(๒)

ระฆัง ๑ กำลังรัวดัง เด็ก ๆ ซึ่งมุงกันอยู่หน้าห้องเรียนเพราะฝนตกก็ชิงกันเข้าแถว ห้องอนุบาล ๑ ของกานดาไม่วายยุ่งเหยิงอย่างเคย แม้เทอมต้นจวนจะสิ้นอยู่แล้วพ่อหนูแม่หนูหน้าใหม่ ๆ ก็ยังโยเยอยู่อีก บางคนยังต้องให้ผู้มาส่งคอยดูจนเข้าห้องเรียน บางคนไม่ยอมเข้าแถวโดยดี พอได้ยินเสียงระฆังเข้าเรียน น้ำตาก็ตั้งต้นไหล แล้วยังแถมร้องสำอิดสำออยอีกบ้าง ถ้ามีพี่อยู่ห้องอื่น พ่อหนูแม่หนูบางคนจะขอเลื่อนชั้นไปเข้าแถวกับพี่ เสียงร้องเพลงชาติตอนเช้าจึงเป็นเพลงขบขันครู่หนึ่ง

“ป่าเทศ–ไท้–ฮือ ๆ–รวมเลือดเนื้อ–หนูไปหาพี่–!–โฮ ๆ! ชาติเชื้อ–แม่คับ–คอยหนู–ไท้–คูคับ! จิ๊บยืนผิดที่–เป็นปร๊าชารัฐ ไผท ค้องไทยทุก–อื้อ ๆ –ส่วน–หนูง่วง–”

ครูประจำชั้นอนุบาลทุกคนโดยเฉพาะครูเวรดูแลเด็กเล่นตอนเช้าจึงต้องรีบมาแต่เช้า เพื่อคอยต้อนรับนักเรียนโยเยอย่างนี้ กานดาไม่ทันวางเข้าของก็ต้องตรงเข้าไปหาเด็กชายเต่าดำ นามจริงท้าวเทวา ผู้กำลังเต้นเหยงอยู่นอกแถว ท้าวเทวาอ้าปากร้องเอ็ดตะโร ทำให้เพลงชาติกลายเป็นเพลงขบขันขึ้นอีก

“เต่าดำ!” กานดาอุ้มพ่อเทวดาน้อยเข้าไปยืนหน้าแถวทีเดียว แก้มของครูแนบอยู่กับแก้มเปียกน้ำตาของเด็กเต่าดำเห็นน้ำใส ๆ คั่งคลออยู่ในดวงตาของครูก็ประหลาดใจจนหุบปาก และต่อมาก็ไม่สะอึกสะอื้นอีกเลย เต่าดำไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ตัวโต ๆ อย่างครูกานดาจึงต้องร้องไห้เมื่อครูไม่ต้องเข้าแถวไปเรียนหนังสือสักนิด “ยืนนิ่ง ๆ นะเต่าดำ” ครูยังมีเสียงอ่อนโยนอย่างเก่า “คนข้างหลังเขากำลังจะยืนให้ตรง ๆ สวย ๆ อย่างเต่าดำนั้นแน่ะ! ยืนนิ่ง!”

น้ำตาครูเหือดแห้งเสียก่อนจะหลั่งไหลลงอาบหน้า ถึงกระนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจกะจ้อยร่อยของเต่าดำเข้มแข็งขึ้นมาก มีคนเล็ก ๆ หลายคนคอยดูคอยร้องกับเต่าดำด้วยคนหนึ่ง น่าสงสาร! เต่าดำต้องหยุดร้องไห้เสียที ถ้าครูพลอยร่ำร้องเรื่อยไปจนเต่าดำก็ไม่มีคนปลอบโยนอย่างเคย เขาหยุดร้องไห้! แม้เขาจะไม่สามารถร้องเพลงชาติ เพราะในอกคอยแต่จะส่งเสียงกระอักกระไอออกมาเต่าดำก็ยืนนิ่งตรงที่หัวแถวและเดินตามครูเข้าห้องเรียนด้วยอาการสงบเยือกเย็นอย่างครู

เต่าดำไม่มีโอกาสรู้ว่า ความคร่ำเคร่งของชีวิตภายนอกโรงเรียนต่างหากที่ทำให้ครูของเขาแสดงน้ำตาต่อเขา ความริษยาหึงหวงที่เกิดจากความใคร่ของมนุษย์นั่นเอง ทำให้ผู้ใหญ่อย่างครูแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ความรักเด็กฉันท์พ่อแม่มีต่อลูกภายในโรงเรียนได้ช่วยให้ครูของเขาเข้มแข็งขึ้นอีก

ห้องอาหารครูเมื่อตอนเที่ยงเป็นสโมสรย่อย ๆ อย่างหนึ่ง โต๊ะอาหารมีเพียงสองโต๊ะเพราะครูมีเพียงสิบคนนอกจากผู้จัดการที่อยู่ประจำโรงเรียนห้องอาหารครูอยู่ห่างโรงอาหารเด็ก ครูที่ไม่มีเวรควบคุมนักเรียนมักจะนั่งพักผ่อนกันอยู่ในห้องนั้นภายหลังเวลาอาหารกลางวัน กานดาไม่อยากคุยกับเพื่อนครูเหมือนทุกวัน จึงพยายามไปกินอาหารล้าหลังที่สุด ถึงกระนั้นพอย่างเข้าไป ปฏิภาณก็ทำให้รู้สึกว่าตัวได้ตกเป็นเป้า ‘การคุย’ ของเพื่อนอยู่ นารีผู้ไม่เคยสังเกตใครเมื่อกำลังคุยเพลินรีบทักขึ้นก่อน

“วันนี้ใส่เสื้อสวยจริงนะคุณดา! เดี๋ยวนี้–ดูตัดเสื้อใหม่ ๆ มากขึ้น”

“คนที่ไม่เคยไว้ทุกข์อยู่ก่อน ก็ต้องตัดเสื้อใหม่ ๆ หมดทั้งนั้น เมื่อจะต้องไว้ทุกข์ถวายในพระบรมโกษฐตั้งปี” กานดาฝืนพูด เพราะไม่เคยฝ่าฝืนความคิดใครมากนักเมื่อเขาต้องการแก้เก้อด้วยการถกเถียงถึงเรื่องเสื้อหล่อนก็ไม่อาจพูดเรื่องอื่น หรือแม้แต่หุบปากยิ้มเย็น ๆ อย่างเคย “คุณนารีใส่เสื้อใหม่เหมือนกันนี่คะ ปกเสื้อแบบนี้สวย! คงปลดไปใส่ตัวอื่นได้อีก”

นารีชำเลืองดูเงาของตัวในกระจกที่ฝาตรงข้ามอิริยาบถของหล่อนภาคภูมิเพิ่มขึ้น

“จริงค่ะปลดได้! คุณดาชอบเรอะ? แหม! ดีใจจริง! ช่างเย็บอย่างคุณดาชมยังงี้ก็แปลว่าเสื้อฉันสวยจริงๆ”

“ผลัดกันชมอยู่นั่นเอง” หญิงสาวหน้าตาเกลี้ยงเกลาแต่เปิดเผยพูดบ้าง วรรณีมีลูกตามมาเรียนอยู่อนุบาลสองคน หล่อนเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินและธุรกิจบางอย่าง “ใครจะสวยเท่าใคร สักเท่าไรเชียวเมื่อต้องแต่งดำด้วยกันทั้งเมือง เมื่อกี้เรากำลังถามกันอยู่ว่า ใครนะที่เอารถมาส่งคุณดาเมื่อเช้า ไม่ใช่พระเอกผิวบางแบบเก่า ดูแก่–แล้วก็–หน้าตาขึงขังคล้ายเสือบุ่ง”

“อุ้ย! ฉันไม่ได้ว่าอย่างคุณวรรณีนะ เออ!”

นารีแบ่งรับแบ่งสู้ เพื่อนสาว ๆ อีกสองสามคนในกลุ่มนารีทำหน้ากะเรี่ยกะราดเล็กน้อย วรรณียิ้มอย่างสะใจ หล่อนไม่ชอบพูด หรือทำอะไรกะมิดกะเพี้ยนเหมือนหญิงส่วนมาก หล่อนไม่ได้คุยกับคนอื่นด้วยเรื่องกานดาอยู่ก่อนแต่ช่วยคนอื่น ๆ ให้ปล่อยความรู้สึกอึดอัดออกมา

“ไม่เห็นแปลก! ใคร ๆ ที่อ่านหนังสือพิมพ์ข่าวสดจะต้องเคยเห็นรูปเสือบุ่ง และรู้ว่าพี่แกโก้มาก–ถึงหน้าจะเขม็งเกลียวก็จริง เราจะถามเท่านี้เอง–คุณดา!–เมื่อไหร่คุณจะแต่งงานตามคุณจิตรี? จะแต่งกับพระเอกผิวขาวหรือผิวเข้มคนนั้น?”

