“เป็นอันว่า ไม่มีเลี้ยงค็อกเทลที่บ้าน!”

เจ้าสาวสองเดือนเศษนอนหลับตาคิดคนเดียวดังนี้กลับไปกลับมาไม่หยุดหย่อน ไม่มีแม่ครัวขึ้นมากวน ไม่มีภาระอื่น ๆ แม้แต่ที่เกี่ยวกับตัวหล่อนเองอีกด้วยเพราะกานดาคอยวนเวียนมาดูแลจิตรีหลายครั้งแล้วนับตั้งแต่จิตรีล้มลงไปหมดสติอยู่บนโต๊ะตัวนั้น

ตั้งแต่เช้าวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีสิ่งใดในโลกสมัยปรมาณูแล้วที่จะทำให้จิตรีรู้สึกว่าหล่อนจะต้องสนใจและทำหน้าที่ทุกอย่าง นอกจากกานดากับเด็กผุดผ่องอีกคนหนึ่งเท่านั้น จิตรีก็ไม่ต้องทนพบปะใครอื่นอีกเลย เช้าวันนั้นเมื่อเขาพากันแก้ไขหล่อนคืนสมประดีได้แล้วหล่อนได้ยินและได้เห็นใครต่อใครสับสนอลหม่านมากหน่อย แต่ในที่สุดเขาก็พากันปล่อยให้หล่อนอยู่ลำพังกับความนึกคิดของหล่อนเอง

ถึงกระนั้นจิตรีก็ทนไม่ได้แม้แต่ความคิดของหล่อนเอง! ความคิดของหล่อน! นรกในใจคือความคิดของหล่อน!

เช้าวันนั้น เมื่อจิตรีรู้สึกตัวต่อมาสติสัมปชัญญะยังไม่ยอมคืนเข้าแหล่งเลยทีเดียว ความแกร่งกล้าและความบึกบึนแบบใหม่ ซึ่งมีความหยิ่งผยองอยู่มากถูกปะทะด้วยความผิดหวังซึ่งจู่โจมเข้ามาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเต็มแรง แม้จะเป็นวิญญาณต่อสู้ซึ่งกลั่นกรองกันมาแล้ว–ด้วยสงครามด้วยความเสื่อมสารพัด เมื่อถูกต้านเต็มแรงก็ต้องแตกเต็มแรง ไปตามปริมาณความบึกบึนแบบนั้น

ยิ่งความบึกบึนบวกด้วยความหยิ่งผยองอย่างจิตรีด้วยแล้ว ยิ่งต้องแตกกระจายอย่างไม่มีท่าทีเดียว อุดมคติใหม่ซึ่งเผด็จได้ปลูกฝังลงในความคิดของหล่อนว่า ‘เราลิขิต’ โชคชาตาตนเองด้วยกรรมดีกรรมชั่วของเราเองอีกนั้น แทรกซึมเข้าไปในสติใต้สำนึกของหล่อนเพียงเล็กน้อยและไม่ถูกต้องเต็มที่ มันมิได้ช่วยให้หล่อนเกิดความอดทนแท้จริง นอกจากว่ามันทำให้หล่อนทะนงในความสามารถมากขึ้น และหวังเฉพาะผลตอบแทนเท่านั้น จิตรีลืมไปว่าความสำเร็จทุกอย่างย่อมเกิดจากการเผชิญอุปสรรคและความล้มเหลวหลายครั้งของชีวิต ครั้งแรกหล่อนเชื่อพรหมลิขิตแล้วก็ต้องเสียศรัทธาทุกอย่าง เมื่อหล่อนรู้สึกว่ามนุษย์เดินดินยื่นมือมาช่วยหล่อนยิ่งกว่าพรหมผู้นั้นมากต่อมาก หล่อนเชื่อรอยลิขิตของมนุษย์ซึ่งหมายถึงรอยลิขิตของหล่อนเองอีกด้วย ดังนั้นจิตรีจึงหยิ่งผยองและย่ามใจจนเกินควร เมื่อหล่อนเริ่มลิขิตความเป็นอยู่อย่างใหม่และดูเหมือนว่าหล่อนได้รับความสำเร็จโดยราบรื่นเรื่อยมา

