เสียงพายุพัดอึงคะนึงนอกบ้าน มีกำลังรุนแรงราวกับลมหายใจจากฟ้า มันทำให้สั่นสะเทือนทั้งตึก ประตูหน้าต่างปิดเปิดเสียงปึงปังไปหมด จิตรีไม่อาจหลับตาต่อไปหล่อนเคยชอบเสียงพายุอย่างนั้น และเคยออกไปคะนองอยู่ในพายุอย่างนั้น– ที่แหลมเหลือ หล่อนหวิวผวา!–สะเทือนไปทั้งตัว เมื่อคิดถึงสิ่งซึ่งหล่อนควรได้ แต่กลับต้องสูญเสียสิ้นแล้ว!–แหลมเหลือและตะวัน วงศ์วิโรจน์ อันเป็นอนุสรณ์และฉากสวาทวัยสาว เพียงแต่คิดขึ้นมาเมื่อใดเมื่อนั้นจิตรีก็สิ้นรสหมดหวังในชีวิตวันนี้

เปลือกตาซึ่งเริ่มระริกและเผยออยู่แล้วก็หลับลงใหม่ มีน้ำอุ่น ๆ เอ่อตายังแต่จะซึมเสียให้ได้ จิตรีหลับตาและปล่อยสติต่อไป พายุยิ่งอึงคะนึงหนักขึ้น ฝนตกลงมาเหมือนเทน้ำ มีแต่เสียงอึกทึกทั่วบ้าน ครั้นแล้วเสียงอึกทึกทั้งหลายก็มารวมอยู่ภายในห้องนอนนั่นเอง

“จิตรี–จิตรี! ผ้าผูกคอเขาล่ะ?–แล้วมีมีดโกนกับ–?”

เสียงห้าว ๆ และเร่งรัด ตะโกนกรอกหูจิตรีหลายครั้ง หล่อนลืมตาเต็มที่ แสงแดดพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างเป็นลำเหลืองจ้า ไม่ได้ยินเสียงฝนตกและเสียงพายุอย่างเก่า เมื่อกี้คงเป็นเสียงไขน้ำในห้องอาบ และเสียงเผด็จเดินทำกิจส่วนตัวปึงปังไปมาเหมือนพายุ ขณะที่หล่อนรู้สึกคล้ายคนครึ่งหลับครึ่งตื่นตอนเช้า ขณะนี้เผด็จยืนอยู่ที่ธรณีประตูห้องแต่งตัวต่อห้องนอนนั่นเอง เขาพยายามกลัดดุมข้อมือเชิ้ตเองอีกด้วย จิตรีดึงแพรหมขึ้นคลุมตัวตามเดิม เผด็จไม่เคยรับรู้เรื่องหล่อนตื่นสายสักครั้ง และเขาไม่เคยประหยัดกิริยาอย่างใดแม้เขาจะได้อยู่กับหล่อนร่วมสามเดือนได้แล้ว

จิตรีลืมไปว่าหล่อนเองก็ไม่เคยคำนึง และจดจำความต้องการและนิสัยของสามีเหมือนกัน นามสกุลกับภาวะของจิตรีเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่จิตใจจิตรีมิได้เปลี่ยนแปลงไปมาก

“เมื่อคืนนี้–” หล่อนพูดพลางหาว “คลับคุณไพเราะแรงมาก แรงเสียยิ่งกว่าคราวงานค็อกเทลที่สมาคมพ่อค้าไทย เมื่อคืนคุณเมาไหมคะ?”

“เมาไม่ได้” เผด็จเดินเข้ามายืนอยู่หน้าเตียง แต่ยังปล้ำกลัดดุมเชิ้ตเช่นเดิม “ต้องไปเล่นโปเกอร์กับพวกเก่งโปเกอร์กันอีก ขืนเมาก็หมดตัว”

“แต่คุณก็ชอบใช่ไหมคะ เมื่อคืนถ้าไม่เตือนก็คงจะอยู่โต้รุ่งเลยทีเดียว”

เสียงจิตรีปรักปรำปนล้อเลียนเล็กน้อย

“ชอบ!” เผด็จไม่ปฏิเสธเสียเลย “อีกอย่างหนึ่งเล่นไพ่พรรณ์นี้ เป็นโปลิซีการค้าของผมด้วย ตาสตีเวนส์ กับตาเทเวศ ว่องกิจ ไม่ใคร่แข็งมือเหมือนเคย ถ้าได้เล่นโปเกอร์กันเสียบ้าง มักตกลงอะไร ๆ เร็วขึ้น สัปดาห์หน้าขอค็อกเทลอีกทีนะจ๊ะ”

“ค็อกเทลที่บ้าน! เบื่อจัง!”

จิตรีรีบขัดเพราะคิดขึ้นได้ด้วยว่า เมื่อมีงานเลี้ยงต่าง ๆ รวมทั้งงานคอกเทลที่บ้านเมื่อไร หล่อนต้องเป็นบุคคลไร้ความสามารถเหมือนเก่า เมื่อจะจัดงานเลี้ยงเหล่านั้นให้ถูกรสนิยมเผด็จและพวกแขกของหล่อน จิตรีต้องกลับไปขอความช่วยเหลือญาติผู้หญิงอย่างเดิม ดูเหมือนหล่อนไม่สามารถตั้งตัวตามลำพัง จิตรีรู้ว่าคุณจำรัสและกานดาเต็มใจช่วยเหลือหล่อนมากเหมือนเก่า แต่หล่อนรู้แน่นอนนักว่า จรวยและวิชัยชอบมองเหมือนยังห่วงใยแกมเย้ยหยันอยู่เสมอ อาการห่วงใยอย่างนั้นทำให้ดีกรีความผยองอย่างใหม่ของจิตรีลดลงหลายขีด และหล่อนเริ่มตะขิดตะขวงความรู้สึกของพี่เขย ขึ้นแล้ว ก่อนนี้หล่อนเปิดเผยตัวเองกับผดุงได้สนิท เพราะผดุงเป็นเพียงพี่เขยของหล่อน มาบัดนี้เขากลายเป็นพี่ผัวผู้หนึ่งอีก จิตรีรังเกียจว่าสะใภ้กับญาติผัว ‘กินเกลียว’ กันได้ยาก มีแต่ ‘ปีนเกลียว’ กันร่ำไป หล่อนจึงไม่ประสงค์ให้ญาติผัวผู้นั้นได้เห็นหล่อนบกพร่องมากเหมือนเก่า