นารีจึงพูดต่อไปได้

“ถ้าแต่งงานระหว่างไว้ทุกข์ใหญ่–คือเดือนเก้าที่จะถึงนี้ คุณดาจะแต่งตัวยังไงดี? แขกที่ไปในงานก็คงไม่กล้าแต่งฉูดฉาดเช่นเคย”

“ใครแคร์”

คนพูดชื่อเจนจิรา มีเชื้อเศรษฐีฮ่องกง เรียนสำเร็จที่นั่น และพูดได้ถึงสามภาษา ปรกติพูดภาษาแกมไทยทั้งที่หน้าตาท่าทางติดยี่ห้อลุกลนเล็กน้อย ขณะที่คนอื่นแต่งดำเจนจิรากลับแต่งสีเทาทั้งชุด บางครั้งกระโปรงดำ หรือรองเท้าสานของหล่อนมีริ้วลายสีต่าง ๆ หล่อนร่ำรวยอยู่แล้วเลยไม่มีใครค่อนขอดริ้วลายเหล่านั้น

“ตายทั้งที ทำไมจะต้องให้คนอื่นปั่นป่วนไปด้วย ดูแอ๊บเสิร์ดเซี้ยวแอ็ค!”

“ไอ๊ย้า–!” วรรณีแกล้งยั่วให้พูดต่อ คุณเจนไม่คิดหรือว่าคนเรายังอยู่ในขอบเขตของประเพณี”

“โนเซ่อ! ล้าสมัยหมดแล้ว! เรา–อิสรชน–ประชาชาติเป็นใหญ่ ยุ่งทำไมกับเด็กหนุ่มคนเดียวที่เป็นซากศพเสียแล้ว”

“นี่เข้าป่าเข้ารกล่ะซี!” ไสววงศ์ซึ่งเป็นครูประวัติศาสตร์ และเขม่นครูภาษาอังกฤษมานานแล้ว รีบขัดคอขึ้น

“ครูนารีอยากรู้เรื่อง–แต่งงานของคุณดากับเรื่องเสื้อแสงสักหน่อย คุณครูธุรกิจกับคุณครูภาษาศาสตร์ กลับถกเถียงถึงประชาชาติ โปรดปล่อยไว้ให้เป็นธุระของสหประชาชาติที่เลคซัคเซสส์เสียที ไทยเราก็ยังไม่ได้เป็นสมาชิกกับเขาหรอก รับดี ๆ นะคุณดา! ใครคือพระเอกหน้าเข้มคนนั้น?”

“อาฉันเองค่ะ”

“อาจริง ๆ หรืออาแอบแฝง?”

นารีร้องอึง

“อุ๊ย! คุณณีน่ะ ถามอย่างขอดเกล็ดกันเชียวนะ”

“แน่นอน” วรรณีเน้นเสียง “สาอะไรกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของมนุษย์ที่เป็นอาหารปากประจำวันมาตั้งแต่ปฐมกัป แต่ขนบประเพณีที่ช่วยบอกเชื้อชาติของคน อย่างประเพณีไว้ทุกข์หรือการแสดงความกตัญญูอย่างไทย ๆ ยังถูกขอดเกล็ดกันได้ ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า อะไรที่เป็นเครื่องหมายเป็นเชื้อชาติไทย ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องรักษาและยกย่องที่สุด–สมัยไหน ๆ ก็ตาม”

เงียบกันครู่หนึ่ง แล้วเจนจิราผู้รู้สึกตัวว่าถูกย้อนอย่างจัง จึงพูดค่อนขอดขึ้นอีก

“ฮัลโหล! เราได้เห็นคุณครูการเงินกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เสียแล้ว เราสงสัยว่าคงจะมีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ถ้อยคำคุณวรรณีด้วย? ดีละ!”

หล่อนแปล ‘ดีละ’ จาก ‘Very Well!’

“ไม่ดีหรอก” วรรณีตัดบท “เบื้องหลังถ้อยคำของฉัน ก็คือไม่อยากให้พูดให้คิดอะไรกันยุ่ง ๆ อย่างเมื่อกี้คุณเจนพูดออกไปนอกขอบเขตของพวกเรา ฉันจึงต้องโบกธงหยุดยังงั้นเอง พวกเราเพียงแต่ต้องการรู้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของคุณดา เราก็ควรถามกันตรง ๆ คุณดาก็บอกตรง ๆ แล้ว ฉันพอใจแล้วละค่ะ”

“ฉันก็พอใจ”

เจนจิราลุกขึ้นออกไปจากห้องอาหารคนเดียวก่อน ต่อมานารีก็ก่อเรื่องนึกได้ว่าจะต้องออกไปคุมนักเรียนแก้งานจึงชวนเพื่อนคุยอีกสองคนไปด้วย บรรยากาศที่เคร่งเครียดค่อยแจ่มใสสักหน่อย

“น่าหมั่นไส้” เสียงครูประวัติศาสตร์ปรารภ “เอะอะก็ประชาชนเสียเรื่อย พูดราวกับคนอื่นเป็นปูปลาไปเสียหมด ตายได้ตายไป! แปลกจริงเชียว! คุณดานั่งอมยิ้มยังกะพอใจเสียเหลือเกิน พวกคุณนารียังทำท่าอึดอัดออกมาเมื่อฟังคารมก้าวก่ายเกินควร คุณเจนจึงกล้าพ่นเพิ่มขึ้น ถ้าคุณณีไม่ตีระฆังหยุดอย่างแรง น่ากลัวพระแก้วมรกตก็จะถูกคุณเจนขอดเกล็ดกันอีก เออ ขอถามหน่อยเถอะ ทำไมคุณดาจึงนั่งอมยิ้มอยู่ด๊าย..?”

กานดายิ้มเย็น ๆ อยู่อีก

“ไม่รู้ตัวหรอกค่ะว่ายิ้ม แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไงนี่คะ เขามีสิทธิ์จะแสดงความคิดของเขา–คุณเจนหรือใครก็ตาม”

“ถ้าคนทุกคนเป็นอย่างคุณดา โลกก็จะไม่ยุ่งเหยิงอย่างงี้หรอก”

ไสววงศ์ยังไม่หายฉิว

“เรื่องยุ่งเหยิงยังงั้นแหละคือเครื่องพิสูจน์สมาธิอันมั่นคงของเรา” วรรณีพูดเป็นกลาง และคนฟังก็พลอยสบายใจเพราะถ้อยคำของหล่อนเสมอ “ฉันเห็นกับคุณทั้งสองคน คือเคารพความนึกคิดคนอื่นอย่างคุณดา แล้วก็ปัดป้องไปด้วยถ้าโดนก้าวก่ายเกินควร คนเรา–อย่าลืมว่า ฉันหมายถึงคนนะคะ–คนเราอยู่ในโลกไม่ได้หรอกถ้าถือเพียงสมาธิและหลักธรรมเท่านั้น เพราะทั้งสองอย่าง เป็นหลักปฏิบัติของภาวะที่ประเสริฐกว่าคนธรรมดา เราที่เป็นคนจึงอาศัยเป็นเครื่องชักจูงไปหาเป้าปลายทางเท่านั้น–คือภาวะที่สูงกว่าความเป็นอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ขณะที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ในโลก เราก็ต้องรู้จักต่อสู้เสียบ้าง เพราะนั่นเป็นภาวะแท้จริงของมนุษย์ สมัยนี้เมืองไทยและทั่วโลกยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นด้วย ความแตกแยก ความสงสัย ความกลัว และการแก่งแย่งอย่างใช้อำนาจเป็นธรรมเท่านั้น คนแข็งอยู่ไป คนอ่อนหรือเพียงแต่เผลอสมาธิเท่านั้นก็อยู่ในโลกไม่ได้ คุณไหวจะต้องยุ่งเหยิงอยู่เสมอ ถ้าคุณคอยระแวงความคิดคนอื่นและถือเป็นจริงเป็นจังเกินไป คุณดา–จะต้องพบมุมมืดมัวเหมือนกัน ถ้าคุณปล่อยตามใจคนอื่นเพราะเคารพสิทธิความนึกคิดคนอื่น ว่าเหมือนกับความนึกคิดของตัว ต่างคนต่างจิตใจยังเป็นความจริงอยู่อีก เราก็ต้องรู้จักระวังความคิดคนอื่นด้วย”

กานดาคาดไม่ถึงในขณะนั้นว่า คำพูดของวรรณีจะมีความหมายศักดิ์สิทธิ์สักวันหนึ่งในชีวิตของหล่อน! ขณะนั้นกานดาดีใจมาก เมื่อเพื่อน ๆ หันความสนใจจากเรื่องของหล่อน ไปถกเถียงถึงเรื่องอื่น

อากาศตอนเย็นวันนั้น ยังมืดมัวด้วยไอน้ำอันชื้นแฉะเช่นเคย ครูต้องคอยควบคุมพ่อหนูแม่หนูให้อยู่แต่บนระเบียงหน้าห้องเรียนจนจะมีคนมารับ ถึงกระนั้นก็มีขนาดจอมซนสักหน่อย หนีลงไปท่องน้ำฝนที่ขังอยู่ตามสนามด้านข้าง และบนลานซิเมนต์หน้าห้องอาหารกับห้องส้วม หรือ ‘ห้องเล็ก’ หลายคน เสียงครูคอยเรียกเป็นระยะ ๆ อยู่เสมอ

“มานี่! นายเต่าดำ ใครอนุญาตให้ไปย่ำน้ำหน้าห้องเล็ก”

“เต่าปวดท้องฉี่”

“ใช้ห้องข้างบนซิจ๊ะ ดูซิ! ถุงสั้นเปียกหมด มาเร็ว!”

