“น้องดา!”

ร่างหญิงที่ยืนหันหลังให้หน้าต่างตรงข้ามหันขวับมาทางเสียงเรียกโดยเร็ว มือขาว ๆ ข้างหนึ่งแหวกม่านลูกไม้โปร่งเปิดออก แล้วหน้าหนึ่งก็โผล่ตามมือออกมาด้วย

ดวงหน้าที่โผล่ออกมายิ้มอยู่นั้นค่อนข้างซูบซีดสักหน่อย แต่อาการยิ้มอย่างฉับไว และแววตาโตดำบอกถึงความอ่อนโยนอย่างลึกซึ้งช่วยให้ดวงหน้านั้นสดใสเสียเหลือเกิน

หล่อนเห็นชายผู้เรียกหล่อนอยู่ที่หน้าต่างตรงข้ามไม่สวมเสื้อสักตัวเดียว! ผมเปียกปรกหน้าผาก และนุ่งผ้าขนหนูหนึ่งผืนใหญ่ เขาเพิ่งออกจากห้องน้ำนั่นเอง

หน้าต่างตอนนี้ของเรือนทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงสี่วาทั้งที่อยู่คนละเขตบ้าน คนทั้งสองจึงพูดกันได้โดยไม่ต้องขึ้นเสียงสักเท่าไร

“เจ็ด น. นานแล้วละค่ะ ยังไม่เห็นว่าพี่ชัยแต่งตัวจวนจะเสร็จสักนิดเลย วันนี้ท่าทางจะไปกระทรวงสายมาก–ทำไมคะ?

“ดุมเสื้อคุมกางเกงหลุดหลายเม็ด มาติดที”

“แหม! ไม่ไหว วันนี้น้องมีเวรดูเด็กด้วยซิ! ต้องรีบไปโรงเรียนละค่ะ เย็นกลับมาค่อยดูได้ไหม นั่นไม่มีตัวอื่นอีกแล้วเรอะคะ?

วิชัยหน้างอ–เท่าที่หน้าของผู้ชายเช่นนั้นจะงอได้โดยธรรมชาติ

“ก็ฉันชอบใส่ชุดนี้นี่! โรงเรียนอยู่ฟากถนนเท่านี้เองเดินไม่ถึงนาทีถึงแล้ว ยังกะว่าราชเทวีวิทยาน่ะอยู่ถึงบางซื่อหรือสีลมเลยทีเดียว ดีละ! บอกจิตรีให้มาช่วยดูได้ไหม—เมื่อคุณครูกานดาดูไม่ได้?”

มันเป็นการขู่ที่เขาเคยใช้และทะนงในผลสำเร็จเรื่อยมา ใบหน้าซูบซีดของกานดาแดงเรื่อ หล่อนเม้มริมฝีปากสีชมพูพองาม

“คุณจิตรีเขาจะช่วยดูให้ได้ดกละ!” หล่อนบอก “ป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย เขาลางาน”

“เมื่อคืนมีใครมารับไปเต้นรำอีกเรอะ?”

“ค่ะ!–เอ้อ!–ดูเหมือนไม่ใช่ไปเต้นรำหรอกค่ะ ไปตีเต็นนิส แล้วเลยไปกินเลี้ยงกับพวกทำงานธนาคารของเขาเอง เลยเมื่อยมากไปหน่อย น่าสงสาร”

ผู้ฟังอยู่อีกฟากหน้าต่างหนึ่งนิ่งคิด ในที่สุดเขาพูดด้วยเสียงขุ่น ๆ ขึ้นว่า

“ก็เที่ยวมันติด ๆ กันนักน่ะซิ! ไม่น่าสงสารสักนิด ปลุกเป็นไร–บอกว่าพี่ให้มาช่วยติดกระดุมเดี๋ยวเถอะ”

กานดามองดูเขาด้วยสายตาแสดงความน้อยใจจนเห็นชัด หล่อนพูดด้วยเสียงร้อนรนเล็กน้อย แต่หล่อนยิ้มแย้มอย่างชื่นบานแบบเดิม

“น้องจะไปติดให้เอง! พี่ชัยเคยเห็นคุณจิตรีติดกระดุมเสื้อได้เรอะ เขาเกลียดการฝีมือเหมือนอะไรดี รอเดี๋ยวค่ะ! แล้วก็ใครเคยปลุกคุณจิตรีสำเร็จบ้าง ถ้าวันไหนเขาอยากจะนอนสายสักหน่อย”

ชายหนุ่มเห็นหล่อนรีบถอยออกไปจากหน้าต่างตรงนั้นคงจะรีบร้อนมารับใช้เขาตามคำขู่เขาอีก เขายิ้มอย่างมีชัยเช่นเคย เขาเอาชนะกานดาได้เสมอ อาจเป็นด้วยหญิงสาวซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างญาติของเขาคนนี้ ไม่ใช่ญาติจริง ๆ เหมือนจิตรี หรืออาจเป็นด้วยเขากับกานดามักจะมีใจตรงกันก็เป็นได้ คือเขาตั้งใจจะจูงจมูกหล่อนหลายอย่าง และหล่อนหรือก็ตั้งใจจะยอมให้เขาจูงจมูกเหมือนกัน

การยอมอย่างนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในตัวผู้หญิงอย่างกานดา วิชัยชอบมาก

ส่วนจิตรีนั้นตรงกันข้ามกับกานดาด้วยข้อนี้ แต่การแข็งขึ้นของจิตรีก็ดูเหมือนจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในตัวผู้หญิงอย่างหล่อน

อย่างไรก็ตาม วิชัยฉุกคิดขึ้นมาว่า ญาติผู้น้องของเขาคนนั้น กำลังเคราะห์ไม่สู้ดีด้วยเรื่องความหัวแข็งของหล่อน

ตั้งแต่กลับจากพะเยาและภายหลังที่สงครามมหาเอเชียบูรพาสิ้นสุดแล้วราวครึ่งปี ใคร ๆ ที่เคยรู้จักจิตรีมาแล้วหลายปี ก็ต้องสังเกตกันหมดว่า หล่อนหัวแข็งขึ้นอีกมาก หล่อนเปลี่ยนแปลงไปมาก

“ไม่นานนักหรอก” วิชัยชอบคิดคนเดียว “น้องเราคนนี้จะต้องทำให้พวกพี่น้องหนักใจ ถ้าคุณแม่กับคุณใหญ่โทษว่าเป็นเพราะเราตามใจจนเหลิง อีตอนเราพาไปอยู่พะเยาละก็ แย่หน่อย”

การณ์ก็เป็นจริงอย่างวิชัยชอบสังหรณ์!