เมื่อเกิดความรู้สึกเสียอย่างนี้ เจ้าสาวสองเดือนเศษจึงไม่เต็มใจจะหันกลับไปขอความเห็นใจจากครอบครัวของตน ทั้งที่ตนก็ต้องการหันกลับเกือบใจขาด

เลี้ยงค็อกเทลที่บ้านอีก! ถึงจะเป็นการเลี้ยงเพื่อนโยบายการค้าของเผด็จ หล่อนก็อยากหลีกเลี่ยงเหลือเกิน

หล่อนสะบัดแพรผืนนั้นออก ยื่นมือแหวกมุ้งออกไปช่วยกลัดดุมข้อมือเชิ้ตให้เผด็จด้วยกิริยาแปลกเปลี่ยนไปมาก

“เบื่อคอกเทลที่บ้าน! สั่งโต๊ะพิเศษที่รัตนโกสินทร์หรือหยาดฟ้าอีกทีเถอะค่ะ คุณเทเวศ ว่องกิจหรือหว่องกิ้ดน่ะคงชอบเลี้ยงแบบโฮเต็ลมากกว่าเลี้ยงตามบ้านแบบเราหยาดฟ้า–”

“ไม่เหมาะเหมือนบ้าน” เผด็จใช้มือข้างที่กลัดดุมเสื้อเสร็จแล้ว ลูบคางของหล่อน “เลี้ยงแบบโฮเต็ลต้องเป็นเรื่องหรูหรา เร่งร้อน แล้วก็เป็นธุรกิจเกินไป นี่เราอยากจะได้เรื่องราวละเอียดขึ้นเพราะแสดงเป็นกันเองกับมิสเตอร์หว่องกิ้ดแกหน่อย นอกจากนั้นยังมีนายไวกิจ วุ่นกิจอื่น ๆ อีกบางทีจะต้องพ่วงเอาเมียมาด้วย อยากให้คุณอี๋คุณนายพวกนั้นช่วยเราเล็กน้อย ผู้หญิงจะคุยกันเต็มปากตามโฮเต็ลได้เรอะ–”

จิตรีปัดมือเผด็จไปจากคางของหล่อนแล้วว่า

“เลี้ยงย่อย ๆ ในบ้านแบบนี้ ก็อดเต้นรำละซีคะถ้าไปตามคลับคงสนุก ไม่เหนื่อยด้วย”

เผด็จผละไปห้องแต่งตัวตอนนี้เอง หล่อนได้ยินเสียงเขาชักลิ้นชักปึงปังไปมา

“ผ้าผูกคอตูแตลริ้วไหมหมดเรอะคุณ?” ตะโกนแล้วกลับมายืนอยู่หน้าประตูตามเดิม

“ถามนายบุญพบของคุณซีคะ” จิตรีร้องตอบ “ให้เขามาหาให้ซิ”

เผด็จเลิกคิ้วข้างหนึ่ง นัยน์ตายิ้มอย่างเปิดเผย

“เจ้าบุญจะเข้ามารับใช้ผมในห้องแต่งตัวนี่ได้ ก็ต้องผ่านประตูห้องนอนนั่นก่อน ผมไม่ยอมให้อ้ายนั่นฉุยฉายเข้ามาเห็นเมียผมนอนอยู่บนเตียงตามสบายแบบนั้น”

จิตรีกระโจนจากเตียงตาวาวและแก้มเปล่งไปด้วยเลือด หล่อนวิ่งผ่านเผด็จไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบโน่นวางนี่ชุลมุน

“กุญแจตู้แต่งตัวล่ะคะ?”

“คุณเก็บ”

“ฮื้อ–! เราวางไว้ในถาดทุกคืน! ใคร–”

ครั้นแล้วจิตรีก็แลเห็นพวงกุญแจแต่งตัววางอยู่บนโต๊ะตั้งโคมข้างฝา หล่อนฉวยพวงกุญแจเจ้ากรรมขึ้นไขตู้แต่งตัวของเผด็จด้วยมือสั่นสักหน่อย หล่อนดึงบานตู้เต็มแรง! ที่ราวในตู้ตอนบนมีผ้าผูกคอแขวนเต็ม มือที่สั่นสักหน่อยเอื้อมไปปลดผืนสีแดงแก่จุดขาวออกมาเมื่อมีเสียงเผด็จดังขึ้นอีก

“เอาตูแตลกรมท่าริ้วไหมทองเถอะคุณ”

แล้วเขาทำท่าเหมือนกับจะปล่อยให้จิตรีจัดการผูกผ้าผูกคอให้ด้วย หญิงสาวแลดูเขาครู่หนึ่ง นัยน์ตามีแววขึ้งเคียดครึ้มอยู่ แต่แล้วหล่อนก็ยิ้มและลงมือแต่งผ้าผูกคอให้เขา

“พรุ่งนี้จัดค็อกเทลที่ไหนเอ่ย?”

“ที่บ้านเผด็จกับจิตรี ดิเรกกุล”

แม้เขาพูดหยอกเย้ากับหล่อน แต่ก็ไม่ลืมแทรกน้ำหนักเด็ดขาดเข้าไว้ จิตรีรู้ว่าหล่อนจะต้องเผชิญภาระเก่ากันอีก–กลับไปแสดงความบกพร่องในความเป็นอยู่อย่างใหม่กับครอบครัวของหล่อน โดยขอความช่วยเหลือเขาให้ช่วยจัดเครื่องค็อกเทลที่บ้าน

“ดิฉันนึกไม่ออกเอาจริง ๆ ว่าทำไมคนที่เคยร่อนเร่ตั้งหลายปี ถึงได้เกิดจะติดบ้านขึ้นมาเสมือนคุณเผด็จเดี๋ยวนี้!”

“เป็นนิสัยเสียแล้ว”

“อะไรนะคะ?–เป็นนิสัยเสียแล้ว!” จิตรีร้องขึ้น “คุณเคยอยู่ติดบ้านแบบนี้เรอะ? เมื่ออยู่อังกฤษ–อเมริกา–ระหว่างสงครามคราวนี้ คุณเคยอยู่บ้านที่มีแม่บ้านแบบดิฉันเรอะ ถึงว่าจะต้องติดบ้านจนเป็นนิสัยเสียแล้ว”

เผด็จยิ้มอย่างขัน

“บ้านก็คนละแบบ แม่บ้านก็คนละแบบ แต่เขาเป็นผู้หญิงอย่างคุณ”

แล้วเขาก้มลงไปหาปากที่เผยออยู่ใกล้ ๆ กับปากเขาปากนั้น รีบหลบแล้วรีบปล่อยคำขุ่นเคืองขึ้นอีก

“ไม่เอา! แม๊! เป็นผู้หญิงอย่างฉัน! อยากให้ผ้าผูกคอนี่ กลายเป็นเชือกแขวนคอคุณนัก!”

