(๕)

คนแน่นหน้าร้านทิพรสตลอดเข้าไปถึงข้างในด้วยโต๊ะหมู่กลางแจ้ง ภายในดอกไม้มีภาษีกว่าโต๊ะข้างในเพราะผู้นั่งได้ดูคนอื่น ขณะที่มีโอกาสให้คนอื่นดูตัวเองอีกบ้าง วิชัยเดินหน้าเครียดเข้าไปและคงไม่มีที่นั่งข้างนอก ถ้าชายแต่งสากลขาวคนหนึ่งไม่ลุกจากโต๊ะติดทางเดินมาดึงแขนเขาพาไปที่โต๊ะตัวนั้น

“ประมงค์ครับ! ขอสาธุทีเถอะ! ผมคิดจะไม่มาเสียอีก อ้ายผมน่ะมานั่งจองโต๊ะแต่มืด มาเฝ้าส่งเสด็จแล้วเลยคอยรับเสด็จประมงค์เหมือนกันครับ คนอื่นคงไม่ทันกินอะไรรองท้องทั้งนั้น ร้านอาหารทุกแห่งถึงยัดเยียดยังงี้ ผมโยนหัวโยนก้อยกับเสี่ยสวิชไว้เชียวว่า ถ้าประมงค์มาจริงเสี่ยจะต้องเสียตราขาวขวดหนึ่ง”

“แน่นอน!” ผู้มีสมญา ‘เสี่ย’ รับรองอย่างสุภาพ ชายผู้นี้รูปร่างหน้าตาและกิริยาการเป็นไทยแท้ทุกกระเบียดแต่แววตาค่อนลึกซึ้งสักหน่อย “พ่อเลี้ยงชื่นชอบพนันขันต่อตามเคย คุณดูอ้วนท้วนขึ้นเยอะนี่ครับคุณประมงค์ ไม่ได้พบเสียนาน! นี่ครับ–บุหรี่!”

แล้วสุวิชก็กดไฟแช็กให้ด้วย ดูเขาเป็นคนรอบคอบและอ่อนโยนยิ่งกว่าชายส่วนมาก วิชัยยังคงไม่คลายสีหน้าเคร่งเครียดของตน แต่เขาค่อยแสดงเป็นกันเองอีกบ้าง

“เสี่ยกับพ่อเลี้ยงก็ดูฟิตมากเหมือนเก่า กำไรดีเรอะครับ–การค้าทางเหนือเวลานี้?”

“นับว่าอยู่ในขั้นพอใช้” สุวิชสบตาชื่นเมื่อคนประจำโต๊ะเข้ามาคอยรับคำสั่งอีก ชื่นรีบสั่งสิ่งที่ต้องการแทน “ผมทำอย่างอื่นอีกบ้าง เพราะเวลานี้ตลาดไม่หมุนเวียนเร็วเหมือนเมื่อสงครามเลิกใหม่ ๆ ยิ่งประกาศภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ วงการค้าก็เลยชะงักและปั่นป่วนไปอีก เผอิญพวกเราในกรุงเทพฯ มีโอกาสเปิดเครดิตใหม่กับพ่อค้าต่างประเทศทางมาเก๊ากับมะลายู ผมเห็นช่องทางดีถึงโดดลงมาจากเหนือ นี่จัดการเสร็จแล้วเลยคิดจะเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงผู้มีอุปการคุณครั้งโน้น..เมื่อผมยังยอบแยบอยู่เหนือ ประมงค์มีส่วนช่วยเหลือมาก”

วิชัยมีสีหน้าอึดอัด

“ผมไม่มีส่วนช่วยอะไรเสี่ยมากมายเหมือนที่คิดหรอก แล้วก็–เมียนายอำเภอต้องการคนเหมาส่งปลาสดปลาย่างอยู่แล้ว ไม่งั้นก็ไม่ทันความต้องการของกองทัพ ทั้งผมก็รักนายอำเภอกับเมียเหมือนพี่ พวกน้องสาวผมที่ไปอยู่ด้วยก็ชอบพอกับคุณฟองนวลนี่ครับ ผมเห็นพอจะช่วยกันหาผลประโยชน์ให้ตัวและราชการได้ จึงได้สนับสนุนการค้าของคุณครั้งโน้น”

นั่นแหละครับ” ชื่นเชิงพูด เพราะเห็นเสี่ยสุวิชจำนนต่อถ้อยคำของวิชัย “ช่วยมากช่วยน้อยก็จัดว่าคุณประมงค์เป็นคนแรกที่เปิดโอกาสแก่เสี่ยวิช–กับผมจนเราได้ฟื้นตัวแล้วได้พบลู่ทางใหญ่โตต่อมา ไม่คิดถึงบุญคุณเสียเลยยังไงได้” แล้วพ่อเลี้ยงชื่นก็ชะโงกข้ามโต๊ะพูดด้วยเสียงเบาลง “เราพูดกันที่นี่มากไม่ได้หรอกครับ คุณไปกับพวกเราสักวันเถอะ”

“ถ้าว่างผมจะนัดใหม่”

สุวิชเห็นวิชัยยังเฉื่อยชาเช่นเคยก็เปลี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้น

“คุณนายนายอำเภอสั่งผมให้พบคุณประมงค์ให้ได้”

“เดี๋ยวก่อน! คุณพี่สลับสบายดีเรอะครับ เมื่อผมไปอยู่คนเดียวใหม่ ๆ ถ้าไม่ได้คุณพี่สลับก็คงแย่อยู่หน่อย”

“ท่านนึกถึงคุณเสมอ เมียผม–ฟองนวล ยังไปมาหาสู่ท่านตามเคย ท่านก็ควรสบายถ้าไม่หลวมตัวในเรื่องค้าขายส่วนตัวของท่านที่นายอำเภอไม่รู้”

“แล้วกัน!” วิชัยชักทึ่งเพราะเขารักและนับถือเมียนายอำเภอผู้นั้นมาก “มีเรื่องร้ายแรงเรอะเปล่าครับ ทำไมคุณถึงพูดขยักขย่อนยังงั้น?”

สุวิชเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้และพูดเบา ๆ แบบเดิม

“ก็ยุ่งเหยิงอยู่ไม่น้อย ถ้านึกถึงที่นายอำเภอยังไม่รู้อะไรเลย ถ้าเรื่องอื้ออึงออกมา คุณสลับอาจล้มละลายแล้วท่านนายอำเภอก็ต้องพลอยแบกบาปไปด้วยเดี๋ยวนี้ ผมกับชื่นคิดจะช่วยเธอเงียบ ๆ หุ้นใหญ่เขาหาทางออกเอาไว้แล้วแต่เรียกหุ้นเพิ่มเติมตามเปอร์เซนต์ คุณสลับต้องให้อีกแสนสองหมื่น เมื่อการค้าครั้งใหม่มีผลและแบ่งกำไรสุทธิกันแล้ว คุณสลับจะได้อีกเท่าตัว แต่เธอกำลังยอบแยบอย่างว่า ผมกับชื่นจึงจะช่วยออกใบกู้ไปก่อนคนละสี่หมื่นเศษ อีกส่วนเดียวผมก็อาจออกให้ได้ถ้ามีหลักฐานวางกันสักหน่อย นี่ครับ! จดหมายคุณนายนายอำเภอถึงคุณ”

วิชัยจึงรู้ว่าเขาได้รับการขอร้องให้ช่วยค้ำประกันใบกู้ส่วนที่เหลืออยู่สี่หมื่น เมื่อครบหนึ่งปีนางสลับเชื่อแน่ว่าจะได้ปันกำไรคืนให้ไม่น้อยกว่าสองหมื่น ซึ่งก็ไม่ใช่เงินเล็กน้อยในคราวที่การเงินฉุกเฉินเช่นนี้ อนึ่งมันเป็นการขอร้องจากสุภาพสตรีผู้ทรงคุณสมบัติที่วิชัยรู้สึกกตัญญูยิ่งนัก ‘พี่ไม่เคยขอร้องคุณหรือใครง่าย ๆ แม้แต่ผัวพี่เอง คุณชัยคงไม่เคยเห็นพี่ทำอะไรโดยไม่คิดรอบคอบกับเงินจำนวนใหญ่ ๆ อย่างนี้ นายสุวิชกับนายชื่นอาจเป็นคนเหลี่ยมมากกับคนอื่นเงินเป็นเรือนแสน เราเพียงแต่เอาหลักทรัพย์ออกวางประกันกับเขาไว้ ของส่วนตัวพี่ไม่พอ คุณช่วยพี่สักปีเถิด อย่าถามเลยว่าเราจะลงทุนอะไร คุณไม่เคยสนใจกับการค้า แต่พี่พอจะรับรองว่าสุวิชไม่ทำเรื่องสกปรกเป็นแน่ อนึ่งผู้ใหญ่ทางกรุงเทพฯ ที่คุณรู้จัก คือคุณหลวงวรวัฒท์ฯ ก็เป็นกำลังสำคัญครั้งนี้ด้วย พี่กล้าลงทุนใหม่เพราะคิดถึงนายอำเภอและเกียรติอย่างเดียว’

วิชัยคำนวณดูหลักทรัพย์ส่วนตัวแล้วก็ลังเลใจ ประจวบกับมีเหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งก่อกวนความนึกคิดของวิชัยให้ปั่นป่วนไปอีก หญิงสองคนเดินตามชายมีอายุเข้ามาหญิงสาวชำเลืองแลรอบตัวจนเจอะสบตาวิชัยเข้า หล่อนสะกิดหญิงมีอายุผู้หยุดเดิน และเรียกชายที่เดินหน้าด้วยเสียงค่อนข้างข่มขู่คำหนึ่ง

“คุณหลวงวิธูร!”

ทันใดสุภาพบุรุษค่อนข้างเจ้าเนื้อและผมขาวเกือบทั่วศีรษะ ก็หยุดชะงักแลตามสายตาหญิงทั้งสองแล้วก็เดินนำมาที่โต๊ะวิชัยกับเพื่อน

“ไง พ่อหลานชาย! ช่วยเลี้ยงอีกสักมื้อเถอะ ผู้หญิงเขาปลุกมาส่งเสด็จก่อนไก่เสียอีก เออ! ยืนเสียขาแข็งท้องไส้ก็โหรงเหรงเลยพ่อ นี่! คุณนายนั่งก่อนซิ!”

สุภาพบุรุษทั้งสามคนจึงต้องลุกขึ้นให้ที่ของตนแก่ผู้เข้ามาช่วงชิงเช่นนั้น แต่สุวิชเป็นคนรอบคอบ ขณะที่ยืนคุยกัน เขาสังเกตอาการคุณนายกับบุตรสาวแล้วก็รู้ว่าวิชัยคือม้าตัวเก็ง สุวิชเก็งหลักฐานผู้เข้ามาใหม่ว่ามีประโยชน์แก่วิชัยแล้วก็เลยถือโอกาสถอนตัว พร้อมกับรวบรัดเอาคำขาดของวิชัยด้วย

“ผมกับชื่นอิ่มแล้วละครับ! ต้องไปก่อน คุณวิชัยหาเก้าอี้เพิ่มอีกตัวเดียวก็พอ ถ้าพบกันคราวหน้าคุณวิชัยพอจะบอกใบ้ผมเรื่องคุณสลับได้ไหมครับ?”

วิชัยไปถอนเก้าอี้ว่างมาจากโต๊ะตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้านใน สีหน้าของเขาบอกว่าความคิดกำลังยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น เขาตอบเร็ว

ผมรับรอง! มะรืนนี้เสี่ยไปพบผมที่โภชน์สภา ๑๗ น. เถอะ ผมจะเตรียมหลักฐานไปด้วย”

“ดีมาก! ผมไปละ! ท่านครับ–ผมกราบลาก่อนต้องขอตัวและขออภัยเพราะผมกับเพื่อนต้องรีบไปธุระยุ่ง ๆ อย่างหนึ่ง”

“น่าขัน!” คุณนายประภาพูดขึ้นเมื่อสุวิชกับเพื่อนคล้อยหลังไปแล้ว “ยังกะเราอยากจะรู้ธุระยุ่ง ๆ ยังงั้นด้วย”

“เขาดีหรอก” หลวงวิธูรแก้แทน “รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ผิดกับพวกเด็ก ๆ โดยมาก โน่นคุณเผด็จกับเมียไม่ใช่เรอะพ่อวิชัย “ไปแย่งเก้าอี้เขามาเขาถึงไม่มองมาเลย”

“ไม่เป็นไรครับ! เขามีว่างไว้ตัวหนึ่ง”

คุณนายประภาพูดอีก

น่าเกลียด! คนไม่มีที่นั่งแล้วยังยึดเก้าอี้ว่างไว้ได้ ดีแล้ว ที่เขาไม่หันมาทักทายทางพวกเรา”

“จิตรีไม่–ไม่สู้สบายครับ”

วันวิภาจึงรีบกลบเกลื่อน เมื่อเห็นถ้อยคำของมารดาทำให้วิชัยมีสายตาเคร่งเครียดขึ้นทันที

“คุณแม่ไม่รู้กระมังคะว่าคุณจิตรี–ง่า–ตั้งครรภ์นานแล้ว”

“งั้นเรอะ! เรายังไม่มีหลานเลยนะคุณหลวง พ่อวิชัยกับแม่วิภานี่ตกลงจะบวชตลอดชีวิตหรือไร?”