เพียงชั่วเวลาเล็กน้อยที่กลับเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เท่านั้น นอกจากคนอื่นช่วยจัดการให้กับหล่อน จิตรีได้จัดการกับตัวเองอีกหลายอย่าง

ขณะที่กานดาได้เป็นครู จิตรีกลับเข้าเรียนวิทยาศาสตร์ต่อตามเดิม หล่อนเรียนซ้ำปีที่สี่สักหกเดือน ทำคะแนนเป็นเยี่ยมอยู่กลางปี เป็นตัวเก็งคนหนึ่งในปลายปี ครั้นแล้วหล่อนก็รีไทร์โดยไม่ยอมฟังเสียงผู้ปกครองคนใด

เมื่อถูกเคี่ยวเข็ญมาก ๆ จิตรีให้เหตุผลเพียงว่า

“เบื่อการเรียนเหลือเกิน! อยากออกมาหางานทำเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ใคร ๆ เขาก็รีบออกมาหางานทำทั้งนั้น บ้านเมืองมันคับขันเข้าทุกที”

“เขาออกมาเมื่อเขาเรียนสำเร็จหรอกน้อง” นางจรวย ดิเรกกุล ผู้พี่สาวซึ่งใคร ๆ เรียกว่า “คุณใหญ่” แย้งขึ้น “ทนเรียนอีกปีเดียวไม่ได้เรอะ?”

จิตรีรับว่าทนไม่ได้แม้แต่วันเดียว อีกด้วยคุณป้าจำรัสซึ่งเป็นมารดาของวิชัยช่วยพูด คุณป้าเป็นผู้ใหญ่อยู่ในบ้านจิตรีและใคร ๆ เคยเชื่อถือแต่คราวนี้นางจำรัสเลิกพูด นายผดุง ดิเรกกุล แห่งกรมรถไฟผู้พี่เขยของจิตรีลองพูดเพียงเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นเพียงพี่เขยคนหนึ่งเท่านั้นและเขาคิดถูก

“ไม่อยากจะก้าวก่ายเกินไป” เขาพูดตรง ๆ ตามนิสัย “ตั้งแต่ไปตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่พะเยามาแล้ว จิตรีคงไม่กลับมาเป็นเด็กได้อีก คุณใหญ่อย่าไปข่มขู่เขาเลย”

ภรรยาของเขาค้อนให้

“สมัยนี้เมื่อคนอายุตั้งยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองเสียแล้วใครจะไปข่มขู่เขาได้! อยากให้ช่วยตักเตือนแต่พองาม ยายจิตรีก็ปีเดียวกับยายกานดาลูกคุณ” จรวยอ้างไปถึงลูกติดตัวผู้นั้นขึ้น “ทำไมเราถึงตักเตือนยายกานดาได้ล่ะ ไม่เห็นต้องข่มขู่เขานี่”

“นั่นเป็นเพราะกานดาเป็นคนค่อนข้างอ่อน” สามีพยายามแย้งอย่างใจดี “แกยังยอมให้เราตักเตือนต่อไปอยู่ลองแม่ไม่ยอมอย่างจิตรีเราก็เก้อกันเปล่า ๆ”

“ถึงเป็นพ่อก็จะยอมเก้อกับเขาเรอะ ถ้าลูกสาวเกิดจะหัวแข็งขึ้นมา?”

ผดุงรู้ว่าจรวยไม่เจตนากระแนะกระแหนลูกเลี้ยงเลยสักนิด เมียของเขาเป็นคนใจกว้างกว่านั้นมาก แต่เขารู้ว่าจรวยหัวเสียเรื่องจิตรีเหลือเกิน เพราะจรวยรักจิตรีเหมือนลูกมากกว่าเหมือนน้องนั่นเอง ยิ่งจรวยมีอายุใกล้สี่สิบแล้วยังไม่มีลูกสักคน จรวยยิ่งเอาใจใส่น้องสาวสุดท้องทวีขึ้น จิตรีจึงเป็นความหวังของพี่สาวใหญ่อย่างที่สุด จึงเป็นธรรมดาที่จรวยจะต้องแสดงความวิตกเต็มที่ เมื่อความหวังมีแววว่าจะเป็นความหวังเปล่าไปเสีย สามีจึงรู้ว่าหล่อนพาโลเล็กน้อย แม้ปากจะพูดถึงลูกเลี้ยงเวลานี้ ใจจริงจรวยหมายถึงน้องสาวเสียมากกว่า

“พ่อก็พ่อสมัยปรมาณูนี่คุณ” เขาเสให้เป็นเรื่องขบขันขึ้นเสีย “สมัยนี้ลูกเต้าต้องมีสิทธิดูแลตัวเองเท่ากับพ่อแม่เหมือนกัน ไม่งั้นเขาจะอยู่ยังไงได้ เราเพียงแต่คอยคัดหางเสือสักหน่อยเท่านั้น แต่–” เขาตัดบทแบบโบราณเล็กน้อย “คุณใหญ่จะทุกข์ร้อนอะไรนะ ลูกไม้ต้องไม่หล่นไกลต้น ตามธรรมเนียมลูกใครก็ต้องเหมือนคนนั้นแหละ หรือคุณยังจะโต้แย้งยังไงอีก”

จรวยมีเหตุผลพอจะโต้แย้ง และขณะนั้นเกิดความปรารถนาที่จะโต้แย้งอย่างที่สุดเสียด้วย แต่หล่อนเป็นคนใจกว้างกว่านั้น และยังมีเหตุผลส่วนตัวที่จะไม่โต้แย้งอยู่อีกจรวยจึงไม่โต้ต่อไป เป็นแต่ย้อนคำเขาว่า

“ไงก็ไม่รู้ละค่ะ เดี๋ยวนี้ชักไม่รู้อะไรแน่นอนทั้งนั้น อะไร ๆ ก็เป็นเพราะสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปเสียหมดเหมือนสมัยปรมาณูนั่นแหละ”

สามีของหล่อนรู้ว่าจรวยไม่ประสงค์จะโต้แย้งอย่างใดอีก เขาจึงหัวเราะเล่นเสีย เรื่องโต้เถียงภายในครอบครัวของจิตรีก็ยุติไปตอนหนึ่ง

แต่เรื่องของจิตรีไม่ยอมยุติตอนนั้น

ตั้งแต่รีไทร์จากฐานะนิสิตาแผนกวิทยาศาสตร์ปีที่สี่เสียแล้ว ความเป็นอยู่ของจิตรีดูราวกับวิ่งแข่งเวลาเลยทีเดียว และดูเหมือนจะกลับหน้ามือเป็นหลังมือหมดทุกอย่าง

หล่อนมีพื้นความรู้หลายอย่างแต่หนักไปในทางวิทยาศาสตร์สักหน่อย ถึงกระนั้นจิตรีก็เข้าสมัครทำงานในธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่มีผู้หญิงอยู่กี่คน

ครั้งหนึ่งจิตรีเคยเอาเป็นเอาตายกับการเรียนด้วยความใฝ่สูงในปริญญาบัตรวิทยาศาสตร์ และในเกียรติยศอย่างหนึ่ง บัดนี้หล่อนหมกมุ่นสังคมบัตรแบบต่าง ๆ และในความนิยมอย่างใหม่ ซึ่งสงครามมีส่วนสร้างขึ้นไว้

