(๑๑)

เสียงไก่ขันยามออกมาจากเล้าใดเล้าหนึ่งในสวน เสียงขันรับกันเป็นทอด ๆ ไปทั่วบ้านไร่เหล่านั้น น้ำค้างคงพรมพรายเพิ่มขึ้นเพราะทุกครั้งที่ได้ยินเสียงใบพุทราสั่นกราว ก็ได้ยินเสียงหยดน้ำค้างบนใบไม้เล็ก ๆ เหล่านั้นร่วงเปาะแปะไปด้วย ดูเหมือนหยดน้ำค้างที่ร่วงลงบนฝาสังกะสีปิดโอ่งน้ำฝนหลังเรือนเป็นน้ำตาแห่งความผิดหวัง และความคับแค้นของใบไม้

แต่เสียงซึ่งดังเหนือกว่าเสียงไก่ขันยาม เสียงแมลงกลางคืน และเสียงใบพุทรากระเส่าสะอื้นอีกด้วยก็คือเสียงม้วนลม ซึ่งพัดเตลิดตลบในบรรยากาศอันเยือกเย็นยิ่งนัก ความรู้สึกของกานดาคนใหม่จึงมีแต่เสียงพายุอย่างเดียว

กานดาหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ในโลกพายุอย่างนั้น บางครั้งหล่อนว่าหล่อนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสภาพอันลิ่วลอยว่างเปล่า แต่ปรากฏสภาพอยู่ตามสิ่งต่าง ๆ เป็นต้นรวงข้าวที่เอนลู่ในนา ทะเลที่เต้นยวบยาบอยู่เสมอ หรือแม้แต่เสียงคร่ำครวญของใบสน

“นั่นเสียงเราหรือเสียงใครมาคร่ำครวญข้างนอก?”

แน่ทีเดียว! กานดาพลิกตัวออกจากวงแขนของวิชัย ข้างนอกประตูห้องนอนมีใครคนหนึ่งกำลังครวญครางระคนสะอื้นอีกด้วย

“น้องดา–” เสียงวิชัยพึมพำ “พี่กำลังหลับสบาย ดึกจนป่านนี้ยังไม่หมดเรื่องสะอื้นอีกเรอะ–รำคาญ–”

“ขอ–ขอประทานโทษค่ะ! น้องคิด–”

“หยุดคิด–แล้วก็หยุดสะอื้นอีกด้วย”

“ค่ะ–ค่ะ!–แต่น้องคิด–น้องสงสัย–เสียงน้องไม่น่าจะดังออกไปคร่ำครวญข้างนอก”

วิชัยผุดลุกขึ้นนั่ง เดือนเต็มดวงยังสว่างจ้าอย่างเก่าแต่คล้อยไปค่อนฟ้าแล้ว แสงขาวนวลในห้องจึงร่นไปอยู่ที่หน้าต่างตะวันตก บนเตียงมีแต่แสงสะท้อนทั่วไป ถึงกระนั้นก็ยังช่วยให้วิชัยกับกานดาเห็นหน้ากันและกันเกือบชัด วิชัยเห็นดวงหน้าที่เคยขาวเป็นยองใยอยู่เสมอมีความสำนึกของคนที่มีอายุยิ่งขึ้น แม้ยังอ่อนโยนอย่างเก่าก็ดูภาคภูมิอดทนและรอบรู้เหลือเกิน เมื่อสบสายตากันวิชัยยังพบรอยอับอายอีกมากและมีแววเศร้าสยองอย่างหนึ่ง

เดี๋ยวนี้–ภายหลังที่ได้เผชิญชีวิตอย่างช่ำชองเช่นนี้แล้ว ดวงหน้าอันยองใยยังจะมีรอยประหม่าและเศร้าสยองอยู่หรือ? วิชัยฉุนโกรธ บางทีกานดาอาจคอยพบตะวันที่แพอีกเหมือนจิตรีบอกเขา

“กานดา! ดูเหมือนการเที่ยวเตร่ตามสบายมานานจะทำให้น้องเป็นโรคเส้นประสาทเสียแล้ว–นอนลง! พี่จะไปเปิดประตูพิสูจน์ให้เห็นเองว่าน้องใจลอยแล้วยังขวัญอ่อนอีกด้วย ใครที่ไหนถ้าไม่ใช่อุปาทาน–จะมานั่งคร่ำครวญข้างนอก”

กานดานอนลงอย่างหญิงที่รู้จักอดทนเท่านั้น วิชัยก็สังเกตเห็นว่า หล่อนทำตามคำสั่งเขาด้วยอาการเยือกเย็นอย่างเดียว–ไม่ใช่เพราะเคยยินยอมอย่างเก่า กานดาคงนัดให้ตะวันมาพบอีกตามเคย ความโกรธที่เกิดแต่ความเห็นแก่ตัวมานาน–ในฐานะผู้เคยได้รับความยกย่องอยู่เสมอ ประกอบความเข้าใจเรื่องกานดาอย่างไม่งดงามทำให้วิชัยกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลเพิ่มขึ้น เขายังคิดว่าเสียงครวญครางนั้นเป็นเสียงคร่ำครวญของหล่อน เขาจึงเปิดประตูเต็มแรงและเกือบก้าวลงไปเหยียบร่างใครคนหนึ่งซึ่งฟุบอยู่กับพื้นธรณีประตู และครวญครางระคนสะอื้นอีกด้วย

“ใคร?” เขาตวาดเพราะเห็นเหตุการณ์ไม่ตรงกับความคิดของตัว แต่เมื่อคนที่หมอบฟุบอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นวิชัยก็เกือบล้มทั้งยืน หน้านั้นขาวซีด นัยน์ตาตื่นกลัวและผมก็ยุ่งสยายยิ่งนัก “จิตรี” วิชัยเกือบตะโกน แล้วก็ยืนตัวแข็งครู่หนึ่ง

“น้อง–น้องเองค่ะ! คุณพี่ช่วยน้องด้วย! ดูเหมือน–คุณป้ากับแม่ม้วนยังไม่กลับ น้องกลัว–คุณพี่ชัยขา! น้องกลัวตายเต็มที–เจ็บในท้อง–”

ทันใดนั้นร่างขาว ๆ บนเตียงก็โผลงมาที่ประตู

“คุณจิตรีจริง ๆ แหละ!” กานดาคุกเข่าลงกอดร่างจิตรีผู้กำลังครวญครางขึ้นไว้ “นี่มาคนเดียวอีกซิ–เสื้อผ้าเปียกหมด! เข้ามาในห้องเร็ว–คุณพี่ชัยช่วยซิคะ”

“คุณดา! อุ๊ย” จิตรีร้องขึ้น “คุณดายังอยู่ที่นี่คนเดียว! พี่ชัยแอบมาอยู่ด้วยแต่เมื่อไหร่? แล้วยังอยู่ห้องเดียวกัน–อุ๊ย–ฉันเห็นห้องคุณป้าปิดไว้นี่ คุณดา! โธ่! พี่ชัย–ช่างทำยังกะคุณดาเป็นคนชั่ว!”

“ช่างฉันเถอะ!” วิชัยสอดเสียงกระชาก “ฉันจะทำยังไงก็ช่างฉัน ว่าแต่ตัวเถอะ ทำไมถึงมาคนเดียวได้ล่ะบ้าอะไรขึ้นมา? เมื่อวัน–ง่า–เมื่ออาทิตย์ก่อนก็ว่าเจ็บท้องเตือนไปนอนบ้านราชเทวีน่ะ เพื่อไปด่าพี่แล้วก่อเรื่องยุ่งเหยิงอย่างเดียวเรอะ–เผด็จล่ะ?”

“ไปตามคุณดาหรือตามเมียแหม่มก็ไม่ทราบ!” จิตรีตอบอย่างฉุนเฉียว “ฉันไม่เห็นหัวตั้งแต่วันนั้นแหละ ประเดี๋ยววิ่งไปโน่น–อู๊ย–เดี่ยววิ่งมานี้! สุดแต่จะมีผู้หญิงอยู่ที่ไหน–น้ำหน้าผู้ชาย–คนไหน ๆ ก็มักมากเหมือนกัน!”

วิชัยหน้าแดงก่ำ

“ก็ตัวบอกเขาเองต่อหน้าเผด็จ–คุณใหญ่แล้วก็คุณพี่ผดุงด้วยซิว่า กานดาหนีตามตะวันไปต่างจังหวัดตั้งแต่เดือนก่อน ตัวได้รับจดหมายบอกเล่าจากตะวันไงล่ะ พวกเราไม่รู้ว่ากานดาอยู่ไหนแน่นอน เผด็จคงไปตามกานดาจริง ๆ เพราะเขาถือว่าเป็นอา ทำไมถึงชอบด่าผู้ชายเมื่อตัวเองก็เป็นพวกผู้หญิงที่ทำยุ่งเหยิงอยู่เสมอ ถ้าไม่เที่ยวตระเวนก็เที่ยวซุ่ม” แล้ววิชัยก็มองกวาดทั้งจิตรีและกานดา “ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกเขาจะมักน้อยในเมื่อเขาพบผู้หญิงที่เคยเปรอะเปื้อนไปทั่ว”

“โธ่! น้องไม่ได้ไปไหนกับใครเลยค่ะ–เป็นไข้หวัดอยู่ที่นี่คนเดียวทั้งเดือน”

“คุณดา!” จิตรีลุกขึ้นนั่งตรง “ฉันบอกประชดพี่ชัยเองทุกเรื่องเพราะทนให้พี่ชัยและใคร ๆ คิดว่าคุณดาแอบไปอกหักอยู่ที่ใดที่หนึ่งคนเดียวไม่ได้ ระหว่างที่พี่ชัยเที่ยววิ่งแจกบัตรเชิญแต่งงานกับผู้หญิงอื่นออกวุ่น ฉันไม่คิดว่าคุณเผด็จหรือใคร ๆ จะถือเป็นเรื่องจริงจังจนออกตามกันปั่นป่วนไปหมด พอหมอบอกว่าฉันจะคลอดล่ากำหนด ฉันเลยหนีมาอยู่คนเดียวที่ไร่สุขสันต์ ตั้งแต่วันพี่ชัยแจกบัตร คืนนี้ถึงพายเรือมาเองได้ คุณดา–” แต่สีหน้างงงวยของกานดาทำให้จิตรีเฉลียวใจ “คุณดา! ไม่รู้เลยเรอะ ว่าพี่ชัยวิ่งแจกบัตรแต่งงานกับวันวิภา?”