เป็นการเหวี่ยงแหเปะปะไปมาก ปลาจึงตื่นก่อนที่จะเคลิบเคลิ้มเข้าไป หลวงวิธูรหน้าแดงไปกับลูกสาว และสงสัยตัวเองอีกว่า เมื่อยังหนุ่มและมีสภาพเหมือนปลาสำหรับแม่ยายที่ชอบจับผัวให้ลูกสาวตน เขาคงจะเป็นปลาค่อนข้างเซอะสักหน่อย

“คุณนายอย่าบ่นไปเลย เดี๋ยวขี้คร้านเลี้ยงเสียอีก เออ! พ่อวิชัยช่วยสั่งอาหารให้อาที ให้มีน้ำ ๆ หน่อยเถอะ”

วิชัยช่วยสั่ง พอทุกคนหันไปสนใจเรื่องเบา ๆ แบบนั้นแล้ว บรรยากาศเคร่งเครียดครั้งแรกจึงพลอยปลอดโปร่งไปด้วย วิชัยรู้สึกสนุกเพราะวันวิภาพูดเก่ง เขาเกือบลืมเหตุการณ์ที่โต๊ะเผด็จ เมื่อเขาเผอิญไปพบเพราะไม่ขอถอนเก้าอี้ออกมา

เผด็จกับจิตรี ต่างคนต่างง่วนอยู่กับอาหารเช้า วิชัยสังเกต เห็นสีหน้าน้องสาวน้องเขยเยือกเย็นอย่างประหลาด จิตรีเริ่มต้น

“ต้องมาคอยจองโต๊ะไว้ให้คุณนายประภาด้วยเรอะคะ?”

“ใครบอก?” วิชัยฉุนอีก

เผด็จขัดคอขึ้นเสีย

“ถ้าสายตาผมไม่พร่า เพราะเสื้อคลุมดอกแดงของจิตรีละก็–แขกชุดแรกของคุณวิชัยคือพ่อค้าสำคัญของภาคเหนือ”

“นายสุวิชกับนายชื่น! เมื่อยังอยู่พะเยาว์และนครสวรรค์ จิตรีจะบอกคุณเผด็จได้ว่า สองคนนี้เป็นที่คุ้นเคยของพวกเรา”

“บอกแล้วค่ะ! แต่คุณเผด็จรู้เองว่าเสี่ยวิชเสี่ยชื่นเป็นพ่อค้าสำคัญของภาคเหนือ ไหนว่าไม่คุ้นเคยกับทางโน้น ไหนว่า...”

จิตรีตระหวัดหางตาไปทางเผด็จ ผู้ยังยิ้มด้วยอารมณ์เย็นอย่างเก่า ครั้นแล้วหล่อนก็แลเห็นหางคิ้วของเผด็จอีก ไฝดำ! ไฝเม็ดนั้นจี้จุดความทรงจำจากอดีต! เผด็จได้โต้คารมกับหล่อน เรื่องยอกย้อนอย่างนั้นแล้ว จิตรีได้พบความเผ็ดร้อนหลายอย่างในการบีบบังคับให้เผด็จตอบคำถามประชดประชันเช่นนี้ พอนึกได้จิตรีก็หมดเสียงและพูดค้าง ๆ แค่นั้น เผด็จพูดกับวิชัยเช่นเดิม

“ผมบอกกานดาไว้ว่า ถ้าว่าง ๆ จะคุยกับคุณวิชัยด้วยเรื่องค้าขายของผมบ้าง แต่พอจะบอกได้เดี๋ยวนี้คือเมื่อคราวเลือกตั้งผู้แทนครั้งสุดท้าย ได้มีวิธีหาเสียงผิดแปลกไปจากเดิม ผมเดาได้ว่า คนที่ไม่ใช่นักการเมืองส่วนมากจะถูกฉุดเข้าไปอุดหนุนพรรคต่าง ๆ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมหลายแบบ”

“ผมไม่อยู่ในข่ายของการเมือง”

“แต่มีสายเชื่อมโยงอยู่หลายทาง เช่นทางพวกพ่อค้าคู่นั้น”

“คุณก็เป็นพ่อค้าคนหนึ่ง”

เผด็จหัวเราะในคำย้อนอย่างมีปมเขื่องของพี่เมีย จิตรีแลเห็นไฝดำเด่นขึ้น หล่อนตะครั่นตะครอคนเดียว

“จริงครับ! จิตรีเขาเคยปรักปรำผมบ่อย ๆ ที่เป็นพ่อค้าคนหนึ่ง นี่เองเป็นเหตุให้ผมรู้ว่าอะไรบ้างจะผ่านเข้าถึงทางสมบุกสมบันแบบพ่อค้า แต่คุณชัยเชื่อได้ว่าผมไม่มีอะไรเชื่อมโยงอยู่มากนัก คุณหรือใคร ๆ จะไม่ต้องตรึกตรองมาก เมื่อผมจะชักชวนให้คุณซื้อหุ้นที่น่าสงสัยสักหุ้น”

วิชัยฉุกคิด เผด็จรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังจะทำธุรกิจที่คล้ายกับซื้อหุ้นเหมือนกัน และเขาขาดความรอบรู้เหล่านี้! วิชัยเกือบจะหลุดปากนัดเผด็จเพื่อหารือเรื่องเสียสุวิชวันหลังแต่เผอิญแววตาเผด็จดูเหมือนยิ้มหยันอยู่มาก มีอะไรอย่างหนึ่งในสีหน้าเผด็จที่คล้ายคลึงกานดาอย่างประหลาด ถูกละ! แววไว้ตัวด้วยอาการเยียบเย็นอย่างนี้เอง! อาจจะต่างกันก็ตรงที่แววไว้ตัวของกานดาอ่อนโยนแบบหญิง แต่ในดวงหน้าของเผด็จหยิ่งผยองอย่างชาย ผดุงไม่มีแววไว้ตัวอันเยียบเย็นอย่างน้องต่างแม่และบุตรสาวกำพร้า แม้จะเป็นดิเรกกุลเหมือนกัน แววไว้ตัวที่เผด็จกับกานดาเป็นแบบเฉพาะของผู้สืบสกุลสายโสมโดยตรง และมีอยู่กับเลือดสายโสมบางคน เขาเคยได้ยินว่า คุณหญิงดวงแขแม่ของเผด็จก็มีแววไว้ตัวอันเยียบเย็นอย่างนี้ด้วยขณะที่พี่ชายกับน้องสาวของเธอไม่มีเลย เผด็จกับกานดาแยกมาใช้ต่างสกุลก็จริง แต่มีสัญลักษณ์ สกุลสายโสมยกย่องอยู่มาก มันคือสิ่งที่ทำให้กานดาเกิดแข็งข้อขึ้นด้วย กานดา! กานดา วิชัยฉุนถูกและพูดกับเผด็จด้วยเสียงหมางเมินเหมือนเก่า

