พอดนตรีครึมครางขึ้นอีก คู่ลีลาศก็เริ่มล่องลอยออกถวายตัวตามจังหวะดนตรีต่อไป สีสรรเสื้อผ้าสีสายรุ้งและดอกไม้ ธงและไฟราวหลายสีสอดประสานกลมกลืนกันไปหมด มองดูเพียงสภาพเวทีเท่านั้น มโนภาพผู้เห็นอาจเคลิ้มไคล้ถึงสระสวรรค์ในแดนสุขาวดีได้อีก ต่างกันก็แต่ว่า บรรดาดอกอุบลในสระลีลาศเวลานั้นมีวรรณะเรืองรองหลายสี สยายกลีบ กำจายกลิ่นและโอนเอนอ่อนช้อยอยู่ในสายลมของจังหวะวิเวกหรือเร่งเร้าของดนตรีต่างเพลง

สี แสง และเสียงซึ่งสอดประสานกันอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งต้นฤดูร้อนเหล่านี้ ดูประหนึ่งว่ากำลังกระทำปัจจุคมนาการแก่รังสีซึ่งยรรยงยิ่งกว่า ประกอบด้วยกฤษดาภินิหารแห่งพระสุริยะยามต้น ซึ่งเริ่มเปล่งฉัพพรรณรังสีส่องโลก และโดยเฉพาะเหนือพื้นแผ่นดินไทยทั้งปวง ความหวังและความสดชื่นของชีวิตวันใหม่ ก็ผุดออกมาจากกลุ่มหมอกแห่งสภาพภายหลังสงคราม เมื่อรังสีซึ่งยรรยงยิ่งนั้นเฉิดเฉลาลงมาจากราชบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งไทย–ยุวกษัตริย์ซึ่งเป็นที่รักของพสกนิกรเกินควร ในยุคที่ความรู้สึกอ่อนโยนทุกอย่างดูเหมือนจะพลอยถูกเปลวปรมาณูไหม้มอดหมดแล้ว

และในราตรีแห่งงานสโมสรสันนิบาต–บนเวทีเต้นรำซึ่งเปรียบเหมือนสระสวรรค์ ในแดนสุขาวดีโดยแท้ก็กำลังชื่นฉ่ำอยู่ภายใต้รังสีซึ่งเฉดเฉลาลงมาจากพระแท่นที่ประทับทางหนึ่ง

นัยน์ตาทุกคู่ ดวงใจทุกดวงก็พร้อมกันเพ่งปัจจุคมนาการแก่รังสีซึ่งยรรยงยิ่งนั้น!

สุภาพบุรุษต่างประเทศผู้หนึ่ง ในชุดราตรีสโมสรซึ่งประดับด้วยแถบอันมีเกียรติยศยิ่งอยู่เหนือหน้าอกซ้ายเดินเคียงข้างผดุงเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ จิตรีโค้งให้หล่อนแล้วปราศรัยด้วยภาษาอังกฤษก่อนว่า

“ขออนุญาตได้ไหม มิสจิตรี–!”

“ต๊าย! เคอเนล โฮเวิร์ด–” ภาษาอังกฤษของหญิงสาวมีสำเนียงแปร่งไปหน่อย ถึงกระนั้นหล่อนก็พูดคล่องแคล่วและยิ้มแย้มอย่างชื่นบาน ขณะที่ยกพัดด้ามจิ้วจรดปาก “ขืนลุกอีกรอบ ดิฉันคงทำให้ท่านเคอเนลเหนื่อยแย่”

“โน!โน มิสจิตรี” นายพันเอกฝ่ายการทูตรีบท้วง “ผมเพียงขออนุญาตซ่อมโซ่ทองที่ร้อยด้ามพัดของคุณเท่านั้น ดูเหมือนมันขาด–ขอโทษ!”

“ขาดค่ะ! เมื่อกี้มันเกี่ยวแขนเก้าอี้เอาไว้ ดิฉันไม่รู้–ดึงขึ้นมาก็เลยขาดเอาง่าย ๆ งั้นแหละ” จิตรีใช้พัดเคาะเก้าอี้ข้างหล่อน หัวเราะพลางพูดเสริม “ที่ใจดีมาขอช่วยซ่อมสายพัดก็เพราะจะหาที่นั่งนี่เอง! นั่งซิคะ เคอเนล! เมื่อกี้คิดว่าท่านเคอเนลอยากเต้นรำเหลือเกิน”

เคอเนลนั่งลงพลางพะยักพะเยิดกับพี่เขยของจิตรี ซึ่งยังไม่ยอมนั่งลงในหมู่สุภาพสตรีตอนนั้น

“เชิญไปหาที่นั่งอื่นเองเถอะ! ผมจะต้องนั่งแก้ตัวต่อไปอีกว่า ทำไมถึงต้องยอมสละสิทธิเต้นรำรอบนี้ ผมอยากนั่งมองเหมือนใคร ๆ เขาบ้าง So delicious to my own old sight”

แล้วนายพันเอกหนวดงามคล้ายดาราภาพยนตร์อยู่มากก็ก้มศีรษะ และทอดสายตาอันเขียวครามของตนผ่านวงลีลาศไปทาง ‘รังสีซึ่งเฉิดเฉลา’ อยู่บน ‘ที่ประทับ’ ทางนั้น

ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำของเขา ก็พากันอมยิ้มอย่างพอใจ สุภาพบุรุษร่างอ้วนในชุดสากลขาวเหมือนสุภาพบุรุษไทยอื่น ๆ อีกมาก ชะโงกออกมาจากกลุ่มเก้าอี้ข้างหลังแล้วว่า