หญิงสาวผู้ถูกถาม สบตาอันมืดครึ้มของวิชัยครู่หนึ่ง หน้าของเขาเหมือนปริศนาอันยุ่งเหยิงอย่างประหลาด

“เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ค่ะ” กานดาตอบตามซื่อ เสียงหล่อนแผ่วลง แล้วก็ค่อย ๆ มั่นคงขึ้นอีก “แต่–แต่อย่างที่คุณจิตรีเห็น–เราอยู่ด้วยกันที่นี่แล้ว–คุณพี่ชัยกับฉัน! ที่นี้ –” กานดายิ้มอย่างปลอบโยนกับวิชัยทั้งที่เขายังยืนคอแข็งคนเดียว และไม่ได้โต้แย้งอย่างเก่า “เหลืออยู่วิธีเดียวที่เราจะต้องยุ่งเหยิงอยู่บ้าง คือบัตรแต่งงานที่ถูกแจกไปแล้วก็คงต้องถูกเก็บเสียก่อน แล้วก็– ถ้าคุณพี่ชัยเห็นดี การแต่งงานของเราจะมีเพียงพิธีจดทะเบียนแบบเดียว”

กานดาคนเก่าจะไม่สามารถพูดยาว ๆ เพื่อแก้ไขความยุ่งเหยิงอย่างนี้เลย แต่เวลาและความจัดเจนจากชีวิตคืนเดียว ทำให้กานดาเผชิญกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยภูมิของผู้รอบรู้เหลือเกิน จิตรีมองหน้าพี่ชายกับหญิงซึ่งเป็นเหมือนพี่สาวและเพื่อนคู่ใจคนละทีกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง ในที่สุดหล่อนเอามือกุมท้อง ทำหน้าคล้ายจวนขาดใจ และร้องครวญครางขึ้นอีก

“อุ๊ย–ตายแล้ว! เหลือทนแล้ว–”

“เร็วค่ะ!” กานดาหันไปเร่งวิชัย “มัวแต่พูดยุ่งเหยิงอย่างอื่น คุณจิตรีกำลังเจ็บแย่อยู่แล้ว คุณพี่ช่วยไปติดไฟต้มน้ำให้น้องก่อน จะปลุกเด็กกับคนแก่ก็ไม่มีประโยชน์ ไปตามหมอก็ไม่ทันการ ต้องช่วยกันไปก่อนจนกว่าจะทำอย่างอื่นได้”

“น้องดา! จิตรีเป็นอะไร? โมโหมากแล้วแผลงฤทธิ์ตามเคยกระมัง”

“ถ้าไม่จวนคลอดก็คงเจ็บท้องเตือนอีกค่ะ คุณพี่ช่วยเอาขึ้นเตียงเสียก่อน น้องจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาระหว่างที่คุณพี่ลงไปต้มน้ำ–ไปซิคะ! ไม้ขีดกับโคมรั้ววางอยู่ที่ชั้นข้างเตาไฟนั่นแหละค่ะ”

เขาเดินไปที่ประตูตามคำสั่ง แต่แล้วก็หันกลับมาพูดเสียงแหบ

“น้องดา! คืนนี้–พี่เป็นบ้า! น้องโทษพี่คนเดียวนะ! พี่เข้าใจผิดเพราะ–”

กานดาเงยหน้าขึ้นสบตาวิชัย และรู้ว่าเขาคิดถึงเรื่องอันขุ่นเข้มคืนนี้อีก วิชัยอยากจะสารภาพผิด กว่าเขาจะเข้าใจและรู้จักคุณค่าของหล่อน ความรักและความรู้สึกอันละเอียดอ่อนแบบกานดาก็ถูกทอดทิ้ง ดูหมิ่นนินทาและเหยียบขยี้จนยับเยินและขะมุกขะมอมหมดแล้ว! แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นอดีตที่จะต้องอ้ำอึ้งเอาไว้ วันหน้ายังมีมากพอที่วิชัยกับกานดาจะตั้งต้นชีวิตด้วยกันอย่างงดงาม เปิดเผยและขาวสะอาดอีกใหม่ แม้จะมีเรื่องวันวิภาเพิ่มขึ้น เขายังคงรักกานดาและต้องการหล่อนในนาทีสุดท้าย อย่างคืนนี้กานดาไม่สงสัยสักนิด! ฐานะปัจจุบันของหล่อนมิใช่คู่รักผู้อิดเอื้อนอีกแล้ว หล่อนเป็นเมีย! แม้การเปลี่ยนฐานะนั้นจะเป็นไปอย่างฉกฉวยและขะมุกขะมอมมากนัก–แม้ในความสำนึกของกานดายังมีหิริโอตตัปปะคอยยอกย้ำอยู่เสมอ–เมียก็ยังคงเป็นนามอันแท้จริงของหล่อนอยู่นั่นเอง! วิชัยให้นามนี้แก่หล่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับกานดาตลอดจนญาติมิตรหมู่เก่า ความเป็นไปของเรื่องที่ลงเอยอย่างคืนนี้ต่างหากที่จะทำให้ญาติมิตรที่รู้เรื่องอย่างจิตรีต้องตกตะลึงและพลอยปั่นป่วนไปอีก กานดาเองยังรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวตนของตัว ทุกครั้งที่คิดถึงการเปลี่ยนฐานะอย่าง ฉุกเฉินเช่นนี้ ในที่สุด–วิชัยกับกานดาก็กลับมาร่วมชีวิตด้วยสายสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ไม่มีอะไรอีกแล้วจะผูกมัดเขากับหล่อนให้แน่นแฟ้นกว่านี้ได้ กานดาไม่อาจคิดถึงความยุ่งเหยิงอย่างอื่น เช่นวันวิภาผู้เคราะห์ร้ายและผู้ที่ได้รับความเห็นใจจากกานดา บัตรสมรสซึ่งจะถูกเก็บคืน คงไม่ทำให้วันวิภาหม่นหมองมากนัก นอกจากเสียงนินทาเท่านั้น เสียงนินทาคงจะดังอื้ออึงอีกมาก แต่มันก็คงไม่ทำให้ใครต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนการสมรสที่ปราศจากความรักและความเข้าใจอันดี วันวิภาอาจทำให้วิชัยเกิดความเคลิบเคลิ้มครู่หนึ่ง ถ้ามีอะไรลึกซึ้งสักหน่อย ที่ไหนวิชัยจะยังต้องการความรักและความเห็นอกเห็นใจจากกานดาทั้งที่เขายังเข้าใจผิดว่าหล่อนเปรอะเปื้อนไปแล้ว เรื่องระหว่างวิชัยกับกานดาเมื่อคืนนี้ไม่ใช่จะเพิกถอนได้ง่าย ๆ เหมือนบัตรสมรส และความเคลิบเคลิ้มครู่หนึ่ง กานดาไม่ควรคิดยุ่งเหยิงอย่างอื่น หล่อนเป็นเมียที่เพียงแต่จะคอยการรับรองอันมั่งคงข้างหน้า ขณะนี้–น้องสาวที่รักหรือเพื่อนคู่คิดของกานดากำลังผจญกับความเป็นความตายอย่างหนึ่งในชีวิตหญิงอยู่แล้ว จิตรี! จิตรีกลับมาหากานดาเช่นเดียวกับวิชัย ชีวิตคืนนี้ของกานดาดูเหมือนจะได้คืนของรักเก่าแก่เกือบหมด! ความหมายของแววตา สีหน้าและคำพูดเสียงสั้น ๆ ของกานดา ซึ่งตอบวิชัยบอกเขาอย่างแจ่มแจ้งตามความนึกคิดข้างต้น

“แต่–คุณพี่คะ! คืนนี้–น้องเชื่อแล้วค่ะ–คืนนี้ไม่มีโทษหรือมีทุกข์ทั้งนั้น”

“น้องดา–”

แต่จิตรีร้องกรี้ด! กานดาก็หันไปหาความยุ่งเหยิงอย่างเก่า วิชัยวิ่งลงไปห้องครัวชั้นล่าง ตลอดเวลาที่เขาทำตามคำสั่งกานดา เขาได้ยินเสียงครวญครางของจิตรีเสียงพร่ำบ่นบางครั้งและเสียงอ่อนหวานของกานดาปลอบโยนอยู่เสมอ

“ไม่กี่นาที กานดาก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะพึ่งทำเสร็จหมด หล่อนไม่เคยมีความรู้หรือเคยสนใจเรื่องการผดุงครรภ์เลย นอกจากเคยผ่านตำรับประจำบ้านอย่างปะติดประต่อเต็มที ถึงกระนั้นเมื่อวิชัยกลับขึ้นมาพร้อมกับสิ่งที่ต้องการ เขาก็แลเห็นห้องนอนนางม้วนกลายสภาพเป็นห้องพยาบาลแบบหนึ่ง

จิตรีสวมเสื้อนอนสีไข่ไก่ของกานดานอนตาโพลงอยู่บนเตียง มีผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงอกเพราะอากาศกำลังเยือกเย็นยิ่งนัก บนโต๊ะเตี้ย ๆ ตัวหนึ่งซึ่งเคยวางของใช้จุกจิกของนางม้วน เวลานี้มีแต่อ่างน้ำ กล่องสบู่ ชามชำระแผลขวดน้ำยาและขวดโหลใส่สำลี ราวผ้าปลายเตียงมีผ้าขนหนูและผ้าขาวพาดอยู่หลายผืน กานดากำลังรื้อตู้ หยิบผ้าปูที่นอนที่ซักรีดไว้ออกมาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ อีกหลายชิ้น พอวิชัยจิ๋วกาน้ำขึ้นไปยืนรีรออยู่หน้าประตู กานดาก็รีบบอกโดยไม่ต้องหันมาดู

“เข้ามาเถอะค่ะ! คุณจิตรีอยู่ในระยะคอยเท่านั้น คุณพี่ชัยเอาน้ำใส่ถุงน้ำร้อนให้น้องด้วย เดี๋ยวนี้ยังไม่มีอะไรน่าวิตก” แต่เสียงกานดามีจังหวะขยักขย่อนอย่างหนึ่ง “น้องเปิดห้องคุณป้าไว้ แล้ว คุณพี่ไปพักที่นั่นก็ได้ถ้า–ถ้าคุณจิตรีถึงกำหนด เดี๋ยวนี้คุณพี่ช่วยปีนขึ้นไปหยิบตะกร้าหวายบนหลังตู้เก็บของลงมาทีค่ะ แปรงให้สะอาด! นั่นแหละค่ะ–ที่นี้ไปเปิดตู้ห้องโน้น แล้วขนหมอนอิงออกมาให้น้องดู อ้อ! เดี๋ยวค่ะ–คุณพี่พี่เปิดตู้ยาประจำบ้านในห้องคุณป้าอีกที น้องคิดว่าคงมีไลโซนสักขวด คุณป้าไม่เคยขาดยาพื้น ๆ พวกนี้เลย”

