(๖)
ประตูห้องเขียนหนังสือส่วนตัวของผดุงเปิดอยู่ กานดาเห็นพ่อเอามือไขว้หลังเดินขวักไขว่คนเดียว
“กานดาเรอะ? งับประตูเสียด้วย”
กานดาทำตาม แต่ก็ยังยืนอยู่หน้าหิ้งมุมห้องใกล้ประตู เพราะเห็นบิดายังไม่ยอมนั่ง หิ้งนั้นเป็นกระจกสามเหลี่ยมหน้าจั่วทั้งสามชั้น ตั้งของจุกจิกตามอารมณ์เจ้าของห้องหรือหัวคิดของผู้จัดบ้าน มีรถจักรจิ๋ว แจกันเล็ก ๆ กรอบรูปงาสลักใส่รูป แสน็ปช็อตภายในครอบครัวและของอื่นอีกบ้าง กานดาจัดเวอบีนาในแจกันจิ๋วทั้งที่ดอกไม้สามสีเล็ก ๆ เหล่านั้นก็อยู่ในที่ทางของมัน ด้วยศิลปะการจัดดอกไม้สดสวยเยี่ยมอยู่แล้ว
“จิตรีค่อยยังชั่วเรอะยัง? ยายริ้วไปได้ข่าวมาบอกคุณใหญ่ ว่าป่วยตั้งแต่วันไปส่งเสด็จในหลวง”
“หายดีแล้วกระมังคะ ดาไม่ทันไปดู อาเผด็จพาไปนาที่บางซ่อนเสียก่อน คุณจิตรีท้องเสียมากไปหน่อย แล้วก็เหนื่อยด้วย”
“ดี! ตัวไม่ปรานีแล้วยังเที่ยวทำอะไรเกินกำลัง เรื่องเที่ยวน่ะดีหรอก ถ้าไม่ทำให้เกิดยุ่งเหยิงอย่างอื่น อ้าว! นั่งลงเถอะ! ทำไมเผด็จถึงพาเมียไปพักผ่อนตามไร่นาในฤดูนี้ เขากำลังทำงานตัวเป็นเกลียวกันทั้งนั้น”
กานดาดึงช่อสีชมพูติดมือมาช่อหนึ่งก่อนนั่งลงที่เก้าอี้นวมหน้าประตู ผดุงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือและจ้องดูหน้าบุตรสาว หน้านั้นก้มดูดอกไม้และมีอาการเฉื่อยชาเช่นเดิม เขาจึงรู้สึกไม่เป็นกันเองกับลูกในไส้เลย จิตรีกลับสนิทสนมกับเขามากกว่ากานดา ผดุงจึงพูดถึงจิตรีทั้งที่มีเรื่องจะพูดกับลูกสาว หล่อนหมุนช่อดอกไม้เมื่อตอบอีก
“อาเผด็จไปเรื่องงานของเขานี่คะ คุณหลวงธนกิจฯ กับชาวนาแถวนั้นกลุ่มหนึ่ง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องจัดตั้งกิจการคล้ายสหกรณ์ประเภทหาทุนที่นั่นนอกจากช่วยเหลือเรื่องทุนทรัพย์ เขายังช่วยเรื่องเครื่องใช้ในการทำนาอีก อาเผด็จได้เสนอขายเครื่องทำนาแบบใหม่ เช่นแทร็กเตอร์ต่าง ๆ และมีหน้าที่ควบคุมการทดลองให้คำแนะนำแล้วก็อื่น ๆ อีกด้วย ดูเหมือนไป ๆ มา ๆ อยู่เสมอตามแถวบางซ่อน รังสิต นครนายก คุณพี่วิชัยเคยบอกคุณป้าจำรัส เธอรู้ทางหลวงธนกิจฯ และการสหกรณ์ก็อยู่ในแนวเดียวกับการประมงเหมือนกัน คุณจิตรีคงตามไปเที่ยวด้วย–ดีกว่าอยู่ในกรุงเทพฯ–ที่ทั้งเหงาทั้งยุ่งเหยิงอยู่ด้วย”
ผดุงคิดได้ว่าเขาจะพูดอะไรกับลูกสาว
“ดูคิดกันแต่เรื่องเที่ยวทั้งนั้น นี่! กานดา! เดี๋ยวนี้เธอไม่เที่ยวกับวิชัยแล้วเรอะ? แล้วดูเธอออกจะเที่ยวฟุ้งซ่านสักหน่อย ครั้งหนึ่งพ่อหรือใคร ๆ-” เขาหยุดชำเลืองดูรูปคู่ของตนกับจรวยบนโต๊ะเขียนหนังสือเป็นการแสดงว่า “ใคร ๆ คือจรวย” ก็ไม่เคยสนับสนุนลูกหลานหรอกนะ–ในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของพวกเธอ แต่เมื่อไม่มีอะไรเสียหายก็ไม่อยากกีดกันเกินควร ตัวใครก็ตัวใคร เมื่อโต ๆ กันแล้ว เมื่อไรเธอจะตกลงแต่งงานกับวิชัยเสียที?”
ช่อสีชมพูเกือบพลัดจากนิ้วเรียวขาวของกานดา ดูเหมือนโลกหมุนเร็วเหลือเกิน กานดาตามไม่ทัน
ทำไมหล่อนจึงไม่เกี่ยวกับวิชัย?
ทำไมหล่อนจึงไม่ตกลงแต่งงานกับเขา?
“คุณ–คุณพ่อพูดกับ–คุณพี่วิชัยแล้วเรอะคะ?”
“คุณใหญ่พูดแล้ว หรืออย่างน้อยก็หยั่งเสียงน้องชายเขาแล้ว ได้ความเลา ๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่เธอทั้งนั้น นี่เอง! พ่อจึงต้องเตือนเธอ ถ้าจะตกลงยังไงก็ตกลงเสีย ผู้ชายเขาไม่ชอบอะไรรวนเรหรอกนะ นายวิชัยนายเด่นแสงหรือนายอะไรที่เป็นโสดสักคนหนึ่งที่เป็นตัวตนตามธรรมเนียม นี่ไม่ใช่พ่อเห็นนายเด่นแสงเกิดมีแสงคมคายขึ้นหรอก มันก็ลูกขี้กาอย่างเก่า แต่ก็ดีกว่าจะมีเรื่องเปรอะเปื้อนไปทั่ว ทำยังไงก็ทำเสีย พ่อไม่อยากพูดอีกเพราะเธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าทำอะไรให้กระทบกระเทือนถึงพ่อ–ถึงคุณป้าจำรัส หรือญาติข้างแม่”
“หมายความว่า–ว่าดาจะต้องรีบตกลง–เรียนคุณพ่อว่าดาจะ–จะแต่งงานเมื่อไหร่เรอะคะ?”
“และแต่งกับใครอีกด้วย! กานดา! ดูเหมือนเรื่องเธอกับวิชัยน่ะ ใคร ๆ คงเห็นว่าเธอเป็นฝ่ายคาดคั้นเขาก่อน เพราะไปติดแจอยู่ที่แม่กับน้องสาวเขา เมื่อครั้งวิชัยออกหัวเมือง เธอก็ร้องไห้ร้องห่มตามไปกับจิตรี ถูกละ! เมื่อแรก ๆ – เราก็เห็นดีด้วยที่คุณป้าจำรัสช่วยดูแลเรื่อยมา แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงมักจะมีเรื่องไม่มากก็น้อย เมื่อมีญาติผู้ใหญ่อยู่ด้วยแล้วเด็กก็สมัครใจอย่างเธอ พ่อจึงทอดธุระเรื่องเธอ แต่ถ้าเธอไม่มีเรื่องผูกพันกับวิชัยอีก เธอก็ควรปลีกตัวตั้งนานแล้ว เมื่อเธอรีรอเรื่อยมาจนมีเรื่องแตกแยกอย่างนี้ ทุกคนก็ต้องโทษเธอทั้งนั้น วิชัยเขาเป็นคนมีความคิด ความประพฤติสม่ำเสมอมานานแล้ว รีบตกลงใจเสีย พ่อไม่มีเวลาจะพูดยาวอย่างนี้อีก”
“ดาจะ–ดาจะพยายาม–”
“อย่าเที่ยวเตร่ฟุ้งซ่านเสียอีกล่ะ! ตกลงกันเองรีบบอกผู้ใหญ่ก่อนมีเรื่องยุ่งเหยิงยิ่งกว่านี้”
“ถ้าดา–ไม่รู้ จะบอกคุณพ่อยังไง–”
“งั้นพ่อก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ไม่มีใครจะช่วยอะไรได้! เธอก่อกันขึ้นมาเอง เธอก็ต้องจบเรื่องของเธอเอง แต่ขอเตือนว่าเธอเป็นคนใจอ่อน แล้วยังอ่อนแออีกด้วย เผด็จมีไม่กี่คนนักในโลกเอารัดเอาเปรียบ เธอจะเอาตัวไม่รอดเหมือนจิตรีรอดตัว มีเรื่องเท่านั้นแหละ พ่อจะทำงานค้างให้เสร็จเสียที คุณใหญ่อยากไปดูหนังรอบค่ำ”
เขาไม่ได้ชวนบุตรสาว แต่หล่อนก็ลุกเดินไปถึงประตูแล้ว อย่างไรก็ตาม กานดาหยุดชะงักครู่หนึ่งแลพูดอ่อย ๆ อีกครั้ง
“คุณพ่อ–รัก–เคยรักคุณแม่ไหมคะ?”