“น่า–นิดเดียว! สองเดือนเศษแล้วจะไปทำงานไม่เคยจูบลาเลยสักที เพราะเมียไม่เคยตื่นขึ้นมาส่งสักที เถอะนะ! แม่บ้านแบบนั้นอาจเป็นผู้หญิงแก่ ๆ ก็ได้–มะ!”

ประกายซึ่งวูบวาบอยู่ในดวงตาเรียวยาวอย่างประหลาดเริ่มละมุนใหม่อีก จิตรีก้มศีรษะเข้าไปให้เผด็จเดี๋ยวนั้น

“ตรงท้ายทอยเถอะค่ะ”

“เงยหน้านิดเดียว”

“ไม่ได้! ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำนี่คะ ขี้ฟันเปรอะ–“

“ไม่เป็นไร”

“เลิกกัน! แกล้งให้เราก้มเกือบตาย” จิตรีเลิกก้มและถอยกรูดไปจนพ้นเอื้อมแขนของเผด็จ “ไปทานข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะเกิดความคิดอยากแขวนคอคุณอีก”

“อ๋อ เขารู้นานแล้วละคุณ!” เผด็จเดินออกไปยืนอยู่นอกประตู แล้วจึงหันมาพูดพอได้ยิน “นี่มันผัวไม่ใช่พันตรีคนนั้น” เขาพูดเน้นคำว่า ‘ผัว’ เต็มเสียง “แล้วบ้านเราก็ไม่ใช่–อ้า–แหลมเหลือเลยนี่คุณ”

เขามิได้คอยดู ผลที่จะเกิดจากถ้อยคำเขาอีกเพราะเขารู้ว่าเขายิงถูกเป้าไปแล้ว! แต่เขาไม่รู้ถึงความคิดของตนเองในการที่ทำลายภูมิผู้ชายเช่นเขาด้วยคำย้อนหยุมหยิมอย่างนั้น

แม่ครัวของจิตรีเกือบไม่เชื่อสายตาตัวเอง!

อาหารเช้าที่เด็กหญิงยกกลับมา ไม่แสดงว่าได้ถูกแตะต้องตามเคย ถ้วยชาสองถ้วยเท่านั้นมีรอยเปื้อนไปบ้าง

“ผุด!” นางผิวพูดขึ้น “คุณท่านไปทานเช้าที่อื่นอีกเรอะ ของเหลือเยอะแยะยังงั้น?”

“คุณท่านกินข้าวไม่ลงเลยทั้งคู่ ถ้าท่านจะโกรธกันจ้ะแม่ ลูกสาวตอบเกินขอบเขตคำถามและหน้าที่ทุกอย่าง “คุณผู้ชายกินคนเดียว–”

“ก็กินคนเดียวแทบทุกวัน! นอกจากวันไหนท่านไม่ไปทำงาน หรือวันอาทิตย์เท่านั้น–เมื่อท่านตื่นสายเสียด้วยกัน” แล้วนางผิวพูดเป็นเชิงปรารมภ์เล็กน้อย “เอ้อ! หรือคุณผู้หญิงท่านจะว่าอีผิวทำของกลืนไม่ลงละมั้ง ไม่เคยเห็นคุณกินน้อยยังงี้ ถ้าคุณท่านคิดว่ากับข้าวขี้ทึ้งเพราะอีผิวกินเศษกินเลยละกรรมกูละ! แล้วคุณก็ไม่เคยสั่งเสียเลย...เรื่องกับข้าว ปล่อยให้ขี้ข้าคิดเอง ที่ไหนจะถูกพระทัยท่านล่ะ”

เด็กรุ่นหนุ่มหน้าจืดโผล่เข้าไปยืนอยู่ในครัว

“วิกไหนจ๊ะ น้า?” ปากเขาพูดแต่ตาไพล่ไปจับอยู่ที่โต๊ะวางอาหารเหลือเหล่านั้น “น้าถึงร้องบทถูกพระทัยพระทรงศรี พระภูมีราชาแต่เช้าเชียวนี่ เมื่อคืนไปดูยี่เกกันวิกไหนวิกเจริญผลหรือวิกประตูน้ำกันแน่?”

เขาเลียริมฝีปากเหมือนแมวมองเห็นปลาย่างอยู่เฉพาะหน้า นางผิวรีบฉวยจานขนมปังกับไก่อบ ถั่วกระป๋องไปเข้าตู้

“วิกราชเทวีนี่แหละจ้ะนายบุญพบ คุณท่านไม่กินอะไรนอกจากน้ำชาคนละถ้วยเท่านั้น ฉันเลยกลัวไปว่ากับข้าวฉันจะไม่ถูกพระทัยท่านละมัง นายบุญจะกินข้าวต้มเหลือโต๊ะหรือจะกินข้าวสวยก็ตามใจ ฉันจัดไว้ตู้โน้นแน่ะจ้ะ”

นายบุญพบมองตามอาหารพิเศษด้วยความอาลัยเล็กน้อย ทำนองอิจฉาเด็กหญิงผุดซึ่งถือสิทธิคว้าขนมปังไปแล้วหลายแผ่น

“ข้าวสวยเห็นจะดี! จะได้อิ่มไปนานสักหน่อย เมื่อกี้คุณผู้ชายตาขวางใส่เราแฮะ! หาว่าไม่เช็ดรถส่งเลย ก่อนนี้คุณไม่ใคร่หยุกหยิกยังงี้ ให้ห่ากิน...! ก่อนนี้ฉันตำแหน่งสูงเสียด้วยดูแลคุณทั้งข้างบนข้างล่าง ไม่เห็นคุณตาขวางเข้าใส่ เดี๋ยวนี้ตั้งแต่มีคุณผู้หญิงอยู่ด้วยเลยถูกเฉดไปเช็ดรถแล้วยังไม่มีดีด้วยนา”

“มันเป็นธัมมะเนียม” นางผิวพื้นดีขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่ามีลูกคออีกคนหนึ่งในบ้าน “เรื่องของนายน่ะไม่เคยชมขี้ข้าคนไหนหร๊อก! อ้ายเราก็พูดไม่ออก อีตอนหาสตางค์ยากก็ต้องทู่ซี้เสมอแหละ เออ! กิน ๆ กันเข้าเถอะ ใครมีงานก็จะได้ไปทำ ฉันจะขึ้นไปเบิกสตางค์ค่ากับข้าวอาทิตย์หน้าสักหน่อย”

นางผิวพบคุณผู้หญิงยังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวคนเดียว จิตรีกำลังพ่นควันโกลด์เฟลคฟุ้งห้อง!