“Well done! Colonel Howard! ถ้าสมัครจะนั่งเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทแบบนี้ ในหมู่สุภาพสตรีที่เชี่ยวชาญเต้นรำเหล่านี้ เคอเนลอาจเกาะเก้าอี้จนเสด็จขึ้นโดยไม่ต้องเต้นรำเลยก็ได้–เหมือนผม มานั่งนี่เถอะน่ะผดุง”

เคอเนลกับผดุงจึงเหลียวไปพบเพื่อนชายอีกสองสามคนในกลุ่มสุภาพสตรีตอนนั้น

“Now! Now!” เคอเนลเย้าอย่างอารมณ์ดี “คุณผดุงพาผมพลัดเข้ามาอยู่ใน ‘กลุ่มการเงิน’ เข้าแล้วละซิ! ท่านผู้อำนวยการธนาคารคนโตต้องเห็นผมจงใจจะเข้ามานั่งซ่อมโซ่ทองที่ร้อยพัดสมุหบัญชีของท่านทีเดียว Dear God!”

ผดุงสำรวมเสียงหัวเราะเล็กน้อย

“เกาะที่นั่งให้เหนียว ๆ หน่อยซิ! นักการทูตทำปอดไปได้ หลวงธนกิจฯ เขาไม่หวงลูกน้องนักหรอก เกะกะกันต่อหน้าพระที่นั่งไม่ได้ทีเดียว”

“Thank God, But–!” เคอเนลว่า “No! My fervent gratitude to the Royal Presence then! ขอให้ทรงพระเจริญ”

“พูดดีอีกแล้วละซิ!” ผู้อำนวยการยออย่างจริงใจ “นี่มาจากกลุ่มการทูตลิ้นทองแท้ ๆ เทียวนี่ ถ้าถือว่าคุณจิตรีเป็นน้องสาวที่รักละก็หวง ลูกน้องน่ะไม่หวง เพราะคุณจิตรีลาออกจากธนาคารของผมแล้วละเคอเนล”

“อา! โชคร้ายสำหรับธนาคารคุณหลวง!”

สุภาพบุรุษชาวต่างประเทศอุทานทั้งที่ไม่มีความรู้สึกมากเหมือนน้ำเสียง แต่คำอุทานของเขาคล้ายว่าเป็นเครื่องส่อความรู้สึกของผดุงและจิตรีเหลือเกิน

จิตรีแลไปสบสายตาพี่เขยของหล่อน ซึ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจจนเห็นชัด สายตานั้นคล้ายกับจะบอกหล่อนเลยว่า “เอ๊ะ! พวกเราไม่รู้เลยนี่!”

หญิงสาวหน้าแดงเรื่อ แล้วก็บังคับความรู้สึกอันรุนแรงลงได้ หล่อนหลบตาพี่เขยไปโต้สายตาผู้อำนวยการก่อนพูดเป็นเชิงตอบอุทานของเคอเนลในที

“ไม่ใช่โชคร้ายหรอกค่ะ เคอเนล เดี๋ยวนี้ในกลุ่มการเงินก็เหมือนกับในกลุ่มการเมือง เมื่ออะไร ๆ เตรียมพร้อมเสียพอแล้ว เรื่องอุตลุดก็เลยเรียบร้อยลงได้ เมื่อดิฉันลาออก...” หญิงสาวทอดเสียงสักหน่อย “...จากธนาคารได้โดยเรียบร้อยละก็ จะเรียกว่าเป็นโชคดีได้ไหมคะ, คุณหลวง?”

คราวนี้อดีตสมุหบัญชีสาวเสียงแหลม แลมองตอบสายตาผู้อำนวยการเก่าของหล่อนอย่างท้าทายทุกอย่าง

แต่หลวงธนกิจฯ เป็นเพื่อนผู้ใหญ่ของผดุงโดยแท้เขาจึงยิ้มตอบหล่อนอย่างเล้าโลมและเยือกเย็นอยู่ว่า

“โชคดีแน่นอนนักคุณ” แล้วเขาหันไปบอกพี่เขยของหล่อนอีก “พนันให้ก็เอาวะ, ผดุง น้องสาวเราคงรีบส่ง... เอ้อ...งาน...ทันเวลาเหลือเกิน เพราะรีบร้อนลาออก”

จิตรีรู้ว่าหลวงธนกิจ? หมายถึงเงินมากกว่างานจึงสวนควันขึ้นว่า “รีบส่งซิคะ–ดิฉันเดือดร้อนอยู่แล้ว”

พี่เขยของหล่อนก็นิ่ง หลวงธนกิจฯ ก็นิ่งแต่นักการทูตต่างประเทศผู้ไม่สนใจจนนิดเดียว นอกจากสำนึกในหน้าที่ทางสมาคมของตน และรู้สึกว่ามีอะไรผิดปรกติตอนนั้น ก็ถามสอดขึ้นเสียว่า

“มิสจิตรีทิ้งธนาคารคราวนี้ น่ากลัวจะมีจุดมุ่งหมายสำคัญขึ้นใหม่ ขอโทษ! ถ้าจะไปท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อหมุนตัวตามสมัย อเมริกาหรือออสเตรเลียล่ะคุณ?”

