนก็ไปจันตะบูรณ์ไงล่ะคะ คุณมาไม่ทันไปกับท่านนั่นเอง–เออ ! ท่านบอกว่าไปไม่มีกำหนดเสียด้วยค่ะ”

กานดานั่งตัวแข็งครู่หนึ่ง ในที่สุดหล่อนก็ฝืนยิ้มและลุกขึ้น

“ฉันจะคอยอยู่นี่–เลยเฝ้าบ้านให้คุณป้าด้วย”

“ดีละค่ะ–คุณอยู่ ! แต่จะลำบากหน่อย แพโน้นก็มีแขกเขาว่าท่านที่นี่นัดให้มา พวกเจ้าแหวง นางละเมียด อ้ายเขียด อ้ายเข้มออกไปเฝ้าควาย เฝ้าข้าวกันหมด นังหนูลิ้นจี่มันเลยเอาไปลอยแพไว้ นี่คุณไม่หิวข้าวเรอะคะ ? ข้างล่างมีแต่ข้าวเย็น ข้างบนคงมีเครื่องกระป๋องของท่านอยู่บ้าง คุณใช้หนูลิ้นจี่ก็แล้วกัน”

กานดารีบขึ้นไปบนเรือนอันเงียบสงัดด้วยอาการที่ลดความกระปรี้กระเปล่าไปมาก

“ไม่เป็นไร” หล่อนคิด “มีหลังคาคลุมหัว มีเครื่องกระป๋องกับข้าวเย็นอยู่บ้าง ก็เป็นบุญสำหรับคนหลักลอยเหลือเกิน”

กานดารีบให้ลิ้นจี่ลงไปอยู่กับยายตามเดิม เพราะหญิงชราเป็นอัมพาตที่ขานานแล้ว หล่อนเองก็เหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ แต่หายง่วงนอนเพราะความผิดคาดครั้งนี้ พอจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว กานดาจึงลงจากเรือนไปเดินเล่นอยู่ที่เชิงบันได หมาสามสี่ตัวซึ่งจำหล่อนได้แล้วทำให้หล่อนหายเปลี่ยวใจไปมากเมื่อมันวิ่งตามคลอเคลียและแสดงความตื่นเต้นต่อหล่อน กานดาเดินเรื่อยไปจนถึงท่าน้ำอีกพร้อมกับหมาหมู่นั้น ประกายวับวาบจากลำคลองที่เกิดจากตะเกียงในเรือขึ้นล่อง และแสงสะท้อนดึงดูดความคิดอันเคว้งคว้างของหล่อน

แต่เมื่อเข้าไปใกล้ม้านั่งโต้ซุ้มลำดวนท่าน้ำ สุนัขที่ติดตามไปด้วยก็ขู่คำรามพร้อมกัน กานดาหยุดชะงัก เงาดำ ๆ สูง ๆ ลุกขึ้นจากม้านั่งและก้าวออกมาหาหล่อนโดยเร็ว

“จิตรีเรอะ? เพิ่งเห็นเรือกลับ”

แล้วชายผู้ก้าวออกมาทักหล่อนผิดก็พลอยหยุดยืนตัวแข็งคล้ายหล่อนด้วย

“คุณดา!”

“เดี๋ยวค่ะ! คุณตะวัน มาคอยพบคุณจิตรีเรอะคะ?”

เขานิ่งอึ้ง

ความโกรธอย่างรุนแรง ทำให้กานดาลืมเรื่องสำคัญของวิชัยและความคับแค้นของตัวหมด

“คุณมาคอยพบคุณจิตรีอีกทั้งที่คุณให้สัญญาฉันเอง คุณจะไม่ทำอะไรอีกเมื่อกำลังยุ่งเหยิงอย่างนี้ อาการที่คุณมาก็ดูไม่บริสุทธิ์เสียเลย–ราวกับลอบพบ เพราะคุณมาคอยเขาในเวลาวิกาลเกินไป นี่หรือคะคำสัญญาของทหารผู้เข้มแข็งคนหนึ่ง? น่าหัวเราะ”

แล้วกานดาก็เดินไปนั่งที่ม้าหัวสะพาน พวกสุนัขเห็นนายมีเพื่อนประเภทเดียวกันมาอยู่ด้วยนิ่ง ๆ ดังนั้นก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นต่อไป มันออกวิ่งไล่กันตามเงามะม่วงซึ่งถูกลมโกรกก็เต้นหยอย ๆ อย่างสนุก

ชายหนุ่มตามไปยืนเอามือซุกกระเป๋า จ้องดูกานดาอย่างเคร่งขรึมครู่หนึ่ง เขาทวนคำขุ่นเคืองของหล่อน

“น่าหัวเราะ” แล้วตะวันก็หัวเราะจริง “คุณดาชอบคิดข้างร้ายเหลือเกิน คุณเห็นผมเป็นนักยื้อแย่งผู้หญิงยังงั้นซิ! ผมมาที่นี่เพราะจิตรีให้คนถือจดหมายเชิญไปทิ้งไว้ที่บ้านตั้งสองสามวันแล้ว เขาบอกว่าเขากับผัวจะออกมาพักที่บ้านไร่เสริมสวัสดิ์สักสองอาทิตย์ ผมยังไม่เคยเห็นบ้านใหม่ของเขาแล้วยังไม่เคยมาแถวนี้เลย จิตรีคิดว่าถ้าผมมีธุระอยากพูดกับเขาหรือพักผ่อนเงียบ ๆ เขากับคุณเผด็จก็ยินดีต้อนรับผมที่แพว่างของเขา ผมกำลังว่าง แล้วเห็นว่าได้พูดธุระกับจิตรีเมื่อมีผัวอยู่ด้วยก็ดูจะไม่มีเรื่องน่าเกลียดว่าผมผิดศีลห้า โดยเฉพาะข้อสามกับสี่ซึ่งผมก็ให้สัญญาอยู่แล้ว”

หล่อนได้ทราบต่อไปอีกว่า ตะวันถูกนัดหมายให้เอารถมาเอง แต่เมื่อเขามาถึงท่าเรือจ้าง ก็จำต้องเช่าโกดังเล็ก ๆ ของจีนเจ้าของร้านชำท้ายถนนไว้เก็บรถชั่วคราวมีคนบอกเขาว่าทางไปบ้านไร่เสริมสวัสดิ์มีทางเดียวคือนั่งเรือจ้างไปตามแม่น้ำ ในที่สุดคนเรือก็พาเขามาส่งถึงแพ เขาพบแต่เด็กหญิงลิ้นจี่กับยายซึ่งหูตึงและพูดกันไม่รู้เรื่อง เขารู้แต่ว่าท่านเจ้าของบ้านไม่อยู่ ไปจันทบุรีเสียแล้ว ลิ้นจี่ได้พูดถึงจิตรีและเผด็จเหมือนอยู่ที่ฟาร์มนี้ ตะวันไม่ทันไต่ถามที่อื่น เพราะเป็นเวลาค่อนข้างดึกสำหรับบ้านไร่ที่อยู่ห่าง ๆ กัน เขาจึงยอมเป็นแขกของลิ้นจี่ และตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะกลับไปหารถและสืบดูว่า อะไรเป็นต้นเหตุให้ยุ่งเหยิงอย่างนี้

กานดามองดูตะวันอย่างทอดอาลัยไปด้วย

“ดูเหมือนความมืดกับความเข้าใจผิดพลาด จะทำให้เกิดความยุ่งเหยิงอย่างนี้อีก เอาเถอะค่ะ! ขอโทษถ้าดิฉันพลอยเข้าใจผิดด้วย และเป็นคนคิดข้างร้ายในเรื่องเก่าแก่ก็ตาม แต่ดิฉันมีเหตุผลจริง ๆ อย่างวันนี้ไปบ้านคุณพ่อมาก็ไม่รู้ว่าอาเผด็จกับคุณจิตรีมาอยู่ไร่ คนเรือพาคุณมาส่งผิดท่าเท่านั้นเอง ไร่สุขสวัสดิ์ของคุณป้ากับไร่เสริมสวัสดิ์ของอาเผด็จ ชื่อชวนสับสนสักหน่อย ไม่เป็นไร! พรุ่งนี้คุณเอาเรือจ้างย้อนขึ้นไปสักสองชั่วโมงก็ถึงที่เขานัดให้คุณเอารถมาเพราะมีทางแยกจากซอยเสริมสวัสดิ์ไปถึงได้”

ตะวันนั่งลงข้างกานดาและเห็นจริงตามคำคาดคิดของหล่อน “คุณไปส่งผมด้วยนะ”

“ดิฉันต้องรีบไปธุระเรื่องพี่ชัยแต่เช้าค่ะ นัดคุณชื่นไว้ คุณตะวันไปคนเดียวก็คงถึง”

“ถ้าวิชัยกำลังมีเรื่องยุ่ง ๆ อย่างเขาลือ ก็เป็นธรรมดาที่คุณจะต้องไปทางโน้นก่อน ว่าแต่มันร้ายแรงแค่ไหนนะ?