แม่ครัวซึ่งเป็นคนเก่าแก่เกินที่จะเป็นลูกจ้างดีได้แล้วก็บันทึกภาพนายสาวสูบบุหรี่เป็นครั้งแรกลงบัญชีส่วนหนึ่งในสมอง เมื่อมีโอกาสซุบซิบกับคนใช้ที่บ้าน ‘ท่านที่เรือนกลาง’ คือคุณจำรัส หรือที่เรือน ‘คุณใหญ่’ อย่างเคย เรื่องนายสาวสูบบุหรี่เพราะโกรธกับนายผู้ชายจะต้องเป็นเรื่องที่ควรแก่การทึ่งทีเดียว

ดูเหมือนจิตรีไม่เต็มใจจะพบแม่ครัวของหล่อนนัก ดวงหน้าหญิงสาวค่อนข้างซีดนิดหน่อย และหล่อนชักบุหรี่ออกจากปากอย่างอิดเอื้อนด้วย

“เดี๋ยวนะ...มีเรื่องอะไรเรอะเปล่า?”

“ถึงวันเบิกค่ากับข้าวอีกแล้วละค่ะคุณคะ” แม่ครัวข่มเสียงให้อ่อนโยนอย่างเคย ทั้งที่ใจนึกเคืองความขี้ลืมของคุณผู้หญิงอยู่บ้าง “แล้วก็...คุณขา! ดิฉันขอเบิกค่าน้ำปลาไปด้วย ไหเก่าเกือบหมดแล้วละค่ะ”

“ทำไมหมดล่า...เอ้อ...หมดเรอะ?” จิตรีถามอย่างไม่มีความหมายมากนัก แล้วหล่อนเริ่มอัดบุหรี่เรื่อยไป

“คุณขา! ไหเก่าขอแบ่งจากเรือนท่านข้างในนี่คะ ครึ่งไหเท่านั้นใช้มาร่วมสามเดือนพอดี นานโขนะคะคุณขา ดิฉัน...”

จิตรีรีบขัดขึ้นเสีย สีหน้าบอกความไม่พอใจจนเห็นชัด

“เอาเถอะ! อย่าบอกฉันเลย ทีหลังจัดแจงซื้อเสียเอง นี่! ไปหยิบเซฟใส่สตางค์ที่...ที่...หาดูเถอะ !...ที่ชั้นข้างโต๊ะเครื่องแป้ง หรือโต๊ะหน้าเตียงนอนนั่นแหละ”

เมื่อนางผิวกลับออกมาที่ห้องกินข้าว ครั้งนี้นายสาวของหล่อนนั่งฟุบหน้าอยู่กับแขนข้างหนึ่งเหนือโต๊ะ

“อยู่บนหลังตู้เครื่องเงินหรอกค่ะ คุณขา”

นางผิวพูดเบิกตัวต่อนายสาว ด้วยสิทธิพิเศษของคนใช้เก่าแก่ที่กล้าโต้แย้งอยู่บ้าง จิตรีเงยหน้าขึ้นตามเดิม และถามเสียงขุ่นขึ้นอีก

– พวงกุญแจล่ะ?...แล้วจะเอาอะไรไขกันนะ...ผิวคน! ก็ทิ้งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง...เป็นบ้า!”

นางผิวพูดไม่ออกทั้งที่คิดไม่ออกอีกด้วย ว่าไฉนพวงกุญแจสำคัญของนายจึงต้องอยู่ในความรับผิดชอบรู้เห็นของคนใช้เช่นหล่อน

อย่างไรก็ตาม หล่อนรีบปฏิบัติตามเสียงขุ่นของนายสาว แต่คราวนี้เองนางผิวไม่กล้าโต้แย้งถ้อยคำของคุณผู้หญิงอย่างเก่า แม้หล่อนจะได้พวงกุญแจมาจากตู้แต่งตัวคุณผู้ชาย ซึ่งอยู่ห่างโต๊ะเครื่องแป้งเป็นกอง

มันยังเสียบอยู่ที่บานตู้ตามเดิมนับตั้งแต่เมียสาวเปิดตู้ค้นหาผ้าผูกคอให้สามีเมื่อตอนเช้า!

จิตรีเลือกกุญแจเซฟเสียนาน นางผิวจึงได้ยินเสียงกริก!

แม่ครัวค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจที่ต้องยั้งอยู่พักหนึ่ง หล่อนยังมีภาระหลายอย่างที่จะต้องทำให้ห้องนอน ห้องรับแขกและห้องอื่น ๆ อีกบ้าง นอกจากจะต้องรีบไปเตรียมอาหารกลางวันไว้อีก

“เออ! ผิว พรุ่งนี้คุณผู้ชายจะเลี้ยงค็อกเทลที่นี่ ช่วยเตรียมเครื่องใช้อย่างเคยด้วยนะ”

นางผิวถอนหายใจแรงเลยทีเดียว

“คราวนี้คุณจะจัดของเลี้ยงที่...บ้านเราเรอะคะ?”

“...อย่างเคย...ขอแรงคุณดาด้วยซิ! เดี๋ยวฉันจะไปบ้านโน้น ถ้าจะต้องจ่ายอะไรละก็...เอ๊ะ! ผิว...” จิตรีประหลาดใจ

“คะ?”

“ง่า...คุณไม่ได้จ่ายเงินงวดนี้หรอก ลืมทวง! เอาเถอะ! เดี่ยวให้นางผดุงขึ้นมาเอา ฉันจะเอาเงินอื่นออกไปก่อน ต้องไปค้น...”