“ผมกับเพื่อนพ่อค้าคู่นั้น มีท่านผู้ใหญ่กับเกียรติยศเป็นเครื่องเชื่อมโยงอย่างว่า เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเปิดเผยผมหรือคุณ...” เขาเน้นเสียงใส่สีหน้าน้องเขยซึ่งเคลือบแววไว้ตัวอันเยียบเย็นอย่างกานดา “หรือใคร ๆ ที่ยังมีกตัญญูและเกียรติยศอยู่บ้างก็คงเต็มใจจะทดแทนทุกอย่าง”

“ยังงั้นก็หมายความว่า คุณชัยจะไม่เสียเวลาตรึกตรองในการทดแทนทุกอย่างแน่นอน เขาว่า–เกียรติยศกับความกตัญญูก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นในเรื่องความรักและการทำสงครามของมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้–มนุษย์แปรเปลี่ยนการเมืองและการค้าเข้าพวกสงครามเย็นหรือสงครามโฆษณาแน่แล้ว เราต้องเจ๊งแน่ถ้าขืนยึดคติธรรมเก่าแก่กันอยู่”

“ยังมีมนุษย์ไม่น้อยที่อยู่ได้ดีโดยยึดคติธรรมเก่าแก่กันอยู่ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผมไม่อาจคืนคำของผมด้วย ดูเหมือนเราลุกนั่งเกะกะเกินไปแล้ว ผมเอาเก้าอี้ไปละนะคุณเผด็จ นัดผมเรื่องจะคุยกันใหม่วันหน้าเถอะ”

“ครับ–ผมคิดว่ากานดาบอกคุณบ้างแล้วว่า เรื่องมันยืดยาวอยู่บ้าง”

“เราไม่ได้พบกันเท่าไร”

จิตรีเหลืออด “โธ่! ใคร ๆ คิดว่าพี่ชัยคงชวนคุณดามาด้วยวันนี้เพราะกินข้าวด้วยกันเกือบทุกมื้อ”

“เขานัดคนอื่น”

“อาจเป็นได้ค่ะ! แต่พี่ชัยก็นัดคนอื่นเอาไว้–จึงเที่ยววิ่งถอนเก้าอี้ออกวุ่น”

วิชัยแก้ตัวเก้อ ๆ กับน้องสาว

“สุภาพบุรุษที่ไหนบ้างเขาจะยอมให้คนแก่กับผู้หญิงยืนกิน? พี่พบพวกคุณอาที่เทเวศร์โดยเผอิญอีกด้วย”

“ดี๊! เมื่อไหร่จะเผอิญอีกคะ? ใครมีเครื่องเพชรพราวหน่อยก็คงพบสุภาพบุรุษโดยเผอิญอีกเยอะ! อยากรู้ว่าคุณหลานเขาไปใจเย็นอยู่ไหน?”

“อีกหน่อยก็รู้–แล้วอย่าแก้ตัวแทนกันว่าเป็นเหตุเผอิญอีกล่ะ!”

แล้ววิชัยก็ยกเก้าอี้ออกไป จิตรีร้องขออาหารเพิ่มเติม แต่เผด็จรู้ดีว่าหล่อนกำลังฉุนและหาทางระบายอารมณ์ด้วยการกินเกินขนาด

“น่าจะพอแล้วละคุณ” เขาท้วง “ถ้าจะกินอีกก็ไปเติมเอาที่บ้านเราไม่ดีเรอะ ทิ้งระยะพอไม่ให้ท้องอืด”

“บ้านคุณ! ไม่ใช่บ้าน ‘เรา’ หรอกค่ะ! คุณพูดถึงท้องอืดทำไมคะ ใครจะเดินอวดรูปร่างน่าเกลียดของตัวออกไปท่ามกลางชุมชนเช่นนี้ได้! เขานั่งกันทั้งนั้น”

“นี่ผมมิต้องนั่งอยู่โยงยังงี้จนทุก ๆ คนเขาออกไปจากทิพรสหรือ? แล้วกัน–”

“ก็–ใครทำ–ใครทำให้เราท้องอืดเอาไว้”

“อ้าว! ผมทักเองว่าไม่ให้กินอีกคุณผู้หญิงกลับพาโลเอาผมว่าเป็นตัวการก็ได้”

“คนดี๊-เขาไม่ได้ว่าเขาอายเรื่องท้องอืดอาหาร เขาเดินออกไปไม่ได้เดี๋ยวนี้เพราะเขาอายท้องอืด–อืดลูกหรอกค่ะ!”

“บ้า! เบาหน่อย!”

หน้าเผด็จแดงก่ำ เขาสั่งอาหารให้จิตรีล้นโต๊ะ ตัวเองนั่งบุหรี่เรื่อยไป เป็นนานเผด็จจึงมองขึ้นไปทางโต๊ะที่ตั้งติดระเบียงบน เขาจึงเห็นผดุงกับจรวยนั่งบังกระถางต้นไม้ใบอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง คนที่นั่งอยู่โต๊ะล่างกลางแจ้งจะไม่สังเกตเห็นคนนั่งโต๊ะบนแบบนั้น เผด็จเห็นเพราะมองขึ้นไปดูจริงจังเมื่อรู้สึกฉุนจิตรีและถอนความสนใจจากโต๊ะล่าง อนึ่งประกอบกับขณะนั้นจรวยชะโงกออกมาพ้นกระถางเล็บครุฑชั่วคราว หล่อนเพ่งข้ามศีรษะใครต่อใครข้างล่างไปตรงทางเข้ามาที่คอกโต๊ะกลางแจ้งอีก อาการของหล่อนทำให้ผดุงเหลียวไปดู ด้วยเผด็จเห็นพี่ชายขมวดคิ้วซึ่งไม่ใช่ปรกติวิสัยของผดุง เผด็จจึงพลอยเหลียวไปดูบ้าง เขาเกือบปล่อยบุหรี่จากปาก เมื่อเห็นภาพซึ่งจรวยกับผดุงเห็นก่อน มือของเผด็จยกขึ้นจับบุหรี่ในท่าสะดุ้ง ขี้บุหรี่ร่วงกราวลงบนเนยสด ถ้วยชากระฉอกเพราะมือนั้นกลับทิ้งลงบนโต๊ะเต็มแรง

“ระ–ยำ!”