กานดาได้สติว่าหล่อนเผลอพูดถึงเรื่องไม่สมควร ตะวันกับวิชัยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน กานดาไม่ทันคิดจะอำพรางตะวัน ขณะที่สมองหล่อนปั่นป่วนด้วยเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ เมื่อถามตรง ๆ กานดาจึงต้องนิ่งอ้ำอึ้งอีกใหม่

ตะวันมองเห็นความอึดอัดของกานดาก็รู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องที่หล่อนไม่เจตนาจะให้เขารู้

“อย่าตอบเลย” เขาตัดบท “แต่ผมมีอะไรให้ดูเหมือนกัน–อยู่ที่แพ คุณต้องใช้ไฟจึงจะเห็น จะดูไหมครับถ้ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับวิชัย?”

กานดาไม่อ้ำอึ้งอีกเลย หล่อนลุกนำหน้าตะวันไปที่แพทันที มันเป็นหนังสือพิมพ์รายวันสองสามฉบับซึ่งพาดหัวข่าวคล้ายกันหมด...

มีคอรัปชั่นเรื่องการส่งข้าวออก–พ่อค้าซัดทอดถึงข้าราชการวงในหลายคน–มีอิทธิพลผู้หญิงเอเย่นต์อยู่ด้วย–ท้องราษฎรและเกียรติยศของประชาชาติถูกปล้นเป็นประวัติการณ์–

รายละเอียดไม่ระบุชื่อผู้ใด แต่กล่าวถึงหลักฐานและเหตุแวดล้อมหลายอย่างที่แสดงว่า เรื่องทุจริตในการส่งข้าวออกกำลังจะอื้ออึงออกมา มีเรื่องจัดหาเรือขนส่ง ใบอนุญาตขนออก เรื่องเรียกหุ้นและแบ่งผลกำไรระหว่างผู้ถือหุ้นที่ออกหน้าและแอบแฝง ซึ่งมีบัญชีเปิดเผยเพียงว่า มีข้าราชการ พ่อค้า คหบดีตั้งแต่ภาคเหนือจดใต้ ทางการสืบสวนจึงยังต้องคลำหาเค้าเงื่อนอย่างยืดยาวอยู่อีก

“อะไรทำให้คุณคิดว่าพี่ชัยจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คะ? คุณก็รู้ว่าเขาไม่เคยมีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างนี้”

“นั่นแหละคือเค้าเงื่อนสำคัญละครับ” ตะวันตอบยิ้ม ๆ แต่กานดาก็ใจแกว่งมากขึ้นเพราะสังเกตได้ว่าน้ำเสียงตะวันไม่มีกังวานหยอกเย้าอยู่เลย “คนไม่เคยยุ่งอย่างวิชัยนะซิจะต้องเสียรู้หรือเสียเปรียบคนที่เขาเคยยุ่งแล้วง่ายที่สุดอาจเสียเปรียบคนกันเองอีกด้วย”

กานดาทนไม่ไหวก็ปรารภโดยไม่มีแยบยลอย่างเก่า

“การค้ำประกันเรื่องหยิบยืมอย่าง–โดยมีใบสัญญาอย่างเดียว ก็จะเป็นเหตุถึงกับถูกเกณฑ์เข้าหมู่คนที่เขาค้าขายตรง ๆ ด้วยเรอะคะ? เราจะรู้ได้ยังไงว่าเงินที่เราค้ำประกัน เพราะเห็นแก่เกียรติยศและความกตัญญูอย่างนั้นจะกลายเป็นเครื่องทุจริตใหญ่โตต่อไป คนที่เราค้ำประกันให้ กับคนทำยุ่งเหยิง ก็เป็นคนละคนแล้วก็ต่างกันลิบลับ เรื่องมันหลายทอดหลายเททั้งนั้น”

“นี่แหละคือ หลุมฝังศพของคนไม่รู้เรื่องอย่างเรา ๆ หรือวิชัย เราค้ำประกันเพราะความคิดอย่างหนึ่ง คนอื่นเขาคิดอย่างหนึ่ง ในที่สุดถ้าเรื่องมันกลายเป็นเรื่องโฉ่ฉาวเช่นนี้ ผลรับก็เหมือนกันทุกราย–คือร่วมทุจริตด้วยกันตรง ๆ หรือแอบแฝง ไม่มีใครถาม หรือยกเว้นเจตนาดีหรือร้ายหรอกคุณ เขาเรียกว่า ความรู้เท่าไม่ถึงการทำให้พลอยเข้าปิ้งไปด้วย คุณดา! ถ้าวิชัยตกหลุมกับเขาครั้งนี้ ผมก็เชื่อว่าเขาต้องตายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการนั่นเอง อะไรอีกที่ทำให้ผมคาดการได้? ผมรู้จักกับพ่อเลี้ยงชื่นดี คนคู่นี้จะไม่ทำอะไรที่ตัวต้องเข้าเนื้อคนเดียวเลย ถ้าล่มก็ล่มทั้งแพ ผมเห็นเขาเดินตามวิชัยที่ภัตตาคาร ตามคุณจี๋ ๆ อยู่เดี๋ยวนี้ก็นึกออกมายังไงก็ต้องมีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่บ้าง”

กานดายังได้รู้จากตะวันอีกว่า ถ้าคนสนใจข่าวประจำวันในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือได้ติดต่อกับวงการค้าหรือคนในวงเล่าลือเล็กน้อยก็จะได้รู้แยบยลของการยักยอกอย่างหนึ่ง นั่นคือยักยอกข้าว คนที่มาจากภาคเหนือไม่น้อย จะบอกได้ว่าสุวิชกับชื่นอยู่ในกลุ่มพ่อค้าภาคอื่น ๆ ซึ่งมีวิธีการขนส่งข้าวยอกย้อนอยู่เสมอ ถ้ามีการจับกุมสอบสวนเมื่อใด บุคคลทั้งสองก็คงเป็นข่าวอื้ออึง ออกมา

“เห็นไหมครับ บ้านเมืองสมัยหลังสงครามของเราล้วนแต่มีเรื่องยอกย้อนอย่างนี้เอง ผมอาจร้อนตัวแทนวิชัยเกินไปก็ได้ เขาเคยระแคะระคายกับคุณหรือพวกเราแล้วเรอะ?”

กานดาสั่นศีรษะอย่างหมดหวัง แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใยยิ่งขึ้น

“เขา–คุณพี่ชัย–พวกเราไม่ได้พบปะกันเลย หมู่นี้ต่างคนต่างก็มีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างว่า–ไม่ใคร่ได้เหลียวแลออกไปพ้นตัวเอง”

“เขาอาจรู้ตัวดีว่าเขาไม่มีเหตุต้องวิตก จึงไม่ปรึกษาใคร” ตะวันพูดเป็นเชิงปลอบใจกานดาและตัวเองอีกด้วย “คุณดาก็เหมือนผู้หญิงประเภทดอกไม้บูชาพระพวกนั้น คือคนอื่นได้บุญ ดอกไม้แห้งเปล่า ๆ มีความดีเหมือนหาทุกข์ใส่ตัว หรือขุดหลุมฝังตัวนั่นเองอาจเป็นได้ว่าวิชัยยังนิ่งเฉยทั้งที่มีเรื่อง ก็เพราะเขาซื่อเกินไปหรือรู้เท่าไม่ถึงการก็ได้ เดี๋ยวนี้คนเราอยู่ไม่ได้ถ้ามัวคิดถึงแต่เกียรติยศกับความกตัญญูอย่างเดียว”

“อาเผด็จก็บอกพี่ชัยอย่างนี้ค่ะ! เออ! นึกออกละอาเผด็จดูเหมือนจะรู้เรื่องยอกย้อนอยู่แล้ว และเคยเตือนพี่ชัย แต่อาเผด็จก็บอกฉันเองว่ายังไม่มีเรื่องรุนแรงหรอกค่ะ”

“บอกคุณ!” เสียงตะวันปร่าขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อคู่แข่งของตน “เขารับรองกับคุณอย่างนั้นเมื่อไหร่ครับ?”