แม่ครัวคลานออกไปแล้วหลายนาที หญิงสาวก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะตามเดิม จิตรีไม่คิดว่าจะไปค้นหาเงินในที่อื่นอีกได้ เงินใช้ส่วนตัวซึ่งหล่อนได้รับจากเผด็จ เดี๋ยวนี้ในระยะสองเดือนเศษซึ่งผ่านไปเป็นจำนวนจำกัดเกินควร ถึงกระนั้นหล่อนก็อาจจะมีเงินติดมือไม่น้อย ถ้าเพียงแต่หล่อนจะตัดรายการใช้สอยพิเศษเสียบ้าง เผด็จชำระบิลพิเศษส่วนตัวหล่อนเรื่อยมา สำหรับสิ่งของที่เขารู้เห็นเมื่อหล่อนแสดงรายการแก่เขา

จิตรีมักซื้อสิ่งซึ่งไม่ได้แสดงรายการแก่เผด็จ มีเสื้อผ้าภากรณ์ และเครื่องใช้ส่วนตัวตามอารมณ์สาวส่วนมาก ต้นปี ๘๙ เครื่องอุปโภคถีบราคาขึ้นอีกและเครื่องใช้สอยฟุ่มเฟือยสิ่งเดียวมีราคาเท่ากับรายจ่ายประจำเดือนของครอบครัวธรรมดาโดยมาก

เพียงกระเป๋าถือเท่านั้นก็เหยียบสี่ร้อยเศษเสียแล้ว ถุงเท้าแพรผู้หญิงคู่เดียวดันขึ้นไปเกือบร้อยเลยทีเดียว แต่เผด็จเดินทางไปเกี่ยวกับการค้าของเขาเมื่อปลายฤดูร้อนเล็กน้อย จิตรีถือโอกาสติดตามไปถึงสงขลาและวกลงมาวีคเอนด์ที่หัวหิน ตามความปรารถนาของหัวใจจนได้ ดังนั้นเผด็จและคนอื่น ๆ จึงไม่ทันสังเกตกันว่า จิตรีต้องใช้เงินส่วนตัวซื้อชุดอาบน้ำใหม่มาใช้เหมือนกับเป็น ‘ชุดเก่า’ แก้ใหม่เป็นจำนวนสามร้อยเลยทีเดียว

พอกลับถึงพระนครเข้าสิ เจ้าสาวสองเดือนได้ยินเสียงเกริ่นกันว่า ในการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขความนี้จะมีงานฉลองมโหฬารอีกแล้ว จิตรีลงมือตัดเสื้อใหม่โดยไม่คิดรายการแก่เผด็จ เงินส่วนตัวจึงเหลืออยู่เกินหลักสิบเล็กน้อย ในที่สุดเงินจ่ายประจำบ้านซึ่งควรจะเหลือจ่ายทุก ๆ เดือนได้นั้น ก็พลอยขาดแคลนเข้าด้วย พร้อมกับการล้มเหลวเรื่องงานฉลองรัฐธรรมนูญนั่นเอง

ดังนั้นจิตรีจึงตัดเสื้อผ้าเสียเปล่า ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่วิตกที่จะบอกเผด็จเรื่องเงินขาดบัญชีใช้จ่าย แต่หล่อนไม่เคยคำนึง หรือแม้แต่สนใจจะบอกเขา เพราะหล่อนเพียงแต่สนใจ ‘หยิบ’ อย่างเดียว ครั้งถึงคราวไม่มีเงินให้หยิบอย่างเคย จิตรีก็เริ่มรำคาญขึ้นอีก

หล่อนเพิ่งคิดขึ้นได้ว่า เผด็จยังไม่ได้ตกลงกับหล่อนเรื่องเงินใช้สอยส่วนตัวเขา ตลอดจนเงินที่ควรเก็บและไม่ควรเก็บอื่น ๆ อีกด้วย พูดให้ถูกทีเดียว เผด็จกับหล่อนยังไม่ได้ตกลงเรื่องเงินทองทุกอย่าง จิตรียังไม่มีความรู้เรื่องกิจการค้าขายของเขาและเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นจะต้องรู้ในฐานะสามีภรรยาอย่างนั้น

ทั้งนี้ก็เนื่องจากการสมรสระหว่างหล่อนและเขาเกิดขึ้นด้วยการบีบบังคับของเหตุการณ์เกินไป มันเกิดขึ้นในเวลาจวนแจและรวดเร็วเหลือเกิน ปราศจาก ก.ข. ความรักและทัศนะในการสมรสอันถูกต้องตามจารีต มันเกิดขึ้นจากการลิขิตของเขาและของหล่อนร่วมกัน เมื่อเขาและหล่อนเผอิญไปปะทะกันเข้า ขณะที่อยู่ในฐานะและอารมณ์รุนแรงร่วมกัน

การสมรสอันรวดเร็วระหว่างเขาจึงเป็นเพียงภาพพึงใจ ซึ่งชายหญิงยุคปรมาณูช่วยกันลิขิตขึ้นสนองความนึกคิดอันไขว้เขวของตน ขณะที่ตนตกเข้าไปอยู่ในความคับขันของมุมมืดเหมือนกัน

จึงไม่เป็นเรื่องประหลาดใจจนนิดเดียว เมื่อมักมีเหตุการณ์พิกล ๆ เกิดขึ้นในชีวิตสมรสรูปนี้!

และเมื่อคู่สมรสรูปนี้ต้องชดใช้การกระทำที่กล่าวแล้วด้วยหัวใจเจ็บช้ำ ด้วยชีวิตขื่นขมและด้วยน้ำตาตกในหนักขึ้น จึงมิได้รับความเห็นใจจากโลก เขาจะได้รับแต่ความเย้ยหยัน และความอนาถใจจากโลก

จิตรีลุกขึ้น! ขณะที่หล่อนคำนึงถึงความเป็นอยู่อย่างพิกล ระหว่างหล่อนและเผด็จดังกล่าวแล้ว ความคิดส่วนใหญ่ก็ยังจดจ่ออยู่กับเรื่องเงินทองเท่านั้น

นี่หล่อนจะหยิบเงินที่ไหนให้เด็กผุดทันเวลาจ่ายของคราวนี้–นอกจาก–!–นอกจากจะหันกลับไปหาคนใดคนหนึ่งในครอบครัวของหล่อนอีก!

มิใช่แต่จะต้องกลับไปง้อเรื่องเลี้ยงค็อกเทลเท่านั้น นี่หล่อนจะต้องแบกหน้าไปพึ่งพี่น้องในเรื่องเงิน ซึ่งหล่อนเคยถูกตำหนินานแล้วด้วยหรือ? จิตรีเลิกคิด หล่อนยังไม่กล้าหักหน้าเผด็จเดี๋ยวนี้–นอกจากจะหักหน้าตัวเองอีกด้วย!

นัยน์ตาเรียวงามอย่างประหลาดชำเลืองไปทางประตูห้องเขียนหนังสือส่วนตัวเผด็จโดยไม่ตั้งใจ

กุญแจส่วนตัวของเผด็จยังติดอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะตัวนั้น!