“แน่ละ”

วิชัยพูดได้เพียงแค่นั้น แต่มองกานดาด้วยความรู้สึกยกย่องอย่างสูง เมื่อเขาไปนำของที่หล่อนต้องการกลับมาอีก กานดากำลังตัดเสื้อผ้าสำลีของหล่อนเองออกเป็นเสื้อเล็ก ๆ สองตัว และขะมักเขม้นเย็บขณะที่จิตรีเริ่มจับบทครวญครางอีก

“อุ้ย–คุณดา! ดูฉันซิ–ท้องแข็ง–ฉันคง–”

“คอยดูก่อน” กานดาปลอบ “ประเดี๋ยวอาจหายไปอีก”

“อู๊ย–ไม่หายหรอก–เร็วซิ–มาช่วยฉันก่อนฉันเจ็บอีก อู๊ย–”

กานดาชำเลืองดูนาฬิกาเล็กบนโต๊ะ และพูดค่อย ๆ คน เดียว

“สิบห้านาทีต่อครั้ง–คงเดิม! ประเดี๋ยวหาย”

“เฮ้ย–!” จิตรีเสียงแหลม “รู้ได้ยังไง? ฉันอาจขาดใจตายเสียก่อนระหว่างคุณดาไปมัวนั่งเย็บอยู่ถึงโน่นฉันเจ็บมากแล้วนะ”

“ต้องเจ็บจากกระดูกสันหลัง–โดยเฉพาะตรงสะเอวออกมาหาหน้าท้อง”

“ถูกละ–เ ร็ ว เ ข้ า–ประคองฉันขึ้น!”

“คุณต้องนอนนิ่ง ๆ ต้องคอยให้เจ็บถี่ ๆ ทุกห้านาทีต่อครั้ง แล้วก็เจ็บจน–จนไม่มีระยะหยุดยาว ๆ อย่างนี้อีก”

“โอ๊ย–คุณดารู้ได้ยังไง?” จิตรีร้องอุง

“ฉันอ่านตำราประจำบ้าน–ฉันอ่าน–”

“โอ๊ย! ฉันคงตายแน่นอน! ใครเคยได้ยินว่าเขาทำคลอดด้วยวิธีอ่านหนังสือบ้า ๆ แบบคุณ”

“ใครเคยได้ยินบ้าง” วิชัยสอดเมื่อเห็นกานดามีอาการพรั่นพรึงเพิ่มขึ้น “ใครเคยได้ยินว่าคนใกล้จะตายยังสามารถส่งเสียงข่มขู่คนอื่นได้? น้องดาเขาช่วยตัวอยู่ไม่วางมือ! มาทำไมถึงนี่ เมื่อรู้ว่าตัวต้องอยู่ใกล้หมอแล้วจะต้องมาพบความขาดแคลนจนยุ่งเหยิงอย่างนี้ ทำไมไม่อยู่กับผัวหรือผู้คนของตัวล่ะ ตัวคิดว่ากานดาเป็นอะไรของตัว ถึงได้ข่มขี่เขาเสมอ?”

เมื่อวิชัยพูดจบ จิตรีก็หยุดครวญครางทันที กานดาเงยหน้าขึ้นจากเสื้อที่กำลังเย็บหลายครั้ง แต่มิได้แทรกแซงเหมือนเก่า นาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างเตียงคือสิ่งซึ่งกานดาสนใจนอกจากเสื้อ สิบห้านาทีต่อครั้ง–หล่อนคิด–ต้องคอยระยะเจ็บสิบนาที–ห้านาที จึงจะแน่ใจ จิตรีอาจเจ็บเตือนแต่ตำรับก็บอกว่า ต้องระวังเพราะเอาแน่นอนไม่ได้เรื่องท้องสาว อาจต้องคอยอีกทั้งวันรุ่งขึ้น หรืออาจต้องพบกับระยะเจ็บอันดุเดือดเดี๋ยวนี้ น่าประหลาด! กานดาเกือบจะปล่อยเสียงหัวเราะขบขันคนเดียว ในที่สุด สามชีวิต–คือ วิชัย กานดา และจิตรีก็ต้องกลับมาพบระยะดุเดือดด้วยกัน และก็ไม่วายจะต้องทุ่มเถียงเกี่ยงงอนกันด้วยเรื่องหยุมหยิมอย่างเด็ก! กานดาเย็บเสื้อสำลีของเด็กที่จะเกิดใหม่เสร็จพร้อมกับที่จิตรีเปลี่ยนเสียงครางเป็นเสียงหัวเราะขุ่น ๆ ขึ้นด้วย กานดาลงมือ ฉีกผ้าพันท้องและผ้าอ้อมอีกใหม่ แม้จะไม่ถูกแบบทีเดียวก็พอใช้ได้คราวฉุกเฉินเช่นนี้ ตะกร้าหวายเปิดฝาเอาหมอนอิงกรุข้างใน เรียบร้อยแล้ว แลดูไม่ผิดกับเปลเด็กเกิดใหม่มากนัก ผ้าน้ำมันสำหรับปูโต๊ะกินข้าวและคลุมจักรถูกเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และใช้แทนผ้ายางบนเตียงคลอดและในเปลตะกร้าก็ได้ กานดาวุ่นจัดเข้าของคนเดียวจนเสร็จ ระหว่างที่วิชัยกับจิตรีเถียงกันไปครางกันไปเป็นระยะ ๆ อยู่เสมอ

ยังไม่ถึงระยะใกล้เคียง แต่กานดาก็ว่างมือพอที่จะรู้สึกตะครั่นตะครอขึ้นอีก เผื่อจิตรีคลอดผิดปรกติ–เผื่อทุกสิ่งไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และความรู้อย่างคลุมเครือของกานดา จิตรีมิตายเปล่าหรือ? จิตรีได้รับความกระทบกระเทือนทางใจมาก เมื่อครรภ์แก่ก็ต้องกรากกรำร่างกายเกินควร ใครจะกล้ารับประกันว่าไม่มีอันตราย? กานดาตกลงใจไปปลุกยายจันกับเด็กลิ้นจี่ขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนอีก แม้จะตาบอดข้างหนึ่ง และหูหนักทั้งสองข้าง นางจันก็เคยให้กำเนิดแก่ชีวิตลูก ๆ หลายคน อะไรที่พวกกานดาไม่รู้ อาจเป็นเรื่องคุ้นเคยของนางจัน คืนนี้คนตาบอดจะช่วยจูงคนตาดีทั้งสามคนเพราะความมีอายุ และความรอบรู้เหล่านั้น!

หญิงชรากับหลานรู้ระแคะระคายเรื่องคุณ ๆ ที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่แล้วจึงตามมาที่ครัวเงียบ ๆ

“ยังไม่ถึงเวลาหรอกคุณ” คนแก่บอก “ต้องเจ็บถี่ยิบอย่างรวดเร็วก็ต้องดาวรุ่งถึงยอดมะพร้าว คุณอย่ากลัวที่คุณจิตรีสมบุกสมบันแบบนี้ ครั้งโน้นอีฉันเกือบปล่อยอ้ายลูกหัวแข็งคนแรกออกมาช่วยดำนาแน่ะคุณ อีฉันจะขึ้นไปเป็นเพื่อนเมื่อเธอเจ็บจนทนไม่ไหว หนูจี่เอาธูปไปปักศาลพระภูมิกับที่หัวบันไดด้วยนะ เจ้าประคุ้น–ขอให้ลุล่วงทั้งขึ้นทั้งลงตามฤกษ์งามยามดีด้วยเจ้าประคุ้ณ”

กานดาเอากาแฟกับนมอุ่นจัดไปให้วิชัยกับจิตรีคนละถ้วย ทันทีที่มีเรือเดินผ่าน วิชัยจะต้องไปตามหมอและส่งข่าวคนอื่น ๆ

“ทำไมคุณดาทิ้งฉันไว้นานนัก” จิตรีดื่มนมอย่างกระหาย แล้วจึงเริ่มกวนกานดาตามเดิม “ฉันอาจตายอยู่ลำพังกับคนใจโหดร้ายเหลือเกินก็ได้”

วิชัยลุกจากเก้าอี้หน้าจักรเย็บผ้า และเดินไปหาประตู แต่ต้องหยุดชะงัก เพราะจิตรีร้องตามอีก

“อ้าว! พี่ชัยจะไปไหนล่ะคะ? เรารึเจ็บจะตายอยู่แล้ว”

“จิตรีเกะกะเกินไป–พี่ก็จะหนีไปนอนน่ะซิ ถึงเวลาจริง ๆ พี่ก็อยู่ด้วยไม่ได้ น้องดากับยายจันต่างหากเขาจะทำหน้าที่แทนหมอ เธออย่าข่มขู่เขานัก”

จิตรีลุกขึ้นนั่ง

“น้องไม่ยอม–อย่าไปนะ! น้องกลัว–”

กานดาหันไปมองวิชัยอย่างวิงวอน เขาจึงกลับไปนั่งที่เก่า จิตรียอมให้กานดาประคองลงนอนอีก วิชัยขยี้ผมพลางพูดขุ่น ๆ คนเดียว

“ทำไมถึงเสี่ยงชีวิตมาเจ็บท้องถึงนี่! ทำไมไม่อยู่บ้านผัวกวนใจผัว หรือผู้คนของผัว? ผิดผู้ผิดคนเขาจริง ๆ จะทำให้เกิดข่าวอื้ออึงอีกแล้ว”

จิตรีหน้าแดงจัด และลุกขึ้นนั่งใหม่โดยไม่ฟังเสียงกานดา

“ดีเหมือนกัน! ถ้าพี่ชัยอยากรู้เหลือเกินก็จะบอกให้หมด ฉันไม่มีผัวอย่างที่พี่ชัยเย้ยหยันอยู่เสมอหรอก! คุณเผด็จเขาซุ่มมีเมียฝรั่งไว้ระหว่างอยู่เมืองนอกนานแล้ว–เป็นเมียถูกต้องตามกฎหมาย น้องสาวพี่ชัยเป็นเพียงผู้หญิงบำเรอหรอกค่ะ”

“คุณจิตรี!”