ผดุงได้สติต่อเมื่อการเดินไปแล้วภายหลังที่รีรอเล็กน้อย และบิดาไม่ทันตอบคำถามอย่างไม่ได้คาดคิดของหล่อน
“อะไรเสียอีกเล่า?” –หล่อนคิด
อาการนิ่งเงียบงันของผดุง แปลว่าผดุงไม่เคยรักเมียคนแรก คำลือที่ว่าผดุงกับดวงแก้วถูกจับตัวแต่งงานกันจึงมีหลักฐานยืนยันยิ่งขึ้น เขาไม่อาจรักลูกหญิงที่เกิดจากการสมรสคลุมถุงชนเช่นนั้น–นอกจากเป็นความรู้สึกตามหน้าที่ ฉะนั้นผดุงจึงไม่สามารถมองเห็นความคับแค้นของลูกหญิงในเรื่องวิชัย ที่กำลังยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นตลอดจนเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย
วิชัยขอให้กานดาหาวิธีเร่งการสมรสกับเขาโดยให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าหล่อนคาดคั้นขึ้นก่อน แต่เหตุการณ์ทำให้ผู้ใหญ่คาดคั้นขึ้นเอง แล้ววิชัยกลับโยนความรับผิดชอบมาที่หล่อนด้วยการตอบคำถาม จรวยอย่างเฉื่อยชาเช่นนั้น
นอกจากนี้เขาได้ช่วยเปิดโอกาสแก่ผู้อื่นให้คิดว่าถ้ามีเรื่องผิดคาดกันขึ้น กานดาคือต้นเหตุความยุ่งเหยิงอย่างนั้น เขามิได้ปรักปรำกานดาโดยตรง แต่การที่วิชัยไม่ยอมรับรู้หรือป้องกันหล่อนเหมือนเก่า ก็เป็นการยืนยันอยู่แล้ว
หล่อนผิด!
เขาเป็นฝ่ายถูกต้องตามเคย เขาทำให้กานดารักเขาได้ เขาบงการหล่อนเรื่อยมา เขาคุมอำนาจเหนือวงชีวิตอันคับแคบของหล่อน แต่วิชัยต้องเป็นฝ่ายขวนขวายขึ้นก่อน ถ้าเขารักหล่อนพอที่จะแต่งงานกับหล่อนได้ เขาต้องขวนขวายครั้งสุดท้าย คือเป็นตัวตั้งตัวตีจัดการสมรสหล่อนเอง
“ประวัติศาสตร์ไม่จำเป็นต้องย้อนรอยเรื่อยไป” กานดาคร่ำครวญคนเดียว “คุณดวงแก้วอาจเป็นคนใจอ่อนและอ่อนแออีกด้วย จึงปล่อยตัวเป็นฝ่ายหนึ่งในพิธีสมรสแบบคลุมถุงชนเช่นเขาลือ เราก็เป็นลูกแม่เหมือนกันแต่จะไม่ยอมให้ใครตราหน้าว่าทำย้อนรอยเรื่องนี้”
ฉะนั้นกานดาจึงไม่พูดกับพ่อหรือใครอีก เรื่อง ‘การตกลงใจเด็ดขาด’ ของหล่อน จิตรีอยู่ไกล วิชัยห่างเหินเหตุการณ์ยิ่งส่อสำแดงแก่กานดาว่าไม่มีคนอนาทรถึงตนเลย กานดาเก็บตัวอยู่แต่ในห้องคับแคบของตน
พอโรงเรียนเปิดภาคกลาง กานดาขอสมัครเป็นครูอยู่ประจำโรงเรียน หล่อนไม่ให้เหตุผลเมื่อตอบคำถามและคำคัดค้านของญาติหรือคนใกล้เคียงของตน
“กานดาไม่คิดจะแต่งงานกับวิชัยนั่นเอง” เป็นความคิดคนทางบ้าน “เขามีที่มุ่งหมายอื่นหรือใจแตกหรือเพียงแต่โกรธกันก็ได้”
“ถ้าผู้หญิงเรียบร้อยเหลือเกิน ต้องอัปเปหิตัวเองออกจากบ้านก็แปลว่าทางบ้านเบื่อเต็มที ทั้งจะทำมุบมิบไม่ตลอด” เป็นความคิดคนอื่น เช่นเพื่อนทางโรงเรียนและผู้ตั้งตัวเป็นคู่แข่งของกานดาด้วยการคิดอกุศลสักหน่อย “นึกแล้วว่าเรื่องหลายใจของเจ้าหล่อนจะต้องอื้ออึงออกมา!”
เมื่อลมหนาวเริ่มพัด เผด็จจึงพาจิตรีกลับบ้านราชเทวี แต่ตัวเองยังต้องหมั่นไปค้างที่นาบางซ่อนและออกไปทำธุระเรื่องการค้าตามหัวเมืองมากขึ้น เขาไม่พูดอะไรเลยเมื่อรู้เรื่องกานดา และการเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัวข้างบ้าน
จิตรีเป็นคนแรกที่เริ่มค้นคว้าขึ้นก่อน
“เผด็จคะ! เดี๋ยวนี้ ทำไมไม่คิดรับรองเพื่อนฝูงด้านค้าขายของคุณอีก เลี้ยงอาหารค่ำ หรือกลางวันหรือมีคอกเท็ลที่บ้าน?”
เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ซึ่งจิตรีไม่ใคร่เคยเห็นเขาอ่าน ถึงกระนั้นจิตรีต้องถามซ้ำ เผด็จจึงตอบอ้อมแอ้มออกมา
“ไม่มีใครทำให้น่ะซิ! คุณป้าไปวัด เอาไตรมาสตลอดพรรษา คุณใหญ่ก็พาคุณพี่ผดุงไปค้างบ้านนอกทุกอาทิตย์”
“ทำไมไม่ตามคุณดามาช่วยคะ? คิดถึงจัง เหงาจริง ๆ เวลาคุณไม่อยู่ แล้วคุณก็ต้องออกหัวเมืองมากขึ้น”
นั้นคือเหตุผลสำคัญที่จิตรีถามถึงกานดา และต้องการให้เผด็จมีการเลี้ยงอาหารหรือคอกเท็ลที่บ้านอีก หล่อนเหงา หล่อนไม่อาจหอบสังขารอุ้ยอ้ายออกจากบ้านไปหาความบันเทิงที่อื่น เผด็จชำเลืองหางตามาทางหล่อนแวบหนึ่งแล้วก็รีบกลับไปดูหน้าหนังสือพิมพ์ต่อไป จิตรีลุกจากเก้าอี้นวม เสื้อคลุมตัวใหม่สำหรับหญิงมีครรภ์แหวกตลอด แลเห็นรูปร่างจิตรีอุ้ยอ้ายอีกมาก เมื่อเผด็จรู้สึกว่าหล่อนลุกไปหาตน จิตรีก็ไปถึงตัวแล้ว หน้าเขาแดงเข้มขึ้นทันที มือซ้ายซึ่งคีบบุหรี่อยู่เหยียดออกคล้ายจะกันร่างอันอุ้ยอ้ายออกห่าง จิตรีเอื้อมไปคว้าหนังสือข่าวรายสัปดาห์จากมือขวาของเผด็จด้วยอาการคล่องแคล่วคล้ายแม่เสือ
หนังสือที่เผด็จสนใจผิดปรกติ เป็นหน้าข่าวสังคมของกรุงเทพฯ ที่กลางหน้ามีรูปเต็มตัวของจิตรีกำลังยืนยิ้มแย้มอยู่ด้วย อักษรบรรยายภาพบอกว่าเป็นภาพเหตุการณ์วันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ เกือบปีหนึ่งนี่เอง เวลาช่างล่วงไปรวดเร็วเหลือเกิน เมื่อเกือบปีหนึ่งนี่เอง อักษรใต้ภาพถ่ายจิตรีในหน้าข่าวสังคมของกรุงเทพฯ ยังกล่าวขวัญถึงรูปทรงของหล่อนแจ่มชัดเช่นนี้
–ดาราตึกวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีสมญาว่า ‘ทรงสำอาง’ อีกผู้หนึ่ง
เดี๋ยวนี้ นักข่าวสังคมคนไหนจะกล้าเขียนใต้ภาพจิตรีคนปัจจุบันว่ามี ‘ทรงสำอาง’ อีกเล่า?