คำถามของนักการทูตไปไกลเกินคาด ทั้งที่จิตใจปั่นป่วนไปหมด จิตรีก็อดยิ้มอยู่ไม่ได้ ยิ่งคิดถึงสถานะการเงินอันคับของตนตอนนี้แล้ว จิตรีก็หัวเราะเลยทีเดียว

แต่เสียงหัวเราะนั้นมีกังวานเหมือนเสียงสายซอ ซึ่งขันตึงเต็มขีดแล้ว

“เสียใจค่ะ, เคอเนล! ดิฉันเพียงแต่จะออกไปดูแลประโยชน์บ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น”

เคอเนลหน้าตื่น เพราะตีความหมายข้อความเขวไปมาก

“Well! Well! เป็นข่าวประเสริฐเสียจริง ๆ ! มิสจิตรี–ในฐานเป็นเพื่อนผู้เฒ่า ขอแสดงความยินดีด้วยมาก หน้าที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับหญิงสาวสวยก็คือ หน้าที่ดูแลบ้านแบบนี้ละ ขอโทษ! ใครเป็นสุภาพบุรุษโชคดีได้อยู่บ้านเล็ก ๆ ของมิสจิตรีหลังนั้น?”

เคอเนลเดาสวดเสียว่า ‘ดูแลบ้าน’ คือ ‘การสมรส’ เลยทีเดียว!

ยังไม่ทันที่จะมีใครคัดค้านขึ้นมา ก็มีสุภาพบุรุษอีกผู้หนึ่ง ชะโงกออกมาจากหมู่เก้าอี้อีกกลุ่มหนึ่ง เขาตอบคำถามอันไขว้เขวขึ้นว่า

“เคอเนล โฮเวิร์ด! ผมโชคดีได้อยู่บ้านคุณจิตรีหลังนั้น”

เคอเนลหน้าแจ่มและทำการเดาสวดสืบไป

“Lucky dog! เอ! เผด็จ! How came you ?”

“อย่าเสียเวลาเลย เคอเนล” ผดุงรีบขัดขึ้นเสีย เมื่อเห็นว่าเผด็จโผล่ออกมาพูดให้เกิดความเข้าใจผิดเพิ่มขึ้น เขาคาดไม่ถูกว่าน้องชายตั้งใจจะหนุนให้เรื่องเปิดเปิงไปเช่นนั้นหรือเป็นเพราะเผด็จได้ยินเฉพาะคำถามสุดท้ายเท่านั้น “จิตรีเพียงแต่สงเคราะห์คนไม่มีบ้านอยู่อย่างเผด็จ หรืออย่างตัวท่านเคอเนลนั่นเอง จิตรีมีบ้านให้คนเช่าแล้วเลยตั้งตัวเป็นพวกนายทุนเท่านั้น เป็นเรื่องธุรกิจกันแท้ ๆ”

“อา!” เคอเนลเปลี่ยนสีหน้าและทำเสียงเสียใหม่ “ถ้างั้นคอมมิวนิสต์เผด็จก็ยังโชคดีเยี่ยมอยู่นั่นเอง ที่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากแคปิตัลลิสต์เรื่องบ้านแบบนี้? I say! Lucky dog!”

หลวงธนกิจฯ หัวเราะหึ ๆ ขบขันคนเดียวด้วยความ

“คืนนี้ได้ความรู้หลายอย่างแฮะ! พวกเรานี่พรรคการเมืองหมู่ใหญ่ คุณจิตรีเป็นพวกนายทุนน่ะพอจะเข้าเค้าบ้าง แต่นายเผด็จดันไปเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งเป็นพ่อค้าใหญ่ยังงี้ผมนึกไม่ออกเอาเสียเลย ชื่อก็บอกว่าเป็นเผด็จการอยู่ในตัวโต้ง ๆ”

หลายคนหัวเราะขันความคิดข้อนี้ แต่ผดุงเห็นเพื่อนต่างประเทศไม่เข้าใจข้อขันของเพื่อนไทยที่เกี่ยวกับชื่อเผด็จ ดังนั้น จึงชวนคุยด้วยภาษาอังกฤษกับเขาอีก

“อะไรทำให้เคอเนลคิดว่า น้องจิตรีคิดจะไปท่องเที่ยวต่างประเทศเหมือนใคร ๆ เขาบ้าง”

“ก็คิดไปตามสมัยท่องเที่ยวเท่านั้น” เคอเนลตอบ “เดี๋ยวนี้ถ้ามีโอกาสก็ต้องไปต่างประเทศทุกคน อย่างผมมาเมืองไทยก็เพื่อสันถวไมตรีต่อไทย เผด็จไปเรื่องค้าขายของเขา คุณหลวงธนกิจฯ ก็ไปเรื่องธนาคาร คุณผดุงก็เตรียมจะไปพม่าเรื่องรถไฟไม่ใช่เรอะ เมื่อสองสามวันนี้พวกเราคนหนึ่ง–เพื่อนรักคุณวิชัยกับคุณจิตรีไงล่ะ ยังแอบไปอังกฤษกับเขาอีกคน”

“ใครคะ?” จิตรีถามเปื่อย ๆ ไปบ้าง

“พันตรี ตะวัน วงศ์วิโรจน์”

“เออ! จริงซี!” ผดุงรับรองถ้อยคำของโฮเวิร์ด “หมอนี่เป็นคนเคราะห์ดีได้ประจำสถานทูตไทยที่โน่นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะตำแหน่งจริงเกิดติดขัดขึ้นเสียเมื่อจวนจะออกเดินทางทีเดียว”

“Lucky dog!” เผด็จใช้คำของเคอเนลด้วยเสียงล้อเลียนเล็กน้อย “เคราะห์ดีสำหรับที่ถือว่าสมัยนี้เป็นสมัยที่ใคร ๆ ก็ไปต่างประเทศทั้งนั้น”

“แล้วยังไปในตำแหน่งมีเกียรติกันอีกด้วย” หลวงธนกิจฯ พูดเป็นเชิงปรารภเล็กน้อย “ระหว่างสงครามตะวันไปอุดอยู่เหนือเสียนานจนไม่น่าจะมีโอกาสดีได้เลย ใช่ไหมคุณจิตรี?”