ประเดี๋ยวหนึ่งครูเวรแหวขึ้นบ้าง

“พี่จ๊ะ! กับพี่จ๋า! ไปหกล้มที่ไหนนั่นน่ะ? นักเรียนประถมสองประถมสามยังไม่รู้จักเชื่อฟังอีกเรอะ ไปเล่นไม้เลื่อนละซี! กระโปรงเปื้อนหมด–มานี่!”

กานดาจึงพลอยหัวปั่นไปด้วย จนเกือบห้าโมงเย็นฝนก็ยังตกหยิม ๆ อยู่อีก แต่นักเรียนกลับหมดนอกจากผู้อยู่ประจำไม่เกินห้าสิบคน ซึ่งอยู่ในความควบคุมของครูประจำ

“พี่ชัยคงกลับมาถึงบ้านเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วเราช้าอีก ใครจะยกของว่างแทนก็คงไม่รู้ว่าเรามีของวิเศษอยู่ในตู้เย็นอย่างหนึ่ง ป้าม้วนไม่ว่างตั้งแต่ต้องทำกับข้าวแทนแม่ผิวที่คุณจิตรีขอยืมไป คุณป้าก็คงง่วนอยู่กับเรื่องธูปเทียนเท่านั้น เพราะถึงเทศกาลบวชและเข้าพรรษาเสียด้วยดูเหมือนรายได้ท่านสูงกว่าเงินเดือนของเราอีกมาก แม่ค้าเจ้าจำนำเชื่อถือท่านมาก เจ้าหมูกับนังแมวอาจยังไม่กลับก็ได้ เด็กทุกคนที่มีโอกาสก็ต้องเดินท่องน้ำกลับบ้านแทนขึ้นรถทั้งนั้น เจ้ามอดไม่มีประโยชน์เรื่องรับใช้ชั้นนี้ เช็ดรองเท้าพี่ชัยก็ยังไม่หมดตามประสาเด็กหกขวบคนหนึ่ง เรามัวยุ่งเหยิงอยู่เสียสะใจจริงเชียว ถ้าพี่ชัยจะชังน้ำหน้าหนักขึ้น”

กานดากำลังคอยเรียกสามล้อ เมื่อวรรณีนั่งรถออกมาพบ สามีของวรรณีขับรถเอง เขาทำงานฝ่ายบริหารที่เทศบาลนครกรุงเทพฯ ธำรงกำลังประเปรียวเหมือนเมียแต่ไม่มีหลักฐานเท่าเมีย บ้านถนนรางน้ำนั้น ซื้อในชื่อวรรณีก่อนแต่งงาน แต่ธำรงเป็นที่นับถือของเมียเพราะไม่หลุกหลิก และมีอารมณ์เยือกเย็นอยู่เสมอ

“มาขึ้นรถด้วยกันเถอะค่ะคุณดา เดี๋ยวเปียกหมด”

“ไม่แน่นไปเรอะคะ? ฉันคอย–ง่า–สามล้อ”

“รถคุณพี่เหมือนกระป๋องก็จริง แต่เคยรับคนยัดเหยียดอยู่เสมอ มาเถอะค่ะ! แค่นี้เองจะต้องเสียค่าสามล้อทำไม”

เมื่อธำรงเลี้ยวรถเข้าไปในซอยสามบ้านโดยไม่ฟังคำคัดค้านของกานดา หล่อนจึงได้ยินเสียงรถแล่นขึ้ก ๆ อยู่ข้างหลัง ไม่ต้องเหลียวไปดูก็รู้ว่าวิชัยเพิ่งกลับ

“ไปบ้านเทเวศร์แน่นอน ถึงได้กลับเย็นยังงี้” กานดาเดาสุ่ม แล้วรู้สึกคอแข็งขึ้นด้วย “ดีละ! เขาจะต้องไม่รู้ว่าเราวิตกวิจารณ์ถึงเขา ตลอดจนหาของว่างไว้ให้ แต่ถ้าเราเกณฑ์ให้คุณธำรงเอารถเข้าบ้านก็ดูจะมากไปหน่อย เราจะต้องลงที่หน้าประตูตามระเบียบ ทั้งที่ประตูบ้านก็คงเปิดคอยรับรถพี่ชัยเช่นเคย ถ้าคนพวกนั้นได้ยินแตรรถของเขาแล้ว เราจะต้องลงไปยืนยามรับเสด็จด้วยซิ! ฉันเผชิญหน้าเขายังไม่ได้แน่”

หล่อนยื่นมือออกไปนอกรถก่อนถึงหน้าบ้านเผด็จเพื่อบอกรถวิชัยให้ชะลอตามหรือหลีกขึ้นหน้าไปเสีย

“ส่งฉันหน้าบ้านอาเผด็จก็แล้วกันค่ะ นึกได้ว่ามีธุระร้อน! ขอบคุณนะคะ”

วิชัยชำเลืองดูหล่อนด้วยหางตา เมื่อขับรถของเขาผ่านไป กานดาเห็นเขาก้มศีรษะกับธำรงเล็กน้อย แต่นัยน์ตามีประกายเกรี้ยวกราดกับหล่อน

อย่างไรก็ตามระฆังบนประตูบานเล็กของบ้านจิตรีทำเสียงกรุ๋งกริ๋งกระทั่งหมาพันธุ์ทางสีขาวสี่ตัววิ่งกรูกันมา เมื่อเห็นผู้เคยเข้าไปเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ มันก็เปลี่ยนจากเสียงเห่ากระโชกเป็นเสียงร้องต้อนรับ และห้อมล้อมหล่อนไปจนถึงบันไดตึกด้านหลัง เด็กหญิงซึ่งยังสวมเครื่องแบบนักเรียนประถม และทำงานบ้านอยู่ที่ระเบียงลุกออกมาคุกเข่าไหว้กานดา

“คุณจิตรีล่ะผุด?”

เด็กหญิงช่วยรับกระเป๋า เสื้อฝนกับร่มไปวางที่โต๊ะระเบียง พลางตอบอย่างอิดเอื้อนอีกด้วย

“ดูเหมือน–ดูเหมือนคุณอยู่ข้างบนเจ้าค่ะ มิส–แฮมไม่เห็นมาเรียนเลยเจ้าค่ะ”

“คุณอย่าฟังนังผุดมันเลยเจ้าค่ะ ขมองมันเหลว”

แม่ครัวผิวโผล่ออกมาจากห้องเก็บอาหารข้างบันไดพร้อมกับถาดที่ใส่ของขึ้นมา “แหม! ดูเหมือนยังงั้น–ดูเหมือนยังงี้! คุณหลานเธอจะฟังเอ็งรู้เรื่องอะไร เอ็งมันพูดคาบลูกคาบดอกดีนัก! ต้องนี่–” แต่นางผิวก็ไม่กล้ายกมือที่งอแล้ว ขึ้นไปถึงกลางกระหม่อมลูกสาว ซึ่งยกมือปิดป้องไปก่อน “เหลือทน! คุณ–เจ้าขา! คุณน้องอยู่ข้างบนเตรียมหนังสือสอนฝรั่งยุ่ง ๆ อย่างเคยเจ้าค่ะ เตอร์ แหมไม่เห็นมา”

“ใครจ๊ะ?”