“อย่าสบถซิคะ! ขี้บุหรี่ของคุณน่ะ อีกหน่อยก็ท่วมตัวจิตรีหรอกค่ะ”

“ขอโทษ!”

เผด็จรีบกลบเกลื่อนกิริยาของตนโดยถอนสายตาจากทางเข้าและรีบดับบุหรี่

“เรียกออมเล็ตเรอะคุณ?” เขาไก๋

แต่จิตรีก็ไวมากเหมือนกัน เผด็จไม่เคยหวาดไหวง่าย ๆ เหมือนวิชัยถ้าไม่มีเหตุยั่วอย่างแรง หล่อนทันเห็นสายตาเผด็จก่อนจะกลับมาที่โต๊ะตามเดิม จิตรีเหลียวไปดูบ้าง หล่อนเกือบกระอักอาหารเช้าที่ทำให้อิ่มอืดออกหมด

ชายหนุ่มสูงผอมผิวดำและแต่งตัวผาดโผนผู้หนึ่งเดินคลอเข้ามากับหญิงสาวผู้สวยทั้งการแต่งกายเรียบ ๆ และมารยาทอ่อนโยนยิ่งนัก หน้านั้นเคยขาวละไมจนดูเหมือนซีดเซียวสักหน่อย ขณะนี้หน้านั้นดูแดงก่ำเกือบถึงคอ

“คุณดา!”

จิตรีร้องเบา ๆ แต่ต้องหุบปากและนั่งนิ่งเมื่อเผด็จปรามหล่อนไว้ด้วยสายตาเยือกเย็นอย่างประหลาด แต่เขาพูดเหมือนขบขันขึ้นด้วย

“ดีจริง! วันนี้เป็นวันรวมญาติทั้งสิบทิศเทียวนะ! คุณเด่นแสงสายเดโชคงมารับคุณดาไปเยี่ยมคุณยายน้อยนั่นเอง จิตรีอย่าลุกหรือเรียกเขาเลย เราอยู่ไกล–แล้วก็ไม่มีเก้าอี้เหลือเลยนะ”

“นึกแล้ว!” จิตรีรำพึงค่อย ๆ คนเดียว “คุณดาดันทุรังทีไรเป็นเจอจำอวดแท้ ๆ ทีนั้น นายระเด่นแกเป็นโรคประสาทเรอะคะ ถึงได้เดินยกแขน ยักคอเหมือนอ้ายตัวยึกยือยังงั้น? นี่เรอะได้ดีกรีเต้นรำจากปารีส ขนลุก! คุณดาคงจะดื่มจนมึนเมาแล้วถึงทนให้ตัวยึกยือคลอเคลียเข้ามา แม้–! หมั่นไส้–ดูซิ! ดูระเด่นกางข้อเที่ยวทักผู้คนเข้าแน่ะ หน้าไม่อาย! โบกไม้โบกมือเหมือนบ้า! ฉันจะลุกไปเอง ถ้าคุณเผด็จไม่ลุกไปช่วยคุณดาเดี๋ยวนี้”

“นิ่งเถอะ! ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงกลายเป็นคนคิดข้างร้ายเหลือเกิน! กานดาไม่ได้ดื่มแน่ หน้าแดงเพราะ–เดินไกลหรือเพราะขี้อายอีกด้วย ระเด่น–ง่า–คุณเด่นก็เป็นญาติสนิทนะคุณ ใครจะกล้าดูถูกสุภาพบุรุษ โดยเจ๋อออกไปแย่งหญิงในความคุ้มครองเขามา ทำไมคุณวิชัย–พ่อเทวดาถึงไม่ช่วยหาที่นั่งให้เหมือนเมื่อกี้? หรือกานดาไม่ใช่สุภาพสตรีเหมือนคุณวันวิภาผู้นั้น? วิชัยอยู่แค่คืบนั่นเอง อ้าว? หลวงวิธูรลุกขึ้นให้ที่นั่งกานดาด้วยซิ! ประเดี๋ยวก็คงได้นั่งกันหมดอย่าให้เดือดร้อนมาถึงกระผมเลยครับ กระผมมักจะเดือดร้อนเรื่องผู้หญิงอยู่เสมอ”

“มีใหม่ ๆ ซุกไว้อีกกี่คนคะ?”

เขาเห็นตาเรียวยาวของจิตรี เริ่มคว่ำมาทางเขาครู่หนึ่ง นั่นคือจุดอ่อนที่ผู้หญิงทุกคนไม่อาจปกปิดไปนาน เผด็จเลิกคิ้วข้างมีไฝ

“กี่คน?” เขาย้อนและยิ้มพลาย “ถ้าผมบอกตามตรงจิตรีก็จะลมใส่เสียหรอก มือชั้นนี้ไม่ต้องซุบซ่อนเสียละ”

“รู้แล้ว–!” จิตรีลืมกานดา เด่นแสง วันวิภาและโลกทั้งโลกรอบด้าน ดูเหมือนจะมีแต่หล่อนและเผด็จ ไฝดำของเขากับความเคียดแค้นของหล่อน “รู้แล้วว่าท่านมีฝีมือมานาน ทั้งนอกทั้งใน ทั้งที่ไม่ใช่ญาติอย่างฉันรวมทั้งญาติหญิงบ้านเดโช–คุณโสมเสลากับคุณศรีเสลาน้องสาวซึ่งเป็นลูกเมียหลวงของคุณระเด่นดำด้วยซี!”

“แต่คุณโสมกับคุณศรีไม่ผอมยึกยือยังงั้นหรอก แล้วเขาก็ไม่อ้วนอุ้ยอ้ายอีกด้วย” เป็นคำตอบอย่างขบขันของเผด็จ

ดูเหมือนนัยน์ตาคมของเผด็จมองทะลุเสื้อคลุมแพรพื้นดำขอบดอกเบ็ญมาศแดงที่ปิดทรงอุ้ยอ้ายของจิตรีไว้ ดูเหมือนเขามองอย่างสมเพชและขบขันคนเดียว

“ดู๊ดู-! พูดด๊าย–!”

จิตรีขยุ้มอย่างแรงลงไปบนหัวเข่าของเผด็จ เขาดูดปากจ๊วบ

“เจ็บว้า–มือไว!”

“ปากไว! แล้วก็ได้หมดทุกอย่าง!”

“หยุดนะ! คืนนี้จะอยู่บ้านให้คุณดีใจ”

“จ้าง! เขานอนคนเดียวได้เสมอมีเมียอยู่ไหนนิมนต์เถอะค่ะ!”

“คุณจะเป็นเมียไหมคุณ?”