เมื่อคำถามพุ่งตรงไปที่คนใดโดยเฉพาะ สายตาผู้ร่วมเสวนาจึงเป็นต้องพุ่งไปรวมอยู่ที่ผู้ถูกถามทั้งสิ้น ขณะนั้นคนอื่น ๆ จึงแลเห็นหน้าจิตรีแดงก่ำเกินควร และดวงตายาวรีของหล่อนก็กำลังตื่นเต้นตกใจ

ครั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเป็นปรกติตามเดิม แต่น้ำเสียงจิตรีเปลี่ยนแปลงไปมาก

“ไงก็ไม่ทราบค่ะ! เขาเป็นเพื่อนพี่วิชัยมากกว่าเป็นเพื่อนดิฉัน เมื่ออยู่พะเยา–”

“พะเยา!” เผด็จออกเสียงดัง “คุณจิตรีเคยไปพะเยามาแล้วเรอะน่ะ เขาว่าเป็นตำบลหนึ่งในภาคเหนือที่มีลักษณะพิเศษสักหน่อย คุณช่วยแก้โง่ให้ผมรู้เดี๋ยวนี้หน่อยเถอะว่าพะเยาน่ะมีอะไรพิเศษสักแค่ไหน?”

“จริง ๆ แหละ! คุณจิตรีเล่าหน่อยซิ!” หลวงธนกิจฯ กล่าวขึ้นบ้าง “เผด็จกำลังจะเที่ยวศึกษาบ้านเมืองของตัวต่อไปละ เพราะไปโง่ดักดานอยู่เมืองนอกเสียนาน”

จิตรีพูดด้วยเสียงแผ่ว ๆ พอได้ยิน

“แต่ดิฉันอยากจะเต้นรำแล้วค่ะคุณหลวง”

เผด็จรีบลุกขึ้นโค้งให้จิตรีแล้วว่า

“ผมขอพาคุณเต้นรำรอบนี้ แล้วฟังคุณเล่าเรื่องพะเยาหรือเรื่องอื่น ๆ อีกก็ได้”

จิตรีมองดูตาเขาครู่หนึ่ง นัยน์ตานั้นมีแววล้อเลียนรื่นอยู่ หญิงสาวสำรวมสติซึ่งจวนเจียนจะฟุ้งซ่านเสียให้ได้ หล่อนลุกขึ้นเกาะแขนเผด็จโดยสุภาพ

แต่เมื่อเขาพาหล่อนฉวัดเฉวียนไปพ้นญาติมิตรหมู่นั้นแล้ว จิตรีก็ปล่อยตัวตามอารมณ์ เท้าที่เคยคล่องแคล่วของหล่อนขัดแข็งคล้ายถูกหินถ่วงทั้งคู่ ร่างที่เคยเบาหวิวอยู่ในวงแขนคู่ลีลาศก็ดูเหมือนจะมีน้ำหนักนี่กระไร หล่อนปล่อยให้เขาพยุงอย่างเด็ก

เผด็จเห็นหน้าอันแดงเข้มของจิตรีกำลังซีดลง ๆ เรื่อยไป ดวงตาซึ่งแย้มอยู่เสมอมีแววหวาดผวาและรันทดสะท้อนถึงขนาด

“เมื่อกี้คุณมีเรื่องตกใจจนจะเป็นลมละซิ”

“ค่ะ–!”

“ลงไปพักกับพวกเราที่ร้านเลยนะ วิชัยพากานดาลงไปช่วยคุณแม่เมื่อกี้”

“ไม่เอา! ไปที่รถเลยค่ะ–กลับบ้าน!” เขาพากันเดินลับลงไป–พ้นรังสีซึ่งโอภาสอยู่เหนือแดนสุขาวดีเดี๋ยวนั้น

พอรถแล่นเข้าเขตถนนพิษณุโลกเล็กน้อย เผด็จก็รู้สึกว่าน้ำหนักซึ่งแนบข้างเขาอยู่ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปเป็นลำดับ จิตรีลุกขึ้นนั่งตัวตรงตามเดิม อากาศกลางแจ้งคงจะได้ทำให้หล่อนมีอาการดีได้เร็ว เขาถามทั้งที่ตายังจับอยู่ที่ถนนข้างหน้าแน่วอยู่

“เรียบร้อยแล้วเรอะ?”

“สบายแล้วค่ะ เกิดมาไม่เคยเป็นลม คราวนี้ทำไมหวิวขึ้นมาไม่รู้”

“ใคร ๆ ก็มีเวลาหวิวขึ้นมาเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดหวิวจนหมดสติตอนนั้น ก็คงจะเป็นข่าวขนาดใหญ่อยู่สักหน่อย เพราะเป็นหน้าพระที่นั่งนั่นเอง แน่ใจจริง ๆ เรอะ ว่าจะไม่ต้องตามหมอมาดู?”