หล่อนคิดว่าหล่อนเสียคู่รักคนแรกเพราะความทรยศอย่างเดียว หล่อนก็หาคู่รักและสามีได้ด้วยการขวนขวายของตนเอง หล่อนเสียศักดิ์สกุลตลอดจนเกียรติยศอย่างนั้นหล่อนก็ยังสามารถมีได้อีก ทั้งนี้เพราะหล่อนได้ลิขิตโชคชาตาตนเองลงไปบนรอยลิขิตของพรหม ซึ่งเปรอะเปื้อนไปแล้ว

จิตรีคือพรหมผู้ใหญ่ยิ่ง!

ความสามารถและความอดทนทุกอย่างของจิตรีจึงทรงตัวอยู่ได้ด้วยความหยิ่งผยองอย่างเดียว ความเย่อหยิ่งย่อมนำไปสู่ความประมาทและความประมาทก็คือความตายตามคติของพระบรมศาสดาโดยแท้!

ครั้นแล้วจิตรีก็ได้รับความผิดหวังจากรอยลิขิตของตนอีก!

ความอดทนและความมั่นคงของสติก็แตกดับไปตามความแตกดับของหัวใจอันหยิ่งผยองอย่างนั้น หัวใจจิตรีลอยฟ้า แล้วก็ฟุบลงในระยะเวลาใกล้กันเกินควร หัวใจนั้นห่อหุ้มด้วยความเย่อหยิ่งอย่างหนักแน่น เมื่อถูกกระชากเปลือกไปโดยแรง หัวใจนั้นก็ฟุบไปกับดินโดยแรง หัวใจนั้นก็ล้มป่วยเป็นบ้า!

จิตรีรู้สึกตัว แต่สติสัมปชัญญะยังซ่านเย็นเสียเหลือเกิน หล่อนมีอาการไม่ต่างกับคนถูกวางยาสลบแล้วเพ้อว่าตัวตื่นอยู่ จึงกรีดร้องหลายครั้ง

‘ขี้โกง! โกง! โกง! เราถูกเขาช่วยกันโกงอย่างทารุณร้ายกาจ ถูกโกง ตะวันกับฉัน...โธ่!’

สมาชิกในครอบครัวของซอยสามบ้านถูกจิตรีกรี๊ดว่าโกงหล่อนโดยทั่วถึงทุกคน!

วันแรกที่ผดุงได้ยินเข้าความรู้สึกและอารมณ์ ซึ่งเคยเยือกเย็นอยู่เสมอก็เปลี่ยนแปลงไปทันที เขาพูดกับภรรยาอย่างนี้

“คุณใหญ่เจ้ากี้เจ้าการเกินไป...มันถึงยุ่งยังงี้!”

จรวยรู้สึกว่าหล่อนกำลังเผชิญหน้า ‘ผัว’ ผู้หนึ่งแล้ว ประหลาดที่หล่อนเพิ่งพบ ‘ผัว’ เมื่อแต่งงานมาแล้วหลายปี! แต่หล่อนพยายามแย้งอยู่ว่า

คุณจะให้ฉันทำยังไง เมื่อฉันเผอิญได้อ่านจดหมายเจ้ากรรมก่อนน้อง โธ่! ฉันรักน้องนี่คะ ใครจะปล่อยให้น้องที่เสียไปแล้วทั้งคนคอยความเสื่อมเสียไปอีกสองปีได้ลงคอ–ก็ต้องรีบรวบหัวรวบหางให้ดีจนได้”