ดูเหมือนจะมีมนต์ประหลาดและวิเศษสักอย่างมาทำให้จิตรีลืมตัวและปล่อยตัวตามเหตุการณ์เกินไป ดูเหมือนไม่มีมนต์จะแก้กันอีกด้วย ดังนั้นสมาชิกในครอบครัวของจิตรีก็ได้แต่จะจ้องดูด้วยความวิตก แต่ไม่มีโอกาสยับยั้งหญิงสาวหรือปลุกให้รู้สึกตัวแต่อย่างใด

จิตรีจึงลอยคว้างไปตามกระแสคลื่นของความเป็นอยู่อย่างใหม่ หล่อนโจนเข้าสู่งานอาชีพชั้นยุ่งยากโดยที่หล่อนมิได้เตรียมตัวตามสมควร การสังคมของหล่อนขยายตัวออกจากขอบเขตเก่าแก่เกินไป ก็เป็นธรรมดาที่จิตรีจะต้องยุ่งยากอยู่ไม่น้อย

ดังนั้น ผู้ที่หวังดีโดยแท้จริงจึงคอยจ้องจะยับยั้งจิตรีเรื่อยมา แต่ไม่มีใครคอยจ้องจับโอกาสนั้นอย่างเคร่งเครียดมากเหมือนจรวยเลยสักคน ซึ่งก็เป็นธรรมดาดังกล่าวแล้ว

และก็เหมือนกับทุกสิ่งในโลก ซึ่งย่อมอยู่ในกฎเกณฑ์การหมุนเวียน โอกาสซึ่งจรวยคอยอยู่อย่างเคร่งเครียดก็มาถึงมือหล่อนได้โดยเผอิญ

เมื่อวิชัยกับกานดายืนโต้แย้งกันอยู่ที่หน้าต่างเรือนทั้งสองซึ่งกล่าวแล้ว จรวยกำลังเดินลงมาจากเรือนหลังใหญ่ในเขตของบ้านวิชัย เรือนหลังนั้นเป็นเรือนของหลวงเจริญรัถกิจ (เจริญ รัถการ) บิดาของจรวยและจิตรี เมื่อหลวงเจริญฯ ถึงแก่กรรมไปก่อนเกิดสงครามครั้งนี้ บ้านเดิมในซอยสามบ้านที่ถนนพญาไทย่านราชเทวี พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง ๒ หลัง และเครื่องเรือนก็ตกเป็นของบุตรสาวสุดท้อง จรวยมีบ้านของหล่อนเองอยู่ติดกับหน้าบ้านบิดา ระหว่างเขตบ้านของหล่อนและบ้านบิดา ซึ่งตกเป็นของจิตรีแล้วนั้น เป็นบ้านคุณจำรัสและบุตร บ้านทั้งสามซึ่งกล่าวแล้วจึงจะเรียกว่าอยู่ในบริเวณบ้านเดียวกันก็ได้ถ้าไม่มีรั้วเตี้ย ๆ และต้นไม้บังอยู่เป็นตอน ๆ ตามเขตบ้าน

เมื่อก่อนอพยพกันใหญ่ คุณจำรัสและกานดาได้ไปอยู่เป็นเพื่อนจิตรีที่เรือนหลังเดิม ส่วนวิชัยคงอยู่ที่บ้านของเขาคนเดียว แต่ระหว่างสงครามคราวนี้ วิชัยพาน้องสาวสองคนไปอยู่พะเยา คุณจำรัสก็กลับไปอยู่เรือนของเธอที่กานดาและจิตรีกลับมาอยู่ด้วยเดี๋ยวนี้ ส่วนบ้านจิตรีนั้น จรวยจัดการให้คนอื่นมาเช่าอยู่อย่างกันเอง เผอิญการนี้กลายเป็นโอกาสสำคัญขึ้นด้วย

ดังนั้น เมื่อจรวยเดินลงมาจากเรือนหลังใหญ่หล่อนจึงมีท่าทางเฉียบขาดขึ้นกว่าเก่า หล่อนได้โอกาสและวางแผนการณ์ที่จะยับยั้งน้องสาวเสร็จแล้ว

หล่อนสวนกับลูกเลี้ยงสาวที่ประตูเล็กระหว่างบ้านบิดาและบ้านคุณจำรัสเลยทีเดียว กานดาเดินด้วยอาการรีบร้อนเล็กน้อย ในมือมีกระเป๋าหนังสือตามเคยของหล่อน จรวยเลิกคิ้ว

“ยังไม่ไปโรงเรียนเรอะจ๊ะ?”

“ยังค่ะ! ยังมีเวลาเหลือแยะ พี่ชัยเลยเรียกให้มาติดกระดุมเสื้อเสียอีก”

“พี่ชัยนี่พิลึกเหลือเกิน!” จรวยบ่นน้องชายเช่นเคย “เวลาอื่นมีไม่ยักวาน แล้วก็ไม่น่าจะกวนกันเดี๋ยวนี้ เคยตัวจะตายแล้ว จิตรีล่ะเธอ?”

กานดาได้โอกาสปลีกตัวตอนนี้เอง

“ยังหลับอยู่เลยค่ะ เมื่อคืน–” ครั้นแล้วหล่อนก็ยั้งอยู่แค่นั้น “เขาลางานค่ะ ! เมื่อคืน–” กานดาอึกอักอีกครั้งหนึ่ง “เขาปวดศีรษะสักหน่อย”

“แน่ละ!”

แล้วจรวยก็ทำท่าจะเดินเลยเข้าประตูบ้านคุณป้าไปเสีย กานดาก็กำลังโล่งใจและจะเลี้ยวขึ้นเรือนเล็กหลังวิชัยอยู่แต่หล่อนได้ยินเสียงจรวยเรียกอีก

“กานดา!”

“คะ?”

แม่เลี้ยงหันหลังมามองดูหล่อนด้วยสายตาเยือกเย็นอยู่สักหน่อย กานดารู้สึกเย็นกระดูกสันหลังเหลือเกิน แต่หล่อนยอมสู้สายตาอันเยือกเย็นอย่างอ่อนน้อม หลังสงครามคราวนี้ แม้ผู้หญิงอ่อนโยนอย่างหล่อนก็รู้จักสู้สายตาตรง ๆ เพราะความจัดเจนอันเข้มข้นของชีวิต

“เธอพบอาของเธอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”

“อ๋อ–อาเผด็จ!” กานดาพยายามเรียบเรียงความรู้สึกสับสนซึ่งเกิดขึ้น “สักสิบปีแล้วกระมังคะ เขาเรียนสำเร็จแล้วเลยสมัครเป็นผู้แทนบริษัทคลังสินค้าไทยที่ยุโรปเรื่อยมา พอดีประจวบกับสงครามคราวนี้อาเผด็จย้ายไปอยู่อเมริกา ดิฉันไม่รู้เรื่องเขาเลย กระทั่งคุณพ่อบอกว่าอาเผด็จกลับมาเมื่อปีกลาย แล้วคุณใหญ่ให้เขาเช่าเรือนหลังโน้นอยู่ก่อนที่เขาจะกลับไปอเมริกาด้วยเรื่องค้าขายคราวนี้ เมื่อเรากลับมาก็ไม่ได้พบอาเผด็จอยู่นั่นเอง เกือบจะนึกหน้าไม่ออกเอาเสียเลย ครั้งโน้นเขาก็ไม่ใคร่มายุ่งกับเราหรอกค่ะ”