“นั่นแหละคือสาเหตุที่คุณกานดาหรือใคร ๆ คงเห็นว่าทำให้ฉันกับคุณเผด็จมีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่เสมอ ไม่ใช่ตะวันคนเดียว ถ้าคุณดาไม่คอยขัดคอคุณตะวันคราวนี้ฉันคงมีผัวถูกต้องตามกฎหมายเหมือนกัน คุณเผด็จแต่งงานหลอกลวงกับฉันเพราะอะไร เพราะเขาดูถูกว่าฉันเป็นหญิงสำส่อนเสียแล้ว เลยฟาดเงินเปล่ากับค่าเช่าบ้านสองหมื่นมาก่อน เขารู้–เผอิญรู้ว่าฉันต้องการเงินสองหมื่นไปใช้บัญชีธนาคารครั้งนั้น เขาอยากจะซื้อฉันไว้รับใช้ชั่วคราว ฉันคิดว่าเขาตั้งใจจริง กว่าจะรู้ตัวก็ต้องเสียตะวัน เสียตัวตลอดจนหลักฐานและความเชื่อถือทุกอย่าง เดี๋ยวนี้เมียฝรั่งเขาตามมากกกอดกันอยู่ เผด็จยังตีหน้าหลอกคนอื่นว่ารักใคร่หึงหวงฉัน ก็เพราะยังเย่อหยิ่งอยู่อีก เขาอาจขว้างฉันทิ้งเมื่อไรก็ได้ ถ้าเขาไม่หยิ่งหรือหยาบไปด้วยความมักมากเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งเขาคิดว่าเขาเป็นพ่อคน เขายังเห็นแก่ลูกในท้อง แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ต้องทำดีได้แล้วจึงทิ้งฉันหรือเลี้ยงฉันอย่างเลี้ยงขี้ข้าคนหนึ่ง นี่แหละฉันถึงไม่ยอมให้ลูกของฉันเกิดในบ้านของเผด็จ ในฐานะลูกขี้ข้าคนหนึ่ง! ฉันหนี–เสี่ยงชีวิตมาเพื่อให้ลูกของฉันเกิดภายใต้หลังคาคนในครอบครัวของฉัน เดี๋ยวนี้ฉันเป็นอิสระแล้วลูกฉันต้องเกิดมาอย่างคนเสรีเหมือนกัน ก่อนจะหนีมาฉันเขียนจดหมายบอกเผด็จไว้แล้วพร้อมกับเช็คสองหมื่นที่ทำให้ฉันกลายเป็นขี้ข้าของเผด็จ ตะวันส่งเช็คมาใช้คืนเพราะเขาไม่เคยเป็นขโมยเหมือนกัน”

กานดารู้สึกอ่อนเปลี้ยไปหมด เมื่อวิชัยซึ่งตกตะลึงเหมือนหล่อนพูดขึ้นค่อย ๆ คำหนึ่ง

“น่าชม!”

เสียงของวิชัยทั้งขื่นขมและเหยียดหยามยิ่งนัก จิตรีร้องขึ้น

“คนที่รู้จักแก้ไขความผิดอย่างตะวัน ชายที่มีเมตตาต่อหญิงและให้เกียรติยศหญิงอย่างเขา ไม่ควรได้รับชมด้วยเสียงเยาะเย้ยอย่างนั้น!”

“แน่นอน!” วิชัยตอบ “แต่มันออกจะสายเกินไป! ถ้านายตะวันมีหัวคิดแก้ไขทันเวลาก็จะน่าชมมาก ไม่ใช่ทิ้งจิตรีไว้ให้เผด็จซื้อไปบำรุงบำเรอความใคร่ของตัวเสียก่อนหรือไม่ใช่แอบมานอนแพกับกานดาที่กำลังใจแตกแล้วมีนิสัยอ่อนแออีกด้วย!”

กานดาสะดุ้งเยือก! มือที่กุมมือจิตรีอยู่สั่นริกและคลายออก จิตรีจึงยึดไว้เองขณะที่หันไปบอกวิชัยด้วยดวงหน้าซีดสลด

“เรื่องนั้น–หรือเรื่องนัดไปกินข้าวที่ภัตตาคารน้องเป็นคนนัดตะวันไว้เอง! ตะวันหลงทางมาค้างที่แพโดยเผอิญ คุณดาไม่เคยรู้เห็น! ตะวันเขียนจดหมายบอกน้องหมดพร้อมกับที่ส่งเช็คไปให้ เขาเขียนฝากให้พี่ชัยฉบับหนึ่ง–บอกเหตุผลว่า คุณดาไปพูดกับเขาที่แพและไปทุกแห่งกับเขา ก็เพราะเรื่องที่พี่ชัยกับเงินทองทั้งนั้น น้อง–น้องเห็นพี่ชัยโผล่ไปแจกบัตรแต่งงานกับวันวิภา โดยคุณป้าหรือพวกเราไม่เคยรู้ระเส็นระสายสักนิด–น้องก็คลั่ง! ถึงจะมีเรื่องยุ่งเหยิงยังไงน้องก็ไม่คาดฝันว่าพี่ชัยจะทอดทิ้งคุณดาได้ง่าย ๆ แล้วทำอะไรรวดเร็วเหลือเกิน ใจจริงของคุณดาก็คงไม่เชื่อว่าพี่ชัยจะทำถึงเพียงนั้น คืนนี้–เห็นได้ชัด ๆ ว่าคุณดายังหวังลม ๆ แล้ง ๆ เรื่อยอยู่ เขาไม่รู้อะไรเลย! น้องคลั่งขึ้นมาจึงพูดให้สะใจพี่ชัยกับคุณเผด็จเสียบ้างว่า ผู้หญิงยังมีลู่ทางทุกคนถึงเขาอาจจะถูกผู้ชายทรยศหลอกลวง ทึ้งเล่นแล้วก็ทอดทิ้งทั้งนั้น น้องจึงกักจดหมายตะวันเสียแล้วบอกพี่ชัยต่อหน้าคุณเผด็จ คุณพี่ผดุง กับคุณใหญ่ว่าคุณดาอยู่กับคู่รักแล้วหรือทำอะไรเปรอะเปื้อนไปบ้าง–ไม่ใช่ฝังตัวเองลงในหลุมระหว่างที่ผู้ชายเขาเที่ยวหาผู้หญิงใหม่ ๆ มากกกอดกันเสมอ แต่ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ คืนนี้น้องเห็นแล้ว–ผู้หญิงยังมักน้อยและไม่ระแวงเมื่อมีความรักแล้วยังยอมอกแตกหรือทนทุกข์ทรมานเหมือนเก่า นี่กระมังคะ–คือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงเป็นผู้หญิงอยู่เสมอ ทำไมพี่ชัยจึงคิดว่าคุณดาจะเปรอะเปื้อนไปง่าย ๆ? ตั้งแต่รุ่นจนสาว พี่ชัยก็อบรมและควบคุมเขามาเอง! น้องอาจเปรอะ–เพราะน้องไม่เคยให้ใครมาคุมน้อง นี่คุณดา! คุณดาแท้ๆ...โธ่! ทำไมพี่ชัยไม่เห็นเรอะคะ...คืนนี้ –ถึงจะเป็นพี่ชัยที่เขาเตรียมตัวยินยอมอยู่เสมอก็จริง แต่เมื่อ...เมื่อมาข่มขู่เขาเล่นเพราะคิดว่าจะซ้ำรอยผู้ชายอื่นให้สาสมใจที่อกุศลและขุ่นเข้มของตัวน่ะ พี่ชัยเห็นคุณดาดีใจ–แล้ว–แล้วเป็นเหมือนผู้หญิงบำเรอหรือคะ?”

คงไม่มีความเงียบอะไรในโลกค่อนรุ่งและเยือกเย็นอย่างนั้นอีกที่จะสงัดเงียบเชียบ เหมือนกับสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ได้มาถึงวินาทีแห่งความสิ้นสุดเสียแล้ว!

จิตรีร่ำไห้–เป็นเสียงสะอื้นเบา ๆ แบบหนึ่ง แต่บอกถึงความรันทดและเศร้าสยองยิ่งนัก! นั่นคือคำบอกตัวเอง! ลาก่อน! พี่ชายใหญ่ผู้เคยสง่างามด้วยรูปโฉมเกียรติคุณและเกียรติยศอยู่เสมอ ไม่มีอีกแล้ว–ตัวอย่างชายชาตรีผู้เคยมีความประพฤติสม่ำเสมอมานาน–เป็นที่เชื่อถือ ที่รักและที่พึ่งอันมั่นคง ‘ของเรา’ จิตรีร่ำไห้

ชายนั้นนิ่งเงียบ!

แต่ความนึกคิดของวิชัยก็แล่นไปบรรจบกับความนึกคิดของจิตรี ซึ่งแสดงตัวอยู่ในเสียงร่ำไห้และคำตัดพ้อพวกนั้นครั้งหนึ่ง เด็กหญิงผอมซีดถูกนางม้วน–แม่นมของวิชัยกับจิตรีจูงไปจากเรือนหอผดุงกับจรวย คุณจำรัสยื่นมือไปรับเด็กผอมพลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างนี้

‘มาแล้ว–หลานใหม่–มาหาป้ามะ’

ดวงตาโตดำแต่อ่อนอายและอ่อนโยนอย่างตานกพิราบ เป็นสิ่งเดียวที่น่าดูในตัวเด็กผอม แต่หล่อนเข้าไปหาคุณจำรัสโดยดี แม้จะชำเลืองดูเด็กชายกับน้องหญิงอย่างหวั่นหวาด นางม้วนก็มีเด็กในความดูแลเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแต่เด็กหญิงผอมมักจะติดตามคุณจำรัสอยู่เสมอ–กระทั่งวันหนึ่งคุณจำรัสไม่อยู่ เด็กหญิงผอมนั่งเคร่งขรึมคนเดียว เด็กหญิงอ้วนกลมน่ารักน่าเอ็นดูและเป็นขวัญใจของซอยสามบ้าน เรียกไปเล่นชิงช้าเท่าไรก็ไม่สำเร็จเลยแกล้งล้อเลียนเพราะเกิดขุ่นเคืองขึ้นมา

‘แม่ของเธออยู่ไหน–ยะ–ยะ?’

เด็กหญิงผอมสั่นศีรษะแต่ไม่พูด

‘ชั้นมีแม่ม้วน! ตัวไม่มีแม่–หน้าไม่อาย–เอ๊า–พ่อชื่ออะไร ยะ–ยะ?’