จิตรีหัวเราะแล้วเอื้อมไปกุมพวงมาลัยรถบ้าง

“ต้องขอพิสูจน์สักหน่อย ดูซิคะ! ดิฉันขับรถได้แล้วปล่อยปรื๋อไปเลยก็ได้ ดู”

เผด็จไม่ยอมปล่อยพวงมาลัยเลยทีเดียว คราวนี้หญิงสาวตั้งใจจะเข้ายึดเครื่องขับคนเดียว หล่อนจึงต้องเลื่อนเข้ามานั่งแนบข้างเขาอีก มือหล่อนและมือเขาวางเคียงกัน เผด็จก็รู้สึกว่ามือจิตรีร้อนผ่าวทั้งที่ถูกลมเย็นอย่างนั้น

“ระวัง!” เขาว่า “เดี๋ยวจะหวิวขึ้นมาเมื่อกี้ ไฟถนนก็ดับ เดือนก็ตกตั้งแต่หัวค่ำ โครมลงไปข้างถนนเปลี่ยว ๆ ยังงี้ละก็แย่อยู่หน่อย ผมกลัวตายเต็มที”

หญิงสาวเสือกไสมือแข็งของเผด็จที่ยังเกาะพวงมาลัยรถหลุดไป

“แปลก! ดิฉันไม่เคยกลัวตายมากเหมือนคุณ”

เขาหัวเราะลั่นขึ้น

“คุณกล้าเกินไป! ตายเพราะรถคว่ำคงไม่มีใครเวทนาเหมือนถูกเครื่องบินรังควานยิงตายตอนสงคราม”

หญิงสาวสะดุ้งเยือก! สหายร่วมทางพูดจี้ใจดำได้เสมอ เขาถามถึงพะเยาแล้วยังท้าวไปถึงเครื่องบินรังควานครั้งโน้นอีก ถ้าเขาเป็นคนอื่น–มิใช่ชายแปลกหน้านั้นแล้ว เหตุไรเขาจึงจุดไต้ตำตอบ่อย ๆ แบบนี้ ชายโน้นกับชายนี้มีอะไรคล้ายคลึงกันเกือบทุกอย่าง เขาเป็นคนสูงใหญ่อย่างเดียวกัน กังวานน้ำเสียงขบขัน แต่ไม่สนใจจริงจังจนนิดเดียว ตลอดจนไฝที่หางคิ้วขวาเขาด้วย จิตรีทอดหางตาดูเขาครู่หนึ่ง ความสงสัยลุกโพลงขึ้นมาเหมือนเปลวเพลิง

เผด็จยังมองถนนแน่วอยู่ แต่หล่อนสังเกตเห็นประกายในดวงตาของเขาแปลบปลาบไปมา และริมฝีปากมีรอยยิ้มหยันอยู่บ้าง

ไม่มีอะไรผิดแปลกไปเลย! เขาคือชายแปลกหน้าที่ละลาบละล้วงเข้าไปในเขตของแหลมเหลือ อันเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์หรือถูกสาป!

อย่างน้อยมันเป็นเศษพื้นดินเศษหนึ่งในเมืองไทย ที่จิตรีต้องการกลบมันเหมือนกลบหลุมฝังศพเสียเหลือเกิน เกียรติยศและอื่น ๆ อีกหลายอย่างซึ่งกลับกลายเป็นความอดสูสำหรับจิตรีแล้วนั้น ถูกตราสังเสียมิดแม้นและม้วนมันพร้อมกับแหลมเหลือลงไปสู่หลุมฝังศพเสียหมดแล้ว ความลับความหลังเหล่านั้นก็น่าอยู่ในหลุม

จรวยขุดค้นมันขึ้นเพราะจับจดหมายลับหล่อนได้ หลุมศพซึ่งถูกขุดก็กระจายกลิ่นสะอิดสะเอียนออกมาบ้าง พี่สาวซึ่งเคยรักหล่อนเหลือเกิน กลับเกลียดและเบือนหน้าหนีหล่อน จิตรีได้รับรู้ความหลังอันยอกแสยงใหม่ หล่อนเป็นกุลสตรีซึ่งไม่มีพ่อแม่เหมือนคนอื่น! หล่อนไม่มีญาติอยู่ในโลกเลยสักคน หล่อนกลายเป็นผีไม่มีญาติอย่างน่าทุเรศเหลือเกิน!

ความลี้ลับอัปยศอย่างนี้ยังไม่ปรากฏแก่ตาโลก เป็นเพียงเรื่องภายในเท่านั้น และหล่อนยังวางยศอยู่ในกลุ่มกุลสตรีต่อไปได้ก็ด้วยเกียรติยศอย่างเดียว ซ้ำยังเป็นเกียรติยศของผู้อื่นอีกด้วย ส่วนความจริงล่อนจ้อนสิประจักษ์อยู่แก่ใจจิตรีลึกซึ้ง มันเป็นชะนักสนิมในอก มันทิ่มแทงและเชือดเฉือนหัวใจหล่อนเรื่อยอยู่

จิตรีชิงชังและขยะแขยงมัน เหมือนที่หล่อนรู้สึกต่อซากศพซึ่งเปื่อยเน่าในหลุม!

และชายนี้–นายเผด็จ ดิเรกกุล–บุคคลผู้ไม่เคยมีอะไรเกาะเกี่ยวกับหล่อนเลยสักนิด–นอกจากเหตุเผอิญอันเกิดแก่เขาและหล่อนเล็กน้อยเท่านั้น ได้บังอาจแสดงท่วงทีคล้ายกับจะคุ้ยเขี่ยหลุมศพ ซึ่งเหม็นคละคลุ้งขึ้นอีก!

อา–! สัตว์! สัตว์ที่มีแต่หัวใจทารุณร้ายกาจ!