จิตรีรู้ตัว! เผด็จคงนึกเทียบสังขารของหล่อนในครั้งโน้นกับครั้งนี้แน่แล้ว เขาหลงรูปหล่อนครั้งโน้น เขาไม่เคยรักหล่อนจริง เขาจึงพิจารณาภาพถ่ายของหล่อน แล้วทอดถอนใจใหญ่อย่างสังเวช นี่เองคือสาเหตุที่เขาสนใจหนังสือสังคม แล้วแอบครุ่นคิดคนเดียว
จิตรีร้องไห้พลางขยี้หนังสือพิมพ์ขว้างทิ้ง
“โธ่! ที่แท้ก็แอบนอนดูถูกทั้งนั้น” หล่อนทิ้งตัวลงกับพื้นข้างเก้าอี้เขาเหมือนเด็กกำลังโมโห “เห็นฉันเป็นอึ่งอ่างอีกละซิ! เกิดมายังไม่เคยเห็นผู้ชายใจยักษ์ใจมารเหมือนคุณเลย! เราจะจองเวรทุก ๆ ชาติไป–ชาติหน้าขอให้เผด็จไปเกิดเป็นผู้หญิงอย่างฉันบ้าง–ถูกพรากคนรักแล้วท้องโต!”
เผด็จลุกนั่งมองไปทางประตู ตาปริบ ๆ ครั้งแรกเมื่อเห็นจิตรีร้องไห้ เขาก็หน้าเสียและขยี้ผมตัวเองอีกด้วยแต่เมื่อได้ฟังถ้อยคำขุ่นแค้นข้างท้าย เขาก็ลุกขึ้นยืนมองหญิงที่พื้นข้างเท้าเขาด้วยสายตาเยือกเย็นอย่างประหลาด
“แต่เราจะรู้ว่า เราท้องโตเพราะคนรักคนไหน ถ้าเราเกิดเป็นหญิง–ลูกของเราจะไม่มีพ่อมากเหมือนลูกจิตรีหรอกนะ”
หน้าหญิงมีครรภ์ที่อาบไปด้วยน้ำตาแห่งความคั่งแค้นกลายเป็นตื่นตะลึงและซีดขาวครู่หนึ่ง จิตรีหยุดสะอื้นเหมือนปลิดทิ้ง
“ถ้าไม่มีใครรู้ตัวว่าเป็นพ่อมัน ฉันจะฆ่ามันเสีย”
หน้าของเผด็จยังเยือกเย็นอย่างเก่า
“ก่อนที่คุณจะตั้งตัวเป็นผู้ร้ายฆ่าคน คุณควรปล่อยทารกประเภทนี้ไว้กับองค์การสงเคราะห์เด็กดีกว่า”
แล้วเขาก็ออกไปจากห้อง จิตรีได้ยินเสียงเขาสั่งนายบุญพบให้เตรียมกระเป๋าเดินทางและไปบุ๊คตั๋วรถไฟสายใต้ หล่อนลุกจากพื้นและพะยุงตัวตามออกไป เผด็จผ่านจิตรีไปห้องส่วนตัวของเขาโดยไม่สั่งเสียสักคำ ต่างคนต่างหมกมุ่นอยู่กับความนึกคิดของตน เรื่องกานดาก็ผ่านไปจากความนึกคิดของญาติผู้ใกล้เคียงคู่นี้ ขณะนั้นทุกคนดูเหมือนจะมีเรื่องยุ่งเหยิงอยู่เสมอ จึงไม่มีใครติดใจเรื่องคนอื่นเกินไปกว่าความคับแค้นของตน
จิตรีเก็บตัวไปอีกคนหนึ่ง คำกล่าวหาของเผด็จเรื่องลูกหลายพ่อทำให้หล่อนหมดความนึกคิดครู่ใหญ่
อย่างไรก็ตามพอออกพรรษาแล้วเหตุการณ์ก็มิได้คลี่คลายตามไปด้วย คุณจำรัสกับจรวยดูเหมือนไม่สังเกตเห็นความตึงเครียดของลูกหลาน นางริ้วแม่ครัวจรวยแอบไปปรับทุกข์กับนางผิวของจิตรีหลายครั้ง
“แม่ผิวมองหางานใหม่ไว้ให้ฉันบ้างนะจ๊ะ”
“อ้าว! แม้ริ้วจะทิ้งคุณใหญ่ไปไหนล่ะ? อยู่มาจนฟันจะหักหมดปาก”
นางนิ้วกลืนน้ำหมากที่เคี้ยวบ้วน ๆ จนงวดแล้ว หมากสมัยนี้คำเล็กเหลือเกิน เกือบกลืนทั้งน้ำทั้งชานได้สะดวกเพื่อให้คุ้มทั้งคุณและค่าของมัน
“ม่ายงั้นหรอกจ้า–แม่ผิว เพราะเรารักนายน่ะซิถึงคิดขยับขยายอย่างนี้ คุณใหญ่เธอไม่เคยให้ใครออกจากบ้าน นอกจากเขาจะลาไปเอง ที่นี้ฉันเห็นว่าบ้านเมืองก็คับแค้นขึ้นอีก พวกราชการงานเมืองที่ไม่คดโกงก็พลอยคับแค้นขึ้นด้วย สมกับคำทำนายว่า ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน หรือกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย อะไรพวกนั้น นายเราก็เข้าทำนองนะจ๊ะ คุณใหญ่เธอเขียมแสนเขียม คนรถถึงกับปล่อยให้ลูกเมียหารายได้ทางอื่นอีกด้วย เพราะคุณใหญ่ไม่ขึ้นเงินเดือนเดี๋ยวนี้คุณใหญ่ลดค่าอาหารกลางวันลงอีก เธอบอกว่ากินคนเดียว ไม่มีคุณหลานคุณน้อง ๆ ไปช่วยกินเหมือนเก่าแล้ว ฉันไม่มีงานเท่าไรแต่ฉันก็ต้องการเงินค่าเสื้อผ้าหมากพลูเพิ่มขึ้น จะขอคุณก็เห็นใจ จึงอยากจะตัดตัวเองออกไปเสีย สู้ไปทนลำบากที่เขาตั๋ง ๆ สักหน่อย”
นางผิวพูดขึ้นบ้าง
“เฮ้อ–! ต่อให้ตั๋ง ๆ ก็ต้องเบียดกรอเหมือนกันแหละ มีเงินแล้วซื้อผ้า ซื้อยายังพอได้ แต่ข้าวสารนี่แหละซื้อยากเย็นอย่างที่สุด แล้วคุณผู้ชายของฉัน–คุณเผด็จท่านยังทำนายล่วงหน้าว่า อีกหน่อยข้าวสารเปอร์เซ็นต์ขี้แมงสาบกรวดทรายนี่จะต้องซื้อกินแบบปันส่วนเสียอีก ใคร ๆ จึงต้องเขียมเข้าไว้ก่อน คุณจิตรีเคยสุรุ่ยสุร่ายเหลือเกินก็ยังออมมือเหมือนกันจ้ะ ตั้งแต่เธอท้องแก่เห็นเก็บตัวเงียบ แล้วดูไม่อยากซื้ออะไรเหมือนเก่า ป้าม้วนก็เกริ่นว่าท่านที่เรือนกลางคิดจะไปอยู่นาของท่านที่บางซ่อนเสียแล้ว”
นางริ้วร้องค้าน
“ใครว้า...? แล้วคุณวิชัยเธอจะอยู่ยังไง คุณหลานก็อยู่โรงเรียนแล้วยังไปอยู่บ้านคุณยายของเธอที่เดโชด้วย”
“ดีแล้ว” นางผิวพูดอย่างคนรู้เรื่องดี “คุณกานดาปลีกตัวไปเสียก่อนได้ คุณวิชัยจะแต่งงานกับคุณวันวิภาแน่ ฉันเห็นคุณหญิงติ๋ว แม่คุณตะวันเวียนมาหาท่านที่เรือนกลางบ่อย ๆ ป้าม้วน ว่าคุณนายประภาวานเป็นคนกลางมาจัดแจงหรือจะเรียกว่าขอคุณหญิงติ๋วให้มาเป็นเฒ่าแก่ก็ได้ คุณหญิงติ๋วกับคุณจำรัส–ท่านที่เรือนกลางน่ะถูกขากันดีตั้งแต่สาว ๆ เคยหมายตาคุณจิตรีเลขาพี่ชายคุณจำเรียงมาด้วยกัน แต่แล้วคุณหญิงติ๋วก็แต่งไปกับคุณรวิวงศ์ วัฒนศักดิ์พ่อคุณตะวัน ท่านที่เรือนกลางก็แต่งกับหลวงวิชัยพ่อคุณวิชัยเสีย คุณหญิงติ๋วเป็นคนฉลาดหลักแหลมรอบตัว เธอเข้าใครได้ไม่ว่าจะเป็นพวกบ้านเดโช บ้านเทเวศร์หรือพญาไททั้งหมด ป้าม้วนโมโหอย่างเดียวว่า คุณกานดาน่ะดีแสนดีแต่ยังเลื่อนลอยเรื่อยอยู่แล้วยังไม่มีใครเอาธุระจริงจัง จนใคร ๆ เขาจะเป็นหลักฐานทุกคนแล้ว”
“งั้นเรอะ! เขาลือว่าคุณกานดาก็จะแต่งกับคุณเด่นแสงญาติข้างแม่ของเธอที่เดโช”
“เช้อ! งั้นแต่งกับกิ้งกือก็ได้!”