“เตอร์แหมหรือเตอร์หอมไงเจ้าค่ะ คุณรับสอนมาตั้งเดือนได้แล้ว ดูเหมือนเพื่อนฝูงผู้ใหญ่ที่สถานทูตปาร์คนายเลิศแนะนำมา คุณหลานก็รู้จักนี่เจ้าคะ กำนันโห้หนวดเหลืองโง้งไงล่ะค่ะ”

“ใคร?–อ๋อ!” แล้วกานดาก็ปล่อยคิ๊ก ๆ คนเดียว “ดูเหมือนจะเป็นเคอร์เนลโฮเวิร์ด เคอร์เนลก็น่าจะเป็นกำนัน ถ้าเน้นเสียงสักหน่อยไทยเราคงแปลงโฮเป็นโห้ให้ได้ พยางหลังไม่มีเสียง เอาละแม่ผิว! ฉันพอรู้จักกำนันโห้ แต่มิสแฮมของผุดเตอร์แหมเตอร์หอมของแม่ผิว–”

“พุทโธ่! คุณครับ” นายบุญพบโผล่ขึ้นมาทางบันไดอีกคน เขาเพิ่งไปเป็นภารโรงอยู่บริษัทที่ขยายใหม่ของเผด็จแต่ยังนอนอยู่ห้องเล็กที่ปีกตึกทิศเหนือใกล้โรงรถตามเดิม “มิสแฮมของผุดกับ เตอร์แหมเตอร์หอมของน้าผิวนะคือ–คือคนที่สถานทูตอังกฤษครับ ท่านเคอร์เนลแนะนำมาเมื่อคุณผู้หญิงอยากสอนหนังสือไทย เขาชื่อมิสเตอร์แฮ่มม๋อนด์ไงครับ ค่อนข้างหล่อเหลาเล็กน้อยครับ”

กานดากลั้นยิ้มอย่างลำบาก

“Mr. Hamond! มีเค้ามูลจริง ๆ ของนายบุญพบ! เอ๊ะ!” สายตาหล่อนกวาดไปทางเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสี่ปี ซึ่งเดินตามบุญพบเข้ามา และเมื่อไม่ทันหลบก็เลยยืนตัวลีบอยู่ข้างหลังเพื่อนนั่นเอง “นายหมูมาทำไม? คุณพี่ชัยกลับมาเมื่อกี้ แกต้องคอยรับใช้ไงล่ะ”

นายหมูหรือเด็กชายแม้นยศ ซึ่งอยู่ในเครือผู้คนของคุณจำรัส–ท่านที่เรือนกลาง–รีบแก้ตัวต่อคุณหลาน

“คุณชายของผมแวะเสียที่เรือนกลางก่อนครับ! อ้ายมอด–ง่า–มอดมันบอกผมว่าคุณชายไปเลย พอเสียงรถเธอออกไป ผมก็มา”

“แหม!” นางผิวพูดขึ้น เพราะสังเกตเห็นสีหน้านายสาวเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อครู่ยังยิ้มแย้มอย่างสนุกเดี๋ยวนี้ดูเหน็ดเหนื่อยนี่กระไร “เหลือเกิน! พอคุณชายให้หลังพ่อหมูก็เปิดลิ่วเลยนะ หน้าต่างประตูเรียบร้อยเรอะน่ะ? หน่อยฝนลงแล้วพายุซ้ำ เข้าของจะถูกฝนสาดเสียหมด พ่อหมูละขยันมาเฝ้าโยงอยู่บ้านนี้เสมอ”

“มันเหงา! ช่างเถอะผิว! ป้าม้วนคงให้เด็กแมวไปดูตามเคยแล้วละ”

แล้วกานดาก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน วิชัยมาถึงบ้านเย็นแล้วยังกลับออกทันที โดยไม่เกริ่นกล่าวแก่หล่อน! เขาพบหล่อน แล้วก็ทำเหมือนไม่มีเยื่อใยอยู่เลย จิตรีเปลี่ยนแปลงเพราะมีครอบครัวของตนแล้ว กานดาคิดว่า แม้วิชัยกับหล่อนจะมีเรื่องขัดแย้งอยู่เนือง ๆ นับตั้งแต่มีเหตุการณ์ยุ่งเหยิงอย่างครั้งนั้น เขาก็คงยังเป็นพี่และเพื่อนคู่คิดของหล่อนอยู่ เขาคงไม่ทอดทิ้งหล่อนทีเดียว เขาเปลี่ยนความสนใจจากหล่อนบ้างและมีอาการมึนตึงต่อหล่อนมาก แต่มันก็ไม่มีเหตุผลเพียงว่าหล่อนยับยั้งความคิดเขาไว้เรื่องเร่งกำหนดวันแต่งงาน และเรื่องวางอำนาจหยุมหยิมอย่างอื่น วิชัยอยากแต่งงานด่วน แต่อยากให้กานดาบอกพ่อกับแม่เลี้ยงว่า หล่อนเป็นคนคาดคั้นเขาก่อน เพื่อไม่ให้ผดุง จรวยและญาติข้างแม่ของกานดาครหาครอบครัวเขาได้–โดยเฉพาะมารดาของเขาซึ่งเคยมีเรื่องกินใจเก่า ๆ กันอยู่

“ยังไง ๆ พวกผู้ดีเดโช คงใส่ความคุณแม่ของพี่ว่าคิดรวบหัวรวบหางทายาทหญิงอย่างน้องดา เพื่อไม่ให้สมบัติข้างพ่อ–คือคุณพี่ผดุงกระเด็นไปทางอื่น ยังมรดกที่ควรเป็นของคุณดวงแก้ว–แม่ของน้องดาด้วยซิ! คุณยายใหญ่กับคุณยายเล็กยังไม่ยอมแบ่ง ก็เพราะเห็นมาอยู่กับพ่อและพวกของแม่เลี้ยงกระมัง มีคนใกล้เคียงเขาบอก”

กานดาแสดงความเห็นอย่างเกรง ๆ ความนึกคิดของวิชัยเช่นเคย

“อาจเป็นคุณยายแท้ ๆ ของน้อง–คุณยายเล็กนะไม่มีมรดกข้างตัวเลย แต่ดูแลส่วนที่เป็นของคุณยายใหญ่ ข้างคุณยายใหญ่ก็คิดเลี้ยงหลาน ๆ ลูกพี่ชายที่เกิดกับเมียน้อย อาเผด็จจึงพลอยเผื่อแผ่พวกนั้นด้วย จนตัวเองหาบ้านอยู่ก็ไม่ได้ ต้องมาเช่าคุณจิตรีอยู่–เมื่อแรกกลับจากเขตสงครามครั้งโน้น”

“พ่อนั่นเลยถูกรวบหัวรวบหางให้จิตรี! ญาติน้องดา–โดยเฉพาะพวกคุณหญิงเฉลากับคุณยายเล็กของน้องน่ะแหละตัวการ กล่าวโทษคุณแม่กับคุณใหญ่ยังงั้นนะ พวกบ้านเทเวศร์ของพี่เอง ญาติเทเวศร์ของพี่เป็นคนคุ้นเคยของญาติเธอ”

พอได้ยินถึงพวกบ้านเทเวศร์ ซึ่งเป็นญาติข้างวิชัยและมีข่าววันวิภาถูกจับคู่ให้วิชัยเช่นนั้น กานดาก็เริ่มเสียงแข็ง และใคร่จะโต้แย้งอย่างประหลาด

“เรอะคะ! คุณพี่ชัยเชื่อเรื่องซุบซิบของพวกผู้ดีด้วยเรอะคะ”

“เขาเป็นญาติข้างพ่อของพี่นะ! แล้วคนที่เอาเรื่องไปซุบซิบก่อนก็คือพวกผู้ดีเดโช พวกเทเวศร์เพียงแต่เล่าทบทวนเท่านั้น น้องพลอยเขม่นพวกพ่อของพี่ก็เพราะน้องเชื่อคุณแม่มากไปหน่อย”

“แน่ละค่ะ! คุณป้าจำรัสเลี้ยงน้องมากกว่าใคร ๆ นี่คะ แต่คุณแม่ของคุณพี่ไม่เคยพูดเรื่องญาติฝ่ายสามีของท่านกับน้องเลย” หล่อนเห็นวิชัยหน้าแดงเพราะทำให้หล่อนต้องแก้ตัวแทนแม่ของตน “แต่ต้องไม่นึกว่าพวกบ้านเดโชของน้อง จะว่าพี่ชัยก้าวก่ายเกินควรเรื่อง–เรื่องจะขอหมั้นน้องไว้ก่อน–กับคุณพ่อ”

“พี่ถูกด่าแน่! น้องไม่นึกเพราะน้องไม่อยู่ในฐานะผู้ใหญ่อย่างพี่–โดยเฉพาะคุณแม่ เมื่อกี้น้องก็รับรองว่าคุณแม่ของพี่ได้เลี้ยงน้องคู่กันมากับน้องจิตรีมากกว่าพ่อแม่ของน้องเอง ถ้าลูกชายของคุณแม่เกิดก้าวก่ายเกินไปคุณแม่ต้องถูกด่าก่อนใคร ๆ พี่ไม่ยอมให้คุณแม่ถูกด่าถึงพี่จะรักน้องสักเท่าไร! เรื่องมันก็เท่านั้นเอง น้องเพียงแต่แสดง–เอ้อ–! ออกตัวต่อคุณพี่ผดุงหรือผู้ใหญ่ทางบ้านเดโช ไม่ใช่จะให้น้องขอหมั้นพี่–เพียงแต่กันครหาไม่ให้คุณแม่กับคุณพี่จรวยถูกนินทาเท่านั้นแหละ”

“ทำไมคุณพี่ชัยถึงคิดว่าญาติฝ่ายน้องเขาจะนินทา?”