แม้หล่อนไม่เคยสนใจกับโต๊ะเขียนหนังสือส่วนตัวของเขา หรือเคยเข้าไปดูแลเลยสักครั้ง นอกจากจะเข้าไปหาเขาบางโอกาสก็ดี หล่อนก็เคยรู้ว่า โต๊ะตัวนั้นเป็นที่เก็บสิ่งในของสำคัญของเผด็จ จิตรีเคยเห็นเขาหยิบเช็ค, ปืนและซองธนบัตรตลอดจนเอกสารสำคัญออกมาจากลิ้นชักโต๊ะตัวนั้น แต่หล่อนไม่เคยเห็นเขาทิ้งพวงกุญแจไว้บนโต๊ะตัวนั้นหรือในที่อื่น ๆ อีกเลย และเขาไม่เคยขอฝากพวงกุญแจหรือวานให้หล่อนไขลิ้นชักโต๊ะตัวนั้น แต่ขณะนี้ กุญแจพวงสำคัญของเผด็จยังห้อยอยู่ที่ลิ้นชักเหมือนกับว่าเขาเพิ่งวางมือจากมันเมื่อครู่ จิตรีลืมตาโพลง!

“คงหัวเสียที่เถียงกับเราเรื่องบ้า” หล่อนคิดคนเดียว “อยู่ ๆ ก็หาเหตุให้เราคลั่ง แล้วตัวเองก็พลอยคลั่งขึ้นด้วย บ้าจัง! ลืมกุญแจสำคัญของตัวไว้–ดีละ! เราจะริบเงินในนั้นให้เรียบเลยทีเดียว ดูซิ! จะคลั่งแค่ไหน ต้องทำให้รู้สึกเสียบ้าง!”

เมื่อหล่อนผลุนผลันไปถึงโต๊ะตัวนั้นแล้ว จิตรีรู้สึกหวิวขึ้นมา เหมือนนอนสะดุ้ง ดูเหมือนอวัยวะภายในท้องปั่นป่วนไปสักครู่หนึ่ง หล่อนอยากอาเจียนจนบอกไม่ถูก

“เมาบุหรี่ละมัง! –ไม่น่า–” หล่อนนึกขณะที่ใช้มือซ้ายยันโต๊ะตัวนั้นไว้กระทั่งอาการมึนเมาหมดไป “ลองสูบก็เพราะเมื่อกี้คลื่นไส้เสียก่อน หรือเราโกรธเกินไป กินอะไรไม่ลงเลยท้องว่างโหรงเหรงละซิ! สมน้ำหน้าตัวเราเหลือเกิน!”

จิตรีนั่งลงบนเก้าอี้หมุนประจำโต๊ะเต็มแรง ความรู้สึกทั้งกายใจกลับเป็นปกติตามเดิม หล่อนเริ่มสงสัยตัวเองอีกว่า หล่อนได้อยุติธรรมกับสามีหรือไม่ แม้เขาจู่ลู่เข้ามาในชีวิตอันคับขันของหล่อน เขาก็ได้จู่เข้ามาเมื่อหล่อนต้องการความช่วยเหลือและความเห็นอกเห็นใจจากเขา จริงอยู่! หล่อนไม่เคยลืมเลยว่า เผด็จได้ฉวยโอกาสกับหล่อนหลายอย่าง ซึ่งทำให้หล่อนชิงชังเขา บางคราวเมื่อแน่ใจว่าเขาคือชายแปลกหน้าในคืนคับขันของแหลมเหลือ และได้มีส่วนสอดรู้ในความหลังที่แหลมเหลือเล็กน้อย ถึงกระนั้น เขาก็ได้ช่วยเหลือหล่อนอย่างใจนักเลงหลายครั้ง หล่อนเองไม่ได้ตอบแทนเท่าไรนัก–อย่างน้อยก็มิได้ตอบแทนอย่างใจนักเลงหรืออย่างตรงไปตรงมาเหมือนเขา

จิตรีเริ่มรู้สึกเสียใจและอายใจตัวเองอีกด้วย!

เผด็จได้อ้าแขนรับหล่อนในเวลาที่คนรักและญาติมิตรเมินหนี แม้การอ้าแขนของเผด็จเป็นไปอย่างฉวยโอกาสและมูมมามมากหน่อย มันก็ยังคงเป็นการอ้าแขนรับหล่อนอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงไปได้ เผด็จได้ให้แม้กระทั่งนามสกุลแก่หล่อน!

พิจารณาโดยถี่ถ้วนแท้แล้ว จิตรีมีอะไรเป็นของตัวแต่สักอย่าง? มองในด้านกำเนิดอันไขว้เขวของหล่อนแล้วหล่อนมีญาติมิตรที่รักหรือเปล่า นามสกุลและบ้านเรือนหรือก็เปล่า มองในด้านสมรรถภาพผู้หญิงยุคใหม่ หล่อนมีอาชีพเป็นหลักหรือก็เปล่า ในด้านความรักอันเป็นอาภรณ์เพริดพริ้งแก่ชีวิตวัยสาว จิตรีก็ถูกปลดเปลื้องไปหมดแล้ว เหลือแต่ความหวังอันเลื่อนลอยและความจดจำเจ็บแค้นกรุ่นอยู่เหมือนอย่างตรึงด้วยชะนักสนิมในอกอีกต่อหนึ่ง ในโลกอันอุดมด้วยสิ่งมหัศจรรย์ จิตรีเหลือแต่เรือนร่างไร้เกียรติกับชีพจรที่เต้นหรุบอยู่ด้วยแรงกิเลสหลายประการ

หล่อนไม่มีอะไรเป็นของตัวแต่สักอย่าง นอกจากผัวผู้ได้ให้นามสกุลแก่หล่อน เขาเป็นสิทธิส่วนตัวซึ่งหล่อนมีอยู่อย่างเดียวโดยแท้!–ผัวผู้นั้น!

หัวใจจิตรีเริ่มกระตุกเต็มแรง!

รูปคู่ของหล่อนและเขาซึ่งใส่กรอบตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเป็นพยานอยู่ หล่อนยิ้มอย่างอ่อนหวานกับรูปคู่ของหล่อนและเผด็จ

ลิ้นชักแรกเต็มไปด้วยเอกสารของเขา จิตรีรีบใส่กุญแจโดยไม่แตะต้องแต่สักนิด หล่อนข้ามไปเปิดลิ้นชักล่างซึ่งค่อนข้างเปิดยากอยู่สักหน่อย

อีกครั้งหนึ่ง! จิตรีต้องผิดหวังที่ว่าจะได้พบเงินส่วนตัวของเผด็จโดยง่าย หล่อนพบเพียงจดหมายมัดหนึ่ง จ่าหน้าซองฉบับแรกเป็นภาษาอังกฤษแบบเดียวกับจดหมายที่ส่งส่วนตัวว่า “ถึงดิกกี้ ครั้นเปิดดูซองล่างซึ่งจ่าหน้าด้วยลายมือเหมือนกัน ก็เห็นปิดแสตมป์ส่งทางไปรษณีย์ถึง “มิสเตอร์เผด็จ ดิเรกกุล บริษัทสินไทยบางกอกสยาม” เพิ่งส่งมาเมื่อเดือนก่อน

“เพื่อนฝูงฝรั่งคงเรียกคุณเผด็จว่าดิกกี้กระมัง” จิตรีรำพึง พลางเตรียมปิดลิ้นชักจดหมายส่วนตัวอย่างทอดอาลัยเล็กน้อย “ถ้าจะต้องวิ่งไปขอยืมเงินคุณดาเดี๋ยวนี้ เอ๊ะ!”