‘คุณพ่อผดุง’

‘คุณพี่ผดุงต่างหาก! พ่อตัวที่ไหนกัน ชั้นมีคุณพี่ผดุงคุณพี่วิชัย ชั้นชื่อจิตรี! ตัวชื่ออะไรยะ–ยะ’

“คุณดา–กานดา”

‘ใช่เมื่อไหร่! คุณป้าจำรัสเรียกตัวว่าหลานตัวต้องชื่อคุณหลาน’

“งั้นเลิกล้อคุณหลานซิคะ” เสียงนางม้วนไกล่เกลี่ยออกมาจากหลังบ้าน คุณจิตรีมีคุณพี่มากก็ต้องชื่อ....

‘ต้องชื่อคุณน้องน่ะซิ’

เด็กผอมพูดอีกอย่างที่นางม้วนหรือเด็กหญิงจิตรีคาดไม่ถึง แม้เด็กชายวิชัยที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนเข้ามายืนฟังอยู่ด้วย ก็รู้สึกขบขันแกมประหลาดใจที่เด็กผอมแสดงหัวคิดอันคมคายขึ้นมา

“ชาติลูกหม้อเหมือนกัน!”

นางม้วนออกความเห็นดัง ๆ แต่เด็กชายวิชัยหัวเราะลั่น จนจิตรีโมโหที่ชื่อใหม่ของตัวกลายเป็นเรื่องล้อเลียนเล่นได้

“เด็กดา–เด็กแมงดา คอยดูนะ!”

จิตรีโผนลงจากชิงช้า และตรงเข้าดึงปลายเปียของกานดา เด็กผอมร้องเบา ๆ แล้วลุกขึ้นวิ่งหนี วิชัยช่วยจับแต่เมื่อกานดาถูกดึงตัวไว้หล่อนก็ทิ้งตัวลงกับดินและเงยหน้าขึ้นมองวิชัย เขาเห็นน้ำตาเปี่ยมปริ่มดวงตาคมขำของเด็กผอม

“คุณพี่! อย่าทำ น้องดาเจ็บ”

วิชัยก็อุ้มหล่อนขึ้นให้พ้นจากมือไขว่คว้าของจิตรีผู้ส่งเสียงกรี๊ด ๆ และเต้นเหยง ๆ อยู่ด้วย

‘อย่าร้อง...’ เขาปลอบ ‘นิ่งเถอะ! พี่ไม่ทำอะไรหรอก–แล้วจะไม่ทำน้องดาเจ็บ–จนตาย’

ตั้งแต่วันนั้นมาวิชัยก็กลายเป็นที่พึ่งของเด็กผอมผู้นั้นเสมอ เมื่อเขามีเวลาเล่นกับหล่อน กานดาเลิกตามคุณจำรัส หล่อนกลายเป็นคู่แฝดกับจิตรีและคอยตามวิชัย ชีวิตเด็กทั้งสามก็มีความผูกพันเพิ่มขึ้น

ครั้นแล้ว–กาลเวลาล่วงไป ชีวิตและความรู้สึกของคนเย่อหยิ่งยุคใหม่ก็พลอยปรวนแปรไปด้วย เขาก้าวข้ามสิ่งซึ่ง ‘เขามิได้คิดค้นขึ้นเอง’ และเขาเรียกว่าสิ่งล้าสมัยของยุคเก่าเกือบหมด–แม้จะเป็นสัจธรรมที่ยั่งยืนอยู่เสมอ

วิชัยสำนึกตัวแทนที่จะเปล่งเสียงโศกสะอื้นออกมาไม่ทันตาย–แต่เขาได้ใช้ความเย่อหยิ่งยุคใหม่อันมีความระแวง ความอาฆาต และความเขรอะขระของกิเลสลงโทษทรมานหญิงบริสุทธิ์ซึ่งเขาเคยเลี้ยงรัก ทะนุถนอมและยกย่องอยู่เสมอ

เมื่อเขาพบกานดาอยู่ในสภาพเคว้งคว้างคนเดียว วิชัยคิดว่าหล่อนกลับมาสารภาพผิดเหมือนหญิง ‘หลงทาง’ ทั่วไป เขาเองได้เปลี่ยนทางชีวิตตนเองและคนอื่นจนปั่นป่วนไปแล้ว เขาอยากพบมารดาซึ่งดูเหมือนตั้งใจหลบหนีความยุ่งเหยิงของลูกหลาน เพื่อสารภาพผิดที่เขาต้องทำการฉุกเฉินเช่นนั้น คืนนี้เขาพบกานดาซึ่งอยู่ในสภาพที่เขาคิดว่าเสื่อมทรามเสียแล้ว หล่อนไม่มีอะไรจะหยิ่งผยองอย่างเก่า–เกินหน้ามารดาและน้องสาวของเขาอีก ความเข้าใจผิดแต่สมกับความคิดที่เขาเคยรู้สึกต่อกานดาบางครั้งทำให้วิชัยปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามข่าวลืออันรุนแรงเหล่านั้น เขาถือสิทธิในตัวกานดาอย่างคนมีเกียรติกว่าหล่อน เขาอาจคิดว่าเขาได้ให้ความคุ้มครองกานดาเพราะเขายังอาลัยหล่อนมาก หรือเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ก็ตาม เขาเคยยืนยันกับจิตรีว่า ‘ถึงฉันแต่งงานกับคนอื่น กานดาก็ไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านเลย ฉันเลี้ยงของฉันได้’ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่อาจเลี้ยงหล่อนด้วยความยกย่องอย่างเก่า

กานดา–ดอกไม้บูชาพระผู้นั้นดูช่างตกต่ำเต็มที! วิชัยถือสิทธิ์ในตัวกานดาเพราะความรู้สึกขุ่นเคืองข้อนี้ แต่ในที่สุด วิชัยก็ได้สำนึกในเวลารวดเร็วเหลือเกิน เขาคือคนที่ฉุดกระชากกานดาลงไปสู่ความต่ำช้าน่าเหยียดหยามยิ่งกว่าใคร ๆ เขารู้! หล่อนรักเขา แต่หล่อนไม่สามารถจะชื่นชมในความรักอันเขรอะขระคืนนี้ นั่นคือกานดา–วิชัยได้ทำร้ายหล่อนทางความรู้สึกอันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าทางกายเสียอีก หล่อนแอบสะอึกสะอื้นออกมาแม้อยู่ในวงแขนของเขา คืนนี้เขาได้ทำร้ายกานดาแล้ว–มิได้ทะนุถนอมหล่อน ‘จนตาย’ ตามคำสัตย์และความนึกคิดครั้งโน้น

น้องสาวของเขา–จิตรีร่ำไห้อยู่! จิตรีต้องคิดอย่างเขาคิด เขาทำร้ายซึ่งกันและกันจนปวดร้าวทุกข์ระทมทั่วไป แต่กานดาผู้อ่อนโยนอยู่เสมอ–เคยทำให้ใครระส่ำระสายสักครั้ง กลับเป็นคนที่ถูกรุมประหัตประหารอย่างน่าเอน็จอนาถนี่กระไร

จิตรีเห็นพี่ชายไม่ตอบคำถามตรงไปตรงมาเมื่อกี้ก็ทวนถามอย่างพลุ่งพล่านขึ้น

“เมื่อคืนนี้พี่ชัยเห็นคุณดายินดีจะเป็นผู้หญิงบำเรอหรือคะ–ขอให้บอกน้องซื่อ ๆ สักครั้ง!”

“คุณจิตรี!” กานดาขัดขึ้น ใบหน้าที่เคยขาวนวลจนเกือบซีดกลายเป็นแดง มือข้างที่โอบไหล่จิตรีอยู่ก็ตกลง “เรา–เราผิด เพราะ–เผลอตัว! แต่ฉัน–คุณพี่ชัยไม่ถึงกับจะถือฉันเป็น– เป็นผู้หญิงบำเรอหรอกค่ะ”

จิตรีลืมสภาพคับขันของตนหมด

“คุณดา! เดี๋ยวนี้คุณดาก็ยังรักพี่ชัยยิ่งกว่าฉัน หรือใคร ๆ อยู่อีก! คอยแก้แทนทุกครั้ง พอฉันต้อนพี่ชัยจนมุมคุณดาก็โกรธ–ไม่ยอม ให้ฉันตายในวงแขนคุณดาเดี๋ยวนี้” เสียงจิตรีแหลมดัง “ดูเถอะ! ทำไมถึงหูตามืดมัวมากนัก! เมื่อตะวันส่งใบกู้เงินของคุณดากับใบกู้ที่พี่ชัยค้ำประกันไปให้ฉันช่วยเก็บ เพราะคุณดาไม่เอาใจใส่เสียเลย ฉันก็หมดสติไปพักหนึ่งแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงทรัพย์สินนอกกาย คนเราอาจเสียสละให้แก่กันก็ได้และชดใช้กันได้ แม้ที่สุดจะถูกโกงจนหมดแล้ว เราก็อาจเอาคืนสักวันหนึ่ง แต่ร่างกายเราความบริสุทธิ์ของเราและเกียรติยศผู้หญิงอย่างเรา ถ้าลงได้ปล่อยปละไปแล้วก็เหมือนสูญเปล่าไปหมด ไม่มีวันจะได้ทดแทนทั้งสิ้น!”

“ถ้าสละให้ชายคนรัก–หรือ–หรือผัว–ผู้หญิงธรรมดาก็ไม่คิดถึงเรื่องเสียเปล่าหรือการทดแทนทั้งสิ้น”

เสียงกานดาที่ตอบจิตรี ไม่แสดงว่าภาคภูมิหรือโต้แย้งอย่างใด กานดาเพียงแต่กล่าวถึงทฤษฎีชีวิตตามความจัดเจนจากชีวิต พอขาดคำกานดา จิตรีก็ใช้ศอกยันตัวขึ้นครึ่งหนึ่ง หน้าแดงจัดบอกถึงความรู้สึกที่ปั่นป่วนไปแล้ว

ฉันเลว–ฉันใจดำ! ฉันเคยเคี่ยวเข็ญคุณดา! แต่ฉันจะไม่ยอมร่วมมือมอมคุณดาให้เปรอะเปื้อนไปด้วย คุณดาอาจพูดถูกที่ว่าหญิงต้องยอมเสียสละให้คนรักหรือผัวโดยไม่นึกถึงการทดแทนทั้งสิ้น ฉันรู้–เพราะฉันเคยมีคนรัก–และไม่เคยมีผัว–” ถึงตรงนี้เสียงจิตรีมีกังวานเศร้าสยองอย่างหนึ่ง “นายเผด็จเขาไม่รับรู้กระทั่งลูกในท้อง ถ้ามันเกิดมามีชีวิต ฉันจึงจะฆ่ามันเสียเพื่อช่วยสังคมไม่ให้มีลูกไม่มีพ่อเพิ่มขึ้น”

“คุณจิตรี!”

“นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันอุ้มท้องมาหาคุณป้าในคราวคับขันคืนนี้ เด็กไม่มีที่เกิด ฉันก็ไม่มีที่จะกำจัดมัน แต่คืนนี้ เราจะฆ่ามันเสียที่นี่–ฆ่ามัน! ไม่เป็นไร–เรื่องของฉันคนเลว แต่คุณดาน่ะ เสียเปล่าไปแล้ว พี่ชัยไม่ใช่คนรักของคุณหรอก เขาไม่รักคุณดาเลย เขาจึงผลีผลามแต่งงานกับวันวิภาเมื่ออาทิตย์ก่อน คุณดา! เข้าใจไหม? เขาแต่งงานกับวันวิภาแล้ว! เขาจึงไม่ใช่ผัวคุณดาจริง ๆ คุณดาจึงจะไม่มีโอกาสได้เขาเป็นผัวด้วยวิธีจดทะเบียนแบบนั้น ดูหน้าเขาซิ! ฆ่าเสีย! ฉันจะช่วยคุณดาฆ่าผัวชายที่ชอบทำยอกย้อนอย่างนี้ นายเผด็จก็จะถูกฉันฆ่าสักวันหนึ่ง–ถ้าฉันไม่ตายเสียคืนนี้พร้อมกับลูกไม่มีพ่อในท้อง โธ่! คุณดา! เผด็จวิ่งไปตามคุณถึงไหนก็ไม่รู้ เขาคิดว่าคุณหนีตามตะวันซึ่งเป็นคนอื่น เขาอาจฆ่าตะวันเสียง่าย ๆ เพราะคิดว่าตะวันพร่าเกียรติยศผู้หญิงอย่างเรา เผด็จไม่สำนึกสักนิดว่าตัวเองพร่าเกียรติฉันสักเท่าไรแล้ว และคุณดาก็ถูกคนใกล้ชิดที่สุดนี่เอง ทำลายล้างเหยียบย่ำอยู่ภายในบ้านของเราเอง อนาถไหม? มองหน้าพี่ชัยซิ! คุณดา! เดี๋ยวนี้คุณกับฉันไม่มีพี่หรือผัว เราเป็นคนเสเพลพวกหนึ่ง!”

หน้านั้น! หน้าของวิชัย–ที่พึ่งอันเป็นที่รักและมั่นคงของญาติ กลายเป็นดวงหน้าอันว่างเปล่าไปหมด หัวใจกานดาก็พลอยว่างเปล่าไปด้วย

“น้องดา!” วิชัยเรียกและกางแขนออก สีหน้าและนัยน์ตาของหญิงผู้ยืนมองเขาอยู่ ทำให้เขาตื่นจากอาการตกตะลึงเหมือนถูกต่อยตีเต็มแรง “มาหาพี่! เราจะพากันไปหนีไปอยู่ที่อื่น–ที่จะไม่มีใครเรียกน้องดาเป็นหญิงเสเพลพวกนั้น! น้องดา–”

มีเสียงอุทานค่อย ๆ ครั้งเดียว แล้วกานดาก็ผวาวิ่งไปหาเสียงเรียกและวงแขนของวิชัย ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นกานดาก็ชะงักอยู่เพียงครึ่งทาง ทั้งจิตรีและวิชัยเห็นชัดว่ากานดาสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“คุณพี่คะ! ขอ–ขอให้บอกน้องเองอีกครั้ง เวลานี้น้องเป็น–เป็นอะไรของคุณพี่?”

“น้องดา!” เสียงวิชัยแหบเครือและแขนที่อ้าคอยหล่อนอยู่ก็ตกลงข้างตัวตามเดิม “น้องดาเป็นสุดที่รักของพี่คนเดียว ดา! ดา! ได้ยินไหม? เมียหรืออื่น ๆ ไม่สำคัญกว่าน้องเลย เรา–พี่กับน้องจะหนีไปด้วยกัน”

“ค่ะ! ค่ะ! แต่คุณพี่มีเมียที่ไม่ใช่น้องก่อนหน้าคืนนี้แน่เรอะคะ?”

“พี่คลั่ง!” เขาบอก “พี่บ้าไปพักหนึ่งเพราะเชื่อว่าน้องเปรอะเปื้อนไปแล้ว จิตรีบอกว่าน้องอยู่กับตะวันที่แพสองต่อสองแล้วคืนหนึ่ง พี่คาดไม่ถึงว่าเขาพูดประชดพี่หรือพาโลน้องเท่านั้น นิสัยจิตรีกับพี่ฉุนเฉียวเหมือนกันเพราะ...” วิชัยยั้งทันและมองตาหญิงผู้ยืนตัวแข็งอยู่ “เพราะอะไรน้องก็รู้แล้ว แต่พี่รับละว่าพี่คลั่งหรือพี่โง่เขลาคนเดียว โธ่! ดา! เดี๋ยวนี้พี่รู้แล้วว่าเรา...”

จิตรีร้องกรี๊ด

“เรารุมทำร้ายคุณดาคนเดียว เพราะเราชั่วและเราโกรธแค้นคนอื่น! โอ๊ย! ฉันไม่อยากตายเลย แต่คิดถึงคุณดาจะต้องทนทุกข์และอับอายอีกมาก เพราะมือพวกเราเองแล้วฉันก็อยาก–อยากให้เผด็จตีฉันตายเสียก่อน ต้องมารู้สึกเจ็บใจจะขาดคืนนี้”

กานดาเพ่งดูวิชัยเฉยอยู่ แต่พอจิตรีร้องกรี้ด และทิ้งตัวลงนอนราบตามเดิม กานดาก็สะดุ้งคล้ายคนตื่นจากฝันร้าย วิชัยก้าวเข้ามาฉวยตัวหล่อนกอดไว้แน่น กานดายังสั่นเทา ๆ ทั้งตัว แต่หล่อนบอกเขาด้วยศีรษะที่ยกผยองอยู่อีก

“คุณพี่ลงไปช่วยลิ้นจี่พยุงยายจันขึ้นมาบนนี้เถอะค่ะ คุณจิตรีเห็นจะคลอดแน่ น้องทิ้งเขาไว้ไม่ได้”

“ดา! พี่รักน้อง”

หน้าของหล่อนที่แนบคางของวิชัยอยู่เย็นเยือกอย่างประหลาด

“น้องรู้ค่ะ! คุณพี่ไปข้างล่างเร็วซิคะ”

เขาจำใจปล่อยหล่อนและทำตามคำสั่ง ซึ่งยังมีกังวานอ่อนโยนอยู่เสมอ เมื่อวิชัยช่วยพายายจันกลับขึ้นมาและส่งเข้าไปในห้องคลอดชั่วคราวแล้ว เขาก็เดินวนเวียนอยู่หน้าห้องนั่นเอง เขาไม่อาจโผล่เข้าไปดูด้วยตาอีก แต่เขารู้เหตุการณ์เกือบทุกระยะ เพราะเสียงหญิงสามคน ยายจันแนะนำอย่างหนักแน่นและเชื่อมั่น เพราะความจัดเจนจากชีวิต กานดาปฏิบัติคนไข้และปลอบโยนอยู่เสมอ จิตรี–จิตรียังเป็นจิตรีตามเดิม ภายในห้องและระยะใกล้กันมีแต่เสียงคร่ำครวญอย่างคลุ้มคลั่งของหล่อน

“คุณดา! รู้ไหม–เชื่อไหมว่าฉันเจ็บมาก?”

“ฉันรู้ค่ะ–ฉันเชื่อ”

“ไม่จริงละ! ทำไมจะรู้ได้ คุณดาไม่เคยมีลูก–ทำไมรู้?”

“ฉันรู้เพราะฉันรักคุณจิตรีเหลือเกิน”

“โธ่! คุณดา! ฉันรักคุณดาแต่ฉันกลับมีส่วนทำให้คุณดาเป็นหญิงเสเพลพวกหนึ่ง”

แล้วจิตรีก็ตั้งต้นครวญคราง และร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกใหม่ กานดายังมีมานะปลอบโยนอย่างเก่า ดูเหมือนช่วโมงสำคัญของจิตรี ก็เป็นชั่วโมงสำคัญของกานดา เป็นแต่กานดาเผชิญชั่วโมงนั้นด้วยความอดทนและเยือกเย็นอยู่เสมอ บางครั้งวิชัยหลงคิดไปว่าในห้องคลอดก็มีกานดาคนเดียว และหล่อนกำลังจะให้กำเนิดลูกคนแรกที่เกิดกับเขา แต่เมื่อสำนึกถึงความเป็นจริงทุกอย่างแล้ว วิชัยก็ขยี้ผมตัวเอง กำหมัดจนนิ้วทุกนิ้วแทบจะหักเปรี้ยะ ๆ ไปหมด

“เมื่อไหร่จะถึงกำหนดนะคุณดา?”

“เดี๋ยวก็ถึง–ถ้าคุณเจ็บถี่จนคิดอะไรไม่ออก และเจ็บมาก”

“เจ็บมากยังไง? คุณดาโยกโย้อยู่ได้! เจ็บยังไงเมื่อนาทีสุดท้ายน่ะ?”

“ก็เจ็บเหมือน–ง่า–ไม่มีใครเคยรู้หรือจำได้หรอกค่ะว่าเจ็บ ยังไงเมื่อจวนจะคลอด”

“ใครบอก?”

“ตำรามี–ง่า! ยายจันก็บอกยังงั้น จริงไหมจ๊ะ ยาย?”

“ผู้หญิงทุกคนไม่เคยจำได้หรอกค่ะว่า เขาเคยเจ็บท้องก่อนคลอดสักแค่ไหน” หญิงชราช่วยยืนยัน “อีฉันเจ็บห้าท้องไม่เคยจำได้ เคราะห์ดีนะคุณเจ้าขาที่ผู้หญิงเราจำไม่ได้ตอนสุดท้าย ถ้าผู้หญิงจำได้มนุษย์หลังๆ ก็คงเกิดมาไม่ได้ ประเดี๋ยวก็ลุล่วงหรอกค่ะ”

จิตรีร้องดัง

“งั้นก็แปลว่าฉันต้องเจ็บขนาดจำอะไรไม่ได้จึงจะพ้นทุกข์พ้นร้อนละซิ! ฉันคงขาดใจตายตอนนั้น นี่คุณดาจะปล่อยให้ฉันตายเรอะ? คุณดา! คุณดา!”