“โธ่! พี่น่ะพอรู้ภาษาก็รู้เรื่องพวกผู้ดีเดโชกับผู้ดีพญาไทถลกหนังกันมาสองชั่วคนเข้าไปแล้ว ป้าม้วนไม่เคยบ่นพิไรเรอะน้อง? นั่นเขาเคยเป็นสาวมากับพวกคุณแม่เมื่อคราวคุณป้ากัญจนา–คือ คุณแม่คุณพี่ผดุงที่เป็นเมียคนแรกของเจ้าคุณวรพันธ์จะได้แต่งงาน พวกเดโชก็หาว่าแย่งญาติในตำแหน่งเขยของเขาไป คุณป้ากัญจนาเป็นเพื่อนรักกับคุณแม่ซึ่งเป็นพี่สาวน้องเขยของท่านด้วย พอเจ้าคุณวรพันธ์เป็นหม้ายมีลูกติดคิดคุณพี่ผดุง พวกบ้านเดโชก็จับตัวแต่งงานกับม.ล.ดวงแข–ญาติหญิงที่เคยเฝ้าโยงอยู่ก่อน คุณน้าจำเรียง คุณแม่ของพี่กับใคร ๆ ที่เป็นฝ่ายคุณป้ากัญจนาเมียเก่าก็เกิดเขม่นขึ้นมา เห็นเป็นการแก้มือมากกว่าอย่างอื่น คุณพี่ผดุงถูกแม่เลี้ยงควบคุมจนไม่ใคร่ได้โผล่มาคุ้นเคยข้างญาติแม่ เมื่อยังไม่ทันไปเรียนต่อต่างประเทศก็ถูกจับตัวแต่งงาน–ง่า! ขอโทษ! คุณพี่ผดุงกับดวงแก้วแม่ของน้องอาจจะ–อาจจะสมัครใจเองเหมือน–”

“เหมือนกับคุณพี่กับ–กับน้องน่ะซิคะ?”

หน้ากานดาแดงก่ำเมื่อกล่าวความในใจอย่างโจ่งแจ้งผิดนิสัยปรกติของหล่อน วิชัยอยากจะคิดว่าหญิงสาวหน้าแดงเพราะรู้สึกขวยเขินขึ้นมา แต่เมื่อมีหยดน้ำเอิบอาบดวงตาอ่อนโยนอยู่ด้วย เขาก็ไม่แน่ใจนัก กานดาผู้เสงี่ยมกายใจอาจจะเคืองคำกล่าวขวัญถึงการที่บิดามารดาแต่งงานด้วยวิธีบังคับ ‘คลุมถุงชน’ หรือเพียงแต่รำลึกถึงแม่บังเกิดเกล้าก็ได้ เขาลังเลแล้วก็พยักรับถ้อยคำของกานดา

“ดูเหมือนงั้นแหละ––เหมือนเรา! อย่างไรก็ตามพี่เคยได้ยินอยู่เสมอว่า คุณหญิงดวงแขตะครุบลูกเลี้ยงเป็นหลานเขยเพราะจะแก้มือพวกพญาไทเท่านั้น อนึ่งท่านไม่มีลูกกับเจ้าคุณวรพันธ์อยู่ นาน จึงรับเอาหลานสาว––คือแม่ของน้องมาเลี้ยงแข่งขันขึ้นบ้าง แล้วรีบรวบตัวแต่งงานให้เสีย เผด็จเขาเกิดล้าหลังรุ่นเดียวกับพี่ คือเกิดก่อนที่คุณพี่ผดุงกับแม่ของน้องดาแต่งงานกันไม่เท่าไหร่ เผด็จจึงได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกอิจฉา’ แต่น้องดาอย่าน้อยใจนะที่แม่ของน้องถูกพวกพญาไทนินทาพวกผู้ดีเดโช ก็โขกทางนี้เสียสุดฝีมือเหมือนกันตอนที่คุณพี่ผดุงเบื่อภาระพ่อหม้ายแล้วหอบน้องดามาหาญาติข้างแม่เมื่อแต่งงานใหม่กับคุณพี่จรวยพวกบ้านพญาไท เช่น คุณน้าหลวงเจริญฯ คุณน้าจำเรียงกับคุณแม่ของพี่ซึ่งเป็นหม้ายแต่สาว ๆ ก็ถูกนินทาเท่ากัน เขาหาว่าช่วยกันแก้มือครั้งคุณแม่น้อง–”

“นี่กระมัง–คุณ–คุณใหญ่ถึงได้–ดูเหมือน–ไม่ชอบน้องนานแล้ว”

“เหลวไหล! คุณพี่จรวยรักจิตรีเหลือเกิน–ก็ยังดุแหวได้เสมอ เมื่อเธอทำเฉยกับใครนั่นแหละ คนนั้นน่าจะระวังไว้บ้าง ถ้าเธอแหวเรื่องหยุมหยิมอยู่ละก้อ–รับประกันได้! น้องดาโตมากับจิตรีแล้วยังเป็นลูกผัวของเธอเอง เธอต้องมีเยื่อใยอยู่มาก นี่แหละ! พี่ถึงต้องระวังตัวไม่ให้คุณใหญ่คิดว่าเรื่องจะรีบแต่งงานกับน้องดา เป็นเรื่องที่พี่รวบหัวรวบหางเคี่ยวเข็ญขึ้นก่อน พี่ทนไม่ได้ที่ใครๆ จะคิดว่าพี่ทำอะไรยุ่งเหยิงอยู่ก่อน พี่เคยเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ แล้วเคยได้รับแต่ความไว้วางใจจากญาติมิตร”

“หมาย–หมายความว่าน้องจะต้องเคี่ยวเข็ญขึ้นก่อนเรอะคะ? น้องไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ ซ้ำยังได้ชื่อว่าเป็นเด็กขี้ขลาดตาขาวและเหยาะแหยะอยู่เสมอ”

“ไม่ใช่น่ะ! น้องคิดมากไปหน่อย พี่หมายถึงว่า–ผู้หญิงย่อมมีวิถีพูดถึงความรักและการแต่งงานของตัวได้ละเมียดละไมมากกว่าชาย ช่วยพี่ถางทางเท่านั้นเอง เอ่ยถึงพี่บ่อย ๆ ถึงพ่อของน้องต่อหน้าคุณใหญ่ก็ได้ แล้วก็มี–ง่า–วิธีทำอะไร ๆ แยบยลอยู่บ้างที่จะให้ผู้ใหญ่ถามพี่ก่อน”

“คุณพี่ชัยก็รู้นานแล้วนี่คะว่า น้องไม่มีวิธีแยบยลอยู่เลย”

แล้วกานดาก็ก้มหน้านิ่ง วิชัยชังตัวเองที่ต้องทำให้หญิงสาวรู้สึกประหม่าและตกอยู่ในฐานะลำบากแบบนี้ในเรื่องความรักและการสมรสอันเป็นหลักฐาน หญิงธรรมดาทั่วโลกยังไม่ถึงกับจะต้องเกริ่นกล่าวแก่ชายและเคี่ยวเข็ญขึ้นก่อน กาลสมัยล่วงลัดมาถึงยุค ‘สิ่งซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้กลับเป็นไปได้’ ก็จริงอยู่ แต่เรื่องความรักและแต่งงานชายยังรักจะเป็นผู้ล่าเหลือเกิน เขายังยินดีจะเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของหญิงเสมอ แต่เมื่อ ‘น้องสาวในไส้’ ของเขาก็เคยขวนขวายความรักและการสมรสอย่างเหิมหาญแบบที่เขากำลังเสี้ยมสอนกานดาเดี๋ยวนี้ ไฉนกานดาจึงจะทำเหมือนจิตรีไม่ได้ ดูเหมือนว่าเลือดผู้ดีเดโชทำให้กานดาเย่อหยิ่งอยู่เงียบ ๆ กานดาได้ล่วงรู้ความลับเรื่องจิตรีซึ่งผูกพันอยู่กับเกียรติยศแม่บังเกิดเกล้าของวิชัย กานดาได้พลอยล่วงรู้เรื่องส่วนตัวจิตรี ซึ่งวิชัยคิดว่าเป็นเรื่องเสียเกียรติและน่าอับอายอีกด้วย กานดาจึงผิดแปลกไปมาก หล่อนไม่เคยโต้แย้งอย่างนี้ ถ้าเขาขอแต่งงานกับหล่อนก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น หล่อนคงไม่คัดค้านขึ้นเลย หล่อนรู้ความลับเรื่องแม่กับน้องในไส้เสียแล้ว หล่อนนึกดูหมิ่นครอบครัวของวิชัย หล่อนจึงเกิดความเย่อหยิ่งอยู่เงียบ ๆ วิชัยรักกานดามากเพียงไรก็รู้สึกเสียความภาคภูมิเพียงนั้น เขาเป็นคนหยิ่งเรื่องฐานะและเกียรติคุณของตนเสมอ เมื่อมาถูกเหยียดหยามอยู่เงียบ ๆ โดยหญิงที่เขาต้องการความรักและความเชื่อถือทุกอย่าง วิชัยก็เกิดความเคียดแค้นขึ้นด้วย ความโกรธทำให้เขาขาดสติที่จะไตร่ตรองตามเคย เขาก็ขาดความเห็นอกเห็นใจ ความรอบคอบและความเที่ยงธรรมทุกอย่าง

เขาอยากฉุดกระชากกานดาลงไปสู่ระดับเดียวกับแม่และน้องสาวซึ่งเป็นที่รักเหลือเกิน และซึ่งกานดาดูเหมือนจะเหยียดหยามอยู่เดี๋ยวนี้–ในใจ!