จรวยไม่สนใจกับเรื่องราวอื่น ๆ ของน้องตัวผู้นั้นเลย หล่อนพูดเพียงว่า

“วานนี้เขาวิทยุมาจากสิงคโปร์ว่า จะกลับมาถึงกรุงเทพฯ วันมะรืน ฉันเลยยุ่งอยู่หน่อย เพราะเขามาอยู่ก็ใช้เครื่องเรือนกับผู้คนของเราเอง อาหารก็ต้องหาให้เขา คิดว่าจะได้จิตรีช่วยเหลือ เล็กน้อยเขาก็ไม่มีเวลาสนใจจนนิดเดียว ถ้าเธอว่าง–”

กานดารีบสอดเสียก่อนว่า

“ไว้เย็น ๆ ดิฉันจะกลับมาช่วยค่ะ นอกจากทำความสะอาดกับจัดแจงให้เรียบร้อยแล้ว ก็คงไม่มีอะไรหรอกนะคะ?”

จรวยรับคำโดยพูดเรื่องอื่นอีกต่อไป เสียงของหล่อนยังเยือกเย็นอย่างเก่า กานดาก็ยังรู้สึกเย็นกระดูกสันหลังเรื่อยอยู่

“ที่จริงฉันจะไม่เอาใจใส่เสียเลยก็ได้ บ้านนี้เป็นสมบัติของแม่จิตรี รายได้จากค่าเช่าถึงเดือนละห้าร้อยบาท ก็เป็นของเขาคนเดียว เขาควรจะดูแลเองได้แต่ยังไม่เห็นเขาเอาใจใส่สักนิด นี่เธอจะช่วยกันก็ดีแล้วคุณเผด็จก็เป็นอาแท้ ๆ ถึงเธอจะไม่สู้คุ้นเคยกับเขานักแต่–” จรวยรีบพูดเมื่อเห็นกานดามีท่าทางกระสับกระส่ายสักหน่อยและนัยน์ตาก็มองไปบนเรือนเล็ก ซึ่งวิชัยคอยอยู่อย่างกังวล “ฉันไม่อยากให้คุณเผด็จเห็นพวกเธอวิ่งเข้าออกพลุกพล่านมากเหมือนเดี๋ยวนี้ เขาไม่เคยรู้เคยเห็นว่าพ่อวิชัยกับเธอสนิทสนมกันมากเหมือนพี่น้องเท่านั้น ต่อไปขอให้เธอกับจิตรีระวังเรื่องวิ่งเข้าวิ่งออกอีกสักหน่อย”

ครั้นแล้วจรวยก็หันหลังให้ลูกเลี้ยงเลยทีเดียว หล่อนเดินเข้าเขตบ้านคุณป้าไปเสียโดยไม่รอฟังว่า ลูกเลี้ยงจะคัดค้านขึ้นบ้าง

การไม่ยอมให้โอกาสคัดค้านขึ้นบ้างนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ใคร ๆ เคยแสดงกับกานดาได้เสมอ

แต่–ดวงหน้าซึ่งค่อนข้างซูบซีดของกานดาแดงเรื่อ–หล่อนปรารถนาจะคัดค้านถ้อยคำของแม่เลี้ยงหรือไม่? หล่อนและวิชัยสนิทสนมกับฉันพี่น้องเท่านั้นหรือ?

ฐานะและความเป็นอยู่อย่างหล่อนในด้านที่เกี่ยวกับวิชัยเช่นนั้น เป็นสภาพของพี่น้องแน่หรือ? กานดาได้สำนึกนานแล้วว่ามันเป็นความชื่นชมเช่นไร และความชื่นชมเช่นนั้นแฝงความลึกลับอันอบอุ่นอีกด้วย กานดาไม่เห็นว่าในระหว่างญาติพี่น้องจริง ๆ จะมีความรู้สึกชื่นชมเช่นนั้นเลย วิชัยกับจิตรีรักกันสนิท แต่เขาทั้งสองซื่อตรงต่อกันมาก ไม่มีความลี้ลับอันอบอุ่นอะไรนัก ไม่มีแม้แต่การกดขี่ข้างเดียว ดังที่วิชัยชอบข่มหล่อนและที่กานดาก็ได้ยินยอมอย่างเต็มใจจนบัดนี้

นั่นเป็นภาวะแท้จริงระหว่างลูกติดผัวกับลูกพี่ลูกน้องของจิตรี รัถการ กับ จรวย ดิเรกกุล

กานดาได้สำนึกในความจริงเรื่องนี้นานแล้ว วิชัยกับหล่อนมิได้วางตัวต่อกันฉันญาติอย่างเดียว ในเลือดของหล่อนและเขามิได้มีความเป็นญาติอยู่เลย ความสัมพันธ์สนิทที่ก่อให้เกิดความชื่นชมอันลี้ลับและอบอุ่นอีกนั้น จึงมิใช่ความรู้สึกฉันญาติอย่างเดียว

ความรู้สึกฉันญาตินั้น แม้จะเปี่ยมไปด้วยรักและชื่อตรงต่อกัน ก็มักกระด้างและแห้งแล้งเหลือเกิน กานดาได้สำนึก! ความรู้สึกระหว่างหล่อนและวิชัยนั้นเป็นความชื่นชมอันสดใสเสียเหลือเกิน!

และหล่อนรู้สึกเสียจริง ๆ ว่า มันเป็นเสน่ห์ยั่วยวนยิ่งขึ้น เมื่อมันเป็นความลี้ลับของหล่อนและวิชัยทั้งที่กานดามิได้ปรารถนาจะให้เรื่องมันปิดบังแบบใดเลย

ถึงกระนั้นเมื่อจรวยแคะไค้ขึ้นว่ากล่าว คล้ายกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและวิชัยเป็นเรื่องชวนสงสัยสักหน่อย กานดากลับเกิดความรู้สึกเป็นปฏิกริยาอย่างแรง!

หล่อนอยากจะปฏิเสธเสียงแข็ง หล่อนอยากยืนยันถ้อยคำของแม่เลี้ยงเหลือเกินว่า หล่อนมีความรู้สึกต่อวิชัยฉันญาติอย่างเดียว!

ดังนั้น แทนที่หล่อนจะขึ้นไปบนเรือนหลังเล็กเพื่อช่วยเหลือวิชัยเช่นเคย กานดากลับหลังหันให้เสียหล่อนรีบเดินออกไปที่ถนนหน้าบ้าน

“น้องดา!”