“จะว่าไป จดหมายมีข้อความแค่นั้น ไม่น่าจะยืนยันได้ว่ามีเรื่องร้ายกาจเกินควร คุณรู้ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้เขาพูดจากันยังไง–ไม่ใคร่จะมีความหมายมากนัก เขาใช้ถ้อยคำสุรุ่ยสุร่ายเพราะความเคยตัวต่างหาก”

จรวยรีบแก้ตัวตอนนี้อีก

“เถอะค่ะ! คุณกับฉันก็ยังไม่แก่เกินสมัยมากนัก พอจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เด็กเมื่อวานซืนก็ต้องรู้ว่าควรจะสุรุ่ยสุร่ายถ้อยคำแค่ไหน นี่มันต้องมีเรื่องรุนแรงละซิมันถึงพูดปล่อยไปหมดเมื่อคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องของตัว เราเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องแก้ไขตามความคิดของเราบ้าง เมื่อเห็นเด็กมันจนมุมหมดแล้ว–คุณเห็นว่าฉันยกน้องสาวฉันให้เป็นเมียน้องชายคุณน่ะ เป็นการก้าวก่ายเกินไป คุณเผด็จเลวกว่านายตะวันยังไง!

ผดุงนิ่งคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดด้วยเสียงเคร่งเครียดขึ้นอีก

“เรื่องความเลวละก็–ผู้ชายเห็นจะไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกคุณ” ครั้นแล้วเขาก็รีบกลบเกลื่อนถ้อยคำ ‘เข้าตัว’ ตอนนี้ว่า “ถูกแล้วที่ว่าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องจัดการตามความคิดของเราบ้าง แต่ฉันคิดว่า–คุณ–ง่า–เราควรจะจัดการกับจิตรีอย่างตรงไปตรงมามากกว่านี้ ไม่น่ากักจดหมายแล้วย้อนเอาไปให้เผด็จดูอีกที”

“โธ่! นั่นน่ะซิคะ–ฉันตรงไปตรงมากับคุณเผด็จเขาละ”

“แต่นี่คุณกับเผด็จแอบรู้กันยังงี้–โดยจิตรีไม่รู้เรื่องเลยก็...ไม่ตรงไปตรงมาเหมือนกัน ขอเสียทีเถอะคุณ! คราวหน้าอย่าทำยุ่งยังงี้อีก ฉันก็หมายว่าคุณคงไม่หักหลังจิตรีเรื่องจดหมายเมื่อฉันห้ามคุณครั้งหนึ่งแล้ว”

จรวยร้องไห้ ผดุงไม่เคยพูดกับหล่อนแรงมากเหมือนคราวนี้

“ฉันไม่ตั้งใจจะหักหลังใครทั้งนั้น คุณก็รู้ว่าฉันเป็นคนตรง แล้วก็รักจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ–ตามความยุติธรรมที่สุด ฉันไม่โกงกระทั่งน้องผัว รึคุณเห็นฉันเป็นเมียเลวเหลือเกิน?”

นายผดุงมิได้แสดงว่าเขารู้สึกผิดหรืออยากขอลุแก่โทษเมียเหมือนเคยเมื่อจรวยใช้ถ้อยคำย้อนเขาครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ผดุงนั่งลงโอบไหล่จรวยแล้วพูดด้วยเสียงมั่นคงขึ้นอีก

“ฉันเป็นผู้ชายโชคดีที่ได้เมียเหมือนคุณใหญ่แต่–” เขาหันรีหันขวางครู่หนึ่ง จรวยจึงรีบยัดผ้าเช็ดหน้าของหล่อนเองใส่มือให้เขา ผดุงช่วยเช็ดน้ำตาให้หล่อนพลางพูดต่อไป “แต่คุณใหญ่ก็รู้แล้วว่า อ้ายเจ้าระเบียบแบบแผนกับความยุติธรรมทุกอย่างย่อมมี ‘ช่องออก’ อีกเยอะแยะไม่ใช่จะต้องกวดกันจี๋จนเหมือนใส่ขื่อคาเข้าไว้อย่างนักโทษถึงตายสมัยที่พ้นไปแล้วหลาย ๆ ปีแล้วนะคุณใหญ่ ระเบียบกับความยุติธรรมที่ไม่มีช่องออกเอาเสียเลยก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องทรมานเหมือนกัน”