จิตรีร้อนวูบ! เป็นความร้อนที่แล่นปรูดปราดไปทั้งตัว สมองหมุนเคว้ง หัวใจเจ็บปวดแล้วหล่อนรู้สึกตัวเบาหวิวไปหมดเหมือนเดิม ได้ยินเสียงตัวเองเค้นแค้นขึ้นว่า

“ถูกเครื่องบินรังควานยิงตายตอนนั้น ตายเสียที่แหลมเหลือละก็–” จิตรีเสียงหลง “จะหมดเวรหมดกรรมกันทีเดียว! แต่–อ้ายสัตว์ เตรียมตายตรงนี้เถอะ”

ทันใดนั้นรถก็แล่นมาถึงสี่แยกยมราช จิตรีแลเห็นหอคอยรักษาการกรมรถไฟตะคุ่ม ๆ อยู่ในเงามืดครึ้มข้างซ้าย–ฟากคูข้างถนนนั่นเอง

จิตรี รัถการก็หักพวงมาลัยรถสุดแรงคลุ้มคลั่งของมอรีสเก๋งตอนเดียวซึ่งกำลังแล่นเร็วจี๋ก็กระโจนจากทาง–พุ่งหน้าหม้อเข้าใส่ราวสะพานด้านหอคอยข้างซ้ายสุดกำลัง!

จิตรีร้องกรี๊ด ๆ ก้องถนน

“ชิบหาย!”

เสียงสบถของเผด็จดังก้อง เสียงเบรค! เสียงรถลั่นเอี๊ยด! เสียงคนเอะอะบนหอคอยข้างซ้าย เสียงตำรวจรักษาการณ์ตะโกนถามเสียงเซ็งแซ่สับสนอยู่ในประสาทสำนึกอันเคลิ้มคล้อยของจิตรีเรื่อยอยู่

มือแข็งของเผด็จกุมพวงมาลัยรถแน่น มือนั้นบีบมือหล่อนลงกับวงเหล็กเลยทีเดียว จิตรีรู้สึกเหมือนว่ากระดูกมือของหล่อนลั่นเผียะ ๆ และหักย่อยยับอยู่ระหว่างวงเหล็กและอุ้งมือแข็งของเผด็จ! หล่อนหยุดร้องดังเดี๋ยวนั้น จากลำคอของจิตรีบังเกิดเสียงครวญครางขึ้นแทน!

ทันใดนั้นหน้าหม้อรถก็เฉี่ยวรั้วเบื้องหลังหอคอยข้างซ้ายเสียก่อน หวิดไปเพียงเส้นผมเดียวได้แล้วก็ถอยหลังโครมขวางถนน ถอยโครมอีกครั้งหนึ่งจึงตั้งตัวตามทางเดิมได้อีก ไฟในรถและตะเกียงท้ายดับวูบลงด้วยความรอบคอบของเผด็จ มอริสซึ่งรอดมือมัจจุราชแล้วนั้นก็พาผู้โดยสารทั้งสองเตลิดหนีมือกฎหมาย กลับไปทางถนนเพชรบุรีในครู่เดียวได้อีก

“อ้ายชิบหาย–!” ตำรวจรักษาการณ์ซึ่งวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ ตะโกนตามหลังด้วยความหัวเสียสักหน่อย “ยังไม่ลืมดับตะเกียงตูดซ่อนเบอร์รถเลยนะโว้ย–อ้ายรถเวร–!”

มีเสียงหัวเราะครืนลงมาจากหอคอยข้างซ้าย

ส่วน “มอริสชิบหาย–” นั้นแล่นชะลอลงบ้านเมื่อเลยสะพานอุรุพงศ์เพียงเล็กน้อย แขนข้างซ้ายของเผด็จโอบรอบร่างสั่นสะท้านซึ่งแนบข้างเขาอยู่

“หยุดร้องไห้เสียทีเถอะน่ะ”

“หยุด–หยุด–ยังไม่ได้เดี๋ยวนี้”

“งั้นร้องไห้เสียใจเพราะไม่ได้ตายตรงนั้นนะซิ! เสียใจที่ไม่ตกลงไปในคูคอหักเรอะ?”

จิตรีร้องไห้หนัก น้ำตาหล่อนไหลโซม ต้นแขนเสื้อของเผด็จซึ่งหล่อนเอาหน้าแนบไว้จึงพลอยเปียกปอนไปด้วยครั้นแล้วหล่อนก็นิ่ง

“ดิ–ดิฉัน–กลัว–กลัวตายเต็มทีค่ะ!”

เขานิ่ง ในที่สุดเขาเลื่อนมือขึ้นไปลูบศีรษะหล่อนแล้วว่า

“งั้นคิดคว่ำรถทำไมล่ะ? ถ้าสำเร็จเราอาจตายเรียบเลยทั้งคู่”

หญิงสาวสะท้านอยู่ในวงแขนเขาอีก

“ก็–ตอนนั้นดิฉันอยากให้คุณตาย–แล้วตอนนั้นดิฉันก็อยากตายเต็มที่”

“ทำไม?”

“ก็––ดิฉันมีเรื่องร้อยแปดล้วนแต่เป็นเรื่องขายหน้าทั้งนั้นนี่คะ คุณไม่ได้ยินเรอะที่หลวงธนกิจฯ แกไล่ดิฉันออกจากธนาคารของแก?” เสียงจิตรีเข้มข้นขึ้นอีก “ดิฉันถูกไล่ออกจากงานต่อหน้าคุณพี่ผดุงแล้วก็คนอื่น ๆ อีกเยอะ! ไล่ไม่ให้รู้ตัวแต่สักนิด!”

เผด็จค้านคำหล่อนเพื่อถ่วงเวลาเล็กน้อย

“เขาว่าคุณลาออกเองต่างหาก”

จิตรีหัวเราะระคนสะอื้นออกมา!