“ฉันอยู่นี่! กอดคุณอยู่–บีบมือคุณอยู่”

“ยัง–ยังไม่คลอด! ยังไม่ตาย! แต่ถ้าลูกไม่มีพ่อมีชีวิตอยู่ คุณดาต้องฆ่ามันเสีย พ่อมันไม่ต้องการมัน ฉันไม่ต้องการมัน ไม่มีใครต้องการมัน เอามันไปทิ้ง–ฆ่ามันเสีย! สัญญา”

“ฉันสัญญาค่ะ–ฉันจะเอาไปเอง”

“โอ๊ย”

วิชัยพรวดพราดไปที่ประตู แต่ก็ถอยกลับออกมาข้างนอก เหงื่อซึมโซมหน้าผากทั้งที่อากาศเยือกเย็นยิ่งนัก เขาผละเข้าไปในห้องมารดา ดูเหมือนในห้องก็พลอยเปล่าเปลี่ยวและอบอ้าวอีกด้วย กานดา! กานดาอาจต้องเผชิญชั่วโมงแสนเข็ญของผู้หญิงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาอาจไม่ได้อยู่ใกล้หล่อนและให้ความอุปการะตามหน้าที่อันควรของผัว เขาเป็นผัวหญิงอื่นแล้ว แต่กานดาอาจอุ้มท้องและให้กำเนิดแก่ลูกไม่มีพ่อเหมือนจิตรี–หรือหญิงเสเพลผู้หนึ่ง!

“คุณพระช่วย!” วิชัยโซเซไปพิงขอบหน้าต่างและมองออกไปที่ภาพภายนอกในแสงเดือนค้างคนเดียว “ดา! ดา!”

เดือนค้างฟ้าเต็มดวง ดูเหมือนภาพเขียวมัว ๆ มากขึ้น แต่เหนือยอดมะพร้าวทิศตรงข้ามดาวประกายพฤกษ์กำลังเปล่งประกายโชติช่วง วิชัยได้ยินเสียงเล็ก ๆ และสดใสร้องกระชั้นราวกับเสียงนกกางเขน ครู่หนึ่งอากาศกลับสงบสงัดและเยือกเย็นอย่างเก่า เด็กเกิดใหม่มีชีวิตอยู่และมีเสียงใสเย็นอย่างประหลาด!

เรือยนต์ลำเล็กบรรทุกพวกซอยสามบ้านครบครันมาถึงบ้านไร่ตั้งแต่จิตรีคลอด มีแพทย์และพยาบาลติดมาด้วย ใครควรอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็อยู่ตามที่ทางและทำหน้าที่ถูกถ้วนทั้งนั้น

ความชุลมุนเบื้องต้นก็สิ้นสุดไปพร้อมกับที่วันใหม่มาถึง ทุกคนทำเหมือนเหตุการณ์ยุ่งเหยิงอย่างนั้นเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ไม่มีใครกล้าแสดงความประหลาดใจเมื่อพบกานดาอยู่ที่บ้านไร่ ภายหลังที่ใคร ๆ คิดว่าหล่อนไปเที่ยวผจญชีวิตอยู่ที่อื่นไม่มีใครทบทวนถึงเรื่องเก่า ผดุงไม่ยอมเคลื่อนไหวเมื่อมีข่าวลูกสาวคนเดียวหนีตามตะวันไปหัวเมือง เผด็จติดตามข่าวตะวันไปจนถึงจันทบุรี และได้ปะทะกับตะวันสมใจอยากด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะเรื่องกานดาหรืออาจเป็นเรื่องแหลมเหลืออันเก่าแก่ก็ได้! คุณจำรัสกับนางม้วนมีโอกาสได้ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของตะวัน และพากันรีบกลับกรุงเทพฯ ทั้งหมดเมื่อเหตุการณ์ที่น่าห่วงใยยิ่งขึ้น เขาต้องออกติดตามจิตรีอีกคนหนึ่งและได้พบความจริงที่บ้านไร่คุณจำรัสทุกประการ เขาทุกคน–ทั้งผู้มีอายุและหนุ่มสาวสำนึกว่า

“ความจริงที่ไม่ถูกกาละเทศะและอุปาทานก็เหมือนเป็นความเท็จทั้งนั้น”

ความจริงกานดาจะผ่องแผ้วเพียงไร หล่อนก็ดูเหมือนขะมุกขะมอมหมดแล้ว ในที่สุดกาลเวลาสิ่งแวดล้อมและความคิดคนสมัยหลังสงครามก็ท่วมท้นไปถึงหญิงบริสุทธิ์จนต้องเปรอะเปื้อนไปจริง จิตรี เผด็จ ตะวันหรือผู้มีประวัติเขรอะขระคนอื่นอาจเป็นเพชรน้ำหนึ่งในคราบอันขะมุกขะมอมเหมือนกัน กานดาเป็นตัวอย่างของคนดีหรือดอกไม้บูชาพระที่มักจะถูกเหยียบขยี้อยู่เสมอเมื่อถึงเวลาที่คนอย่างหล่อนยับเยินอย่างทุเรศ คนอื่น ๆ จึงจะสำนึกถึงความเขรอะขระของตัวและมองเห็นคุณค่าคนพินาศแล้ว นี่แหละคือโลกและความเป็นไปในโลกส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นรอยลิขิตภายใต้การควบคุมของมนุษย์แท้ ไม่มีใครกล้ารบกวนกานดาอีกไม่ว่าเรื่องดีหรือร้าย เพราะเขาคิดว่าความดีชั่วของหล่อนได้มาถึงสุดขอบเขตของมันแล้ว เขาควรให้ความยุติธรรมแก่กานดาผู้บริสุทธิ์เสียที่นั่นคือไม่มีอะไรจะประเสริฐ แต่การที่เขาจะเงียบกริบกันหมด ไม่ว่าในกรณีใด ๆ! กานดาจึงได้ขลุกอยู่กับหลานหญิงที่เกิดใหม่ตามลำพังตลอดคืนนั้น อนึ่งกานดาได้อยู่กับทารกลำพังก็เพราะจิตรีอาการร่อแร่เหลือเกิน

ทุกคน–แม้แต่นางม้วนและนางแม้นต้นห้องของจรวยก็ไปชุมนุมกันอยู่บริเวณห้องคนป่วยกันหมด ไม่มีใครสนใจทารกซึ่งถูกย้ายไปอยู่ห้องคุณจำรัสในชั่วโมงแห่งความเป็นความตายของจิตรี แพทย์สนิทของครอบครัวให้เหตุผลที่จิตรีมีอาการทรุดลงอย่างกะทันหันทั้งที่ร่างกายยังแข็งแรงและคลอดบุตรเรียบร้อยตามปรกติดังนี้

“ในระยะต้นเธอปล่อยตัวตามสบายไปหน่อยแต่พอถึงกำหนดกลับกรากกรำร่างกายเกินควร จิตใจจึงพลอยปั่นป่วนไปหมด ผลสะท้อนระยะหลังจึงเกิดจากการบีบบังคับของจิตใจจนร่างกายหมดกำลังต่อสู้เสียแล้ว ความจริงคุณจิตรีคลอดอย่างปรกติ แต่จิตใจไม่ปรกติทำให้ร่างกายมีอาการที่เราคาดไม่ถึงและเอาแน่นอนไม่ได้”

ทุกคนเข้าใจคำของนายแพทย์เมื่อได้ยินเสียงเพ้อคลั่งของหล่อน จิตรีร้องเป็นระยะ ๆ อยู่เสมอ

“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! เอาลูกไม่มีพ่อไปให้พ้น! ลูกไม่มีพ่อ!”

เผด็จต้องทนขยอกถ้อยคำเคียดแค้นของตน จรวยและวิชัยผู้เคยบริภาสจิตรีด้วยถ้อยคำยอกแสยงอย่างนั้นก่อนจึงสำนึกเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน จิตรีอาจหละหลวมและผิดพลาดเพิ่มขึ้น แต่จิตรีรู้จักผิดชอบและราคาเกียรติยศอยู่เสมอ จิตรีจะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ต้องการอย่างดุเดือดและตรงไปตรงมาเหมือนเก่า

ก่อนที่หมอจะฉีดยาระงับให้จิตรีหลับไป เสียงเพ้อคลั่งของจิตรีก็ทำให้สติที่เคยมั่นคงของเผด็จต้องปั่นป่วนไปอีก เขาตรงเข้าไปที่เตียงจิตรีและก้มลงเผชิญหน้าหล่อนอย่างเคียดแค้นครู่หนึ่ง

“นิ่ง! เด็กนั่นเป็นลูกสาวผมเอง! ถ้าคุณอยากฆ่ามันเพราะเป็นลูกของผมจริง ๆ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูมันเลย”

จิตรีมองหน้าเผด็จเหมือนเพิ่งจำได้ แต่แล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่นคนเดียว

“ฉันไม่ยอมให้คุณเอามันไปให้เมียคุณเลี้ยงนะ! ฆ่ามันเสียดีกว่า!”

เผด็จเอื้อมไปบีบไหล่จิตรีแล้วก็ยืนยันต่อหน้าคนอื่น ๆ ด้วยเสียงดุเดือดดังนี้

“เมียไหน? นอกจากคุณก็ไม่มีใครอีกแล้ว! เอลิซาเบ็ธเป็นเพียงเพื่อนดีที่สุดในคราวคับขันของชาย เขาช่วยเหลือผม เรายังติดต่อกันเพราะกิจธุระและอัธยาศัยธรรมดา เดี๋ยวนี้เขาก็อยู่บ้านเมืองเขา ผมแกล้งอ้างชื่อเขาเพราะคุณชอบอ้างชื่อชายอื่นแล้วยังเกะกะเกินไป”

“ขี้ปด!”

แต่เสียงปรักปรำของจิตรีลดความรุนแรงลงมากดูเหมือนคำสารภาพของเผด็จสามารถปลดเปลื้องอาการคลุ้มคลั่งของหล่อน จิตรีนอนนิ่ง นัยน์ตาหล่อนและเผด็จประสานกันอย่างเคร่งครัดครู่หนึ่ง คราวนี้นัยน์ตาคนทั้งคู่แสดงความเข้าใจกันและเริ่มอ่อนโยนอย่างประหลาด จิตรีพูดระคนสะอื้นอีกใหม่

“ขอ–ขอลูกฉันเถอะค่ะ! คุณดาพูดถูก–ฉันจำไม่ได้เลยว่าฉันเจ็บปวดยังไงเมื่อลูกเกิด แกร้องเสียงเพราะเหลือเกินค่ะ! เผด็จคะ! ลูกฉัน–ลูกฉันมีเสียงใสเย็นอย่างเดียวกับคุณดา!”