“คุณคะ!” จรวยสอดเสียงเครือ “คุณเคยว่าฉันเป็นคนเจ้าระเบียบบ่อย ๆ คุณคิดมั่งไหมคะว่าเมียคุณใส่ขื่อคาคุณไว้”

ผดุงกอดหล่อนแล้วตอบ เสียงเขาเคร่งขรึมแต่ก็อ่อนโยนอยู่เสมอ

“คราวนี้ฉันจะไม่ปฏิเสธเสียเลย เพราะมันเกี่ยวกับการให้โอกาสแก่จิตรีและเผด็จเดี๋ยวนี้ คุณใหญ่! ฉันเคยอึดอัดมากเหมือนกัน ที่คุณไม่ยอมให้พื้นเรือนสกปรกไปบ้าง แล้วก็เวลาที่คุณคอยจ้องจะให้ฉันแต่งตัวเต็มที่ทุกครั้ง”

“คุณสวย! หล่อนสอดและตั้งต้นสะอื้นอีกใหม่ “ฉันไม่อยากให้คุณแต่งตัวปอนเป็น...เป็น...”

“–เป็นอ้ายบ้า!” เขาต่อเต็มเสียง “เอาเถอะคุณฉันจะพยายามอยู่อีกที่จะเป็นคนสวยสักหน่อยคุณเคยยอมให้ฉันลงนอนหน้าเตียงตั้งหลายครั้ง แล้วคุณเคยยอมให้ฉันออกจากห้องแต่งตัวด้วยเครื่องทรงสยายแบบนั้น นี่เองที่ทำให้คุณเป็นเมียรักของนายผดุงเดี๋ยวนี้คุณหาช่องออกไว้ให้ผัวพอแล้ว ทั้งที่คุณเป็นคนเจ้าระเบียบมากเหมือนกันเห็นไหม? ที่ฉันกล้า–เอ้อ–บ่นคุณใหญ่อย่างเมื่อกี้ ก็เพราะฉันอยากให้คุณวางระเบียบกับความยุติธรรมที่มีช่องออกอีกบ้าง เมื่อคุณทำกับจิตรีเรื่องนั้น อีกอย่างหนึ่ง น้องชายฉันก็ไม่ใช่จะไม่รู้สีสาเสียเลย เขาแก่กว่าจิตรีหลายอย่าง ความจัดเจนและอื่น ๆ อีกมาก–ผู้ชายแก่กว่าผู้หญิงอยู่เสมอ ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ก็ตาม เผด็จควรจะได้พิจารณาเองเมื่อเขาคิดจะเลือกผู้หญิงอย่างจิตรี ถ้าหมอนั่นมันสมัครจะรู้เพียงว่า ผู้หญิงเขายอมสนองความรักใคร่ของมันแล้วก็ปล่อยให้มันหาความรู้ในเรื่องอื่นเองเถอะ เมื่อมันมีสุขที่จะบัดซบ ก็ปล่อยตามเรื่องเลยทีเดียว ใครมีสิทธิที่จะทำลายความสุขของเขา เมื่อเขาสมัครใจจะสุขอย่างบัดซบเสียแล้ว นี่แหละ! ฉันถึงว่าความหวังดีของคุณใหญ่ออกจะก้าวก่ายเกินควร”

เขาไม่ต้องเช็ดน้ำตาตอนนี้อีก เพราะจรวยไม่มีน้ำตาแต่สักหยด เมื่อหล่อนเกลือกหน้าลงบนไหล่เขาครู่หนึ่งขณะที่พึมพำเพียงเท่านี้

“ดิฉันต่างหากที่โชคดี–คุณคะ! ดิฉันสัญญาว่าจะไม่จัดระเบียบชีวิตให้คนอื่นอีกต่อไป”

“ขี้โกง! โกง! โกง!”