หญิงสาวสะดุ้งและคิดว่า หล่อนหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของตัวจนลืมเรื่องราวรอบข้าง กาลเวลาและโลกภายนอก วงชีวิตคับแคบของหล่อนซึ่งหล่อนต้องพบจนได้

“ห้าเดือนได้แล้วค่ะ....โธ่! เวลาตั้งห้าเดือนพอจะมีเรื่องราวยุ่งเหยิงอย่างว่าได้!”

กานดาจ้องดูโคมรั้วด้วยท่าทางหมดหวังและหวาดสยองยิ่งขึ้น ตะวันเดาถูกหมด การที่ชื่นนัดกานดาไปพบพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้า ก็เพราะวิชัยกำลังเข้าตาร้ายเหลือเกิน กานดาจะไปเป็นตัวแทนเท่านั้น คืนนี้หญิงสาวจู่มาบ้านไร่ ก็คงมั่นหมายจะมาปรึกษาคุณจำรัสแม่ของวิชัย แต่ก็พลาดหมดเหมือนที่เขาพลาดพบจิตรี ทั้งที่ได้นัดหมายมาก่อน จะโทษการกระทำอย่างหละหลวมของแต่ละคนเวลานี้ หรือจะโยนบาปไปให้กรรมเก่าก็ได้ แต่ผลที่เห็นชัดก็คือ เขาพากันก่อความผิดพลาดและยุ่งเหยิงอย่างนี้เอง

เขาเอื้อมไปบีบมือหล่อนซึ่งประสานกันอยู่บนขอบโต๊ะ เพราะรู้สึกเห็นใจและยกย่องอย่างเคย เขาพูดไม่ออกเหมือนกานดา ต่างคนต่างเกือบไม่รู้สึกว่ามีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ในท่าใกล้ชิดเช่นนั้น ต่างคนตกอยู่ในภวังค์เพราะมัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง

เสียงพายกระทบพื้นน้ำกับเสียงกระดานครูดกระดานเบา ๆ ที่ระเบียงหน้าแพซึ่งเป็นโป๊ะแคบ ๆ ตัวเรือนขึ้นมาอยู่บนฝั่ง เสียงจากชั้นล่างชั้นบนจึงไม่สู้สะเทือนถึงกัน ประตูพับหน้าเรือนเปิดอยู่บานเดียว เฉพาะที่ตรงกับโต๊ะซึ่งตะวันนั่งกุมมือกานดาอยู่

มีใครคนหนึ่งขึ้นมาที่ระเบียงและผูกเรือกับเสาเสียงโซ่ดักร่าง แล้วก็เสียงผู้หญิงเรียกอย่างอิดโรยเหลือเกิน

“ใครอยู่แพน่ะ–เขียดหรือเข้ม? มารับฉันที!”

เสียงทุ้ม ๆ นั้นถึงจะใสเย็นอย่างไร ก็มีกังวานไว้อำนาจและเอาแต่ใจตัวตามเคย ตะวันสะดุ้งเยือก แต่กานดายังมองไปที่ประตู ตามเสียงเรียกอย่างหมกมุ่นเหมือนเก่า แสงโคมขมุกขมัวส่องจับร่างหญิงที่ยืนสวมเสื้อคลุมยาวอยู่หน้าประตู นัยน์ตายาวเรียวกำลังฉายแสงดุเดือดและเหยียดหยามยิ่งนัก

“นี่หรือคะคือสาเหตุที่ทำให้ตะวันไม่ไปถึงไร่ฉันตั้งแต่ย่ำค่ำ? คุณดาเดี๋ยวนี้ชอบเป็นคนยื้อแย่งอย่างประหลาด! เรื่องพยายามแย่งคุณธำรงจากครูวรรณีเพื่อนของตัวเองน่ะฉันเคยคิดว่าเป็นข่าวลือหรอกนะ คราวนี้ฉันไม่รู้จะช่วยแก้หน้าอย่างไงดี ดู ดู๊! ดีแต่ฉันรู้สึก–ฉันจะมาหาคุณป้าเพราะเพิ่งได้ข่าวว่าท่านมาอยู่นาก่อนฉันอีก เผอิญได้มาพบข่าวที่จะต้องช่วยปิดบังแบบเดิม ดีมาก!”

ตะวันลุกขึ้นไปหาหญิงที่ยืนปรักปรำกานดาด้วยเสียงคั่งแค้นคนเดียว

“จิตรี! มายังไงกันล่ะ–ดึกแล้ว? คุณป้าก็ไม่อยู่ไปจันทบุรี เรา–ผมกับคุณกานดามาติดอยู่ที่นี่โดยเผอิญ เราไม่ได้ทำอะไรที่คุณจำต้องช่วยปิดบังแบบนั้น คุณเผด็จมาด้วยเรอะเปล่า?”

จิตรียกมือขึ้นเท้าสะเอวข้างหนึ่ง นัยน์ตาส่งประกายเหยียดหยามยิ่งขึ้น

“คุณป้าก็ไม่อยู่! คุณดามาอยู่กับผู้ชายในห้องสองต่อสองอย่างนี้แล้วไม่เรียกว่าเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังแบบนั้นเรอะ?” จิตรีหัวเราะและพูดทิ่มแทงกานดาต่อไปเมื่อเห็นตะวันออกรับในเรื่องที่มีพิรุธเหลือเกิน สิ้นสุดเสียแล้วถ้าจิตรีและกานดายังมีเยื่อใยอยู่บ้าง! จิตรีไม่เคยบิดเบือนการกระทำทุกอย่างให้กลับร้ายกลับดี หรือทำการยื้อแย่งชายใดด้วยวิธีเงียบ ๆ และยอกย้อนอย่างนี้ “คุณนึกเรอะว่าใครเขาจะเชื่อ? เช้อ..!” จิตรีเห็นกานดาสะดุ้งเพราะคำอุทานที่เกินขอบเขตของหญิง จิตรียิ้มสะใจ ที่สามารถทำร้ายความรู้สึกบอบบางของกานดาได้ด้วยคำรุนแรงเหล่านั้น “นึกเรอะว่าฉันจะเชื่อ! ฉันเคยรู้นิสัยตะวันว่าชอบอยู่ในที่ปลอดคนสักหน่อย ดึกแล้วจริง ๆ ค่ะ! ยิ่งดึกยิ่งมีเรื่องจะต้องปิดบังแบบนั้นละ! ลืมแหลมเหลือแล้วซิ! แปลกจริง!”

กานดานั่งฟังตัวแข็งคนเดียว พอได้สติก็พูดได้ค่อย ๆ ครั้งหนึ่ง

“นั่งลงก่อน–คุณจิตรี! คุณกำลังไม่–ไม่ปรกติ”

“แต่สมองคุณดาไม่ปรกติ–โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับผู้ชาย! ฉันเห็นคุณดาเที่ยวทำเลอะเทอะทั่วไปหมด!”

กานดานิ่งเงียบคล้ายถูกสะกด ตะวันก้าวไปหาจิตรีและทำท่าคล้ายกับจะฉุดแขนหล่อนเข้าไปหาเก้าอี้ หน้าเขาแดงเข้ม และเสียงก็ขุ่นเคืองขึ้นด้วย

“คุณดาไม่มีผิดพอที่จะต้องมาทนฟังคำพูดหยาบคาบของคุณเลย จิตรี! คุณเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด! เอาแต่ใจตัวเท่านั้น เรื่องของเรา–แหลมเหลือ...” เสียงตะวันแผ่วเบาไปนิดหนึ่งแล้วก็มั่นคงขึ้นอีก “แหลมเหลือ จึงไม่มีอะไรเหลือมากมายเหมือนเก่าแล้ว นอกจากความเหลาะแหละโลเลของน้ำใจหญิงอย่างคุณ ขออย่าระรานคนผ่องแผ้วอย่างคุณดา หญิงอย่างคุณดาน่ะเกิดมาต้องทุกข์และต้องทนทั้งนั้น คราวนี้ก็เรื่องพ่อโฉมเอก วิชัย...”