เผด็จนั่งลงที่ขอบเตียง

“เราต้องขอให้คุณดาเป็นแม่ซื้อลูกของเรา”

จิตรีร้องไห้ดัง คนที่ได้ยินพลอยรู้สึกเยือกเย็นยิ่งนัก

“เผด็จคะ! คุณดาเป็นแม่ได้ดี ถึงเขาจะเป็นเมียไม่ได้! คุณดา–”

แต่กานดาไม่มีโอกาสได้ยินข้อความที่น่าชื่นชมและยอกสยองอย่างนี้ เมื่อคนคลายความวิตกเรื่องจิตรีซึ่งกลับมีอาการกะเตื้องขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้งหนึ่งเขาก็หากานดาไม่พบเสียแล้ว หล่อนหายไปพร้อมกับตะกร้าหวายซึ่งใช้เป็นเปลชั่วคราวของทารก หล่อนเขียนบอกไว้ที่กระจกเงาในห้องคุณจำรัสย่อ ๆ อย่างนี้ –

–โปรดนอนใจเสียเถิด กานดาจะเอา ‘เต็มดวง’ น้อยกับตัวเองไปให้พ้นทุกคนตามสัญญา–

เกิดโกลาหลกันอีกพักหนึ่ง จิตรีสลบทันทีที่รู้เรื่องแต่คราวนี้ไม่มีใครทุ่มเถียงกล่าวโทษใครจนยุ่งเหยิงอย่างเก่า กองติดตามแยกย้ายกันไปทั้งทางน้ำทางบก จนบ่ายวันใหม่สายติดตามของตะวันจึงพบกานดากับตะกร้าทารก ท่ามกลางกอข้าวตกค้างแปลงหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครคิดจะไปดู กานดาคงตั้งใจจะหลบหนีไปหารถที่ปากซอยสุขสันต์ทางด้านหลังขณะที่ความคิดของหล่อนปรวนแปรไปหมดแล้ว หล่อนนอนสิ้นสติ แต่ทารกซึ่งหล่อนตั้งชื่อว่า ‘เต็มดวง’ อยู่ในตะกร้าฝาปิดอย่างปลอดภัย ตลอดเวลา ๕–๖ ชั่วโมง หมอบอกว่าร่างกายกานดาอ่อนแออยู่แล้วตลอดเดือนด้วยไข้หวัด เมื่อกะทบอากาศเย็นจัดร้อนจัดติดกันอย่างเปิดเผยกานดาก็เป็นไข้ปอดบวมอย่างแรง

หล่อนตายในวันที่เจ็ดโดยไม่ได้สติบริบูรณ์แบบเดิม กานดาตายอย่างสงบและไม่แสดงความเจ็บปวดทั้งกายใจ หล่อนตายอย่างรวดเร็วเหลือเกิน

ก่อนถึงนาทีสุดท้าย นายแพทย์บอกคนที่เฝ้าฟังอาการอยู่ข้างนอกห้องให้ไป ‘ดูใจ’ กานดา

“แต่–” หมอบอก “เธอคงไม่อยู่ในโลกนานพอที่จะพบพวกเราเป็นคนเดียว ใครเป็นคนที่ควรเข้าไปก่อนโปรดเข้าไปเร็ว ๆ ด้วยครับ”

ผดุงพูดทั้งไม่ขยับเขยื้อนอย่างใด แม้จรวยจะร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ทางหนึ่ง

“ลูกของพ่อ! ผมอยากจะบอกลูกผมว่าแม่ของเขากับผมแต่งงานกันด้วยความรักและสมัครใจจริง ๆ แต่แม่ของเขาก็ตายจากผมอย่างกระทันหันจนผมพูดถึงเธอไม่ได้ ลูกดาจะฟังผมรู้เรื่องไหมครับหมอ?”

ไม่มีใครตอบ แต่ทุกคนรู้ว่าสายเสียแล้วที่จะบอกกานดาให้รู้สึกชื่นชมเช่นนั้น วิชัยปราดเข้าไปในห้องคนใกล้จะตาย เขาหันมาบอกคนอื่นก่อนปิดประตูลงกลอนด้วยเสียงมั่นคงชัดเจน และเยือกเย็นอย่างนี้

“น้องดาเป็นเมียผม!”

ศีรษะของวิชัยยกผยองอย่างหล่อน

แต่ทุกคนที่ฟังคำสารภาพของเขาก็รู้ว่า สายเสียแล้วที่จะบอกกานดาให้รู้สึกชื่นชมเช่นนั้น

นางม้วนสามารถทำให้วิชัยเปิดประตูห้องและยอมปล่อยร่างไร้ชีวิตของกานดาซึ่งอยู่ในอ้อมอกของตนตั้งสามชั่วโมงเมื่อคนอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้สำเร็จ

“คุณชายขา! ขอคุณหลานให้แม่ม้วนอาบน้ำท่าเถอะค่ะ” หญิงแม่นมพูดด้วยภาษาเก่าแก่กับวิชัยเหมือนครั้งเขากับกานดายังเป็นเด็ก ๆ ด้วยกัน “คุณหลานต้องแต่งตัวสวย ๆ สักหน่อยนะคะ–ก่อนค่ำเธอจะต้องไป–ไป–” เสียงแม่นมผู้ชราสั่นเครือครู่หนึ่ง “ไปให้เขาประจุ–แล้วแม่ม้วนจะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอที่วัดเดี๋ยวนี้แม่ม้วนแต่งตัวเสร็จแล้วค่ะ”

นางม้วนโกนผมเกลี้ยง และนุ่งขาวห่มขาวตามแบบแม่ชีผู้สละโลกแล้ว จิตรีหรือลูกหลานที่แม่ชีม้วนเคยรักและห่วงใยอยู่เสมอ ก็ไม่สามารถทำให้นางกลับออกมาสู่ชีวิตอันเข้มข้นของฆราวาสอีก

อากาศต้นฤดูร้อนปี พ.ศ. ๒๔๙๓ กลับไม่ร้อนเฉพาะเย็นวันนั้นแสงแดดแจ่มใส ส่องจับหลังคาโบสถ์วัดเบ็ญจมบพิตรเป็นประกายแพรวพราวเพิ่มขึ้น ศิลปกรรม ‘รวมแบบ’ ชิ้นเอกชิ้นหนึ่ง ในเมืองไทย ดูราวกับจะสำแดงความรู้สึกชื่นชมด้วยธรรมชาติ และประชาชนคอยเฝ้าตามทางเสด็จพระราชดำเนินอย่างยัดเยียดอยู่นั้น

นอกจากเสียงเครื่องขยายปากของประชาชนและเสียงแถลงทางเครื่องขยายของทางการ เครื่องบินบนอากาศก็กระจายเสียงอึงอลอีกด้วย

“เสด็จแล้ว! เสด็จแล้ว!”

ธงเล็ก ๆ โบกสะบัดท่ามกลางเสียงไชโยอย่างสุภาพ ผู้คอยรับเสด็จที่เชิงสะพานพวกหนึ่งก็พลอยแสดงความปลาบปลื้มไปด้วย

“เต็มดวง! ดูซิลูก–ไชโย! ไชโยอย่างพ่อซิ!”

เด็กหญิงอายุสามขวบบนไหล่เข้มแข็งข้างหนึ่งรั้งผมพ่อแทนที่มือยึดจนยุ่งเหยิงอย่างน่าขัน เท้าเล็ก ๆ หุ้มด้วยเกือกหนังแดงย่ำทะยอยลงบนอกอันพึ่งผายเพิ่มขึ้น

“คุณจิตรี! คุณจิตรีขา!” เด็กหญิงร้องเรียกแม่ผู้ยืนอุ้มบุตรชายสองขวบอยู่ข้างพ่อด้วยเสียงใสเย็นยิ่งนัก “น้องดำ! น้องดำ! ดูซิคะ! โย! โยอย่างพ่อซี้!”

“เผด็จคะ! คุณช่วยแบกน้องดำด้วยคน” เสียงทุ้มของจิตรียังตะบิดตะบอยแบบเก่า แต่ก็อ่อนโยนอย่างใหม่ “มีอย่างเรอะ! รักลูกลำเอียงอีกแล้ว!”

“คุณลุงวิชัยน่ะช่างเถอะ เธอพาโลว่า–ว่าคุณดากลับชาติมาเกิดเป็นเต็มดวง เธอก็ลุ่มหลงละซิ! ส่วนคุณเผด็จไม่เชื่อก็อย่าพะนอนักซิคะ คุณแบกน้องดำได้อีกไหม? แหม! เอาเปรียบจัง! ฉันแบกอยู่ตั้งสองคนทั้งในท้อง จริงไหมน้องดำ”

เด็กชายมองดูดินฟ้าอากาศ แทนที่จะคอยดูรถพระที่นั่งอย่างคนอื่น เมื่อแม่อ้างเป็นพยาน เด็กก็ตอบขรึม ๆ คำเดียว

“อือ!”

“อุ๊ย! พูดอือ ๆ เออ ๆ อีกแล้ว–ลูกพ่อ!”

เผด็จสูงกว่าคนส่วนมากจึงเห็นรถพระที่นั่งแต่ไกล เขาแบกลูกหญิงเต้นแหยง ๆ อย่างเด็กขณะที่ตอบคำค่อนแคะของจิตรีอย่างสับสนสักหน่อย

“โน่นแน่–ในหลวง–ลูกพ่อ! เต็มดวงน้องดำ! ดูซิลูกพ่อ”

จิตรีอยากจะย้อนเผด็จเหมือนที่คนอื่น ๆ เคยย้อนอยู่เสมอ ไม่มีใครกล้าสงสัยว่าเด็ก ๆ ที่เกิดกับหล่อนทุกปีไม่ใช่ลูกของเผด็จ เต็มดวงเหมือนกานดาราวกับแกะจากพิมพ์เดียว น้องดำคือเผด็จน้อยนั่นเอง ญาติมิตรจึงตั้งความหวังไว้ว่า

“ลูกในท้องที่เกิดใหม่คงเหมือนจิตรีเหลือเกิน”

แต่รถพระที่นั่งกำลังขึ้นสะพานตรงหน้า ภายในราชพาหนะเหมือนมีพระอาทิตย์ที่จวนจะมีพระจันทร์เพ็ญเพิ่มขึ้น จิตรีลืมเรื่องเก่า ๆ เกือบหมด เมื่ออากาศรอบกายก้องไปด้วยเสียง “ไชโย! “ไชโย! ไชโย!” อย่างเดียว

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