จดหมายฉบับหนึ่งโผล่ออกมาจากใต้จดหมายมัดนั้นจ่าหน้าซองเป็นภาษาไทยด้วยลายมือที่คุ้นเคยกับสายตาจิตรีเหลือเกิน จ่าหน้าซองนั้นถึง ‘คุณจิตรี รัถการ’

จิตรี ดิเรกกุล ดึงจดหมายนั้นออกมาด้วยมือสั่นรัวและหัวใจสั่นริก เมื่อเปิดซอง ซึ่งฉีกแล้วออกมาอ่านอีกด้วยดังนี้

บ้านวงศ์วิโรจน์

๕ มีนาคม ๒๔๘๙

ดวงใจของผม

พรุ่งนี้เป็นวันที่ผมจะจากไปอังกฤษก็แต่ตัว ส่วนดวงใจจิตรีนั้น ขอฝากไว้ชั่วคราว––กับคุณคนเดียวได้ไหม?

ดวงใจผม! ขอให้ยกโทษที่ไม่ได้บอกกำหนดการเดินทางแน่นอนล่วงหน้า ไม่เคยระแคะระคายให้รู้ว่าจะต้องจากไปไกลเกือบสองปีและไม่ได้ลาจิตรีเลยสักคำ ขอให้สะกดใจฟังความจริงจากผม

เมื่อยังอยู่เหนือคราวนั้น คุณรู้ว่าผมคงจะมีโอกาสตั้งตัวตอนนั้นแล้ว แม้จะเป็นทหารยืนโยงอยู่ชายแดนแต่ผมอืดเอง โอกาสก็เสียไป สงครามคราวนี้ความเป็นทหารที่หลงคอยโอกาสทำให้ผมเสียโอกาสเกือบทุกอย่างทำให้ผู้อุปการะผิดหวังมาก ไม่สมกับเกิดมาเป็นชายชาติทหาร

ครั้งนั้นผมได้ประโยชน์ใหญ่ยิ่งอย่างเดียวคือได้ดวงใจจากพะเยา! ผมอยู่อย่างสันโดษมาได้ตลอดเวลายืดยาวนั้น ก็เพราะผมมีแหลมเหลือและดวงใจ–จิตรี! ผมจะไม่มีวันลืมความสุขซึ่งเราได้รับร่วมกันที่แหลมเหลือตลอดชาติ ข้อนี้ทำให้ผมก้าวก่ายกับดวงใจจนเกินควรเพราะคิดว่า ทันทีที่เรามีโอกาสกลับกรุงเทพฯ ผมจะรีบเรียนผู้ใหญ่ฝ่ายผมให้จัดการสมรสให้เรา ความรักกับความตั้งใจจริงอย่างนี้ทำให้ผมเอาเปรียบจิตรีหลายอย่าง ผมเรียกร้องเอากับดวงใจจนเกินควร

แต่เมื่อสงครามจวนเลิกแล้วนั้น ผมถูกท่านผู้ใหญ่ยึดตัว ท่านบอกให้รู้ว่าทางการจะให้โอกาสแก่ผมอีก ซึ่งอาจยกฐานะตัวเองขึ้นอีกมากในระยะสองปีข้างหน้านี้ เมื่อผมรู้โครงการพอเลา ๆ บ้างแล้ว ผมก็รู้ว่าตัวผมจะฉวยโอกาสสร้างฐานะให้แก่ตัวเองและแก่ดวงใจจิตรี ผมต้องอยู่เป็นโสดสักสองปีไปก่อน นี่เองคือสาเหตุที่ผมขอร้องจิตรีให้เรียนต่อจนได้ปริญญาวิทยาศาสตร์เสียก่อน

แต่คุณโกรธ–เพราะคุณไม่รู้เรื่องตลอดหมด คุณคิดว่าผมพยายามบิดพลิ้วเพราะเบื่อหน่ายคุณเข้าแล้ว ดวงใจขืนรีไทร์จากจุฬาฯ และลงโทษผมโดยวิธีกรากกรำดวงใจจนเกินควร–ทั้งวิธีทำงานและวิธีหาความสนุกสนานหนักมาก จิตรีลืมว่าถึงอย่างไรจิตรีก็เป็นผู้หญิงอยู่นั่นเองและการลงโทษทรมานคนที่จิตรีรักก็คือการทรมานตัวเองอีกด้วย อย่าปฏิเสธว่าจิตรีไม่รักผม

ที่ท้าวถึงความข้อนี้ไม่ใช่เพราะอยากรื้อขึ้นมาว่ากล่าวกันอีก แต่เพื่อจะยืนยันอยู่ว่า ถึงดวงใจจะลงโทษผมถึงเพียงนี้ ผมก็ยังรักและหวังดีกับดวงใจจนเดี๋ยวนี้ นั่นต้องแปลว่าผมต้องรักจิตรีเหลือเกิน

การที่ผมขอให้คุณเข้าหาหลวงธนกิจฯ ให้ช่วยมุบมิบหยิบเงินธนาคารให้ผมสองหมื่น ก็เพราะแน่ใจว่าเมื่อคุณเอาจดหมายฉบับนี้ไปให้คุณแม่ผมภายหลังที่ผมไปอังกฤษแล้ว คุณแม่ผมต้องให้เงินคุณไปใช้หลวงธนกิจฯ ทันกำหนดแน่นอน