“ช่างเถอะค่ะ! ขอที?”

กานดาลุกพรวดพราดจากเก้าอี้ได้ และประสานมือมองคนโน่นคนนี้อย่างวิงวอน ตะวันรู้ว่ากานดาไม่ประสงค์ให้เรื่องวิชัยอื้ออึงอีกเลย เขาจึงหันไปขนาบจิตรีให้จบด้วยเรื่องส่วนตัวต่อไป

“แปลกมาก!” เขารำพึงเยาะ ๆ “จิตรีเดี๋ยวนี้ยังไงถึงได้ปากคอเราะรานเหลือเกิน–ความเกลียดความรักก็ดู–ขอโทษ! –หยาบคายขึ้นเยอะ–เก่งขึ้นทุกอย่าง–เหมือนแม่ค้า!”

จิตรีร้องไห้

“เห็นฉันแปลก! เห็นฉันเก่งเหมือนแม่ค้าคนหนึ่ง! แน่ละซิ! ฉันเหมือนแม่ค้าเพราะเป็นเมียพ่อค้า! ใครทอดทิ้งให้ฉันต้องหาผัวพ่อค้า? ใครทำให้ฉันเปลี่ยนแปลกไปหมด–มีแต่สังขารที่คุมขังจิตใจเจ็บยอกอยู่เสมอ ผัวพ่อค้าของฉันเองทำให้ฉันเป็นหญิงแม่ค้าที่คุณเยาะเย้ยอยู่เดี๋ยวนี้! นึกหรือว่าฉันไม่รู้ตัว แต่คุณก็ควรรู้ความจริงจากฉันอีก คุณอาจเปลี่ยนหัวคิดและคำพูดเยาะเย้ยอย่างเมื่อกี้ ตะวันคะ! คุณไม่รู้ว่าฉันต้องแต่งงานเพราะมีต้นคิดคือ...”

“คุณจิตรี!”

กานดาอุทานค่อย ๆ คำเดียว แต่จิตรีเข้าใจความหมายแห่งคำขัดขวางคำนั้น จิตรีต้องรักษาความลับและเกียรติยศของผู้มีอุปการะคุณ ภายในครอบครัวของตนจรวยเป็นต้นคิดคนนั้น หล่อนกักจดหมายตะวันถึงจิตรี ซึ่งหาทางออกตัวให้หญิงคนรักเรื่องเงิน แต่จรวยเห็นเป็นทางออกตัวที่เสียเกียรติยศยิ่งนัก จรวยเป็นต้นคิดตัดความสัมพันธ์ระหว่างจิตรีกับตะวัน เผด็จเป็นคนรับสนองความคิดของจรวย คนหนึ่งเป็นพี่ซึ่งมีคุณเหมือนแม่ คนหนึ่งเป็นผัวผู้ได้ให้สิ่งซึ่งต้องการแก่จิตรีหลายอย่าง จิตรีต้องยกเขาทั้งสองไว้แต่ในขอบเขตเขาเสีย–เป็นคนละส่วนกับตะวัน–คู่รักเก่า ซึ่งถูกยื้อแย่งอยู่เดี๋ยวนี้ กานดาดูเหมือนจะได้ผิดแปลกไปจริง มีพยานอยู่ต่อหน้าต่อตาจิตรีว่า หญิงผู้เสงี่ยมหงิมก็อาจทำเลอะเทอะทั่วไป แต่คำอุทานค่อย ๆ คำเดียวได้บอกจิตรีให้สำนึกได้ทันควันว่า คนมัวหมองเหมือนกานดายังคิดป้องกันเกียรติสกุลก็ได้ คนอะไรจึงอาจจะประจานความผิดคนในครอบครัวของตน และเหยียบย่ำเกียรติสกุลก็ได้?

กานดาจะดีกว่าจิตรีหรือในเรื่องรักษาเกียรติยศอย่างนี้? ถ้าจิตรีปล่อยให้เรื่องจรวยกับเผด็จอื้ออึงออกมา แม้ตะวันก็ต้องเห็นว่าจิตรีหรือกานดาเป็น คน ที่ควรยกย่องอย่างเก่า...กานดา!

จิตรีหลุดปากไปบ้างตามโครงการเคียดแค้นของหล่อน ตั้งแต่ตะวันกับกานดาผิดนัดวันนั้น แต่เมื่อจิตรีได้ยิน และซึมทราบความหมายของคำอุทานค่อย ๆ ของกานดา อดีตอันอื่นขมเรื่องจรวยและเผด็จก็ถูกอ้ำอึ้งเอาไว้ทัน

แต่จิตรีก็ยิ่งขุ่นแค้นขึ้นอีกเมื่อสำนึกว่ากานดากลับเป็นฝ่ายบงการให้ตนต้องยินยอมอย่างนั้นโดยไม่ต้องพูดมากเหมือนตน กานดาเพียงแต่อุทานค่อย ๆ คำเดียว!

ความตั้งใจจะดึงความรักเก่ากลับคืนด้วยวิธีเปิดเผยเรื่องน่าอับอายต่าง ๆ ต่อตะวันเพื่อให้เขาเกิดความรักและตนามสมเพทเพิ่มขึ้น จึงสิ้นสุดหยุดชะงักเสียแต่เริ่มต้นตอนนั้น จิตรีก็พิรี้พิไรเรื่องอื่นเพื่อระบายความผิดคาดและความโกรธแค้นของหล่อน

“ตะวันคุณคงไม่พูดเยาะเย้ยอย่างเมื่อกี้ ถ้าคุณรู้ว่าฉันแต่งงานเพราะอะไร...หรือถ้าเราพากันพูดต่อหน้าผัวพ่อค้าของฉัน”

“เขาอยู่ไหน?” ตะวันย้อนถาม “ถ้าจำเป็นผมพูดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าต่อหน้าลับหลัง ผมมาถึงไร่เพราะเชื่อว่าเขากับคุณพร้อมใจกันเชิญผม–เพียงแต่ผมหลงทางมาที่นี่”

“แน่รื้อ?”

จิตรีย้อนเยาะ ๆ แต่ไม่ยอมพูดถึงเผด็จ กานดาสังเกตเห็นจิตรีเลี่ยงตอบก็นึกรู้ว่า การเชื้อเชิญเช่นนั้นมีเรื่องยอกย้อนอยู่ด้วย กานดาเดาไม่ถูกก็แต่ความนึกคิดของเผด็จ หล่อนเผลอหลุดปากไปบ้าง

“อาเผด็จมากับคุณจิตรีเรอะเปล่าคะ?”

“เขาอยู่ไหน?”ตะวันย้ำ

“อยู่นี่ครับ”

คนตอบโผล่ออกมาทางบันไดระเบียงแพ ซึ่งทอดมาที่ฝั่งด้านหลัง จิตรีร้องเบา ๆ และเซไปทางกานดา หญิงผู้เคยเป็นที่รักใคร่ของหล่อนก็ช่วยพยุงจิตรีให้นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยกิริยาอ่อนโยนอย่างเคย ตะวันคิดว่าจิตรีเหนื่อยมากแต่เขาต้องหันไปดูคนที่มาใหม่

เผด็จสวมกางเกงสปอร์ตและเชิ้ทตัวเดียว เขาเป็นคนเดียวในหมู่นั้นที่มีอาการเยือกเย็นและมีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างสนุก

“อยู่นี่ครับ! ผมปล่อยจิตรีขึ้นมาแล้วเลยเอาเรือไปล่ามไว้ที่ท่าซุ้มลำดวน ได้อาศัยพื้นบนหลังคามิดชิดสักหน่อย แล้วเลยนั่งยืดแข้งยืดขาคนเดียว ดูซิ! ผมพายเรือเล็กมาให้จิตรีจนแขนแทบหลุดเลยคุณ”

“งั้นคืนนี้ก็ต้องค้างที่นี่กันหมดซิคะ”

กานดาหายใจโล่งไปตอนหนึ่ง ตะวันคิดถ้าเผด็จไปนั่งอยู่ที่ท่าซุ้มลำดวนเขาก็ไม่ได้ยินเรื่องรุนแรงเหล่านั้น ตลอดจนคำท้าทายถึงเขานอกจากคำถามสุดท้ายที่ไม่มีแยบยลอย่างใด