“คนผี! เขาไล่อย่างไม่ยอมเปิดโอกาสให้ดิฉันคัดค้านเขาน่ะซิ! ทึกทักเอาเป็นว่าดิฉันลาออกเสียเองแล้วต่อหน้าพยานยังงั้น ใครจะไปหน้าทนคัดค้านเขาได้ ตาเฒ่านั้นมารยาอย่างร้ายเลยค่ะ เขาคงไม่เชื่อดิฉันจะคืนเงินธนาคารให้เขาครบน่ะซิ! เขาไม่ทันรู้ว่าดิฉันจะได้เงินสองหมื่นเศษจากคุณ–”

ครั้นแล้วจิตรีก็ระลึกได้ว่าเผด็จไม่เคยล่วงรู้เรื่องนั้นหล่อนกลับพลั้งเผลอไขความขึ้นเอง บัดนี้เผด็จคงเดาได้ตลอด แต่เขามิได้แสดงความประหลาดใจจนนิดเดียว

“แต่คุณก็ไม่อยากตายตอนนี้เลย” เผด็จรำพึงเพียงเท่านั้น “เพราะคุณก็รู้ว่าถึงคุณต้องออกจากงาน คุณก็ได้เงินไปใช้เขาครบถ้วนทุกสตางค์ ดูออกจะคิดสั้นสักหน่อยในเรื่องอยากตายตอนนั้น”

แม้เขามิได้ปรารภเลยไปว่า หล่อนคิดสั้นไม่สมกับจิตรีก็สามารถหยั่งถึงความคิดเขาได้ ความอดสูทำให้หล่อนสะอึกสะอื้นอีกว่า

“ก็–ก็–มันไม่ใช่เพราะถูกไล่เรื่องเดียวมันมีเรื่องราว–ร้อยแปด–โอ๊ย! เดี๋ยวนี้นึกไม่ออกเล่าไม่ได้เดี๋ยวนี้!”

เผด็จรู้สึกว่าเสียงจิตรีเริ่มสั่น เขาจึงกดศีรษะหล่อนลงกับไหล่เขาข้างนั้นอีก

“เอาเถอะ! ถึงบ้านแล้วค่อยไปเล่ากันห้องรับแขกของผม”

แต่เมื่อเผด็จเทียบรถที่บันไดตึกตอนหน้าแล้ว จิตรีก็ไม่ยอมขึ้นห้องรับแขกของเขา หรือกลับไปเรือนที่หล่อนอยู่

“ยังไม่อยากขึ้นเรือนเลยค่ะ คงใจขาดถ้าขืนนั่งอยู่ในเรือนเวลานี้” หล่อนบอกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ และท่าทางเหมือนกระต่ายตื่นภัย “ขออนุญาตไปนั่งพักที่เรือนกล้วยไม้หลังเรือนคุณสักหน่อยนะคะ คุณแม่เคย–”

เสียงจิตรีขาดอยู่ในคอแค่นั้น หล่อนรีบผละไปตามถนนโรยกรวดก่อนเขา อีกครู่หนึ่งเผด็จจึงเดินตามหล่อนไปด้วยอาการรีบร้อนเล็กน้อย

เขาคิดขึ้นได้ว่า ข้างเรือนกล้วยไม้มีสระบัวขนาดใหญ่อยู่สระหนึ่ง แม้น้ำในสระใสแจ๋วและมีบัวบานสะพรั่ง สระนั้นลึกเหลือเกิน! ผู้หญิงที่คิดจะคว่ำรถแล้วครั้งหนึ่งน่าจะยังไม่ทันเปลี่ยนแปลงความคิดคืนนี้ได้ จิตรีอาจมองเห็นก้นสระบัวแบบนั้นเป็นที่พักความนึกคิดอันไขว้เขวของหล่อนเลยก็ได้!

เผด็จนึกเคืองตัวเองเอามาก ๆ ที่ให้หญิงสาวนิสัยฉุนเฉียวเช่นนั้น ฉวยโอกาสก่อภัยก่อนที่เขาจะคิดทันทุกครั้ง เขาเดาได้ว่าหล่อนมีมูลเหตุจูงใจจะฆ่าตัวตาย ซึ่งขันเกลียวกับหล่อนยิ่งกว่าเรื่องธนาคารของหล่อนหลายเท่า

ใสแสงสลัวรอบกาย เขาเห็นจิตรีนั่งเท้าค้างอยู่บนแท่นหินข้างขอบสระซึ่งอยู่หลังเรือนกล้วยไม้เหมือนคาด หญิงสาวเพ่งดูน้ำในสระซึ่งดำมืดเหมือนราตรี แต่บางตอนบัวขาวคลี่กลีบเกลื่อนอยู่ทำให้พื้นน้ำอันมืดมนมีจุดผ่องใสเหมือนดวงดาวดาษฟ้าในคืนอันมืดสนิทนั้นเอง

เผด็จนั่งลงข้างจิตรีด้วยความโล่งใจจนบอกไม่ถูก แต่รู้สึกสะเทือนใจจนบอกไม่ถูกเมื่อหญิงสาวพูดค่อย ๆ ขึ้นว่า

“ในสระช่างมืดเหมือนอะไรดี! มองไม่เห็นอะไรเลยค่ะ!”

“คืนนี้บัวขาวบานมากเหมือนกัน”

“แต่–” จิตรีรีบค้าน “บัวบานอยู่เหนือน้ำนี่คะใต้น้ำนั่นคงมืด!”

ถ้อยคำแค่นั้น–แต่ก็มีความหมายมากนัก!