จิตรีลุกขึ้น เผด็จดึงไว้ พอดีคนประจำโต๊ะผ่านมาเผด็จสั่ง

“ออมเล็ตอีกหนึ่งที่! ทำเร็ว ๆ หน่อย คุณผู้หญิงยังไม่อิ่ม”

จิตรีนั่งลงและรู้สึกกะปลกกะเปลี้ยไปหมด แต่เมื่ออาหารที่สั่งใหม่มาถึงหล่อนก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยเหลือเกิน เผด็จรู้ดีว่าหล่อนกินแก้แค้นเขาเอง เขาฉุกใจนิด ๆ ที่ยั่วจิตรีจนเกินขอบขีดครั้งสุดท้าย แต่เผด็จก็รู้ว่าถ้าเขาไม่หาวิธีหันเหความสนใจจากกานดา จิตรีจะต้องลุกออกไปทำเรื่องยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น

เขาชำเลืองขึ้นไปบนโต๊ะเฉลียงบนผดุงกับจรวยหลบเข้าเบื้องหลังกระถางเล็บครุฑแล้ว เผด็จดึงซองบุหรี่ออกมาจุดสูบ แต่ไม่รู้สึกรสชาติเหมือนเก่า ผู้คนดูยัดเยียดยิ่งขึ้น มีคนลุกออกไป แต่ก็มีคนมานั่งแทนทุกครั้ง พวกเขาเป็นคนไทยทั้งสิ้น แม้ยังปันส่วนข้าวสารและเสื้อผ้ายารักษาโรคยังอยู่ในมือตลาดมืดเหมือนเก่า คนไทยส่วนมากก็ยังมีเวลาเฉื่อยแฉะเช่นเคย เขายังสุรุ่ยสุร่ายเหลือเกิน

โต๊ะใกล้ทางเข้าของวิชัยเพิ่มจำนวนสมาชิกอีกสองคนคือ เด่นแสงกับกานดา หลวงวิธูรลุกขึ้นให้เก้าอี้กานดาก่อนเพราะวิชัยทำไม่เห็นอาการเคว้งคว้างของหล่อนทั้งที่เขาสบตาอันมีแววอัปยศอย่างจัง วิชัยแสร้งเพลินฟังคำคุยของวันวิภา แต่พอหลวงวิธูรกับเมียพากันทักทายแถมลุกขึ้นเชื้อเชิญเช่นนั้น วิชัยจึงยิ้มพะยักกับผู้มาใหม่และช่วยเด่นแสงหาเก้าอี้มาเพิ่มเติม โต๊ะนั้นจึงดูครื้นเครงขึ้นมาก ไม่มีใครรู้ว่าแม้กานดาจะยิ้มแย้มอย่างคนอื่น หัวใจหล่อนเต็มด้วยไปน้ำตาและปวดร้าวเหลือเกิน ถ้อยคำและกิริยาการต่าง ๆ กันของผู้ร่วมโต๊ะทั้งที่เจตนาไม่เจตนาล้วนแต่ทำให้หญิงสาวรู้สึกยอกแสยงยิ่งขึ้น ดูคล้ายกับกานดาถูกบีบคั้นคนเดียวเพราะวิ่งตามมาหาวิชัย

“ฤกษ์ดีจริง ๆ นะวันนี้” คุณนายประภาพูดก่อน “วงศ์เทวัญที่เดโชกับเขาเทเวศกลับมารวมก๊กกันเสียได้ คุณเด่นแสงเก่งมากไปเอาคุณกานดามาเหมือนอิเหนาเผาเมือง คุณแม่อยู่คงเห็นดีด้วยแน่ คุณดวงแก้วน่ะอายุสั้นเพราะ–เพราะ–ฮื้อ! อย่าพูดถึงความผิดเก่า ๆ กันเลยนะ ไหน ๆ คุณกานดาก็กลับมาเข้าพวกของแกแล้ว–เลือดสายโสมทางแม่มีภาษีกว่าเลือด–เลือดพวกพญาไททุกคน”

“คุณนาย!” หลวงวิธุรนึกเกรงใจคนฟังบางคนเพราะถ้าคำแคะไค้ของเมีย “ไม่นึกบ้างว่าหลานชายก็เป็นพวกพญาไททางคุณแม่”

“ไม่นึกละ! หลานชายฉันเป็นเชาวรัตน์บวกธรรมนิติต่างหาก! คุณแม่ของเขาก็ควรถือตัวเป็นพวกเทเวศถ้าไม่มีบ้านอยู่ที่ราชเทวี เพราะถูกคนยุยกให้อยู่โน่น คุณกานดาน่ะไม่มีเยื่อใยอยู่เลย”

หญิงสาวที่ถูกอ้างทำท่าจะพูดแต่เมื่อมองเห็นวิชัยเฉยอยู่ก็อ้าปากไม่ขึ้น วิชัยควรจะป้องกันครอบครัวข้างแม่เอง คุณจำรัสเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเขา จรวยเป็นเพียงแม่เลี้ยงหล่อนเท่านั้น พ่อของหล่อนไม่ใคร่อยู่ในข่ายถกเถียงเท่าไร จิตรีก็ใช้นามสกุลใหม่เหมือนเผด็จ เรื่องอะไรหล่อนจึงจะคัดค้านขึ้นมา ไม่เคยมีใครสำเหนียกถ้อยคำของหล่อน กานดาไม่พยายามเห็นหรือได้ยินอะไรอีกจนวันวิภาพูดขึ้น

“คุณพี่วิชัยอาจมีเยื่อใยอยู่อีก ถึงไม่นับคุณป้าจำรัสก็ตาม”

“แต่ผมไม่มีเยื่อใยอยู่เลยถ้าไม่นับคุณแม่หรือญาติโยมอย่างว่า”

วิชัยพูดยิ้ม ๆ อย่างทีเล่นทีจริง จะถือว่าเขาไม่รับรู้หรือจะคิดว่าเขาพูดป้องกันก็ได้ คนฟังอาจเก็บไปคิดเอาตามความพอใจของตน

“คุณพี่พูดจริง ๆ นะคะ”

วันวิภาย้ำและยิ้มอย่างอ่อนหวานเพราะหล่อนตีความหมายของคำ ‘เยื่อใยเป็นคู่รัก’

วิชัยรับรองหรือคุมเชิงด้วยอาการอมยิ้มอย่างเดียว

“ดีแล้ว!” คุณนายประภาพลอยปลื้มไปกับความนึกคิดของตัวเอง “อาเห็นแล้วว่าหลานไม่มีญาติโยมอยู่หรอกที่บ้านนั้น”

“คุณนาย!” หลวงวิธูรทักอีก “เราอาจนับญาติข้างแม่เหมือนกัน คุณจรวยกับคุณจิตรีเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องกับหลาน”