“ฉันค้างที่นี่”

จิตรีบอกด้วยเสียงเด็ดขาดขึ้นก่อน

“งั้นผมพายกลับไปอีกสองสามชั่วโมง เพื่อพาแขกของเรา–คุณตะวันกลับไปพักให้ถูกที่ทาง”

“ไม่ไหวละค่ะ” กานดารีบขัดขึ้น “ทุกคนต้องค้างที่นี่ก่อน คุณตะวันยังไปกับอาเผด็จไม่ได้เพราะพรุ่งนี้จะต้องพาฉันไปธุระแต่เช้ามืดเชียวนะ”

“เหมาะจริง” เผด็จรับคำง่าย ๆ “อาต้องทรงเครื่องพายเรือเข้านอนน่ะซิ! สนุกละ–หลานฉัน”

“ผมมีให้ยืม” ตะวันบอก

“เป็นพระคุณ! ผมขอสรรเสริญสักหน่อย ผมไม่ใคร่มีอะไรเหลือเพื่อให้ใครหยิบยืมอย่างนั้น”

เผด็จเน้นเสียงคำว่า ‘เหลือ’ แล้วก็ยิ้มกับจิตรีซึ่งนั่งหน้าเคร่งคนเดียว กานดารีบตัดบท

“งั้นก็เรียบร้อย! อาเผด็จนอนเสียที่แพกับ–กับคุณตะวันนะคะ เตียงกว้างขวางพอ ฉันจะพาคุณจิตรีไปบนเรือน เวลานี้ไม่มีใครเลยค่ะ”

เมื่อขึ้นไปอยู่ด้วยกันสองคนเรือนแล้ว จิตรีก็บอกกานดาด้วยเสียงเหยียดหยามอยู่อีก

“อย่ามาใกล้ฉัน–แล้วอย่าพูดกับฉัน!”

กานดาจึงเข้าไปนอนในห้องนางม้วนโดยไม่โต้แย้งอย่างใด แต่หล่อนหลับตาไม่ลงทั้งที่หัวคิดก็ตื้นตันเต็มที ทุกสิ่งทุกอย่างรวบรัดเข้ามาหาตัวหล่อนทั้งสิ้น กานดาจึงรู้สึกตัวเหมือนแมลงเล็ก ๆ ที่บินเข้าไปติดใยแมลงมุมและถูกมันชักใยครอบคลุมจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้อีก หล่อนจึงได้ยินเสียงฝีเท้าคนขึ้นบันไดและลุกขึ้นไปเปิดประตูเหมือนเครื่องจักร เผด็จสวมปียามาที่ค่อนข้างสั้นยืนตีหน้าเฉยอยู่ แต่เมื่อเห็นกานดาก็ยิ้มอย่างฉับไว

“เห็นแสงไฟทางหน้าต่างก็รู้ว่ายังไม่หลับกัน เกรงใจแขกสำคัญของคุณหลาน ขอยืมเสื้อเขาใส่แล้ว ยังจะไปนอนยัดเยียดอยู่ด้วยดูกันท่านัก ขอนอนบนนี้สักคนเถอะ ใต้ถุนเตียงก็ได้”

กานดาหลีกทางให้เขา

“คุณจิตรีคงนอนไม่ดับตะเกียง ฉันนอนห้องแม่ม้วนที่เฉลียงหรอกค่ะ ขอแบ่งที่นอนคุณจิตรีก็คงพอจะได้เพราะเตียงคุณป้าใหญ่โตเหมือนห้องโถงทุกแห่ง”

แล้วกานดาก็หันไปใส่กลอนประตูหัวบันไดขณะเดียวกับที่เผด็จเดินขึ้นไปหาประตูห้องบนยกพื้นอีกชั้นหนึ่ง กานดาได้ยินเสียงเขาเคาะประตูค่อนข้างแรงและมีเสียงถามอู้อี้ออกมา แต่เมื่อกานดากลับขึ้นเตียงนอนใหม่ หล่อนก็หลับสนิทในอาการของคนสิ้นห่วงหรือเพราะอิดโรยเหลือเกิน

แม้กานดาอยู่ก็ไม่อาจได้ยินเสียงที่ดังอยู่ในห้องนอนคุณจำรัสเพราะพื้นเป็นคนละชั้นและห้องก็อยู่ห่างกันคนละทิศ เผด็จโยนเสื้อกับกางเกงสปอร์ตซึ่งถือติดมือขึ้นมาด้วยลงกับพื้นเมื่อจิตรีเปิดประตูให้เข้าไป ความจริงเขาแทรกเข้าไปก่อนที่หล่อนจะทันขัดขวางและปิดประตูเอง

“ใครอนุญาตคะ?”

เขาทิ้งตัวลงบนเตียงและเหยียดแขนขาครู่หนึ่ง

“ช่วยเก็บเสื้อผ้ากางเกงก่อนเถอะน่ะ จะนอนทั้งทีก็ต้องขออนุญาตยังงั้นเรอะ”

จิตรีกำมือแน่น นัยน์ตาเรียวยาวยิ่งขึ้น หล่อนหลับไปพักหนึ่งแล้วทั้งที่มีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างนั้น แต่เมื่อถูกปลุกและถูกเผด็จท้าทายถึงตัว จิตรีก็ตาสว่าง หล่อนหลีกกางเกงกับเสื้อที่พื้น เพื่อจะมาที่เตียงเหมือนไม่แยแส อาการตะบึงตะบอนแบบเด็กทำให้จิตรีกลับลงไปเหยียบบนกางเกงและถลาไปหาขอบเตียง แต่เผด็จยังนอนเหยียดยาวอย่างสบาย

“ทำไมคุณไม่เก็บเองล่ะคะ?”

เขาเอื้อมไปตบแขนหล่อนเบา ๆ เหมือนปลอบเด็ก “อย่าตั้งคำถามมากนักซิ”

“ทำไมฉันจะถามไม่ได้” จิตรีย้อนและปัดมือเผด็จออกไปจากแขนหล่อน “คุณหายหัวไปไหนตั้งอาทิตย์! ไปรับใช้เมียถูกกฎหมายมาเรอะคะ–มาถึงฉันเลยใช้เหมือนขี้ข้าคนหนึ่ง! คืนนี้คุณไปยังไงมายังไงจึงตามมารับสมอ้างเอาดื้อ ๆ ว่าฉันใช้ให้คุณพายเรือมาส่งจนแขนล้า เรื่องอะไรต้องทำให้ฉันพลอยพูดปดไปด้วย?”

เผด็จเอาแขนไขว้กันหนุนศีรษะพลางมองดูจิตรีอย่างใคร่ครวญครู่หนึ่ง

“คนที่เอาใจยากที่สุดก็คือคุณ” เขาบ่น “วันนั้นคุณไล่ให้ผมไปหาเมียผมก็ได้ ผมเอาเรือยนต์หลวงธนกิจฯ เป็นเรือนอนมาได้สองสามวันแล้ว แล่นเล่นตามแม่น้ำลำคลองแถวนี้ พอไปแวะฟาร์มก็ได้ข่าวคุณออกมาพักอยู่และยังจะมีแขกไปพักที่แพด้วยคนหนึ่ง ผมเลยถอยเรือลงมาจอดอยู่ท่าใต้ ตอนเย็นเห็นคุณกล้าพายเรือเล็กลงมาคนเดียว กลัวจะจมน้ำตายจึงเช่าเรือชาวบ้านแถวนั้นพายตามมาห่าง ๆ ถึงท่าแพคุณป้าไล่หลังคุณนั่นแหละ พอทันได้ยินเรื่องผิดนัดกับตะวันครั้งที่สองก็เลยปล่อยเรือคุณลอยน้ำไปเสียเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าคุณมากับผมด้วย เรือที่ผมเลยเอาไปจอดไว้ที่ท่าซุ้มลำดวน กานดากับตะวันเชื่อสนิทว่าผมพาคุณมาที่นี่ ถ้าผมทำให้คุณพลอยพูดปดไปด้วย ก็เพราะความจำเป็นที่จะต้องกู้หน้าตัวเองไว้ก่อน ไม่งั้นเรื่องอาจอื้ออึงออกไปว่าหญิงที่ได้ชื่อเป็นเมียเผด็จแอบออกมาพบคู่รัก–หรือชู้รัก–ง่า!–หรือผัวเก่าก็ได้! ถึงจะเป็นพ่อค้าที่คุณโยนบาปมาให้ว่าเป็นคนที่ทำให้คุณเก่งกล้าและหยาบคายขึ้นก็จริง ผมก็ไม่ยอมให้ใครเข้ามาเหยียบจมูกผมถึงบ้าน เอ้า! ไหน ๆ คุณก็ถามผมเพื่อหยิบผิดเสียหลายข้อหลายกระทง ผมก็ตอบคุณได้หมดเหมือนกัน คุณจะไม่ต้องสงสัยจนกระทั่งว่าเท่าที่ผมทำอย่างนี้น่ะ เป็นเพราะผม–นายเผด็จ–ยังมีเยื่อใยอยู่อีก Oh! No! แต่เดี๋ยวนี้ผมยังต้องการจิตรีอยู่–ถึงไม่ใช่เป็นนางบำเรอ–” แล้วเผด็จมองสำรวจร่างอุ้ยอ้ายอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตาเขาบอกความรู้สึกคล้ายขยะแขยงยิ่งนัก “บางทีก็ต้องการให้จิตรีเป็น–ขี้ข้าคนหนึ่ง! โน่น! กางเกงกับเสื้อ–เก็บเสีย! ถ้าจะนอนก็คลานเข้าไปนอนข้างในดี ๆ แล้วขออย่ายื่นพุง–อย่ามาแตะต้องตัวผม”