“นั่นซิ! ฟังแล้วหัวปั่นไปหมด”
มันเป็นความจริง ผู้ที่ไม่รู้เรื่องจริงจังจะต้องหัวปั่นไปหมด เมื่อสนใจจะฟังเรื่องเหล่านี้ ไม่มีใครรู้ว่าจิตรีเก็บตัวและรู้จักอดออมอีกมากก็เพราะคราวนี้ หล่อนสำนึกตัวว่าเผด็จกับหล่อนไม่มีเยื่อใยอยู่เลยเมื่อแรกตั้งครรภ์ เดี๋ยวนี้เขาสงสัยเลือดเนื้อในครรภ์ของหล่อนว่าจะไม่ใช่เลือดเนื้อของเขาโดยบริสุทธิ์เสียแล้ว จริงอยู่! จิตรีได้ยั่วให้เขาขุ่นเคืองถึงขีดสุดจนกล่าวหาหล่อนด้วยถ้อยคำยอกแสยงอย่างนั้นจริง หล่อนพิไรรำพันถึงคู่รักคนเก่ากับคู่แค้นคนใหม่ ท้าวความถึงตะวัน วงศ์วิโรจน์เป็นการแก้แค้นเขาแสมอ แม้เขามิได้อ้างอิงถึงเอลิซาเบ็ธเบิร์นแบบหล่อนเผด็จน่าจะมีเวลาฉุนเฉียว เขาไม่มีสิทธิ์ชอบธรรมอันใดที่จะสงสัยชีวิตที่อยู่ในครรภ์ของหล่อน เขาเป็นคนขืนให้ชีวิตนั้นเกิดมา เมื่อหล่อนจะทำลายเสียแต่แรกเพื่อไม่ให้มันลืมตาเห็นโลกอันยุ่งเหยิงอย่างแม่ เผด็จก็เป็นคนคัดค้านขึ้นเอง โดยอ้างสิทธิแห่งความเป็นพ่อของตน แต่แล้วก็พูดเป็นเชิงปฏิเสธสิทธิพ่อที่เขาเคยยื้อแย่งอยู่เสมอ
“มันจึงจะเป็นลูกของฉันคนเดียว” จิตรีเริ่มคิด “ต่อแต่นี้ไปฉันจะไม่รบกวนผู้ชายคนใดเพื่อลูกของฉันอีก ฉันอาจเลี้ยงลูกอย่างเลวเหลือเกิน แต่ฉันจะไม่เลี้ยงลูกเมียน้อย”
แต่การมีลูกคนแรกไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจง่าย ๆ ตามความนึกคิดของหญิงสาว จิตรีเป็นสาวสมัยใหม่ที่ได้รับการอบรมและการศึกษาสูงพอที่จะคุ้นเคยข้อเท็จจริงจากชีวิตเป็นเมียและเป็นแม่มาพอใช้ ถึงกระนั้นก็ไม่วายที่จะงุนงงและเสียวสยองอยู่เสมอ เมื่อร่างกายมีอาการแปลก ๆ ไปบ้าง เผด็จและหมู่ญาติไม่รู้ว่าจิตรีเก็บตัวอยู่แต่ในห้องแคบ ๆ ของตน
วันหนึ่ง น้ำกำลังหลาก ลมหนาวแรงกว่าแสงแดด ลดาที่ซุ้มแตกช่อใหม่ ๆ มากขึ้น คุณจำรัสเพิ่งผละจากห้องรับแขกของเธอ ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งผลีผลามขึ้นมาทางประตูต่อห้องกลาง เสื้อคลุมตัวยาวไม่อาจปิดครรภ์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยของผู้สวม สีหน้าหญิงครรภ์แก่มีแววพิศวงและหวาดสยองยิ่งนัก
“นั่นตัวเรา!”
คุณจำรัสหลงคิดครู่หนึ่ง เวลาดูจะย้อนกลับไปหาเมื่อยี่สิบปีเศษเสียแล้ว
“จิตรี! ลูก–หลานจ๋า เธอไม่ควรเดินเร็วนะลูก”
“คุณป้าขา! หายใจไม่ออกค่ะ–คุณป้าช่วย–”
คุณจำรัสนั่งแปะไปกับพื้น จิตรีทรุดตัวตามเธอนอนเอาศีรษะพาดตักหลับตาหายใจขยักขย่อนอย่างประหลาด
“ลูกฉัน!”
นางม้วนตะเบงมานถือขันสบู่จะออกไปห้องน้ำหลังบ้าน แต่ต้องเดินผ่านเฉลียงห้องกลางก่อนจึงทันเห็นคุณจำรัสประคองจิตรีในอาการคับขันคนเดียว นางม้วนวางขันสบู่ กระชับสะไบตะเบงมานและย่างสามขุมเข้าไปช่วย
“ดิฉันเอง! ท่านออกห่าง!”
“จวนจะคลอดหรือม้วน? ทำไมพ่อเผด็จถึงไม่สั่งหมอมาคอยดูนะ โธ่! ลูกเอ๋ย–”
“ท่านออกไปหายาดม เดี๋ยวค่ะ! ดิฉันจะยกศีรษะเธอขึ้นสูง ๆ สักนิด นี่ไม่ใช่เป็นลมธรรมดา หน้าเธอแดงจัด เลือดขึ้นหัว อย่าให้นอนราบเลยค่ะ ไม่คลอดหรอก!”
เมื่อจิตรีลืมตาได้ก็เริ่มคืนของกินออกจากปากเป็นการใหญ่ นางม้วนให้น้ำร้อนและยาธาตุ จิตรีกินอิ่มเกินไปจนท้องอืดและหายใจไม่ออก คุณจำรัสกับนางม้วนช่วยกันแนะนำตามที่เคยรู้เห็นว่า เมื่อครรภ์แก่หญิงต้องประหยัดการกินอยู่ตลอดจนความนึกคิดของตน
“ตกใจว่าจะตาย” จิตรีหัวเราะออก “กินอิ่มแล้วลงนอนนึกว่าสบายแล้ว ประเดี๋ยวซิยังกะลงเรือฉลอมออกทะเล ร้ายที่สุดคือหายใจไม่ออก”
“หมอกับนางพยาบาลควรจะให้คำแนะนำตักเตือนเธอบ่อย ๆ” คุณจำรัสรำพึง “เพิ่งมีลูกคนแรกต้องระวังให้มาก หมอยังไม่ให้ไปอยู่ห้องพักอีกเรอะจ๊ะ นางพยาบาลไม่หมั่นมาเยี่ยมอย่างเคยเรอะ
จิตรีพูดอ้อมแอ้ม ซึ่งไม่มีใครจับข้อความได้ เพราะหล่อน กถ้วยยาขึ้นจิบอยู่ นางม้วนมีความเห็นว่า
“หมอสมัยใหม่มักนอกตำรา”
จิตรีรีบถาม
“เมื่อกี้คุณหญิงติ๋วมาอีกเรอะคะ?”