เผด็จดึงมือที่เท้าคางของหล่อนออก จิตรีจึงหันหน้ามาหาเขาตรง ๆ ตามมือ นัยน์ตาอันเรียวยาวอย่างประหลาดแลดูมืดครื้มคล้ายกับน้ำในสระ คราวนี้มือหล่อนเยือกเย็นอย่างน้ำ

“จิตรี! นอกจากเงินธนาคาร คุณทำอะไรหายอีกมากไหมล่ะ?”

หญิงสาวสะอื้นบอกความระกำแก่เขาคล้ายเด็ก

“หัวใจดิฉันหาย!–เกียรติยศอีกอย่างหนึ่ง–แล้วก็–ความเชื่อ–ความหวังในชีวิตวันนี้ด้วย”

“ตามหาให้พบซิ! จะท้อถอยทำไม”

จิตรีกระซิบกระซาบเสียงสั่น มือหล่อนสั่นริกเลยทีเดียว

“เขาไปแล้ว! ไปไกลเกินจะตามหาให้พบได้! เขาขโมยเงิน–เปล่า!–เขาขอยื้มเงินดิฉันชั่วคราว ดิฉันถึงได้กล้าหยิบเงินธนาคารให้เขา คิดว่าเขาคงจะรีบคืนให้ก่อนไปอังกฤษกันคราวนี้ ในที่สุดเขาหนีไปทั้งไม่บอกเล่าเลยสักคำ! เขา–”

“ใคร? พันตรีตะวัน วงศ์วิโรจน์ละซี!”

เมื่อได้ยินเผด็จออกชื่อชายนั้น จิตรีก็สะท้านไปทั้งตัว คำตอบรับของหล่อนเป็นเพียงเสียงครวญครางระคนสะอื้น

“ช่างเถอะน่ะ” เผด็จตัดสินเสียเอง “เรื่องเงินทองเท่านั้น”

จิตรีสวนควันขึ้นว่า

“โธ่! มันไม่ใช่เงินทองเท่านั้น! เขาขโมยหมดทุกอย่าง––เกียรติยศ–คำสัญญาที่แหลมเหลือ–”

แล้วหล่อนก็หยุดพูดเพียงเท่านั้น หล่อนนึกได้ด้วยความอดสูเสียเหลือเกิน เมื่อคิดว่าเผด็จได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่แหลมเหลือบ้างแล้ว ถ้าเขาคือชายแปลกหน้าคนนั้นจริง

ขณะนี้ เขาปล่อยมือหล่อนเลยทีเดียว!

จิตรียกมือขึ้นปิดหน้าซึ่งควรละลายเอาไว้! ความเงียบชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ทำให้หล่อนรู้สึกว่าช่างเนิ่นนานนี่กระไร! หล่อนมองไม่เห็นนัยน์ตาคมของเผด็จ แต่หล่อนรู้สึกเหมือนกับว่านัยน์ตาซึ่งมีประกายแปลบปลาบไปมานั้น มองทะลุตลอดร่างกายหล่อนเลยทีเดียว

ซ่อนเสียเถอะ! ความคิดของหล่อนบอก–ซ่อนให้พ้นสายตาที่สอดส่องสืบค้นความบัดสี!

หญิงสาวซวนตัวลุกขึ้นคนเดียว ทั้งที่มือทั้งสองยังปิดหน้าแน่นอยู่ หล่อนก้าวไปที่ขอบสระด้วยเจตนาอันรุนแรงเหลือเกิน

แต่ก่อนที่จิตรีจะกระโจนจากที่นั่น หล่อนรู้สึกตัวว่ามีแขนข้างหนึ่งรวบสะเอวเอาไว้และเสียงเผด็จพูดขึ้นข้างหูหล่อน

“คิดเรอะว่าจะตามไปพบ–ของที่ถูกขโมยทั้งหมดกองอยู่ก้นสระ ที่คุณก็บ่นว่ามืดเหมือนอะไร? เหลวไหลละคุณ!”

หล่อนเถียงเขาขึ้นว่า

“ที่ก้นสระ–ดิฉันคงไม่ได้พบความอับอายอีกต่อไป! ชีวิตที่ถูกกำหนดมาหมดสิ้นแล้ว–เหมือนอย่างที่เขาว่า พรหมลิขิตแค่นี้เอง”

“แต่เราไม่รู้เรื่องพรหม เรารู้เรื่องของเราตลอดชาติเรารู้ว่าเราทำชั่วใช่ไหม?”

“ค่ะ–” จิตรีรับคำอยู่ในอ้อมแขนของผู้ถาม

“งั้นเราก็ต้องรู้ว่าเราทำดีได้เหมือนกัน ก็ทำไมถึงไม่ดีด้วยล่ะ?” หล่อนนิ่ง เผด็จก็หัวเราะแล้วว่า “ตกลงเรื่องอะไร ๆ ของเรา ไม่ว่าความเชื่อ ความหวังหรือเรื่องชีวิตวันนี้วันไหนทั้งนั้น จิตรี! เราลิขิตของเราเองอีกเหมือนกัน คราวนี้ เราลิขิตของเราเปื้อนเปรอะไปแล้ว คราวหน้าเรามาตั้งใจลิขิตของเราให้สวยสดเสียใหม่”

เมื่อขาดคำของเผด็จ ร่างที่ยืนสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ค่อย ๆ กลับเป็นปรกติตามเดิม ถ้อยคำของเผด็จมิได้ปลอบโยนอย่างใด มิได้สั่งสอนสักนิด แต่เป็นการกล่าวความจริงจากหลักธรรมที่ประเสริฐ

“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

เผด็จแปลถ้อยคำของตนอีก และรั้งตัวจิตรีออกมาพ้นขอบสระเสียได้

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