จิตรีร่ำร้องเรื่อยไปทุกครั้งที่สมาชิกในครอบครัวเข้าใกล้ ผู้ที่ถูกหล่อนกรี๊ดว่าโกงก็ต้องหนีเขาเกรงว่าการที่จะพยายามโต้แย้งหรือยับยั้ง หญิงสาวขณะนั้นอาจรุดจิตรีไปหาการป่วยเป็นไข้สมองมากขึ้น

เขาโทรศัพท์เรียกเผด็จเดี๋ยวนั้น

แต่เขากลับมาเมื่อค่ำแล้ว หน้าคร่ำเครียดเพราะเรื่องค้าขายของเขา หน้าเขายิ่งคร่ำเครียดขึ้นอีกเมื่อรู้เรื่องตลอดหมด เขามิได้ตรงไปหาจิตรีเลยทีเดียวแต่ปิดประตูขังตัวอยู่ในห้องเขียนหนังสือเสียก่อน นายบุญพบเป็นคนเสิฟกาแฟแทนอาหารค่ำคนเดียว

เผด็จมิได้เรียกหาเหล้าเลยสักครั้ง!

เมื่อเขาโผล่เข้าไปในห้องนอน ญาติสนิทในครัวเรือนเหล่านั้นมองดูเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจจนออกหน้า แต่จิตรีร้องขึ้นอีกพร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงเต็มแรง

“หน้าขี้โกง! ฉันรู้ว่าคุณขี้โกงตั้งแต่เห็นไฝที่หางคิ้วคุณคืนนั้นแล้ว–ที่แหลมเหลือ–ที่ใต้หางนกยูงท้ายสวน–คุณโกงกระทั่ง–ผู้หญิงของผู้ชายอื่นอีกได้!”

พวกญาติรีบหลบออกไปจากห้องนอกนั้นเสียแต่ก็ทันเห็นเผด็จเดินอ้าแขนเข้าไปหาจิตรีเหมือนไม่มีเหตุการณ์พิกลเกิดขึ้นเลย หล่อนตะคอกเขาขึ้นอีก

“ไปให้พ้น!–อย่ามาใกล้เขานะ–คนขี้โกง!”

แต่เขานั่งลงบนเตียง และฉวยตัวหล่อนไว้ในวงแขนเขาแน่น

“นิ่ง! เดี๋ยวจะป่วยไปมาก”

เสียง ‘เผียะ’ ซ้อน ๆ กันเกิดขึ้น หน้าของเผด็จถูกตบเต็มแรงหลายครั้ง! คนอื่นยังได้ยินผัวผู้ถูกตบพูดพึมพำด้วยเสียงอ่อนโยนอยู่ว่า “จิตรี! จิตรี!” เรื่อยไปกระทั่งเสียงต่อสู้สงบลง

เสียงจิตรีร้องไห้คร่ำครวญขึ้นอีก ภายในอ้อมแขนของเผด็จ

กานดาอุดหูวิ่งลงบันไดเดี๋ยวนั้น หล่อนวิ่งขึ้นไปบนเรือนบ้านกลางก่อนเขา วิชัยตามไปทันเห็นหล่อนนั่งร้องไห้อยู่กับคุณจำรัส ผู้ซึ่งพลอยทำตาแดง ๆ ไปด้วยเหมือนกัน

วิชัยฉุนกึก เพราะเขาไม่อาจเข้าข้างจิตรีลงคอ “ทำไมน้องดาร้องไห้เพราะผู้หญิงผี ๆ พรรณนั้น” เขาโกรธมาก เพราะเขายังรักจิตรีมากเหมือนเก่า