คุณแม่ของผมเป็นอย่างนั้นเอง ถ้าเรื่องไม่ถึงที่สุดเสียก่อน ก็ไม่ยอมอย่างหัวเด็ดตีนขาด แต่พอเรื่องแล้วไปแล้วก็ไม่ยากอะไรนัก ยิ่งเห็นคุณยอมเสี่ยงภัยหาเงินให้ลูกชายคนเดียวของท่านดังนี้ ท่านต้องไม่ปล่อยให้คุณรับผิดชอบคนเดียวได้ลงคอ ผมแน่ใจจริง ๆ เงินที่ผมเอาไปจากคุณนั้นจะได้เอาติดตัวไปทำประโยชน์อย่างหนึ่ง เข้าใจว่าจะทำประโยชน์ให้เรามากมายข้างหน้า ที่ผมไม่บอกคุณก็เพราะไม่อยากให้คุณรู้ว่าผมจะต้องจากคุณไปไกลอย่างกระทันหัน จะทำให้เข้าใจผิดว่าทอดทิ้งแท้แล้ว ก็จะเกิดอุปสรรคเสียก่อน เวลาจำกัดเกินที่เราจะมัวโต้แย้งอยู่อีก

โอกาสในชีวิตคนหนึ่ง ๆ มีมากก็จริง แต่โอกาสเหมาะมีน้อย ระหว่างสงครามนี้ทหารน่าจะมีโอกาสกว่าคนอื่น แต่แล้วทหารก็ต้องสูญเสียโอกาสกันเพียงไรคุณคงไม่อยากให้ผมเสียโอกาสใหญ่ยิ่งอย่างนั้นอีก ถ้าคุณยังรักผมเหมือนที่ผมยังรักและจะรักดวงใจจนตาย

ขอให้ดวงใจจิตรีคอยโอกาสกับผมก่อน! คอยก่อน–จนกว่าผมจะกลับมา แล้วเราจะไม่ต้องจากกันอีกเลย ๒ ปีเป็นเวลาไม่นานนักหรอก ผมไม่เสียใจที่ไม่ได้ลาจิตรีเลยสักคำเพราะผมถือว่าจิตรีนี้คือดวงใจของผม และผมถอดดวงใจไว้กรุงเทพฯ พร้อมกับความหลังแหลมเหลือ ซึ่งเป็นเหมือนสายมงคลคู่แรกที่รัดรึงหัวใจของเราไว้แล้วหลายชั้น ไม่มีอะไรในโลกจะตัดดวงใจจากผมได้–เราเคยสัญญาอย่างนี้ที่แหลมเหลือหลายครั้ง

ขอให้ดวงใจจงคอยผมเพื่อผมจะได้พยายามพาเรือนร่างข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาครอบครองทะนุถนอมและ–

รักดวงใจจนตาย

ตะวัน

จบข้อความสำคัญในจดหมาย ซึ่งมาถึงมือผู้รับล่าช้าเกินควรและมาถึงเมื่อ “สายเสียแล้ว” หลายเดือน!

หัวใจจิตรีรัวดัง! หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงเด็กผุดคลานเข้ามานั่งอยู่หน้าประตูตอนนั้นนัยน์ตาหล่อนลายลายลานและมืดมัวมาก ขึ้นแม้กระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นลายมือเล็ก ๆ ของจรวยเรียงเป็นแถวอยู่ท้ายจดหมายมีความว่า

๑๒ เมษ. ๘๙

คุณเผด็จ

พี่เพิ่งให้คนเอาจดหมายนี้มาให้คุณในวันมงคลของคุณ ก็เพราะคุณผดุงไม่ยอมให้พี่ทำอย่างนี้เสียแต่เมื่อคุณขอหมั้นจิตรี คุณผดุงว่าไม่อยากให้ความหลังทำลายความหวังและชีวิตปัจจุบันแบบนี้ คุณผดุงไม่ยอมอย่างเดียว

ฉะนั้นถึงพี่ไม่อยากเล่นโกงกับคุณคือย้อมแมว ขายป้อยอน้องสาวเสียคนแล้ว ให้ผู้ชายดี ๆ อย่างคุณ (ซึ่งก็เป็นน้องผัวพี่เอง) พี่ก็จำต้องทำตามคำคุณผดุงเพราะพี่รักนับถือผัวแล้วก็รักน้องสาวพี่เองอีกด้วย

แต่วันนี้พี่ทนไม่ไหวจึงส่งจดหมายมาให้คุณวินิจฉัยเอง ถ้าเห็นจะล้มเลิกพิธีสมรสวันนี้ก็จงตัดสินเสียโดยเร็ว ถ้าเห็นว่ากลืนจิตรีลงคอก็ตามใจและอย่าโทษใครข้างหน้านอกจากตัวคุณเอง ความจริงจิตรีก็เป็นผู้หญิงธรรมดาแต่ตื่นสมัยมากหน่อยและเคราะห์ร้ายตกไปอยู่ในที่แวดล้อมเลวมาก เมื่ออพยพจึงเป็นได้ดังนั้น ถ้าดูแลดีแล้วก็เป็นคนดีได้เหมือนกัน พี่รู้เรื่องนี้นานแล้ว แต่ไม่ยอมให้จิตรีหอบความอับอายขายหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคุณแม่ของพันตรีตะวันก็เพราะพี่รู้ว่า ถึงเขาจะช่วยเหลือก เพราะความจำเป็นและคงดูถูกจิตรีกับพี่น้องจิตรีเรื่อยไป ถึงจิตรีจะได้แต่งงานกับนายตะวันข้างหน้าก็เห็นจะไม่มีสุขสักเท่าไหร่ อีกอย่างหนึ่งพี่ไม่เชื่อใจว่าผู้ชายจะรักผู้หญิงที่อยู่ไกลได้นาน กลัวจิตรีจะคอยเขาเก้อจึงได้ซ่อนจดหมายนี้เสีย เมื่อมันตกมาถึงมือพี่ก่อนโดยเผอิญ

พอดีคุณขัดจังหวะเข้ามา จิตรีรอดตัวไปในเรื่องเงินธนาคารเพราะคุณ จิตรีจะเอาตัวรอดในเรื่องรักหรือไม่นั้น ก็ต้องแล้วแต่คุณอีก แต่ถึงคุณจะไม่ช่วยเขาครั้งนี้พี่และใคร ๆ ที่รู้ความจริงตลอด จนตัวจิตรีเองก็คงไม่ถือว่าเป็นความผิดของคุณหรอก

จรวย

จิตรีแลไม่เห็นจดหมายในมือเหมือนเก่า แต่รู้สึกวาบหวิวขึ้นมาเหมือนตอนเช้า หัวใจโจนทะยานยิ่งขึ้น เก้าอี้โต๊ะตัวหล่อนและห้องทั้งห้องดูกวัดแกว่งกันใหญ่

จิตรีลุกขึ้นแล้วก็ล้มฟาดลงบนโต๊ะตัวนั้น–ประสาทสุดท้ายยังสำเหนียกเสียงเด็กผุดร้องเอ็ดตะโรลั่นบ้าน!

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