ฉะนั้นแม้เขายังรู้สึกต่อกานดาเหมือนเก่าเกือบทุกอย่าง ความระแวงว่าหล่อนดูหมิ่นกับความฉุนโกรธก็ได้ทำให้เกิดความขื่นขมขึ้นด้วย วิชัยชังตัวเองที่ทำให้กานดาตกอยู่ในฐานะลำบากสำหรับกุลสตรีด้วยคำขอร้องเหล่านั้น แต่ทิฐิมานะทำให้เขาเร่งรัดหล่อนอีก

“เออ! นายเผด็จทำบุญอะไรไว้นะน้องจิตรีถึงได้ประกาศหมั้นแทนเขาต่อหน้าพี่ชายกับน้องดา คืนนั้นน้องยังห้ามไม่ให้พี่เอ็ดจิตรีราวกับว่าจิตรีทำวิเศษ เสียดายจิตรีจัดการก่อนเกือบทุกอย่าง เผด็จเลยไม่โดนใครด่าว่ามาซุ่มดึงลูกสาวเขาถึงในบ้านข้างเดียว”

กานดาไม่เฉลียวก็รีบแก้แทนน้องสาววิชัยเช่นที่เคยแก้แทนทุกครั้ง

“ก็คุณจิตรีรักอาเผด็จ แล้วอาเผด็จก็รักและตั้งใจแน่นอนนี่คะ”

เขาย้อน

“ยังงั้นน้องดาก็ไม่รักพี่ ถึงไม่ยอมยืนยันอย่างจิตรีแล้วยังสงสัยว่าพี่จะไม่ทำอะไรแน่นอนนั่นเอง!”

กานดามองวิชัยตะลึง หล่อนไม่เฉลียวว่าจะถูกย้อนอย่างนั้น คราวนี้น้ำตาหล่อนเริ่มหยดย้อยอย่างเก่า แต่กานดาได้รับบทเรียนหลายอย่างในระยะย่นย่ออยู่แล้ว หล่อนจึงงงงวยเรื่องความรักและการสมรสไปตามบทเรียนผิด ๆ พวกนั้น อนึ่งหล่อนไม่สำนึกว่าผู้ชายเจ้าระเบียบแบบวิชัยนั้นชอบข่มขู่คนอื่น วิชัยอ้าแขนเข้าปลอบและตั้งใจจะกลายเป็นคู่รักเก่าเกือบทุกอย่าง แต่กานดาเดี๋ยวนี้มีความหวาดระแวงและหวาดสยองอยู่เสมอ หล่อนถอยหลัง วิชัยจึงอ้าแขนค้าง เขากลายเป็นคนใหม่เหมือนหล่อน

“ร้องไห้อีกแล้ว! เลิกเป็นนางครวญแบบเก่ากันทีถ้าเธออยากได้รับความสนใจจากชายอื่น”

ตั้งแต่ยังรุ่น วิชัยมักจะบอกเลิกรักกับกานดาเหมือนเด็กทะเลาะกัน เช่นอ้างถึงชายอื่นออกมา! หล่อนไม่มีโอกาสได้รับความสนใจจากชายอื่น เพราะพอรู้เดียงสาเรื่องรักเขาก็ทำให้หล่อนขีดวงคุมขังตัวเองไว้คอยรับแต่ความสนใจจากเขา! ครั้นแล้ววิชัยก็มักพยายามถอนความรักและความสนใจจากกานดาด้วยคารมยอกแสยงอย่างนี้ ในเมื่อหล่อนยังรักและซื่อตรงตามเคย เขาไม่มีความรักมากมายเหมือนหล่อน ทั้งที่วิชัยเป็นฝ่ายก่อเค้าโครงขึ้นก่อน

กานดาหยุดร้องไห้ แต่หล่อนก็รีบหลบไปเสียเมื่อพบกันอีก ต่างก็มึนตึงต่อกัน เรื่องระหว่างวิชัยกับกานดาจึงเป็นปมยุ่งยากที่ยังแก้ไม่ออกทั้งที่มีสายใยยืดเยื้ออยู่อีก ทั้งในความรู้สึกของผู้ใกล้ชิดและของคนทั้งคู่เองอีกด้วย

กานดาเดินงงเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัวจิตรีด้วยความทรงจำอันยอกแสยงอย่างนี้

“นั่นใคร? คุณดา! ดูเดินเข้าแน่ะ! นึกว่าเดินอุตราวัฏเชิงตะกอนกันเสียอีก อะไร! เป็นสาวเป็นนางหน้าเหย ๆ อยู่ได้ ดูแล้วรำคาญลูกนัยน์ตาเต็มที”

“ขอโทษ”

“ถ้าคุณดาจะมาที่นี่เพื่อขอโทษเท่านั้นละก้อ–เดี๋ยวนี้ดูพวกผู้ดีเดโชช่างจัดเรื่องขอโทษทุกคน คุณเผด็จขัดคอครั้งไหนยังหน้าเฉยตาเฉยขอโทษทุกครั้ง คุณดาดูซิ! พอเราจะไปทำงานออฟฟิศเพื่อหาเงินพิเศษใช้สอยสักทีท่านก็–ก็–ก็–กันท่าแกล้งให้เราตั้งครรภ์ขึ้นเสียแสนร้าย! คุณอาของคุณดาน่ะ! ที่นี้เราหันมาหางานเงียบ ๆ เพื่อซุ่มตัวอยู่ในบ้านแบบคนอ้วนเช่นสอนหนังสือพิเศษพวกต่างประเทศมาได้สองเดือน พอจะมองเห็นอะไรได้ เจ้านายท่านก็ทำท่าคัดค้านขึ้นอีก โอ๊ย! เบื่อ! เพิ่งได้แปดร้อยเท่านั้นถ้าได้ไปออฟฟิศป่านนี้พันเศษแล้วละ” จิตรีนั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่บนโซฟาร์ หล่อนสวมเสื้อคลุมยาวอย่างอยู่ในห้องนอน แพรเซี่ยงไฮ้สีนวลซับสีเนื้อของแพรชุดชั้นในออกมาเด่นดูหล่อนผ่ายผอมผิดรูปแต่หน้ายิ้มอิ่มละไมเหมือนเก่า แก้มแดงจัด เพราะเจ้าตัวตั้งใจเอาครีมรูปลงพื้น เพื่อปิดบังผิวที่เพิ่งซบเซียวสักหน่อย นัยน์ตาเรียวยาวมีประกายกล้าแข็งขึ้นมาก แม้บางขณะถ้าจิตรีเผลอตัว ตานั้นก็มีแววหวานเย็นอย่างเด็ก กานดารู้ว่าหล่อนเข้ามาผิดจังหวะที่สุด หรือมิฉะนั้นก็เป็นที่ต้องการที่สุด บางทีจิตรีอาจต้องการใครสักคนเป็นเครื่องระบายความคั่งแค้นของตน ตั้งแต่มีครรภ์แล้วจิตรีไม่พูดถึงชีวิตรักและสมรสด้วยความหยิ่งผยองอย่างเมื่อแรก หล่อนกลับเกิดความทะเยอทะยานอย่างใหม่ดูเหมือนความต้องการของจิตรีไม่รู้จักสิ้นสุดเสียเลย หล่อนจึงเป็นเหมือนคนมีทุกข์ตราบเท่าที่หล่อนมีความทะยานอยากยิ่งขึ้น ใครจะอิจฉาจิตรีถ้าเห็นใกล้ชิดเช่นกานดาได้เห็น!