“คุณนายประภาเขาอยากรู้ว่า ถ้าพ่อชัยตกลงแต่งงานกับวิภาเดือนยี่ละก็–เราจะให้ลูกเขาอยู่ที่ไหน ป้าเห็นเวลามันกระชั้นนัก ทั้งพ่อวิชัยก็ยังไม่เคยพูดถึงเลย ถึงออกความคิดเป็นกลาง ๆ ก่อนว่าอยู่บ้านไหนก็ได้ เรือนของจิตรีที่พ่อชัยอยู่พอจะตบแต่งขึ้นชั่วคราวแต่แคบไปหน่อย ต่อไปถ้าเขาอยากขยับขยาย ป้าก็จะไปอยู่นา”
“นึกแล้ว! ถ้าพี่ชัยจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่น ดิฉันก็ไม่ยอมให้อยู่เรือนเล็กค่ะ!”
คุณจำรัสนิ่งอั้น นางม้วนคิดว่านายจะร้องไห้เสียแล้วเมื่อเห็นสีหน้าที่บอกถึงหัวใจอันคับคั่งของเธอ แต่คุณจำรัสก็พูดเสียงอ่อนโยนอย่างเคย
“งั้นคงตบแต่งเรือนหลังนี้ให้เขา ดีเสียอีก–เขาจะไม่ต้องโยกย้ายบ่อย ๆ บ้านใคร ๆ อยู่คู่ใคร ๆ นอน ม้วนกับฉันไปอยู่นา ตามที่คนแก่ ๆ อย่างเราอยากอยู่นานแล้วนะ”
นางม้วนไม่อาจตอบสนองเพราะหล่อนและใคร ๆ ก็รู้ว่านายหญิงและตัวหล่อนรักบ้านเก่าแก่กันมาก จิตรีลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วคนเดียว ดูเหมือนหล่อนจะมองคุณจำรัสอย่างขุ่นเคืองครู่หนึ่ง
“สนุกจริง! จัดกันไปจัดกันมาจนคุณดาจะต้องร่อนเร่ละซี! จะอยู่กับใครไม่ได้สักคน คุณหลานคงเข้าบ้านนี้ไม่ได้อีก อาภัพจริง!”
ไม่มีใครคัดค้านถ้อยคำของจิตรี หล่อนผลุนผลันกลับไปบ้าน และลืมอาการป่วยไข้ของตน
“แต่คุณวิชัยเรียนท่านแน่นอนแล้วเรอะคะ เรื่องที่เธอจะแต่งงานกับใคร–ท่านถามเธอแล้วเรอะคะ?”
นางม้วนอดถือวิสาสะไม่ได้เพราะเหตุการณ์ที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่นี้ก็กระทบกระเทือนถึงนางม้วนเหมือนกัน หลานชายหญิงของนางม้วนกำลังเรียนหนังสือ ลูกสาวอยู่กับจรวย ถ้าต้องตามคุณจำรัสไปอยู่นาจริง ๆ ครอบครัวนางม้วนจะต้องแยกย้ายยิ่งขึ้น ถ้าวิชัยแต่งงานกับคุณกานดาตามที่ใคร ๆ มุ่งหวังอยู่นานแล้ว ไม่ว่าครัวคุณจำรัสหรือนางม้วนจะไม่ต้องแยกย้ายอย่างนี้เลย
คุณจำรัสตอบคำถามคาดคั้นของต้นห้อง
“ฉันจะด่วนถามลูกชายยังไง เมื่อเขาไม่บอกฉันก่อน พ่อวิชัยยังเป็นหัวหน้าครอบครัวของฉันอยู่ เคยยอมมาแล้วก็ต้องยอมให้ตลอด ลูกหลานก็โต ๆ กันทุกคน คุณติ๋วเป็นแต่รับปากคุณประภามาทาบทามเท่านั้น”
“นึกแล้ว!”
“นึกอะไร?”
นางม้วนไม่กล้าตอบ แต่คุณจำรัสก็ไม่ติดใจจะพูดอีก เพราะเธอเองกำลังอลักเอลื่อหลายอย่าง ความเป็นไปของคนในซอยสามบ้านจึงปั่นป่วนไปหมดเกือบไม่มีการติดต่อตามเคย ทุกคนกลัวจะต้องพูดกันจริงจังถึงเรื่องอลักเอลื่อเท่านั้น ทุกคนรู้ว่าถ้าเขาเผชิญหน้าพร้อม ๆ กันและพูดกันตรง ๆ ก็จะมีเรื่องรุนแรงเหลือเกิน
วิชัยโผล่หน้าต่างห้องนอนเช้าวันหนึ่ง ก็เห็นหน้าต่างตรงข้ามที่เคยเป็นห้องนอนจิตรีกับกานดาไม่มีมุ้งลวดเหมือนเก่า กานดาไปค้างโรงเรียนก็จริง แต่ก็มีวันที่จะต้องกลับมาค้างบ้านเหมือนกัน หมู่นี้กานดาไม่ใคร่มาค้างบ้านราชเทวี แต่ก็พอเดาได้ว่าหล่อนไปนอนค้างกับคุณยายที่บ้านถนนเดโชเช่นเคย คือร่วมหลังคาเดียวกับนายเด่นแสงซึ่งใคร ๆ ซุบซิบว่า ยังพยายามเป็นไก่รองบ่อนแบบเก่า แต่กานดายังจัดห้องนอนในมุ้งลวดที่เรือนคุณจำรัสไว้ตามเดิม แม้หล่อนจะไม่ได้ค้างบ่อยนัก วิชัยก็คิดว่าห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างตรงข้ามของตนจะต้องเป็นที่อยู่ของกานดาเรื่อยไป เช้านี้วิชัยมองเห็นหน้าต่างห้องนั้นเปิดโล่ง และไม่มีเครื่องตบแต่งตามเคย เขารู้สึกเปล่าเปลี่ยวไปด้วย
เผด็จสวนกับเขาตรงบันไดหน้าตึก ชายทั้งคู่คงแสดงได้แต่ท่าอมยิ้มอย่างเดียว เผด็จขึ้นรถขับออกจากบ้าน วิชัยขึ้นไปหาน้องสาวที่ห้องกินข้าวของหล่อน จิตรีเลิกคิ้ว
“คุณพี่ชัยเรอะคะนี่!”
“ก็นึกว่าใครล่ะ? แล้ววิชัยก็นั่งลงข้าง ๆ น้องสาวและพูดเก้อ ๆ กับหล่อน “เรายังไม่ได้กินอะไรเลย”
จิตรีเรียกเด็กผุดมาเปลี่ยนจานให้พี่ชายและปล่อยให้เขากินตามสบาย หล่อนพูดเรื่องร้อยแปดนอกจากเรื่องที่หล่อนรู้ว่าวิชัยต้องการถามหล่อนแทนถามมารดา จรวยหรือผดุง วิชัยเลิกกินก่อนจิตรี
“เขารื้อห้องนอนโน่นทำไม? คุณแม่ไม่เกริ่นเลย รื้อมุ้งลวดแล้วเก็บของอื่น ๆ อีกด้วย”
“คุณดาเขารื้อเอาของเขาไป คุณป้าต้องการให้เรือนหลังนั้นเตียนโล่งไงล่ะคะ”
“ทำไม?”
“แหม! มาถามคนหัวหายที่อยู่นอกวงเทวัญแล้วจะรู้เรื่องยังไงคะ–ก็คุณพี่จะแต่งงานกับวงเทเวศร์ ต้องมีเรือนหอให้เขาอยู่! คุณป้าต้องแปลงเรือนหลังใหญ่ให้สมยศ คุณหลานจะมาอยู่ขัดคอเขายังไง ต้องหอบเข้าของไปหาที่ซุกหัวให้ได้! เมื่อไหร่คุณพี่จะออกบัตรเชิญแต่งงานคะ?”
“บ้าจริง! ถึงฉันจะออกบัตรหรือแต่งงานกับใครสักคน กานดาก็ไม่จำเป็นจะต้องออกจากบ้านนั้น ฉันเลี้ยงของฉันได้!”