“ตบผัวเพราะผิดหวัง เรื่องเสเพลของตัวตั้งนานแล้ว เอาแต่ใจจนเคยตัว! เอะอะเป็นแม่ค้าข้างถนน–ขายหน้าฝ่ายเขยเขาจริง ๆ! นี่เป็นเพราะเราเลี้ยงเสียปล่อยให้กำเริบแบบลูกคนเล็กเรื่อยมา ถึงได้ผิดเหล่ากอเกินไป” ครั้นเขาสังเกตเห็นสองหญิงไม่สนับสนุนถ้อยคำเขาเลย เขาก็ยิ่งทวีความขุ่นเคืองขึ้นอีก “รึจะเป็นเพราะเด็กนั่นมีเลือดเลว ๆ อยู่ในสมองมากเหมือนคุณใหญ่ว่า–เลือดของลูกหลงพ่อ!–เลือด–”

วิชัยต้องพูดค้างแค่นั้น เพราะนึกได้ว่าเขาปล่อยสติสัมปชัญญะให้อยู่ใต้อำนาจความโกรธเกินไป กระทั่งพูดเผลอถึงความลับของสกุล ซึ่งเขาตั้งใจปกปิดไปจนตาย แต่คุณจำรัสและกานดาทำให้เขาพูดค้างแค่นั้นด้วย

กานดาอุทานออกมาครั้งหนึ่ง แล้วก็นั่งตกตะลึงเลยทีเดียว ดวงตาโตดำมีแววตื่นเต้นตกใจ มารดาของเขาหน้าซีดขาวคล้ายจะเป็นลม ครั้นแล้วเธอจึงพูดค่อย ๆ แต่มีกังวานมั่นคงขึ้นว่า

“ทำไมลูกชายรู้เรื่องนั้นนะจ๊ะ? งั้นจิตรีก็คงรู้ละซี!”

บุตรชายคุณจำรัสรับด้วยเสียงเสียใจแต่ขุ่น ๆ ขึ้นอีก

“ไม่ตั้งใจจะรู้หรอกครับ! ได้ยินคุณใหญ่เอ็ดจิตรีหลายเดือนแล้ว เกี่ยวกับเรื่องเสเพลพวกนั้น แล้วผมก็ไม่ตั้งใจจะพูดต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าผมรู้เรื่องนั้นหรอก”

“มิน่าเล่า จิตรีถึงได้เปิดเปิงเป็นบ้าแบบนี้!” คุณจำรัสรำพึง “เมื่อคืนวันแต่งงานยังถามแม่เหมือนกัน แกคงกลุ่มจัดจนทำอะไรแปลก ๆ ไปหมด–อย่างเรื่องรีบแต่งงานทั้งที่ไม่ปรึกษาเสียก่อน”

“นั่นเป็นเพราะเขาคิดว่าเขาถูกตะวันทอดทิ้งเท่านั้นเอง เลยรีบหาผัวไว้แก้หน้าตัวต่างหาก” อารามจะรีบกลบเกลื่อนมิให้กานดาได้ซึมทราบความลับเรื่องนั้นมาก วิชัยจึงพูดเรื่องซึ่งไม่ตั้งใจจะพูด “เลวเหลือเกิน!”

“พี่ชัย!”

กานดาอุทานได้คำเดียวก็ต้องหุบปากไปอีกเพราะคิดได้ว่าหล่อนเป็นเพียงฝ่ายเขยคนหนึ่ง แต่มารดาวิชัยพูดค่อย ๆ ขึ้นเสีย