กานดาจึงนั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกัน แม้จะถูกไล่เบี้ยแบบเดิมด้วยเรื่องหยุมหยิมอย่างเก่า

“ดูคุณจิตรีซูบลงเล็กน้อย น่าจะพักผ่อนเพิ่มขึ้น อาเผด็จคงกลัวเมียไม่สบายมากกว่าจะกันท่าเล่น ๆ หรอกนะ นี่แน่ะ! ไหนว่า–ใคร ๆ แต่งงานก็ต้องอยากมีลูกเป็นหลักฐานทุกคน ใครแต่งงานก็คงพร้อมใจกันละ–จะมีลูกหลาย ๆ คน”

“ฉันไม่พร้อมใจจะมีลูก”

“เรอะ!” แล้วกานดาก็ชักสงสัยความคิดของตัวเองที่อยากจะมีลูกกับวิชัยสักหกคน ถ้าเขาแต่งงานกับหล่อน จิตรีแต่งงานอย่างร้อนรนเหลือเกิน แต่กลับไม่พร้อมที่จะมีลูก เมื่อแรกจิตรีไม่ รักเผด็จและจัดการแต่งงานตัวเองเพราะคู่รักเก่ากับผู้ใกล้ชิดเช่นจรวยทำให้จิตรีเข้าใจผิดขณะตกอยู่ในฐานะคับขันชั่วครู่หนึ่ง นั่นอาจเป็นเหตุให้จิตรีไม่พร้อมจะมีลูกกับผัว แต่กานดาสังเกตเห็นว่า ก่อนจะรู้เรื่องตะวัน วงศ์วิโรจน์กับเรื่องไขว้เขวครั้งนั้น จิตรีก็มีความสุขกับเผด็จอยู่ตลอดเวลาสองเดือน หญิงธรรมดาย่อมรักผัวผู้ยังหนุ่มหน้าตาดีและร่วมรสนิยมอย่างเผด็จ ภาวะหญิงมีครรภ์ลูกหัวปีอาจทำให้สุขภาพทั้งกายใจทรุดโซมเสียแล้วจิตรีจึงผิดแปลกไปหมด กานดากลบเกลื่อนด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างเคย “ใครจะพร้อมไปทุกอย่างในสมัยฉุกเฉินเช่นนี้ หรืออาจเป็นได้ว่าผัวเมียรักกันมากและแต่งงานใหม่ ๆ นั้นยังไม่อยากให้ใครเข้ามาแทรก แต่พอเห็นตัวเล็ก ๆ ออกมาจึงจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็ก ๆ นี่แหละที่แท้ก็ทำให้ผัวเมียมีความรักมั่นคงขึ้นเยอะ”

“อย่าเลย! ฉันไม่รักหรอก–ผู้ชายรู้มากเหมือนคุณเผด็จ! คุณดายังไม่เคยอยู่กับผู้ชายใจแข็งคนนั้น”

หน้ากานดาแดงก่ำ

“คุณพี่ชัยก็–ก็เป็นชายใจแข็งคนหนึ่ง”

“ท่านนั้นใจดำ! รักตัวเห็นตัวเป็นเทวดาเสียคนเดียวจึงดูเหมือนใจแข็งเพราะคิดแต่จะข่มขู่คนอื่น ที่แท้ใจอ่อนแอออกจะตาย! แต่–” จิตรีแลดูกานดาอย่างเยาะเย้ยแกมขบขันครู่หนึ่ง นั้นเป็นเพียงคู่รักหรอก คุณดา! ถึงอยู่ใกล้ชิดกันนานแสนนานก็ยังไม่รู้ทั่วถึงทั้งหมดหรอกคนเราจะรู้อะไรกันต้องปรุโปร่งไปหมด ก็ต้องอยู่–อยู่ด้วยกันอย่างผัวเมียเหมือนฉันซี!–เซ่อ!”

กานดานิ่งเงียบ จิตรีวางท่าภาคภูมิเพิ่มขึ้น ครั้นแล้วจิตรีก็พูดอ่อย ๆ อีกใหม่

“เมื่อยจัง! คุณดาพูดเซาน์โทนทีซิ! ยายผิวเอาของว่างนักเรียนของฉันไปซุกใส่ตู้ล่างแล้วกระมัง ไม่ได้บอกงด เจ้านายท่านเพิ่งโทรศัพท์มาเมื่อกี้ว่าจะกลับมารับฉันไปธุระด้วยเรื่องค้าขายของท่านอีก ต้องการผู้ต้อนรับแขกหญิงเพราะนัดคราวนี้มีนักธุรกิจผู้หญิงอยู่ด้วย ดีแต่นายแฮมมอนด์เขายังไม่เดินทางมาเรียนละซิ ฉันถึงโทร.ไปขอโทษทันท่วงที แต่ก็–พูดเก้อ ๆ กันหน่อย น่าโมโห! เห็นไหม? เขานึกจะทำอะไรก็ขวางโครมเข้ามา! ฉันเป็นเมียเมื่อไหร่? ลูกจ้างอุ้มท้องแล้วคนเลี้ยงลูกเขาหรอก เมื่อยเหลือเกิน–หิวด้วย!”

กานดาหยิบหมอนมาวางลงใต้ขาของญาติหญิง

“นอนเหยียดออกมาเถอะ! ทำไมถึงคอยกินของว่างพร้อมนักเรียนล่ะคุณ? คนอย่างเราน่ะเท่ากับคนไข้คนหนึ่ง กินนอนต้องเป็นเวลา”

“โธ่! ฉันคอยกินของว่างกับแฮมมอนด์ก็เพราะเผด็จไม่กลับมากินกับฉันเลย เหงาจะตาย! ฉันไม่กล้าไปกินกับพี่น้องบ้านโน้นอีกเพราะอะไร ๆ ก็ไม่เหมือนเก่ากันแล้ว”

“เหลวไหล! ทุก ๆ คนคิดถึงเสมอ แต่เมื่อมีครอบครัวแล้ว ใครเลยจะกล้ายุ่งเหยิงอย่างเก่า”

กานดากลบเกลื่อนอย่างขอไปที แล้วก็หันไปทางเซาน์โทนที่ตั้งอยู่บนหิ้งใกล้กับโซฟาตัวโปรดของจิตรี เผด็จเป็นพ่อบ้านรอบคอบคนหนึ่ง เขาติดเซาน์โทนเกือบทุกแห่งในบ้านที่จิตรีอาจต้องการพูดกับผู้คนของหล่อน เขาไม่อยากให้หล่อนกดกริ่งโดยไม่มีคนรับรู้และทำเสียงกวนประสาทตัวอีกด้วย เผด็จอาจเป็นชายใจแข็งและรู้มากเหมือนจิตรีค่อนแคะเขาเสมอ แต่ถ้ามีอะไรควรจะต้องทำเผด็จก็ไม่เปิดช่องโหว่ไว้เลย กานดาพิศวงอยู่เสมอเมื่อจิตรีร้องทุกข์ถึงความขาดแคลนของตน แต่เมื่อจิตรีรำพันว่าหล่อน ‘ไม่ใช่เมีย’ ด้วยน้ำตาคลอหน่วยและเสียงอิดโรยเหลือเกิน กานดาก็ยิ่งมืดมัวมากขึ้นเพราะกานดาไม่รู้ความนัยระหว่างเผด็จกับจิตรี เรื่องอลิซาเบ็ธเบิร์น เหมือนที่พลอยรู้เรื่องตะวัน วงศ์วิโรจน์ และกำเนิดคลุมเครือครั้งอดีต

กานดาลุกไปนั่งที่เก้าอี้นวมใกล้โซฟาทางศีรษะจิตรีพลางใช้มือลูบไล้หน้าผากและผมจิตรีอย่างที่เคยปลอบโยนอยู่เสมอ

“ทำไมไม่บอกอาเผด็จตามตรงว่าเราเหงาแล้วก็–เงินไม่พอใช้? เชื่อเถอะ! ถ้าอาเผด็จรู้ความจริงจากคุณเอง เขาคงช่วยจัดการให้เรียบร้อยทุกอย่าง”

“บอกไม่–ไม่ได้อีกแล้วละคุณดา! ฉันบอกเขาแล้วว่าจะไม่รบกวนอะไรเขาอีก นอกจากที่เขาจะให้เองพูดตรง ๆ ฉันสาบานกับเขาเองว่าจะไม่ยอมรับอะไรจากเขาเกินขอบเขตของลูกจ้าง”

“อ๊าว–! ทำไมถึงทำพิลึกเหลือเกินคะ?”

จิตรีหัวเราะอย่างแร้นแค้นคนเดียว

“เขา–ฉัน–เกิดเรื่องอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องหลวมปากสบถสาบานแบบนั้นไป? เป็นตายยังไงฉันต้องรักษาถ้อยคำของให้ได้ คุณดารู้แล้วอย่าพูดไปนะ–นะ!”