เด่นแสงสอดขึ้น เขามองกานดาและกำลังนึกครึ้มคนเดียว

“คุณกานดากับผมก็เกี่ยวกันหลายชั้นหลายเชิงเช่นว่าครับ”

คุณนายประภารีบฉวยโอกาสต่อเติมถ้อยคำของเด่นแสง เพื่อกลบเกลื่อนคำคัดค้านของผัวหรือเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเยื่อใยระหว่างกานดากับวิชัยอยู่เลยตามเสียงเล่าลือเหล่านั้น

“สาธุ! คุณเด่นหมายความว่าจะมีอะไรเกี่ยวพันกับคุณกานดาแน่นอนนั่นเอง อุ๊! น่าปลื้มใจแทน”

ทุกคนคอยฟังคำคัดค้านของเด่นแสงหรือกานดา แต่เด่นแสงย่อมจะไม่คัดค้านในสิ่งที่สมกับความนึกคิดของตัว กานดากำลังหูอื้อ หล่อนไม่คัดค้านขึ้นเลยเพราะหล่อนไม่ได้ยินถ้อยคำใครเลย หล่อนกำลังจมดิ่งอยู่ในความรันทดถึงตนตามถ้อยคำของวิชัย

‘ผมไม่มีเยื่อใยเลยถ้าไม่นับคุณแม่หรือญาติโยมอย่างว่า’

กานดาไม่ใช่แม่ของเขา ทุกคนรู้ว่าหล่อนไม่ใช่ญาติห่าง ๆ หรือใกล้ชิดเช่นนั้น ถ้าผดุง–บิดาซึ่งเหมือนพี่ชายเป็นลูกเขยหรือพี่เขยของพวกพญาไท บุตรสาวกำพร้าแม่คนเดียวของผดุงก็ไม่ใช่ลูกเมียใหม่เหมือนกัน กานดาไม่มีความเกี่ยวดองด้านนี้ เผด็จโผล่มาทีหลังและยิ่งห่างไกลกว่าหล่อนเพราะเป็นน้องต่างแม่กับผดุง แต่เดี๋ยวนี้เผด็จก็กลายเป็นเขยขวัญคนที่สอง

กานดาคนเดียวดูเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในบ้าน ฉะนั้น เมื่อวิชัยยืนยันอยู่ว่าเขาไม่มี ‘เยื่อใย’ อยู่เลยยกเว้นมารดากับญาติ ภายหลังที่คุณนายประภายกหล่อนออกจากขอบเขตของญาติแล้ว หล่อน–กานดาก็ต้องเคว้งคว้างคนเดียว!

กานดาได้รับรู้เรื่องนี้ขณะที่แข็งใจติดตามวิชัยมาถึงสถานชุมชนเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังทำอาการคล้ายกับเที่ยวควงแขนคนอื่น คนอื่น ๆ จึงเกิดคิดไขว้เขวขึ้นด้วย

เมื่อเด่นแสงพาหล่อนมาถึงรถของเขาที่จอดอยู่ปากถนนตะนาวแล้ว กานดาจึงสังเกตว่าเด่นแสงประคองแขนหล่อนอยู่และเขาคุยครึกครื้นคนเดียว

“คุณดา! ประเดี๋ยวเราเตลิดปากน้ำหรือบางปูก่อนไหม? กินข้าวกลางวันที่ปากน้ำ แล้วหลบคนไปคุยกันที่บางปู–ไปนะ!”

ลมหายใจของเด่นแสงเป่าแก้มกานดา และแขนอันยาวค่อย ๆ เลื่อนมาโอบเอวอีกด้วย กานดาสะดุ้งเยือก! ลมหายใจกับแขนข้างนั้นมิใช่ของคนที่รักและคุ้นเคยของหล่อนก็นึกไม่ออกว่ามันแตกต่างตรงไหน!

หนี! หล่อนคิดในคราวฉุกเฉินเช่นนั้น หนี! หนี! หนี! หนี อย่างไร? หนีไปไหน? ทุกหนทุกแห่งไม่มีคนอนาทรถึงแล้วจิตรี! จิตรีมีสุขอยู่ในวงแขนของผัว คุณพี่ชัยเล่า! พี่ชัยขา! เขาก็ประกาศแก่หญิงที่หมายปองคู่เคียงเขาแล้วว่า เขาไม่มีเยื่อใยอยู่เลย–ตรงหล่อน!

เหลือแต่คุณยาย–หม่อมหลวงดวงเดือนที่ไม่เคยบำรุงเลี้ยงหล่อนมา แม่ของวิชัยหรือพ่อของหล่อนต่างก็มีลูกและเมียเป็นผู้ที่รักและใกล้เคียงของตน

เหลือแต่ชายที่เป็นญาติคนละชั้นเช่นนี้–เพราะแม่ของเขาเป็นหญิงที่ไม่ยอมปรับปรุงตัวตามขีดขั้นของตัวและลูก แล้วยังรักจะเป็นคนสำส่อนเสียด้วย! เด่นแสงญาติชายชั้นนี้เอง! เคยพยายามจะเป็นคู่เคียงของหล่อน เขาละโมภและรวบรัดเหลือเกิน

กานดาผละออกพ้นเอื้อมแขนของชายโลภ หล่อนลงจากรถ แล้วกุศลกรรมก็ให้ทางออกที่ต้องการแก่หล่อน รถยนต์เล็กแล่นเฉียดมา ชายผู้ขับชะโงกเห็นหล่อนและเบรครถดังเอี๊ยด

“อ้าว! คิดว่ากลับบ้านกับวรรณีแล้ว หลงกันก็สนุกดีนะคุณดา”

เด่นแสงสอดเรียก

“คุณดา! เดี๋ยวซี–ผมจะพาไปหาคุณยายอยู่แล้ว–ขึ้นรถเถอะ”

“ฉันไม่สบาย–คุณเด่นช่วยกราบท่านแทนด้วยค่ะกราบเจ้าคุณลุง คุณป้าหญิงด้วย ฉันจะไปกับคุณธำรงเพราะเรามาด้วยกัน”

ก่อนที่เด่นแสงจะทันคัดค้านขึ้นอีก กานดาก็ก้าวขึ้นรถธำรงและกระซิบค่อย ๆ คำหนึ่ง

“หนี!”