“เลวจริงอย่างลูกชายว่า แต่ถ้าแม่รู้ว่าเรื่องรั่วไหลถึงหูจิตรีละก็ คงจะได้ช่วยจิตรีหลายอย่าง บางทีแกก็จะได้คิดบ้างว่า แกมีศักดิ์สกุลกับเขา ไม่ต้องผลีผลามไปพึ่งผัวที่แกไม่รักเลยทีเดียว แม่พอจะยืนยันเรื่องเดิมได้ว่าถ้าจิตรีไม่ใช่ลูกคุณจำเรียงกับพ่อหลวงเจริญละก็ จิตรีก็ไม่ใช่ลูกหลงพ่อพรรณนั้นหรอก พ่อของจิตรีองเต็มใจจะรับรองลูกของตัวตั้งแต่แรกพร้อมกับแม่ของจิตรีเลยทีเดียวถ้าไม่ติดขัดว่าแม่ของจิตรีไม่ยินยอมอย่างเดียว แล้วเขาก็ตายเสียก่อนจิตรีเกิดหลายเดือนด้วยซิ”

คุณจำรัสหยุดใคร่ครวญครู่หนึ่ง แต่เมื่อไม่มีใครขัดขึ้นเลย เธอจึงพูดด้วยเสียงปรกติต่อไปอีก

“แม่ของจิตรีไม่ยินยอมแต่งงานครั้งที่สองเพราะหลงรักลูกชายคนหัวปีที่เกิดกับผัวเก่าเกินไป ลูกชายเชื่อมั่นมาแต่เล็กแล้ว ว่าแม่ที่เป็นหม้ายเมื่อยังสาว จะไม่หาพ่อใหม่มาอีก เขาบูชาความดีของแม่มากไป! แม่ต้องเป็นเมียลับของผัวใหม่เรื่อยมา จนกระทั่งต้องเป็นหม้ายอีกครั้งหนึ่งนานแล้ว เพราะแม่ไม่ยอมให้ลูกชายหมดความเชื่อถือเท่านั้นเอง ถ้าลูกชายเป็นเด็กธรรมดาแล้วแม่ไม่หลงรักลูกเหลือเกิน ก็คงจะไม่มีเรื่องพิกลเกิดขึ้นกับตัวเองจนกลายเป็นบาปมาถึงลูกหญิงอย่างจิตรีเลยสักนิด แต่นี่ชีวิตของคนหลายคนก็สุดสิ้นเสียแล้วในระหว่างที่ได้ช่วยกันปลูกฝังชีวิตใหม่ให้กับลูกหญิงกำพร้าคนนั้น เราก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงบุญคุณเขาเดี๋ยวนี้ คุณจำเรียงรักจิตรีเหลือเกินเพราะเป็นลูกเพื่อน แล้วก็เป็นหลานตัวของเขาอีกชั้นหนึ่ง พ่อของจิตรีก็เป็นคนมีเกียรติยศและหลักฐานที่สุดเสียแต่เชื่อผู้หญิงอย่าง–แม่ของจิตรีมากไป ถึงได้ยอมอยู่กินกันลับ ๆ เรื่อยมา นี่แหละ! ความดีความชั่วน่ะไม่ใช่จะอยู่ในสายเลือดอะไรนัก มันอยู่ที่การอบรมกับนิสัยส่วนตัวต่างหาก! เห็นไหม? นี่รู้เรื่องแล้วละก็อย่าได้บอกจิตรีเลยนะ! อย่าแก้ไขความหลัง! สำหรับจิตรีละก็–ความหลังเหล่านี้น่าจะช่วยเขาให้รู้จักกลับตัวต่อไปอีก แม่ใหญ่เขาคิดถูกที่เปิดเผยเพียงเท่านั้น เด็กเดี๋ยวนี้กล้าแข็งขึ้นมาก เหมือนคนไข้คุ้นยาต้องวางยาให้แรงถึงโรคจึงจะเกิดผลดีได้บ้าง”