พอพูดจบ เผด็จก็หลับตา กางขาออกไปเกือบเต็มเตียงห้าฟุต อ้าปากหาวจนกลิ่นบุหรี่ปนเหล้าอบอวลออกมาแล้วดูเหมือนจะหลับปุ๋ยไปเลย

จิตรีฟังเขาปล่อยคำรุนแรงเหล่านั้นด้วยนัยน์ตาตื่นตะลึงและหัวใจเต้นขึ้ก ๆ คนเดียว ดูเถิด! ผลที่สุดจิตรี–จิตรีเฉย ๆ !– ก็กลายเป็นขี้ข้าของเผด็จ! ด้วยการลิขิตของตน จิตรีกลายเป็นขี้ข้าคนหนึ่ง!

นาย! หล่อนนึก–นี่แหละนาย! ไม่ว่าหล่อนจะวางแผนการณ์โต้แย้งอย่างไร เผด็จต้องหยั่งถึงและตัดทางสำเร็จของหล่อนทันท่วงทีทุกครั้ง เขาลิขิต! หล่อนกับลูกในท้อง หล่อนกับความเป็นอยู่ปัจจุบันคือสิ่งซึ่งเผด็จได้ลิขิตขึ้นมา

มีอะไรอื่นอีกหรือที่หล่อนอาจลิขิตคนเดียวโดยไม่ต้องอยู่ใต้การควบคุมของเผด็จ?

คอยดู!

จิตรีชะโงกเข้าไปจนเกือบชิดคางเคราของเผด็จ ไฝดำที่หางคิ้วยังคงเด่นชัดเช่นเคย เขากรน!

“ขี้โกง!” จิตรีขบฟันพูดค่อย ๆ คนเดียว “ช่างตามสอดแนม แล้วคอยข่มขู่คนนัก! น่าจะ–”

เผด็จลืมตาทันทีและเผชิญสายตาเคียดแค้นคู่นั้น

“อย่าคิดฆ่าผมเลย! ไม่ใช่ความผิดของผมคนเดียวคุณถึงได้หมดสวยหมดงามเพราะท้องโย้ยังงั้น ถึงนายตะวันก็คงไม่ต้องการผู้หญิงอย่างคุณเป็นนางบำเรอหรอกนะ”

“นึกว่าฉันแคร์? คอยดู! ฉันจะฆ่ามันทันทีที่ออกจากท้องเพราะฉันจะได้ไม่ต้องเป็นขี้ข้าคุณอีก!”

แววตาเผด็จมีแต่รอยยิ้มเยาะอย่างเดียว เขาพลิกตัวนอนตะแคงและหันหลังให้จิตรี อีกอึดใจหนึ่งหล่อนก็ได้ยินแต่เสียงกรนตามสบายแบบเก่า

จิตรีเอามือกดหัวใจอันครึกโครมของหล่อนแล้วค่อย ๆ ลุกจากเตียงเหมือนกลัวเผด็จจะได้ยินอย่างเมื่อกี้ พอก้าวไปพ้นเอื้อมแขนเขาแน่แล้ว หล่อนก็หันกลับมากระซิบกระซาบค่อย ๆ คำหนึ่ง

“อ้ายหนอน!”

หน้าต่างยังเปิดอยู่เมื่อเผด็จตื่นขึ้นกลางดึก ลมที่กลั้วกลิ่นดอกไม้เข้ามานั้นเยือกเย็นยิ่งนัก ตะเกียงที่โต๊ะเล็กหายไป เผด็จพบแต่ความเปล่าบนเตียง เขาลุกขึ้นและตาสว่างทันที ตะเกียงถูกยกเข้าไปตั้งอยู่ในฉากมุมห้อง จิตรีไม่มีปัญญาดับแต่ก็ไม่อาจทนแสงสว่างซึ่งหล่อนเคยต้องการอยู่เสมอเมื่อหล่อนจะหลับ เดือนต้นข้างแรมยังไม่ขึ้น หล่อนคิดว่าเมื่อยกตะเกียงไปซุกเสียในฉากมิดชิดเช่นนั้น ในห้องก็คงจะมืดมิดเหมือนกัน แต่ตอนดึกเดือนต้นข้างแรมก็ขึ้นมาค้างฟ้าเหมือนโคมอยู่ยามยิ่งนัก ในห้องสว่างเรือง เผด็จพบจิตรีนอนอยู่ที่พรมหน้าโต๊ะเครื่องแป้งกับแมวตัวหนึ่ง แสงเดือนส่องเฉียงเข้ามาตรงพรมพอดี ดวงหน้าหญิงมีครรภ์ซุกอยู่ระหว่างแขนของหล่อนเองกับแมว หมอนอิงใบหนึ่ง รองรับศีรษะซึ่งผมยุ่งสยายอย่างประหลาด

จิตรีหายใจไม่สม่ำเสมอเหมือนปรกติ ทุกลมหายใจเข้าออกดูมีอาการขัด ๆ ระคนสะอื้นอีกบ้าง แต่หล่อนก็ไม่รู้สึกตัว หรือขยับเขยื้อนอย่างใดเมื่อเผด็จไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้หล่อนและแมวตัวนั้นด้วย

เผด็จย่องไปปิดหน้าต่าง แต่ถึงลมเย็นเข้ามาไม่ได้แสงเดือนยังเล็ดลอดเข้ามาตามช่องลมและทำให้สิ่งซึ่งมันส่องถึงแลดูโพรงพรายเพิ่มขึ้น

ข้างฝาด้านหัวเตียงมีโต๊ะวางของใช้เตี้ย ๆ ตัวหนึ่ง เผด็จเห็นกางเกงกับเสื้อของเขาซึ่งพับเรียบร้อยแล้ววางปนอยู่กับนาฬิกา เขาเพ่งดูเสื้อกางเกงเหมือนมันเป็นของประหลาดเหลือเกิน เขากลับขึ้นเตียงนอนและเพิ่งสังเกตเห็นว่าจิตรีไม่ได้เอามุ้งลงแต่แรกขึ้นมา แต่เผด็จก็มิได้คิดจะเอาลงอีก เขายอมนอนตากยุงอย่างหล่อน เคราะห์ดีที่ตามไร่นาไม่มียุงมากเหมือนสวนหรือใจกลางพระนคร ถึงกระนั้นเผด็จก็นอนไม่สบายแบบเดิม

วิชัยก็นอนไม่สบายแบบเผด็จทั้งที่เตียงนอนชั่วคราวของเขาในบ้านหลวงวิธูรฯ ที่เทเวศร์ตั้งอยู่ในที่สงัดและมีมุ่งผ้าโปร่งเรียบร้อย ตั้งแต่เขาผลุนผลันออกจากบ้านมาในวันรุ่งขึ้นต่อจากคืนที่เขากับจรวยทะเลาะกับจิตรีแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย

วันนั้นวิชัยกลับจากกรมก็ดื่มมากผิดปรกติ และไปถึงบ้านหลวงวิธูรฯ เพราะไม่รู้จะไปไหนถ้าไม่กลับไปบ้านราชเทวและเผชิญกับความยุ่งเหยิงอย่างเก่า

“กานดาก็จากกันเด็ดขาดแน่นอนคราวนี้” นั่นคือเรื่องวิชัยคิดย้ำย้อนอยู่เสมอ “เราจะไม่เชื่อคำแคะไค้ของจิตรีถ้าเราไม่ได้เห็นเขาโอ้โลมกันอยู่ในที่ลับสองต่อสองกับตะวันที่ภัตตาคาร นี่คือผลที่เราเห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้บูชาพระ อุตส่าห์ทะนุถนอมและยกย่องอยู่เสมอ แต่เจ้าหล่อนต้องการให้ชายเหยียบขยี้อย่างฝุ่น เลยทำเลอะเทอะทั่วไป นี่เองคือธาตุแท้ของผู้หญิงที่มักเอาความบริสุทธิ์อ่อนโยนเป็นเครื่องบังตาผู้ชายจนมืดมัวเหมือนเรา ผู้หญิงบริสุทธิ์หรือสำส่อนดีหรือชั่วก็ไม่ต่างอะไรกัน ผู้หญิงเหมือนกันหมดเพราะธาตุแท้เท่านั้น”

วิชัยดื่มอีก เขาดื่มจนหมดความรู้สึกดีร้ายเรื่องอื่น เมื่อเขาไปถึงบ้านหลวงวิธูรฯ ค่อนข้างดึกเขาก็ไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดปรกติ หรือมีความละเมียดละไมเหมือนเก่า ดูเหมือนวิชัยจะตกอยู่ในภวังค์เยียบเย็นอย่างเดียว

“ดูซิคะคุณหญิง” คุณนายประภาแอบพยักพเยิดกับสามี เมื่อเห็นตัวเก็งในสนามวิวาห์พลัดผลมาถึงบ้านเจ้าสาวโดยไม่ต้องตามต้อนด้วยเฒ่าแก่หรือแยบยลอย่างเก่า “หลานชายคุณหลวงต้องตั้งใจมาทางลูกสาวเรานานแล้วแต่เพราะถูกกักตัวอยู่เสมอ เลยไม่เสร็จสิ้นสักที พอทางโน้นวางมือเสียบ้าง พ่อวิชัยก็มาทางนี้จนได้”

“ฉันดู ๆ พ่อวิชัยมาถึงที่นี่ได้ก็เพราะมีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างอื่น” หลวงวิธูรฯ พูดโดยซื่อ “ไม่งั้นก็เพราะมีฤทธิ์เหล้าหรอกกระมัง”

ไม่สำคัญ! เขามาจนเห็นกันโต้ง ๆ อยู่แล้วคุณหลวงยังจะทำให้เป็นยืดยาดอยู่อีก เอาเถอะค่ะ! คุณอยู่เฉย ๆ ฉันจัดการเอง ตามธรรมดาพ่อวิชัยไม่ใช่นักเลงเหล้า นาน ๆ จะเป็นอย่างนี้ก็ควรปล่อยตามใจเสียบ้าง เขาอาจจะกินเหล้าให้ใจกล้าก็ได้ เพราะเรื่องแต่งงานกับแม่วันวิภาน่ะแม่กับพี่น้องทางโน้นคัดค้านเขามาก วิชัยจะพูดให้เราเป็นธุระเสียข้างเดียวก็คงเกรงใจ จึงต้องกินเหล้างึมงำมาหา ฉันเห็นจะต้องช่วยให้เสร็จสิ้นเสียทีถึงจะต้องอาศัยเหล้าหรือเรื่องยุ่ง ๆ อย่างอื่น”

ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้วันรุ่งขึ้นคุณนายประภาจึงเป็นธุระให้คนไปเอาเครื่องใช้ของวิชัยแต่เช้า และสั่งไปถึงคุณจำรัสว่าวิชัยอยากพักผ่อนอยู่ที่เทเวศร์สักพัก เมื่อวิชัยตื่นนอนสายมากและมีสติพอจะใช้หัวคิดของตน เขาก็พบว่าคุณนายประภาจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว เขามีโอกาสหลบหน้าพวกซอยสามบ้านอยู่เสียที่เทเวศร์โดยไม่มีกำหนดหรืออาจจะอยู่ตลอดไปก็ได้ หลวงวิธูรฯ กับลูกเมียไม่ติดใจจะถามเขาถึงเรื่องยุ่งเหยิงอย่างอื่น อารมณ์และความนึกคิดของเขาอาจอยู่ในภวังค์ตื้อตันต่อไปอีก

อนึ่ง–เรื่องกานดาซึ่งดูเหมือนจะเปรอะเปื้อนไปแล้วทำให้วิชัยคิดว่าเรื่องของเขากับผู้หญิงอื่น ๆ เช่นวันวิภาก็ไม่จำเป็นต้องละเมียดละไมเหมือนเก่า

แต่ค่ำวันที่ห้านับแต่วิชัยมาค้างที่บ้านหลวงวิธูรฯ เขาก็พบกับปัญหาที่ต้องใช้ความคิดอีกครั้งหนึ่ง คุณนายประภาพูดกับเขาต่อหน้าหลวงวิธูรฯ และวันวิภาคล้ายกับทวนความทรงจำของเขา

“พ่อวิชัยบอกพวกคุณแม่เรอะยัง เรื่องที่พูดกับอาไว้เมื่อสองสามวันก่อน–เรื่องที่เราตกลงจะหมั้นแม่วันอาทิตย์หน้าแล้วแต่งกันเดือนยี่ข้างขึ้น?”

วิชัยไม่สะดุ้ง แต่ก็เกือบสร่างเหล้าและตื่นจากความคิดคลุมเครือ ครู่หนึ่งหลวงวิธูรฯ ถึงกับนั่งอ้าปากตาค้างเดียว วันวิภาหน้าแดงอย่างสาว ๆ ทั่วไปที่ได้ยินเรื่องแบบนี้พูดขึ้นต่อหน้าต่อตา ตัวเอง วิชัยมองสบตาอ่อนโยนของหญิงสาวแล้วก็พูดไม่ออก นัยน์ตาวันวิภาแสดงความปลื้มปีติประหลาดใจและขอบคุณเขาด้วย!

ทุกครั้งที่เขาพบวันวิภา เขาเป็นฝ่ายรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พึงพอใจจากหล่อน เขาไม่เคยให้อะไรวันวิภามากไปกว่าที่เป็นความคุ้นเคยและความใคร่ของชาย แต่วันวิภาก็ไม่เคยคาดคอยหรือขอร้องให้เขาตอบแทน หล่อนยังมองดูเขาอย่างขอบคุณ ทั้งที่เขายังไม่เคยพูดกับหล่อนหรือใคร ๆ อย่างที่มารดาของหล่อนกำลังซ้อมค้างเขาอยู่ วิชัยอั้นอึ้งแล้วจึงตอบคุณนายประภาอย่างขอไปทีเท่านั้น

“ผมยัง–ยังไม่ได้คิด–”

“คนมีงานยุ่ง ๆ อย่างเธอจะมีเวลาคิดอะไร พูดแล้วก็ปล่อย ๆ ไปเสีย เอาเถอะ! อาจะจัดการเองคราวนี้ ไหน ๆ พ่อวิชัยก็มาเฝ้ายามอยู่แล้ว” คุณนายประภาฉวยโอกาสลงเอย เพราะเห็นวิชัยไม่โต้แย้งอย่างอื่นแม้แต่เรื่องของหมั้นวันวิภา ซึ่งเขาไม่ได้พูดเลย แต่ถึงเขาจะคัดค้านขึ้นมา คุณนายประภาก็มีเหตุผลพอจะยืนยันอยู่อีก เขาอาจมึนเมาและพูดเรื่องที่อยู่ในความคิดของตนโดยไม่รู้สึกก็ได้ “เดี๋ยวนี้ใคร ๆ เขาถามอาทั้งนั้น ว่าอาเมื่อไหร่จะรีบแต่งหลานชายกับลูกสาวเสียที อายังบอกกับคุณนายอธิบดีของพ่อวิชัยเลยว่า จะรีบจัดการเพราะเป็นพี่น้องกัน เวลานี้ก็อยู่ในระหว่างไว้ทุกข์พระเจ้าแผ่นดินแผ่นทราย อาคิดจะทำพอเป็นพิธีเท่านั้น เหตุการณ์บ้านเมืองบังคับให้เราต้องรวบรัดลงไป อาจะพูดกับคุณจำรัสเองว่าจะแต่งที่บ้านเราแล้วเลยแต่งเป็นเรือนหอให้ด้วย ลูกสาวฉันคนเดียว ฉันไม่ให้ไปอยู่ไกลตัวหรอก คนอื่นไม่ต้องลำบาก”