“แน่นอน! นิ่งเสีย–อย่าร้องไห้! ฉันจะไม่พูดกับใครเลย! ลูกจ้างก็มีสิทธิ์จะกินอยู่ใช้สอยตามสบายแบบหนึ่ง! แน่ะ! ผุดยกของว่างมาแล้ว ฉันหิวมาจากโรงเรียนเหมือนกัน”

“กินซิ! โธ่! ทำไมคุณดาถึงไม่มีสิทธิ์จะมากินอยู่กับฉันอย่างเมื่อก่อนนะคะ นี่ฉันต้องแต่งดำทั้งชุดใช่ไหมเมื่อไปกับคุณเผด็จคืนนี้ เบื่อนะ! ปีนี้ตลอดปีพวกเราต้องเลิกแต่งสีสรรเสียแล้ว ฉันเลยใช้รูชให้เข้มขึ้นอีก ทั้งที่แก้มกับปากฉันยังแดงเกือบเหมือนเก่า”

“สีอ่อน ๆ ไม่ดีเรอะคะ เพราะกำลังไว้ทุกข์ใหญ่ แล้วเราก็รักในพระบรมโกษกันมาก คุณเองยืนยันอยู่เสมอ”

“ฉันยังยืนยันอยู่อีก! แต่สีแก้มสีปากเป็นเรื่องสังขารคนเรา งั้นมิต้องเอาดินหม้อหรือขี้เถ้าทาตัวเรอะ? มิน่าเล่า คุณดาเลยดูหน้าเหย ๆ อยู่เสมอ ฉันไม่อยากกินนมสดเสียแล้ว ขอชาได้ไหม?”

“งั้นจะต้องหน้าเหยอย่างฉันละ! คุณจิตรีต้องดื่มนมสดเสียก่อน”

จิตรีหัวเราะพลางลุกขึ้นนั่งกินเอง หล่อนคุยครึกครื้นคนเดียว เผด็จกล้าลงทุนทั้งที่เหตุการณ์ทุกอย่างกำลังกวัดแกว่งกันใหญ่ การเมืองสับสนมืดมัว เศรษฐกิจยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น ครั้งแรกเผด็จไปเรียนต่างประเทศด้วยทุนส่วนตัว ต่อมาได้รับโอนเข้าเป็นนักเรียนทุนของรัฐ และถูกกำหนดให้ประจำการและดูงานต่อตามหมู่เกาะอินเดียตะวันออกและตะวันตกแล้วติดสงครามครั้งนั้น เผด็จกับทางการมิได้ติดต่อตามควร เขาสาบสูญไปตลอดห้าปี แล้วจึงกลับเข้ามาแบบใต้ดินขณะที่ราชการกำลังยุ่งเหยิงยิ่งนัก เขาจึงต้องหันไปจับการค้าของตน แต่ก็พบมรสุมมืดมัวมากขึ้น เขาไม่ได้รับการเกื้อกูลจากทางการ ทางพ่อค้าชาวตะวันตกซึ่งมีตัวน้อย หรือทางพ่อค้าจีน-ไทย ซึ่งต่างก็ผิดแปลกไปหมด เขามีโอกาสล้มละลายเหลือเกิน แต่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่เผด็จหมุนหลักทรัพย์บางสิ่งทางบ้านเดโชกับอาศัยเพื่อนพ่อค้าต่างประเทศบางคนให้เปิดเครดิตด้วยความเชื่อถือเท่านั้น ขณะนี้เผด็จเสี่ยงเกือบทุกอย่างลงในกิจการค้าของตนที่ขยับขยายยิ่งขึ้นแทนที่จะลดหลั่นลงไป

“เขาเปลี่ยนชื่อบริษัทเก่าเสียโก้ แต่ก็ดูขึงขังขึ้นเยอะเชียว คุณดา” จิตรีรำพึง “บริษัทเผด็จกลการและอุตสาหกรรม! โก้นะ! ดีกว่า ‘สินค้าไทย’ เท่านั้น! เจ้านายท่านชอบเรียกย่อโก้ ๆ กับฉัน ว่า ผ.ก.อ. ยังงั้นยังงี้–งกเตี้ยวเต็มทีเดียว! ดูเองทุกอย่าง แล้วไม่ยอมให้ฉันไปทำบัญชีให้ ทั้งที่ฉันเรียนพิเศษเพิ่มเติมเกือบตาย โมโหขึ้นมาเลยหากินเองอีกคนน่ะซิ! เห็นจะไม่พอใจจึงคอยตาขวางเรื่องหยุมหยิมอยู่เสมอ ไม่ไหวจริง ๆ นะคุณดา ผู้ชายชอบกลจริง! ตัวจะทำอะไรทำได้ กระทั่งลูกมากเมียมากก็มีได้–”

“อาเผด็จยังรักและชื่อตรงต่อคุณจิตรีเหลือเกิน”

“ก็–จำเป็นน่ะซิ! ถ้าไม่มีอะไรกดคอเขาอยู่ ก็อย่าหวังเลย ฉันเลิกหวังนานแล้ว–เรื่องผู้ชาย! ตัวทำได้สารพัด พอผู้หญิงจะทำอะไรบ้างก็คอยข่มขู่ขึ้นเสียงแสนร้าย!”

เรื่องของจิตรียืดยาวยิ่งนัก กานดาลืมเกลี้ยกล่อมให้เลิกทำงานตามที่เผด็จขอร้อง กานดาลืมแม้แต่เรื่องคับแค้นของตัว เมื่อรับฟังเรื่องยุ่งเหยิงอย่างนั้นแล้ว หล่อนเพลินหรือพลอยหมกมุ่นไปกับเรื่องหลายรสเท่านั้น!

แต่ในระยะต้นของกรณีสวรรคต ดูใคร ๆ ก็มีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างประหลาด อารมณ์คนในเมืองไทยถูกพัดกระพือไปตามความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ที่แสนยุ่งเหยิงยิ่งนัก

เมื่อโรงเรียนกำลังจะปิดภาคต้น กานดามีเรื่องหมกมุ่นมากขึ้น ครั้นงานทางโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว หล่อนหายกังวลพอจะเหลียวแลดูผู้คนและเหตุการณ์ภายในขอบเขตของบ้านเรือน หล่อนก็พบแต่ความผิดแปลกไปหมด

“มีเรื่องอะไรอย่างหนึ่งแน่นอน ที่เราไม่เคยรู้อยู่ก่อน” กานดาได้คิดบางครั้งบางคราว แต่มรสุมส่วนรวมซึ่งพัดโหมจากกรณีสวรรคตเข้าไปทุก ๆ สังคมของกรุงเทพฯ ทำให้กานดาถอนความสนใจจากการฉุกคิดชั่วคราวของหล่อน “เราช่างรู้สึกเสียจริง ๆ ว่าเป็นคนแปลกหน้าในบ้าน ทั้งที่เราอยู่บ้านมากกว่าคุณพี่ชัยเสียอีก อะไรนะทำให้คุณป้าคุณใหญ่จนกระทั่งป้าม้วนมองเรา เหมือนกับเราทำผิดคิดร้ายเหลือเกิน?”

ถ้าจิตรีไม่มีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่แล้ว หรือเพียงแต่ยังนอนเตียงคนละฟากกรงมุ้งลวดอย่างเก่า กานดาคงพูดกับจิตรีด้วยเรื่องฉุกคิดข้อนี้บ้าง แม้จิตรีสนใจเรื่องคนอื่นน้อยกว่าเรื่องของตัว ก็คงจะช่วยปัดเป่าไปได้ แม้ด้วยการถกเถียงเท่านั้น กานดามีนิสัยเกรงใจคนอื่นจนไม่กล้ารบกวนใครแม้จะแสดงความคิดของตัวต่อเขา แต่กับจิตรีแล้วกานดายอมเปิดเผยด้วยมากกว่าใคร ๆ ชีวิตวัยรุ่นร่วมกันทำให้สองหญิงเป็นเหมือนลูกแฝดที่มีทุกสิ่งทุกอย่างตรงข้าม แต่เมื่อคราวคับขันของแต่ละคน อีกคนก็กระโจนเข้าช่วยเหลือ หรือเพียงร่วมรับรู้ทั้งที่เคยขัดแย้งอยู่เสมอ

ครั้นแล้ว ความรักระหว่างเพศกับการสมรสก็ได้พรากกานดากับจิตรีออกจากกันเหมือนอยู่คนละมุมโลก ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดกันเช่นเดิม

ดังนั้น ชีวิตของพวกซอยสามบ้านก็กระเจิดกระเจิงจากกันไป ตามพลังความคิดของตนกับภาวะแวดล้อมอันรุนแรงหลายอย่าง ไม่ประหลาดอะไรที่กานดาจะรู้สึกเหมือนตนเป็นผู้แปลกหน้าในบ้าน เพียงแต่นิสัยสมถะและอ่อนโยนอยู่แล้ว ทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น

นี่คือกรณีหนึ่งที่ทำให้กานดาฉุกคิดคนเดียว

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