เธอหยุดพูดอีกครั้งหนึ่ง ดวงหน้าซีดสลดกลับเป็นปรกติตามเดิม แล้ว ‘เด็ก’ เดี๋ยวนี้อีกคู่หนึ่งตรงหน้าเธอไม่อาจซักถามหรือโต้แย้งอย่างใด แม้เธอมิได้ออกชื่อบิดามารดาจิตรีเลยสักคำ เขาพากันเพ่งดูพื้นพร้อมกัน ในใจแจ่มไปด้วยความจริงซึ่งจะเป็นความลับตลอดชาติ เพื่อบูชาคุณการเสียสละใหญ่หลวงของบิดามารดาผู้เป็นประหนึ่ง ‘พรหม’ พวกนั้น

คุณจำรัสลุกไปก่อนแล้วหลายนาที กานดาจึงเตรียมขยับตัวตามไปบ้าง แต่วิชัยฉวยแขนของหล่อนแล้วว่า

“จิตรีเป็นน้องฉันเอง!”

แต่เขาควรจะพูดว่าจิตรีเป็น ‘น้องสาวในไส้’ เสียเลย ถ้ากานดาไม่รู้เรื่องเวลานี้ หล่อนก็คงหัวเราะลั่นขึ้นเมื่อวิชัยยืนยันความเป็นพี่ของหญิงสาว ซึ่งเขาเคยเรียกว่า ‘น้อง’ นานแล้ว! กานดาเห็นนัยน์ตาที่เคยมีแววทะนงและขึงขังของวิชัย เปียกไปด้วยน้ำตาตอนนี้เอง!

หล่อนจึงยอมนั่งลงชิดตัวเขาครู่หนึ่ง เป็นการเล้าโลมเงียบ ๆ ตามอัธยาศัยส่วนตัวหล่อน แต่เมื่อวิชัยทำท่าจะดึงหล่อนเข้าไปในวงแขนเขาอีก กานดากลับถอยหลังเลยทีเดียว หล่อนประหม่าเหมือนเด็กรุ่นทั้งที่หล่อนคุ้นเคยกับวงแขนเขามากแล้ว

“อย่าค่ะ! ต่อไปนี้พี่ชัยอย่า–อย่าอะไร ๆ มากเหมือนเก่า”

“ทำไม?”

หล่อนหลบตาเขาครู่หนึ่ง เพราะน้ำตาเต็มเบ้า

“ก็–เวลานี้ ดิฉันไม่–ไม่อยากมี–มีบ้านมีเรือนแล้วค่ะ! ถ้าพี่ชัยยังขืนอะไร ๆ มากเหมือนเก่าดิฉันก็ใจอ่อนอีกละ! คนแต่งงานไม่เห็นมีสุขสักนิดเดียว!”

วิชัยตกตะลึงแล้วว่า

“ตายโหง! กานดาเห็นฉันเป็นผู้ร้ายเสียแล้วเรอะ? ไหนว่า–”

หญิงสาวสอดขึ้นด้วยเสียงสั่นสักหน่อย

“ดิฉันยัง–เอ้อ–เห็นพี่ชัยเหมือนเก่าเกือบทุกอย่างค่ะ! แต่ดิฉันขอเวลาเป็นครูอีกสักสองสามปีเป็นไร–พอให้เกิดศรัทธาเท่าเดิม”

“เผื่อฉันเกิดไปรักผู้หญิงอื่นอีกละ? เดี๋ยวนี้ฉันก็มอง ๆ ไว้แล้วหลายคน! เดี๋ยวแต่งงานให้มันหมดเรื่องเลยนี่!”

“อย่านะ!”

เป็นครั้งแรกที่เสียงกานดาดังมาก แล้วหล่อนก็ร้องไห้ออกไปจากห้องนั้นต่อหน้าวิชัยเช่นเคย เขาตะโกนตามหลังหล่อนอีก

“อย่าลืมซื้อของขวัญให้เขานะ!”

แล้วเขาก็แช่งชักตัวเองที่ต้องทำร้ายความรู้สึกของคนที่เขารักเรื่อยมา!

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