วิชัยคงมองเห็นหล่อนรีบหนีทางหน้าต่างตอนหน้า หล่อนเดินหูทวนลมเรื่อยไป แต่ส่วนซึ่งล้ำลึกในห้วงคิดของกานดาสำเหนียกและแน่นเนืองไปด้วยเสียงข่มขี่ของวิชัย

กระดุมซึ่งหลุดจากเสื้อและกางเกง ที่วิชัยชอบสวมปรากฏเป็นภาพผนึกอยู่ในห้วงคิดของกานดาด้วยเหมือนกัน

กานดาอยากหันกลับไปเย็บกระดุมเดี๋ยวนั้น–ทั้งที่หล่อนรีบเดินหนี

ขณะเดียวกับที่กานดาสอนหนังสือด้วยความรู้สึกระส่ำระสายเสียเหลือเกิน วิชัยก็ไปถึงกระทรวงสายมาก

แม้เขาจะรู้สึกขุ่นข้องเพราะกานดาดื้อกับเขาเป็นครั้งแรก เขาก็ไม่รู้สึกรุนแรงอะไรนัก เนื่องจากวิชัยรู้ดีด้วยว่าในที่สุดเขาคงแก้ดื้อของกานดาได้เสมอ แต่วันนั้นวิชัยมีอารมณ์ขุ่นข้องขึ้นมาก เหมือนกับที่เขาไปกระทรวงสายมาก

ภายหลังที่กานดาเดินหนีแล้ว วิชัยฉวยชุด “ชอบใส่” ซึ่งขาดกระดุมดังกล่าวแล้วไปเรือนมารดาโดยเร็ว เขาอยากจะเย้าจิตรีเล่นด้วย

ขณะที่ผ่านห้องกลางจะขึ้นบันไดไปชั้นบน ซึ่งมีจิตรีหลับอยู่ เขาได้ยินเสียงจรวยพูดอยู่กับมารดาเขาในห้องเล็กหลังบ้าน วิชัยย่องขึ้นบันไดโดยมิได้แสดงตัวตามเคยเพราะเขาได้ยินเสียงสนทนา นั้นระคนเสียงกระซิบกระซาบสักหน่อย

ชั้นบนเงียบเชียบเช่นเคย เขาเงี่ยหูฟังว่าจะมีร่องรอยคนอื่นอีกหรือไม่ แมวสามสีตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งในห้อง มันทำเสียงฮึ้ด ๆ เข้ามาสีขาเขาแล่นแล้วก็กรีดกรายกลับไป ชั้นบนไม่มีคนอื่นอีกเลย

“อีเพชรสี!” วิชัยยิ้มอยู่คนเดียว “อีนี่นอนตื่นสายเสียด้วย!”

เขาผ่านหน้าห้องมารดาโดยเร็ว แต่ไม่วายจะได้กลิ่นกำยานในอากาศกรุ่นอยู่ เมื่อคืนคุณจำรัสคงปรุงน้ำอบไทยตามเคยของเธอ เพราะใกล้สงกรานต์กันแล้ว วิชัยผ่านห้องกลางและห้องเก่าของตน ซึ่งบัดนี้ปล่อยเป็นห้องว่างไว้ก่อน แล้วถึงห้องนอนของจิตรีและกานดา

ประตูห้องงับอยู่อย่างเรียบร้อย นั่นเป็นเพราะกานดาตื่นก่อน และจิตรีหลับอยู่ วิชัยหันเข้าห้องประตูทางซ้ายซึ่งเป็นห้องพระ แสงแดดยามเช้าส่องลอดกระจกสีซึ่งติดแทนบานเกล็ด ทำให้เกิดรัศมีมากอย่าง วิชัยย่องไปที่ประตูเล็กซึ่งเปิดไปถึงห้องนอนจิตรีและกานดา

ห้องนั้นใหญ่อยู่สักหน่อย มีลับแลไม้สูงท่วมศีรษะกั้นออกเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อีกห้องหนึ่งในกลางห้องภายในห้องลับแลตั้งเตียงนอนสองเตียง ซึ่งอยู่ในมุ้งลวดคนละหลัง

วิชัยเดินอ้อมไปที่ซอกเล็ก ๆ ระหว่างฝาห้องพระกับห้องลับแลเลยทีเดียว เขาดึงประตูห้องพระออกบังทางเข้าไปในซอกเล็ก เขายืนอยู่ตรงหัวเตียงจิตรีและเขาเตรียมจะยกกำปั้นขึ้นทุบฝาห้องให้หล่อนตื่นตามเคย

เขาและญาติหญิงทั้งสองเคยสัพยอกกันอย่างนี้ มันเป็นนิสัยซึ่งติดมาตั้งแต่เขาทั้งสามยังเป็นเด็ก ๆ ด้วยกัน

แต่ก่อนที่วิชัยจะลงมือปลุกน้องสาวตามความคิดครั้งเด็ก ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนนั้นอีก

“จิตรี!” เสียงจรวยเรียกขึ้น

ครั้นแล้วจรวยก็เดินตรงเข้าไปในห้องลับแลเลยทีเดียว

“จิตรี ลุกเถอะ” จรวยเรียกซ้ำ

เสียงทิ้งแขนตุบตับบนเตียงตรงกับที่วิชัยยืนเงียบกริบเก้ออยู่ มีเสียงพึมพำพอได้ยิน วิชัยอมยิ้มอย่างขัน

“คอยดู!” เขาคิดคนเดียว เราจะต้องตีฝาให้โลดเลยทั้งคู่!

เขาต้องยั้งความคิดครั้งนี้อีก เพราะถ้อยคำของจรวย

“จิตรี! พี่มีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกับเธอให้เด็ดขาดคราวนี้”

เสียงทุ้ม ๆ ที่ยังหนักหน่วงง่วงนอนนั้นบอกว่า

“เดี๋ยวน้องลุกแล้วค่อยไปคุยข้างล่างเลยเถอะค่ะ”

“ไม่ได้หร็อก!” จรวยรีบบอก “เป็นเรื่องลับเหลือเกิน มันเกี่ยวกับเธอเท่านั้น”

ภายในห้องลับแลก็เงียบกริบกันครู่หนึ่ง เงียบกระทั่งวิชัยคิดว่า เขาได้ยินเสียงหายใจจากห้องนั้น มันทำลายอารมณ์ขันของวิชัย และช่วยให้เขาสำนึกว่าขณะนั้นไม่ใช่เวลาหาความรื่นเริงเลยสักนิด เขากลายเป็นผู้ล่วงล้ำอาณาเขตความลับ ซึ่งเจ้าของเขาสงวนไว้จากญาติผู้ชายเช่นเขาเหมือนที่ปิดบังคนอื่น ๆ อีกด้วย

ดังนั้น วิชัยจึงคิดจะลอบลงไปข้างล่างเสียก่อนที่จรวยจะพูดกับจิตรีด้วยเรื่องสำคัญของหล่อน เขาไม่กล้าแสดงตัวต่อไป แต่เมื่อเขาจะเปิดประตูห้องพระที่บังตัวเขาไว้ในซอกซึ่งกล่าวแล้ว เขาก็คิดขึ้นได้ทันเวลาเหลือเกิน เขาไม่อาจออกไปทางห้องพระ เหมือนที่เข้ามาเมื่อครู่

เขาจำได้ว่าบานพับประตูจะต้องดังเอี๊ยด ๆ อีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้น้องสาวของเขากำลังตื่นอยู่อย่างเต็มตา ส่วนจรวยก็คงจะได้ยินอย่างไม่ต้องสงสัย เขาได้ยินประโยคสุดท้ายที่จรวยพูด เพราะมันเป็นข้อความที่บอกเล่าความจริงจนเกินครึ่ง–ความจริงที่เขาไม่ควรรู้ด้วยเลย

เขาจำต้องยืนแอบอยู่ที่ซอกหัวนอนนั้นต่อไป และพยายามปลอบตัวเองอีกว่า บางทีญาติหญิงทั้งสองของเขาอาจจะไม่มีเรื่องเร้นลับอะไรเลย แล้วเขาคงจะได้ทุบฝาและหัวเราะลั่นขึ้น เขายิ้มอย่างโล่งใจจนกระทั่งได้ยินจิตรีเริ่มพูด

“งั้นน้องนอนฟังนะคะ”

“ไม่แปลก!” เสียงจรวยครึ่งรำคาญครึ่งร้อนรนเล็กน้อย “นี่น้อง! งานที่ธนาคารของเธอน่ะ เรียบร้อยเรอะเปล่า?”