“ถูกของคุณนาย” หลวงวิธูรฯ คล้อยตาม เพราะเห็นวิชัยยังไม่พูดอะไรอีกซึ่งออกจะผิดปรกติอยู่มาก “ไม่ต้องลำบากใครดี”

วิชัยกำลังมีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่มากแล้วเลยอ้าปากไม่ขึ้นเมื่อได้ยินว่าการแต่งงานของเขากับวันวิภาจะไม่มีเรื่องกระทบกระเทือนถึงใคร เขาต้องลำบากมาแล้วเกือบตลอดเวลาเมื่อเป็นบุคคลสำคัญในครอบครัวของตน แต่ในที่สุดวิชัยก็ได้พบว่า เขาไม่ได้รับผลภูมิใจเพียงพอกับที่ได้พยายามเป็นหัวหน้าครอบครัว และต้องยุ่งเหยิงอยู่เสมอ

แม่ของเขามีเรื่องในอดีตกับชายที่ไม่ใช่พ่อของเขา คุณจำรัสมิได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดแก่ตัวผู้เป็นพ่อของลูกชายคนเดียว หรือแก่ลูกชายนั้นอย่างที่วิชัยและคนส่วนมากเข้าใจมานาน แม่ของเขาเป็นม่ายมาแต่สาวจนแก่ เพราะสูญเสียชายคนที่สองซึ่งเป็นที่รักใคร่ของเธอ

จิตรีไม่ใช่ญาติกำพร้าที่วิชัยควรปรานีเป็นพิเศษอย่างเก่า แต่เป็นน้องคนละพ่อ พ่อของจิตรีก็เป็นชายที่แม่ของวิชัยหลงรักเหลือเกิน แม้จิตรีไม่เคยรู้เรื่องเก่าตลอดและเชื่อว่ามีแม่เป็นหญิงเสเพลผู้หนึ่ง ตามถ้อยคำของจรวย จิตรีก็ยังหยิ่งผยองอยู่เสมอ หล่อนไม่อยู่ในถ้อยคำเขาเลย และในที่สุดก็เป็นสาเหตุให้ชีวิตของวิชัยกับกานดาต้องปรวนแปรไปด้วย

กานดา! กานดาได้ทำให้เขารู้สึกเหมือนร่างกายและจิตใจครึ่งหนึ่งทรยศออกไปจากการควบคุมของเขาแล้วส่วนที่เหลืออยู่ก็พลอยกระปลกกระเปลี้ยไปหมด นอกจากนั้นยังจะต้องผจญกับอุปสรรคยุ่งเหยิงอย่างอื่น โดยไม่มีกานดาช่วยคิดอ่านและปลอบโยนอย่างเคย

เขาเหนื่อย!

หนี้สินซึ่งวิชัยทำขึ้นด้วยใบค้ำประกันเพื่อเห็นแก่เกียรติยศและความกตัญญูยังคงค้ำคอเขาอีก เพื่อนพ่อค้าคู่นั้นดูจะมีเรื่องพลิกแพลงเพิ่มขึ้น เขาติดต่อกับเมียนายอำเภอผู้เป็นต้นเหตุให้เขาเข้าตาจน และได้รู้เรื่องว่า เธอก็ตกอยู่ในความมืดมัวเหมือนเขา นางสลับเป็นเพียงผู้หาเงินจำนวนหนึ่งเข้าสมทบทุนเท่านั้น ขณะนี้เธอก็คอยฟังข่าวอยู่ว่าเสี่ยสุวิชกับพ่อเลี้ยงชื่นจะหาทางออกจากสถานะการณ์อันยุ่งเหยิงอย่างไร เธอส่งข่าววิชัยตามตรง

“พี่อยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดเหลือเกิน เพราะกลัวจะมีมลทิลถึงนายอำเภอ ผัวของพี่ไม่ควรจะต้องสละชื่อเสียง เกียรติยศ และคุณงามความดีซึ่งทำมาไม่รู้สึกเท่าไรให้ถูกเหยียบย่ำ เพราะคนทุจริตที่ได้รับการอุดหนุนจากเมียโง่เขลาคนหนึ่ง นอกจากนี้ใบกู้ยืมของพี่ก็จะทำให้คุณวิชัยซึ่งไม่รู้เรื่องพลอยเข้าปิ้งไปด้วย ดูเหมือนเสี่ยสุวิชโยนทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณชื่นออกรับหน้าแทน ถ้าเรื่องรวบรัดมาถึงพวกเรา เสี่ยสุวิชก็ไม่รู้ไม่ชี้ คุณชื่นจึงวิ่งเต้นคนเดียวแต่ดูเหมือนเขาก็จะไม่ยอมถูกจับกุมคุมขังง่าย ๆ พี่จึงเป็นห่วงใบกู้ซึ่งมีชื่อเธอเป็นผู้ค้ำประกันว่าจะอื้ออึงออกไปเสียก่อนเธอจะหาทางออกได้ ส่วนพี่เองหมดหวังรอด เวลานี้ก็คอยดูผลสุดท้ายที่ว่า ถ้าเรื่องดังขึ้น ผัวของพี่จะทำและพูดกับพี่อย่างไร พี่ฟังวิทยุและอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ได้เพราะกลัวเห็นข่าวของตน พี่จึงอยากตายและหนีความปั่นป่วนไปเสีย”

วิชัยจึงต้องติดต่อด่วนไปว่า เขายอมรับรู้เรื่องนั้นและจะพยายามหาเงินให้ชื่นเพื่อแลกใบกู้กลับมา แต่เมื่อเขาลงมือพยายามแล้ว ก็เห็นว่านอกจากจะเอาโฉนดที่บ้านพญาไทไปวิ่งเต้น เขาก็ไม่มีโอกาสจะหาเงินสดสี่หมื่นให้ชื่นทันความฉุกเฉินเช่นนั้น

นี่คือความยุ่งเหยิงที่วิชัยต้องขบคิดอยู่คนเดียวนอกจากเรื่องกานดา เขาไม่อยากแตะต้องบ้านพญาไทซึ่งยังเป็นของมารดาอยู่ ความจริงก็คือเขายังไม่อยากเสียหน้ากับญาติมิตรหมู่นั้น มารดาของเขาและทุกคนเคยคิดว่าเขาเป็นคนเข้มแข็งและไม่มีวันจะทำเรื่องที่ควรอับอายอีกด้วย

เดี๋ยวนี้ญาติของเขาทางเทเวศร์ได้ยื่นมือเข้ามาจัดการชีวิตส่วนสำคัญของเขาโดยที่เขาไม่ได้ขอร้องหรือคะยั้นคะยออย่างใด ถ้าคุณนายประภากับหลวงวิธูรฯ หรือแม้แต่ตัววันวิภาเองเต็มใจ จะรวบตัวเขาเข้าสู่พิธีสมรสเงียบ ๆ รวดเร็วและสะดวกสบายแบบนี้ก็น่าซึ่งจะช่วยกันรับรู้เรื่องยุ่งเหยิงอย่างอื่นด้วย หลวงวิธูรฯ กับคุณนายประภาไม่มีอะไรต้องผิดหวัง ถ้าจะต้องช่วยหาเงินให้วิชัยกู้ยืมสักสี่หมื่น เมื่อเขายกลูกสาวให้วิชัยทั้งคนอย่างฉุกเฉินหรือ อาจเรียกได้ว่ายื้อแย่งอยู่หน่อย

นี่คือความคิดของวิชัยคนใหม่ ซึ่งความผิดหวังครั้งสุดท้ายทำให้กลายเป็นคนหละหลวม รู้มากและสิ้นศรัทธาในความหมดจดงดงามทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องอื่น อย่างเรื่องค้าขายของเพื่อนหรือเรื่องในครอบครัวของตน

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