“ดีจริง! จะเอามาอยู่บนกระหม่อมคนรักเก่าแก่ก็ได้! เดิมทีเดียวคุณดา น้องเอง และทุกๆ คนคิดว่าคุณพี่ชัยจะเลี้ยงคุณดาอย่างเมีย เมื่อเรื่องกลับกลายเป็นอื่นเพราะความผิดของใครก็ตาม แต่คุณพี่จะขืนเลี้ยงคุณดาอย่างอื่นอีกไม่ได้ ถึงเมียของคุณพี่ยินยอม คุณดาก็ไม่ยอมเขาถึงขนของเรียบแล้วไม่ยอมอยู่ แม้แต่กับพ่อของเขาเอง”
วิชัยเหงื่อแตกและพูดไม่ออก จิตรีคิดถึงเรื่องเก่า ๆ ระหว่างหล่อน วิชัยและกานดา แล้วหัวใจก็เสียวปลาบไปด้วย หล่อนบอกเนือย ๆ
“คุณดาก็จะปลูกบ้านใหม่เหมือนกันค่ะ”
วิชัยรีบฉวยโอกาสปล่อยความคั่งแค้นของตน
“ที่แท้จิตรีก็รู้ว่าคุณดาเขาคิดจะแยกย้ายอยู่นานแล้ว เขาคงปลูกเรือนหอให้ผัวเพราะผู้ชายอย่างนายเด่นแสงน่ะไม่มีวันจะปลูกเรือนหอให้เมีย น้องสาวฉันกลับมาแก้เกี้ยวแทนกัน แกล้งทับถมว่าฉันเปลี่ยนแปลงก่อน ที่จริงพวกตัวก็ทรยศอยู่แล้ว ผู้หญิงเอ๋ยผู้หญิง!”
จิตรีร้องขึ้น
“เรื่องคุณดาจะแต่งงานกับผู้ชายที่ยึกยืออย่างคุณเด่นแสงน่ะ อาจเป็นได้ แต่น้องรู้ว่าคุณดาไม่อาจปลูกบ้านใหม่เลย ถ้าเขาไม่รู้ว่าคุณป้าต้องการเรือนหลังนั้นให้พี่ชัยกับเมียที่ไม่ใช่ตัวเขา คุณพี่ผดุงกับคุณใหญ่ก็ไม่จัดการเสียก่อน คุณดาจึงขอเงินจากพ่อเท่าที่เขามีสิทธิ์จะได้ เขาตั้งใจจะอยู่ลำพัง คุณพี่ผดุงต้องยอมตาม และได้โอนโฉนดหน้าบ้านพร้อมกับเงินทั้งหมดที่ควรเป็นของคุณดาให้เขาไป คุณดาคงจะปลูกเรือนแล้งหน้านี่แหละ เด่นแสงอาจขยับฐานะตัวเองอีกเยอะถ้าได้แต่งงานกับคุณดาจริงๆ แต่คุณดาต้องขวนขวายหาหลังคาคลุมหัว เพราะคุณพี่ชัยจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่นนั่นเอง”
วิชัยลุกจากโต๊ะกินข้าว และขับรถออกจากบ้านน้องสาวด้วยสีหน้าหมกมุ่นเหมือนเผด็จ
ในที่สุด สมาชิกซอยสามบ้านก็อยู่แต่ในอาณาเขตของตัว เรือนคุณจำรัสถูกซ่อมแซมเสียใหม่ กานดาล้อมรั้วและปรับบริเวณบ้านซึ่งอยู่ปากซอย และติดกับที่ดินของจิตรี หล่อนทำสะพานข้ามคูต่างหาก แม้แต่บิดาหล่อนก็ไม่ถามว่า ทำไมหล่อนจึงไม่ทำประตูบ้านออกซอยเหมือนสมาชิกอื่น ๆ กานดายังไม่ปลูกบ้าน เพราะคอยถมดินหน้าร้อน และปลูกเรือนต่อหน้าหนาวคืออีกปีหนึ่งนั่นเอง เรื่องของวิชัยจะรวบรัดกว่ากานดา ถึงกระนั้นการแต่งงานของเขากับวันวิภาก็ยังเป็นเรื่องยืดเยื้ออยู่อีก
“อาเผด็จ!” กานดาโผล่เข้าประตูห้องรับแขกของโรงเรียนพร้อมกับเสียงอุทาน หล่อนแต่งตัวเตรียมจะออกข้างนอกอยู่แล้ว และกำลังประหลาดใจเมื่อรู้ว่ามีแขกคนที่สองในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ ชายนั้นยืนเอามือไพล่หลังดูรูปข้างฝาอยู่ แต่ท่าทรงศีรษะและเหลียวชำเลืองคล้ายหยิ่งผยองอยู่เสมอนั้นช่วยให้กานดาจำเผด็จได้โดยที่ไม่ต้องดูหน้า เผด็จกับกานดาแสดงเลือดเดียวกันด้วยอิริยาบถแบบเดียว และต่างคนต่างก็จำกันได้ เพราะการเชื่อมโยงอย่างนี้ “นึกว่าอยู่ปักษ์ใต้หรือวุ่นอยู่ทางมลายูเสียอีกค่ะ”
“คงนึกว่าเราไปปลูกข้าวสารที่สิงคโปร์หรือแถวกวางตุ้งมาเก๊ากระมัง–เหมือนพวกพ้องคุณวิชัย” เผด็จหันมาย้อนยิ้ม ๆ อย่างสนุก แต่เมื่อเห็นกานดาหน้าสลดและพิศวงอย่างจริงใจ เผด็จก็รีบพูดใหม่ “มาเรือบินเลยไม่ได้ส่งข่าวใครล่วงหน้า หมู่นี้ดูใคร ๆ ก็ยุ่งเหยิงอย่างว่า–พอปลีกตัวได้เลยโกยแนบ นึกออกว่าอีกไม่กี่วันก็ขึ้นปีใหม่แล้วอามีธุระจะปรึกษาคุณดาด้วย”
“เดี๋ยวค่ะ–เมื่อกี้อาเผด็จพูดถึงพวกพ้องคุณพี่วิชัยค้าข้าว คล้ายกับคุณพี่วิชัยพลอยมีเรื่องโกงเรื่องกินกับเขาด้วย! เดี๋ยวนี้เรื่องเป็นยังไงคะ–โธ่!”
“ทำไมจึงเดาสวดเสียใหญ่นะ! นายวิชัยก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคุณดาแล้วไม่ใช่เรอะ? จะขึ้นสวรรค์ลงนรกก็ช่างเขาเถอะ พอเป่าชื่อนิดเดียวก็หน้าแดงได้ทันที หรือคุณหลานกับพ่อโฉมเอกยังมีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างเก่า?”
กานดาเปิดปิดหูกระเป๋าถืออย่างไม่มีความหมาย
“ก็ไม่–มีอะไรแล้วค่ะ! แต่เขาเป็นลูกคุณป้าจำรัสที่เคยมีบุญคุณกับลูกกำพร้าแม่เหมือนฉัน” กานดานิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนพูดพร้อมกับอาการทรงศีรษะและชำเลืองแลคล้ายหยิ่งผยองอย่างเผด็จบ้าง “แล้วคุณพี่ชัยก็เป็นพี่เมียของอาเผด็จเอง คุณจิตรีคงเป็นทุกข์ร้อนเหมือนกัน ถ้าพี่ชายของเขามีเรื่องยุ่งเหยิงอย่างว่า อาเผด็จได้เรื่องมาว่ายังไงคะ? เขาว่าเวลานี้ข้าวสารอิทธิพลออกไปอยู่ตลาดมืดหมดแล้ว ไม่ใช่ออกไปใช้หนี้สงครามตามสัญญาสมบูรณ์แบบอย่างเดียว ดูเหมือนมีช่องโหว่ตามกระสอบข้าวสารควบคุมข้างนอกในนี้มีเสียงกระซิบที่กำลังจะกลายเป็นเสียงตะโกนกันอยู่แล้วละค่ะ ใครบอกอาเผด็จว่าพี่ชัยพลอยมีเรื่องเปะปะไปกับเขา?”
เผด็จมองดูหน้าอันห่วงใยของกานดาแล้วก็หัวเราะอย่างขบขันขึ้นเสีย
“คุณลืมไปกระมังว่าอาก็เป็นคนค้าขายคนหนึ่ง? ไม่น่าจะใครมาบอกเรื่องหลังฉากการค้าของตัวเลย เอาละ! สรุปแล้วคุณหลานกับคุณอาก็ตกที่นั่งเดียวกันคือมีพวกซอยสามบ้านโดยเฉพาะคุณวิชัยกับคุณจิตรีเป็นห่วงผูกคอเข้าไว้ อย่าวิตก! ถ้ามีเรื่องรุนแรงละก็–อาคงไม่ทำใจเย็นอย่างนี้ เพราะนึกถึงที่ว่านายวิชัยเป็นพี่เมียแล้วยังเป็นผู้ที่หลานสาวของอามีความ–ง่า–” เผด็จหัวเราะอีก “ห่วงใยอยู่มาก”
“โธ่!”