“คุณใหญ่คะ–” จิตรีลากเสียงเป็นทำนองถ่วงเวลาเล็กน้อย “เวลานี้งานทุกอย่างมันยุ่ง–”

“อย่าไก๋! เขายุ่งกันอย่างอื่น เขาไม่ยุ่งอย่างเธอหรอก” จรวยรีบสำทับ “เธอทำเงินเขาขาดบัญชีเป็นหมื่น จริงไหมล่ะ? แล้วอยากรู้นัก หยิบฉวยเงินหมื่นมาทำไม เวลานี้รายได้ของเธอทางบ้านรวมกับเงินเดือนน่ะ ถึงไม่มากมายเหมือนเขา ก็นับว่าพอมีจะกินกับเขาแล้วถ้าเธอไม่สุรุ่ยสุร่ายเหลือเกินนัก อย่างที่–”

เสียงจิตรีสอดอย่างรำคาญขึ้นบ้าง “นี่คุณใหญ่อยากทราบว่า น้องทำเงินธนาคารขาดเท่าไหร่ หรืออยากจะทราบรายจ่ายประจำวันของน้องแน่คะ?”

วิชัยได้ยินเสียงจรวยฉุนกึก ด้วยการกระแทกตัวบนเตียงกานดาดังโครม เขาปรารถนาจะหลบเลี่ยงลงไปข้างล่างแล้วไปกระทรวงเสียเหลือเกิน แต่เขาก็ปรารถนายิ่งนักที่ปลีกตัวจากเรื่องซึ่งมีทีท่าจะยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นโดยไม่ให้จรวยกับจิตรีรู้สึก แต่เขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้โดยไม่ให้รู้สึกเสียเลย

“พี่อยากทราบทั้งสองเรื่องแหละจ้ะ! ทำงานยังไงกันถึงจะเอาตัวเข้าปิ้งไปเสียแล้ว”

จิตรีกลับย้อนถามเสียงเย็น ๆ อย่างไม่เดือดร้อน

“ทำไมคุณใหญ่ถึงทราบเรื่องล่ะคะ?”

“คนอย่างพี่เขยของเธอ–ถึงเธอจะไม่เห็นว่าสำคัญแค่ไหน ก็ยังกว้างขวางพอที่จะมีคนคอยช่วยเหลือบอกเล่าเรื่องที่อาจจะเป็นผลร้ายแก่ครอบครัวของเขา คุณผดุงน่ะเป็นคนยังไงเธอก็รู้แล้ว ถ้าไม่เหลือเกินก็ไม่พูด พี่เองเดี๋ยวนี้ก็ไม่อยากยื่นมือมาเกี่ยวหรอก อยากปล่อยไปให้หมด แต่มันเห็นกันอยู่เท่านี้แล้วก็แค่นี้เท่านั้นแหละตกลงเงินธนาคารขาดบัญชีไปเท่าไหร่ล่ะเธอ?”

“สองหมื่นสามพันหนึ่งร้อยห้าสิบหกบาทถ้วน”

จิตรีบอกเรียบ ๆ และจรวยเลยนิ่งอึ้ง อีกครั้งในห้องลับแลบังเกิดความเงียบกริบกันจริง ๆ จนกระทั่งวิชัยเกรงว่าเสียงหายใจของเขาจะดังไปเข้าหูพี่น้องภายในห้องลับแลเหลือเกิน

“แล้วนี่ทางธนาคารเขาจะเอาเรื่องอะไรเรอะเปล่า ยังไม่ได้จัดการกันอื้อฉาวไม่ใช่เรอะ?”

จรวยพูดด้วยเสียงเยือกเย็นอยู่บ้าง แต่ผู้ฟังย่อมรู้ว่ามีกังวานวิตกเต็มที่ เสียงพูดของจรวยฟังคล้ายคนตกน้ำที่ไม่สามารถจะช่วยตัวเองอีกเลย

“เรื่องยังไม่เปิดเผย เพราะน้องควบคุมงานแผนกนี้ของน้องเอง” จิตรีเล่าต่อ “แต่เมื่อเตรียมสำรวจบัญชีคราวนี้ มีคนเขารู้บ้าง–ผู้ใหญ่–” แล้วจิตรีก็พูดด้วยเสียงสงสารสักหน่อยว่า “เพื่อนคุณผดุงเขากระมังเรื่องถึงรั่วมาเข้าหูคุณผดุงได้เร็ว แต่ตาคนนี้แกก็กรุณาน้องมาก แกเป็นคนบังคับบัญชาน้องนั่นเอง เป็นแต่เตือนให้น้องรีบหาเงินมาแทนให้ครบจำนวนขาดก่อนจะสำรวจกันคราวหน้าอีกสองสัปดาห์เท่านั้น น้อง–”

“แล้วเธอจะหาเงินที่ไหนมาทัน” จรวยรีบสอดเสียงแค้น ๆ “โธ่! น้องนะน้อง! เวลานี้เธอก็รู้ว่าพวกเรากรอบแกรบกันแค่ไหน คุณผดุงกับพ่อวิชัยก็เป็นข้าราชการกันเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้หาเศษหาเลยอะไรอีก เงินประกันชีวิตคุณผดุงก็เป็นเรื่องมัดตัวตามเคย มีเท่าไหร่ต้องส่งเขาเสียเรื่อย ส่วนที่เก็บค้างธนาคารไว้บ้าง พี่ก็ไปกวาดเอามาซ่อมแซมห้องแถวที่ตลาดสามแสนเสียเกือบหมด ยังไม่ทันถอนทุนคืน แล้วเราจะช่วยเธอได้ยังไง โธ่! จิตรี! อะไร ๆ ก็เป็นเพราะเธอพากันอวดฉลาดเหลือเกิน” จรวยยังพูดพาโลคนอื่นอีกบ้าง เพราะเกรงใจน้องนั่นเอง “เธอ พ่อวิชัย แล้วก็แม่กานดาด้วยซิ! พอตกมาถึงสมัยนี้เลยพากันเก่งกาจกันเสียใหญ่แล้วก็เกิดเรื่องยังงี้ญาติวงศ์จะต้องปั่นป่วนไปด้วย ดูซิ! จิตรี เราจะไปหาเงินสองสามหมื่นมาจากไหนกันในเวลาสองสัปดาห์เท่านี้–ถ้าไม่ยอมหน้าทนเที่ยวกู้ยืมอย่างคนสิ้นคิดเขาทำกัน ถึงเราจนเราก็ไม่ควรจะต้อง–”

“แต่–” จิตรีเริ่มสอดเสียงกระด้าง “คุณใหญ่อย่าเพ่อเดือดร้อนเลยค่ะ น้องยังไม่ได้พูดจนคำเดียวว่าจะรบกวนพี่น้องนี่คะ?”