ธำรงชำเลืองดูหน้าซีดขาวของกานดา แล้วเหยียบคันเร่งแล่นปรื๋อไปอีกเมื่อเตลิดมาพ้นตึกดินแล้วธำรงจึง

“จะยังไงก็ขอให้ผมแวะเทศบาลประเดี๋ยวก่อนสั่งงานแล้วจะพาไปส่งบ้านทันที คุณทนไหวไหม? หน้าซีดตัวสั่นเหมือนกับปวดไส้ติ่งอักเสบเสียจริง ๆ หรือคุณฉกของตลาดมืดมาด้วย? ถ้ายังงั้นจะหนีจนหมดทุก ๆ เกียร์ก็ได้”

กานดาสั่นศีรษะ

“ไปเทศบาลก่อนค่ะ”

ธำรงรีบทำตาม แต่มิได้ไล่เรียงหล่อนอีกแต่เมื่อเขาเทียวรถทางประตูหลังแทน ไปเข้าที่เก็บด้านข้างเพราะเห็นว่าจะต้องออกไปอีก ธำรงจึงเห็นกานดาเหลียวแลรอบตัวอย่างตื่นตระหนก

“หนี!” หล่อนกระซิบใหม่ “ดูเหมือนคุณเด่นกวดรถไล่หลังเรามา! ไม่มีพี่ชัยช่วยแล้วค่ะ”

ธำรงเกาหัว

“เห็นจะจับ Sun–stroke ตอนเช้า! เป็นไข้แดดเผาตายละก็–สังคมมีข่าวอื้ออึงอีกแน่ ต้องหนีระเด่นดำด้วยเรอะ? รถตะแกเป็นกระป๋องโปเกกว่าผม กว่าจะสตาร์ทติดเราก็ถึงพญาไทเท่านั้น หน้าไหนวางข้อมาไล่กวดกันง่าย ๆ ธำรงนี้แหละจะหนีจนแลไม่เห็นฝุ่นรถเลยครับ คุณดาคอยประเดี๋ยว”

ธำรงต้องพูดยืดยาวอย่างนั้นเพราะกานดาเกาะแขนเขาไว้แน่น ในที่สุดหล่อนพึ่งตื่นจากฝันร้ายเรื่องหนึ่ง

“ขอโทษค่ะ! คุณเด่นทำให้ฉันตกใจจนลืมตัว เชิญตามสบายเถอะค่ะ ฉันคอยได้”

“เดี๋ยวเดียวครับ”

ธำรงรีบผละไป กานดาเอนหลังพิงเบาะรถเมื่อเห็นว่าถนนด้านหลังเทศบาลไม่มีผู้คนเหมือนด้านหน้านอกจากรถไม่กี่คัน หล่อนก็ปล่อยตัวไปตามอารมณ์เคว้งคว้างของตน น้ำตาไหลรินลงอาบแก้ม กานดาไม่รู้สึก หล่อนลืมตาอีกครั้งหนึ่งเพราะเสียงสตาร์ทรถขึ้ก ๆ ข้างตัว แต่เก๋งใหญ่ที่ทำเสียงกำลังเคลื่อนจากฟากถนนข้างหนึ่ง มีหน้าเหลียวมาทางกานดาสลอน รถคันนั้นจอดอยู่นานแล้วและคนในรถก็เฝ้ามองกานดากับธำรงแต่แรก แต่ก็มีเหตุที่จะก่อให้เกิดผลเคร่งเครียดข้างหน้า หญิงสาวสามสี่คนในเก๋งก็นิ่งเสีย พอเห็นอาการสุดท้ายของกานดา ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจเอาตามความคิดของตนแล้ว รถเก๋งก็ได้รับคำสั่งให้ออกจากที่จอดทันที

เจนจิรากับเพื่อนชื่อเพชรพวนนั่นเอง

กานดาจำได้ แต่คิดว่าคนเหล่านั้นไม่เห็นหล่อน กานดาหยั่งไม่ถึงความคิดของเพื่อนหญิง เมื่อเขาไม่ทักก็แปลว่าเขาไม่เห็น หล่อนไม่เคยคิดไกลกว่านั้น

แต่ในรถของเจนจิราเต็มไปด้วยคำพูดร้ายแสลงเหล่านี้

“หน้าทนจริง! เมื่อเช้ากานดาควงคนดำไปเจอะคู่รักขาวคนเก่าบนสะพานผ่านฟ้าหนหนึ่งละนะ ไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินก็ได้เปลี่ยนคนควงแขนถึงสามคนเข้าไปแล้ว” เจนจิราเริ่มต้น “Shameless!”

“ไหนเธอเคยพูดถึงแม่คนที่ชื่อกานดานี้ว่า เป็นคนหงิม ๆ ไงล่ะ? ลูกสาวซอยสามบ้านเคยมีชื่อว่าทั้งสวยทั้งปรู๊ดปร๊าดเป็นหนึ่ง เห็นผู้ชายชอบมาพากลเป็นตะครุบปับ คุณหญิงเฉลาที่บ้านเดโชคุยกับคุณนายประภาในวงไพ่บ่อย ๆ พ.ต. ตะวันลูกชายคุณหญิงติ๋วต้องบินหนีจึงรอดมือแม่จิตรีไปได้”

“กานดาเคยเป็นคนดี” เจนจิรารีบแก้ “ที่ก๋ากั่นก็คือคนที่ชื่อจิตรี เขาเรียนไม่จบเพราะรีบแต่งงานแล้วก็รีบมีท้องมีไส้เสียแล้ว คนที่ชื่อกานดาเดี๋ยวนี้คอแข็งขึ้นเยอะ! อาจารย์ใหญ่ยังโปรดมาก แม้ครูฝ่ายธุรการก็หลงเขา เคยชวนไปเที่ยวบ้านบ่อย ถึงได้โดนล้วงตับตอนนั้น นั่นนายธำรงผัวครูวรรณีฝ่ายธุรการละ โอ! My! ช่างเกาะแขนเกาะขาร้องไห้ออเซาะเสียด้วย!”

หญิงที่แต่งเพชรพราวผู้หนึ่ง ทำท่าทางสุ่มเสียงเหมือนกับหล่อนมีส่วนได้เสียคนเดียว

“ออเซาะชายโสดก็ช่างเถอะ! ถ้าถึงกับออเซาะผัวเขาแล้ว คอยแอบมายื้อแย่งยังงี้ก็นับว่าเลวเหลือทน ถ้าใครขืนจ้างเป็นแม่พิมพ์ของเด็ก ไม่ช้าโรงเรียนก็จะกลายเป็นโรงแรมหรอกเธอ หาทางกระซิบครูใหญ่กับเมียผู้โง่เขลาคนนั้นบ้าง เอาบุญ!”

ขณะที่เพื่อนครูของหล่อนกำลังพาพวกกล่าวโทษหล่อนด้วยข้อหาร้ายแรงเหล่านั้น กานดาไม่ได้คิดถึงใครเลยนอกจากชายที่รักและความนึกคิดของตน

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