“เอาเถอะ! ที่อาจู่มาวันนี้ก็เพราะอาเองเกิดห่วงใยอย่างคุณดาว่าไม่ทันส่งข่าวใครหรอก ลงจากเรือบินก็แนบไปที่ร้านสรรพสินค้าคนเดียว–ดูเครื่องเล่นเด็ก ๆ ได้เยอะ”
กานดาเลิกคิ้ว
“เครื่องเล่นเด็ก! ทำไมยุ่งกับตุ๊กตาคะ?”
“คุณดาเกือบจะได้น้องน่ะซิ จำไม่ได้เรอะเกือบถึงกำหนดจิตรีคลอดแล้ว–คงหลังปีใหม่ไม่กี่วัน”
“ต๊าย ตาย!” แต่แล้วถึงคราวที่กานดาจะต้องหัวเราะขบขันขึ้นบ้าง “อาเผด็จเปิ่น! ตอนนี้ใคร ๆ เขาต้องเตรียมเครื่องใช้และเงินทองเท่านั้น เด็กแดง ๆ ออกมาเล่นตุ๊กตายังไม่ได้”
“พะผ่า! เราสั่งเสียพะเรอเกวียน รถถังติดปืน ปี่กลอง รถไฟไต่ราง รถจิ๊บ”
“พอทีเถอะค่ะ! นี่คงคิดว่าจะเป็นลูกผู้ชาย!”
“จิตรีชอบลูกผู้ชาย”
“โธ่! งั้นลูกจะเกิดมาเป็นหญิงหรือชายก็ต้องแล้วแต่คุณจิตรีเรอะคะ?”
เขาหน้าแดง
“ป–ล่าว! เป็นแต่–จิตรีว่าลูกผู้หญิงเลี้ยงยาก เอาเถอะ อย่าฉวยโอกาสเยาะเย้ยยังงั้นซิ อาสั่งให้เขาส่งของไปบ้านโดยไม่ให้จิตรีรู้ อยากให้คุณดาไปจัดห้องเครื่องเล่นเด็กไว้ให้เจ้าตัวเล็กที่จะเกิดใหม่สักหน่อย”
“เดี๋ยวค่ะ! อาเผด็จควรสำรวจเครื่องใช้คุณจิตรีกับของใช้เด็กดีกว่า”
“ก็ไปช่วยหน่อยซิ! อยากปิดเป็นความลับจนกว่าเขาจะคลอด แล้วนี่อาให้เป็นของขวัญปีใหม่เขาเลยทั้งลูกทั้งแม่ อามารับคุณดาเดี๋ยวนี้ยังไง”
กานดาทำหน้ายุ่งยาก
“ดาไม่ได้เตรียมตัวจะไปกับอาเผด็จเดี๋ยวนี้ ดาแต่งตัวคอย–ง่า–ใครคนหนึ่ง”
“มีนัดเรอะ? ดึงนายวิชัยไปด้วยก็ได้ ถ้าคุณนัดนายนั่นไว้”
กานดาสั่นศีรษะและหันไปดูประตูข้าง ครูใหญ่กับเพื่อนครูของหล่อนสองสามคนเข้ามาทำงานอยู่ที่ห้องธุระการซึ่งติดกับห้องรับแขกทางประตูด้านนั้น เผด็จไม่สังเกตก็พูดเสียงดังและเร่งรัดเล็กน้อย
“งั้นนัดนายเด่นแสงกระมัง? หมู่นี้ได้ยินใคร ๆ เขาว่าคุณหลานมีนัดเยอะแยะอยู่เสมอ”
“ไม่งั้นหรอกค่ะ” กานดาผ่อนเสียงตัวเองเพื่อให้เผด็จรู้สึกว่า ผู้อื่นอาจได้ยินถ้อยคำขัดแย้งอย่างนี้ด้วย “ฉันคอย–ง่า คนอื่นอยู่ พอดีอาเผด็จโผล่เข้ามา”
เผด็จกำลังตื่นเต้นเรื่องครอบครัวของตน เขารู้สึกว่าได้ทิ้งจิตรีไว้กับความขุ่นเคืองคนเดียวตั้งเดือนเศษ เขาสำนึกว่า ถ้อยคำของตนที่บ่งบอกความระแวงเรื่องกำเนิดคลุมเครือของลูกในท้องเป็นการลงโทษจิตรีมากไป แม้หล่อนเป็นฝ่ายยั่วให้เขาต้องกล่าวคำรุนแรงเหล่านั้น เผด็จอยากทำขวัญจิตรีด้วยความอนาทรถึงลูกเขา อยากยืนยันความจริงว่า ลูกในครรภ์ของหล่อนคือเลือดเนื้อของเขาเอง เขาจึงจู่กลับมาเตรียมของเล่นสำหรับเด็ก ดังนั้นเมื่อกานดาซึ่งเคยช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องหยุมหยิมอยู่เสมอ เกิดมีเรื่องขัดข้องขึ้นบ้าง เผด็จจึงผิดหวังจนไม่ทันตริตรองตามเคย เขาไล่เรียงหลานสาวเสียงเขียว
“คอยคนอื่นอีกแล้ว! คนอื่นน่ะดีกว่าอาเผด็จด้วยเรอะ–แล้วทำไมถึงอุตริเที่ยวเตร่กับคนอื่นอีกคนล่ะ?”
เสียงครูข้างห้องเงียบกริบกันหมด ดูเหมือนไม่มีใครกล้าแสดงตัวโดยเดินออกไปให้พ้นเสียงขุ่นเขียวของเผด็จ กานดาตกตะลึงจนไม่มีปฏิภาณพอจะระงับเรื่องตามนิสัยอ่อนโยนอย่างเก่า
พอดีบังตาเปิดออก ร่างสูงสะโอดสะองในเครื่องแบบนายพันตรีทหารบกฝ่ายเสนาธิการ โผล่เข้ามาพร้อมกับเปิดหมวก หน้าผากกว้างค่อนข้างขาวมีรอยกระบังหมวกกดจนเป็นขีดแดงคล้ำจดสองขมับเหนือคิ้ว เขาไว้หนวดเรียวเล็กคล้ายเขียน แต่มันทำให้อาการยิ้มแย้มของเขาแลดูคล้ายคมคายขึ้นมาก
“มาหรือยังคร๊าบ–คนสำคัญของโลก? ผมไปแย่งได้ห้องพิเศษกับทันสั่งของเคยชอบไว้ได้ เร็วหน่อยก็ดี ขนมจีบมักหมดเสียก่อน ๑๑ น. เหมือนเก่าก็ได้เพราะของเขามีชื่อเป็นพิเศษ ไหนล่ะจิตรี?” แล้วนายพันตรีจึงชำเลืองเห็นเผด็จซึ่งนั่งหันหลังให้ประตูและถูกหลังเก้าอี้นวมแบบเก่าบังเกือบมิด “อ้อ! คุณดามีแขก–ขอโทษ–”
ทันใดนั้นเผด็จก็ค่อย ๆ ลุกจากที่นั่ง อาการที่เขาทรงตัวขึ้นและหันไปเผชิญกับร่างในเครื่องแบบอันคมคายข้างหน้า ดูคล้ายกับพญาสิงห์สำแดงเชิงในคราวที่เผอิญได้พบเหยื่ออันโอชะชั่วครู่
“คุณ–คุณตะวันเพิ่งกลับจากอังกฤษอย่างกระทันหันเหมือนกันค่ะอาเผด็จ! มาถึงได้สองอาทิตย์เท่านั้นเรากำลัง–”
แล้วเสียงกานดาก็เงียบหายไปในคอครู่หนึ่งขณะที่ความตื่นตระหนกตกประหม่าทำให้หล่อนมีอาการขยักขย่อนยิ่งขึ้น ใครที่มีความรู้สึกปรกติก็ต้องสังเกตเห็นว่าประสาททุกคนในห้องรับแขกครูเคร่งเครียดขึ้นทันที
ถึงกระนั้นชายทั้งสองต่างก็โค้งให้คู่แข่งของตนตาต่อตา ตัวต่อตัว เมื่อต่างก็อมยิ้มอย่างไว้เชิงชายเช่นกัน!
กานดาคิดทั้งที่สมองปั่นป่วนไปหมด
ไม่น่าเลยที่เขาจะต้องมีความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกัน เขาเป็นชายแท้ทั้งสองคน ใครหนอจะรับผิดชอบกับความยุ่งเหยิงอย่างนี้!