มิใช่แต่ความหมายแห่งถ้อยคำของจิตรีซึ่งแสดงความไม่เป็นกันเองอีกต่อไป–ไม่ใช่พี่ร่วมท้องน้องร่วมไส้เหมือนเก่ากันอีกแล้ว–กระแสเสียงของจิตรีก็เป็นพิษสงแก่ความรู้สึกของจรวยเหลือเกิน!

เสียงจิตรี! เสียงทุ่มที่เคยร่าเริงและเป็นกันเองอีกนั้นโดยปกติก็มักจะมีหางเสียงเรียกร้อง และไม่มีความหมายมากนัก สำเนียงอย่างนี้ย่อมปรากฏกับเสียงเด็กโดยธรรมดาโดยมาก แม้ผู้ใหญ่ค่อนข้างระคายโสตสักนิด ก็มักจะอภัยและยินดีโดยไม่เจตนาที่จะได้ฟังเสียงข่มขู่ของเด็ก อภัยแล้วก็สนองเจตนาของสำเนียงนั้นด้วย

เพราะเสียงข่มขู่ของเด็กมักมีความหมายว่า เขามีความปรารถนาสิ่งโน้นสิ่งนี้จากผู้ใหญ่อยู่เสมอ ความปรารถนาที่รบกวนให้ผู้ใหญ่ย่อมสนองนั้นเล่า ก็คือเครื่องหมายว่าเด็กต้องพึ่งพาผู้ใหญ่อยู่เป็นนิจ

นั่นคือ เคล็ดสำคัญของเด็กทุกคนที่จะเข้าถึงหัวใจอันเต็มไปด้วยเมตตาคุณของผู้ใหญ่ นั่นคือสิ่งซึ่งทำให้ผู้ใหญ่ยอมเป็นทาสความปรารถนาของ ‘เสียงข่มขู่’ ที่ตนเองเป็นผู้อุปการะเรื่อยมา!

มันเป็นธรรมดาวิสัยสำคัญของมวลมนุษย์ในโลกทารกผู้อ่อนแอกับสรรพสิ่งซึ่งเป็นเพียงปรมาณูเท่านั้น อาจดำรงความเป็นอยู่ของตนในพิภพอันไพศาลและสาเหตุแห่งนี้ได้ก็ด้วยธรรมดาวิสัย ซึ่งกล่าวแล้ว และผู้มีเมตตาคุณของโลกมักจะหวงแหนธรรมดาวิสัยซึ่งว่านี้ยิ่งนัก เนื่องจากเกิดแต่กฎธรรมดาด้วยเหมือนกัน กล่าวคือผู้ให้ย่อมหวงแหน และทะนงในสิทธิการเป็นผู้ให้แห่งตน แต่ผู้รับย่อมไม่มีความรู้ตอบสนองลึกซึ้งสักเท่าไร

โลกก็อยู่มาได้ด้วยประการฉะนี้!

ฉันนั้นคือกรณีหญิงสาวสองคน–จรวย ดิเรกกุล ซึ่งเป็นพี่และผู้ใหญ่แห่งน้อง–จิตรี รัถการ ผู้เคยเป็นแต่ผู้รับเรื่อยมา

ก็เมื่อผู้เคยรับเมตตาคุณของตนแต่เดิมผลุนผลันขว้างสิ่งซึ่งเคยรับ คืนให้ตรง ๆ ต่อหน้าเช่นนั้น ก็เป็นธรรมดาที่จรวยจะต้องเกิดความรู้สึกเป็นปฏิกริยาอย่างแรง ยิ่งรักและยิ่งปรารถนาจะช่วยเหลือจิตรีเรื่อยไปจรวยก็ย่อมคั่งแค้นขึ้นมาก เมื่อขาดคำของจิตรี จรวยก็ลุกขึ้น ผลักม้านั่งตัวหนึ่งที่หน้าเตียงหงาย “โครม!” ลงไปกับพื้นเฉพาะหน้าผู้ที่ยังคงนอนนั้นเอง!

คราวนี้ภายในห้องลับแลไม่เงียบเชียบเช่นเคย เมื่อเหตุการณ์กดดันถึงขีดสุดท้ายทุกครั้ง คราวนี้ความกดดันโดดผางขึ้นไปเกินขีดสุดท้ายทีเดียว

“จิตรี!”

“คุณใหญ่!”

ทั้งสองเสียงสั่นนิด ๆ วิชัยได้ยินจิตรีลุกขึ้นเขาอาจจะฉวยโอกาสนี้หลบออกไปตามทางเก่าก็ได้ สองหญิงคงไม่เอาใจใส่กับเสียงอื่นอีกต่อไป แต่ชายหนุ่มยืนนิ่งเหมือนถูกตรึงติดพื้น พอดีกับจรวยพูดด้วยเสียงสั่นเครือขึ้นอีก

“ฉันรู้” หล่อนว่า “ฉันรู้ว่าเธอไม่ต้องการให้พี่น้องช่วยเหลือเธอหรอกในเรื่องเงิน ฉันรู้! ฉันยังไม่แก่เกินรู้! ฉันรู้ว่าผู้หญิงสาวสมัยนี้เขาหาเงินคล่องขึ้นอีกมาก เงินหมื่นเงินแสนถึงไม่ทำให้เขายี่หระเลยสักนิด ประเดี๋ยวก็ได้ไปตีเต็นนิส ไปเต้นรำ นั่งรถกินลมกับผู้ชาย–ต่างชาติ!–ไปนั่งอยู่โยงสโมสรสักประเดี๋ยวก็ได้เยอะ ผู้หญิงอย่าง–”

“คุณใหญ่!” จิตรีสอดเสียงแหลม “นั่นคุณใหญ่ว่าน้องเป็นผู้หญิงหากินชั้นสูงเสียแล้ว!”

“รึไม่ใช่! ผู้หญิงอย่างพวกเราใครทำตัวอย่างที่เธอทำเดี๋ยวนี้ได้แล้วไม่เละมั่งล่ะ!”

“นี่แหละน้า–” เสียงจิตรีเย้ยหยันอย่างโจ่งแจ้ง “คุณใหญ่แก่เสียแล้วรู้ไหมคะ?” คุณใหญ่ยังไม่รู้ว่าผู้หญิงอย่างเราหรือต่ำกว่าเราประพฤติตัวตามที่คุณใหญ่ว่าแล้วก็ยังเป็นคนดีได้อีกเยอะ ผู้หญิงสมัยนี้เขาก็ไม่ปล่อยตัวตามบุญตามกรรมกันเสียหมดหรอก เราจัดการกับตัวเรา แล้วยังช่วยตัวเองได้ดีด้วยเหมือนกัน”

“ก็ที่เธอเข้าปิ้งไปเป็นหมื่น ๆ นี่น่ะเป็นเรื่องช่วยตัวเองได้ดีด้วยเรอะเปล่า?”

“ฉันคิดเงินผิดไปเป็นหมื่น ฉันก็มีปัญญาคิดเงินหมื่นมาใช้เขา ใครจะทำไม?”

เสียงจิตรีค่อนข้างดังและเย่อหยิ่งอย่างที่สุด ผู้ซุ่มอยู่ในซอกประตูห้องพระจึงไม่แปลกใจเมื่อจรวยรีบพูดอย่างคั่งแค้นขึ้นอีก

“ใครจะไปทำไม! หามาใช้เขาได้ก็ดีแล้ว!” จรวยว่า “แต่ฉันอยากเตือนเธอเท่านั้น–ในฐานที่เคยเลี้ยงดูกันมาไม่น้อย–” ตอนนี้เสียงจรวยเริ่มเครือ แต่แล้วหล่อนก็บังคับเสียงให้เข้มแข็งขึ้นได้ “ฉันอยากจะเตือนเธอเท่านั้นแหละว่า วิธีหาเงินได้มากเหมือนกรวดน่ะมันจะทำให้เธอมีลูกหลงพ่อ!”

คราวนี้เกิดความเงียบกริบกันอีก วิชัยเหงื่อตกเต็มกาย ถึงกระนั้นเขายังต้องยืนซุ่มอยู่อย่างเดิมด้วยความรู้สึกงวยงง เหมือนถูกมนต์มหาละลวยเลยทีเดียว

เสียงตอบของจิตรีแสดงความสะกดกลั้นเป็นนิสัยฉุนเฉียวของหล่อนหลายเท่า

“ก็จะทำไม–ถึงมีลูกหลงพ่อ?”

“จะทำไมได้–” จรวยลากเสียง “มันเรียบร้อยกันมาแต่พะเยาหลายอย่างแล้ว แหลมเหลือ!–ฮึ! อ้ายพี่ชายก็หน้าโง่ให้เพื่อนตีท้ายครัว หรืออ้ายพี่ชายมันก็มีอะไรเละ ๆ มามากเหมือนกัน แม่กาน–”

“คุณใหญ่!”

“แหลมเหลือ” จรวยรีบต่อ เสียงหล่อนเย้ยหยันและเข้มข้นขึ้นอีก “สนุกนักละ! จดหมายมาไม่หยุด–แหลมเหลือมันช่วยให้มีอะไรมามั่งไหมล่ะเหลือแต่ซากเสเพล–”

“นี่ถ้าคุณใหญ่ไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของน้องนะคะ” จิตรีรีบสอดแต่เสียงเครือขึ้นบ้างและหล่อนเริ่มใช้กลเก่ากับจรวย “ถ้าไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ น้องจะ–”

“สาธุ!” จรวยรีบสอดเสียเอง เสียงหล่อนกร้าวแกร่งและกระด้างดุจน้ำแข็ง “สาธุ! ฉันไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของเธอหรอก เป็นความลับหลายปีแล้วจิตรี! จนกระทั่งป่านนี้ฉันยังไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกใคร คุณแม่ของฉัน–คุณจำเรียงน่ะไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้าของเธอแท้ ๆ หรอก!”

“โกหก!”

เป็นครั้งแรกที่วิชัยเคยรู้เห็นว่าจิตรีใช้คำหยาบอย่างนั้นได้–โดยเฉพาะกับ “คุณใหญ่” ซึ่งจิตรีรักมาก แต่จรวยไม่โต้ตอบแต่สักคำ

“โกหก!” เสียงจิตรีเริ่มคลายความมั่นใจ “ฉันเป็นลูกคุณแม่เหมือนกัน ถ้าคุณแม่ไม่ตาย คงไม่มีใครมาหลอกเราเล่นได้!”

“ถูกละ!” ในที่สุดจรวยพูดด้วยเสียงราบเรียบลงได้ ดูเหมือนจะมีกังวานว่าจิตใจหล่อนก็กระทบกระเทือนถึงขีดอยู่ “เราช่วยกันหลอกโลกมามากแล้วคุณพ่อ–พ่อของเรา คุณแม่ฉันกับฉันช่วย กันหลอกพี่น้องเพื่อนฝูงมาแล้วหลายปี ฉันไม่ตั้งใจจะเปิดเผย ขอให้เธอปิดต่อไปอีก มันเกี่ยวกับเกียรติยศคุณแม่เหมือนกัน ที่ฉันอ้างออกมาเมื่อกี้ก็เพราะอยากจะให้เธอระวังตัวต่อไป เธอมีเลือดเลวอยู่ในสมองไม่น้อย แม่ของเธอที่เป็นเมียลับ ๆ ของคุณพ่อมีชู้รักหลายคน คุณแม่ฉันถึงได้รับเธอมาเลี้ยงดูเสียเอง ไม่พยายามสงสัยว่าเธอจะเป็นลูกผัวของท่านหรือลูกชู้ของแม่เธอทั้งนั้น น้องฉันที่เกิดกับคุณแม่คราวเดียวกับเธอน่ะเป็นโรคปัจจุบันตายตั้งแต่สองเดือน คุณแม่ถึงได้รับเอาเธอมาแทนเท่านั้นเอง”

คำบอกเล่าของจรวยเป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหาให้สงสัยความจริงปรากฏอยู่กับเหตุการณ์อื่น ๆ อีกมาก เจตนาที่จรวยขอร้องให้กำเนิดลับของจิตรีคงเป็นความลับเรื่อยไปเป็นข้อพิสูจน์เสียยิ่งกว่าเหตุผลอื่นใดอีกด้วยว่า จรวยได้เล่าความจริงด้วยเจตนาบริสุทธิ์เสียเหลือเกิน!

จรวยเดินออกจากห้องลับแลไปโดยไม่ต่อถ้อยคำขึ้นอีก พอเสียงห้องนอนปิดสนิทแน่แล้ว วิชัยก็ได้ยินเสียงจิตรีร้องขึ้นคำเดียวดังนี้

“คุณแม่–!”

เขาได้ยินเสียงหล่อนทิ้งตัวโครมลงบนเตียงตามเดิมแล้วก็มีเสียงสะอึกสะอื้นเหมือนหัวใจจะขาดขึ้นแทน

วิชัยผลักประตูตึงใหญ่ เขาปราดไปห้องพระผ่านห้องกลางและห้องมารดาของเขาแล้วก็ตั้งหน้าแน่วลงบันไดโดยเร็ว

เขารู้ว่าเขาไม่อาจได้ยินเสียงสะอื้นอีกได้ แต่เสียงสะอึกสะอื้นประหนึ่งหัวใจจะขาดของจิตรียังคงระงมอยู่ในโสตประสาทของวิชัยเช่นเดิม

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