เผด็จหยิบหมวกมาจากโต๊ะ
“ผมไปอยู่ภาคใต้ตั้งเดือนเศษ เผอิญมีธุระต้องจู่มาเหมือนคุณ ผมเคยได้ข่าวคุณมากอยู่แล้ว รู้สึกเหมือนรู้จักอยู่ก่อน–ยังได้พูดถึงคุณกับจิตรี” เขาบอกตามจริง “แต่ไม่คิดว่าคุณจะกลับเร็ว คุณไปร่วมปีเท่านั้น”
“สิบเดือนเศษ” ตะวันยิ้มอย่างเปิดเผย ซึ่งยากที่ใครจะอดชอบเขาได้ “ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องจู่กลับ แต่สมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเอาแน่นักไม่ได้ ดูแต่จิต–ง่า–ภรรยาของคุณ ผมไม่คิดว่าเขาจะแต่งงานเร็วอย่างนี้เลย”
สีหน้าของเผด็จไม่เปลี่ยนแปลงทั้งที่กานดาสะดุ้งเยือกแต่ยังไม่มีสติพอจะแทรกแซงเสียก่อน จึงได้แต่ใจหายใจคว่ำคนเดียว ดูตะวันก็เปลี่ยนแปลกไปมาก แม้เขายังยิ้มแย้มอย่างเปิดเผยและเป็นตะวัน วงศ์วิโรจน์ผู้มีเสน่ห์ในการคุยและมีอารมณ์ขันคนเก่าก็จริง แต่บางครั้งนัยน์ตาของเขาก็แข็งกระด้างด้วยแววระแวงและเย้ยหยันอยู่ด้วย เผด็จก้มศีรษะคล้ายกับหยั่งไม่ถึงถ้อยคำของตะวันที่เปิดฉากท้าทายถึงเขา
“คุณคงรู้จักจิตรีเล็กน้อย ผมรู้แต่แรกพบเขาว่า เขาจะต้องเป็นผู้ควบคุมผมแน่ คุณนัดจะไปไหนกันก็เชิญเถอะครับ ผมเข้าใจว่าหลานสาวของผมนัดคุณไว้และมีจิตรีร่วมด้วย”
เผด็จเปิดทางให้ทุกคนหายอึดอัดด้วยคำพูดและท่าทางที่แสดงความสนใจอย่างผิวเผินเพียงนั้น กานดารู้สึกว่าตะวันเริ่ม เหวียงหมัดผิดเป้ามาก นายทหารหนุ่มระแวงตัวเองคิดว่าเผด็จรู้เรื่องเดิมและคงจะตั้งตัวเป็นคู่แข่งคนรักเก่า เผด็จไม่ได้รู้อะไรลึกซึ้งสักนิด นอกจากนั้นดูเผด็จจะเป็นผัวน้อยไปกว่าการเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง
น่าสงสารจิตรี! กานดาอ่านความคิดของตะวันออก แต่กานดาเป็นเลือดเดียวกับเผด็จและมีส่วนคล้ายคลึงเขาหลายอย่าง หล่อนรู้ว่าถึงเผด็จจะไม่รักจิตรีเช่นผัวเมียธรรมดา เขาก็จะไม่ยอม ให้ชายใดลูบคมเขาเล่นได้จนกว่าเขาจะสิ้นความต้องการสิ่งที่อยู่ในความควบคุมของตน อาการเฉื่อยชาเช่นนั้นเป็นเพียงนิสัยซ่อนเขี้ยวเล็บเหมือนพญาสิงห์ตัวฉกาจก่อนจะเผ่นโผนเข้าคาบคั้นเหยื่อซึ่งตายใจเพราะท่าทางซ่อนคมของสิงห์ร้าย หล่อนสะท้าน!
ถึงกระนั้นกานดาก็รวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงชิงตอบเผด็จก่อนตะวัน
“อาเผด็จกลับบ้านเถอะค่ะ คุณตะวันกับฉันไปกินข้าวข้างนอกเกือบทุกวันตั้งแต่เธอกลับมา วานนี้ฉันนึกได้ว่าคุณจิตรีเหงาอยู่คนเดียวตั้งเดือนเศษ อาจจะอยากพบเพื่อนเก่าแก่ก็ได้ เลยนัดไปทางโทรศัพท์ว่าวันนี้ให้มารวมกันที่นี่เพื่อไปกินอาหารกลางวันด้วยกันก่อนหน้าอาเผด็จมานิดเดียว คุณจิตรีโทร. มาบอกเลิก ราวกับรู้ว่าอาเผด็จจะกลับ” หล่อนมองตาตะวันด้วยสีหน้าหม่นหมองมากขึ้น ทุกคนที่เคยรู้จักกานดาดีย่อมรู้ว่า หล่อนกำลังพูดปดและปิดไม่สนิท เมื่อมันไม่ใช่การกระทำที่คุ้นเคยของตน “คุณตะวันไม่ทันรู้เรื่องที่เปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะคุณจิตรีบอกเลิกจวนแจเวลาเหลือเกิน ไปกันหรือยังคะ? อาเผด็จช่วยบอกคุณจิตรีด้วยว่า ถ้าเรามีเวลาเหลือมาก เราจะหาขนมไปฝาก”
เผด็จกับตะวันกลับเป็นฝ่ายเคอะเขินครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็สำนึกว่า เหตุการณ์ที่เกือบปะทุเป็นเรื่องยืดยาวอยู่แล้วกลับเรียบร้อยลงได้เพราะผู้หญิงเล็ก ๆ และอ่อนแออีกด้วย
เผด็จหลีกทางให้ตะวันกับกานดาไปก่อน กานดายังไม่สิ้นเคราะห์ ชายผอมสูงซึ่งแต่งตัวโลดโผนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง ด้วยท่าทางลุกลนเล็กน้อย
“นึกแล้วคุณหลานจะต้องมีองครักษ์โก้เก๋กว่าผม! พอเราโทร. มานัดทีไร เล่นปฏิเสธเสียเรื่อย! พักนี้จึงได้เก็บเนื้อเก็บตัวเต็มที่ คุณยายน้อยให้มารับตัวไปเดี๋ยวนี้นะ แต่–” ผู้ขัดคอโบกไม้โบกมือและหัวเราะครื้นเครงคนเดียว “แต่ผมคอยได้–แล้วจะไม่ฟ้องคุณอาอีกด้วย ถ้าคุณตะวันจะยอมให้ผมควบคุมไปกินกลางวัน คุณอาหญิงของผมคือคุณยายน้อยของคุณกานดานะครับคุณตะวัน แต่เป็นน้าหญิงของคุณเผด็จ ดูซิครับเราเป็นวงเทวดาด้วยกัน”
“กานดานัดกับคุณตะวันไว้คนเดียว ถ้าคุณเด่นหิวโซเสียจริง ๆ ผมจะเอาไปเลี้ยงเอง”
เผด็จขวางเด่นแสงไว้ด้วยท่าทางหยิ่งผยองอย่างเคย เขาไม่ยอมสนิทสนมกับลูกผู้พี่เพราะเผด็จถูกอบรมให้ไว้ตัวกับลูกเมียน้อยด้วยชั้นเชิงเช่นนั้น เด่นดวงผู้พี่ชายกับเด่นแสงต้องซ่อนความหมองหมางมานาน เด่นดวงมีครอบครัวเป็นหลักฐาน และมีหวังสืบสกุลก่อนเด่นแสง ความน้อยเนื้อต่ำใจจากชั้นเชิงเช่นนี้จึงเหลือน้อย เด่นแสงยังตกอยู่ในฐานะที่แบ่งขีดขั้นคนเดียว กานดาจึงเป็นความหวังสำคัญของเด่นแสง ซึ่งรู้ว่าการสมรสกับหล่อนจะช่วยให้ ‘ลูกเมียน้อย’ อย่างเขามีปมเขื่องคล้ายเผด็จทางด้านครอบครัว ซึ่งยังไว้ยศอย่างนั้นอยู่ ในระยะสิบเดือนนี้เด่นแสงมีหวังมาก และคิดเอาเองว่ากานดาเต็มใจจะอยู่ในการควบคุมของตน แต่เมื่อเห็นว่ามีเหตุไม่คาดฝันแทรกแซงซึ่งหน้า เด่นแสงก็ต้องหัวปั่นไปบ้าง เขาถอยไปทางกานดาและยืนบังตะวันไว้ด้วย ขณะที่ส่งเสียงพูดแกมหัวเราะลั่นห้อง
“ผมหิว–แต่ไม่ใช่อาหาร! ใครมั่งไม่อยากไปกับญาติหญิงที่สาวสำอางอีกด้วย คุณเผด็จก็หมั่นไปคุมน้องสาวผมที่บ้านเดโช–คุณโสมเสลากับคุณศรีเสลาไงล่ะครับ” เขาหันไปพยักพเยิดกับตะวัน “คุณเผด็จยังต้องวิ่งไปหย่อนใจกับญาติหญิงที่ยังสาวบ่อย ๆ –ตั้งแต่เมียทางพญาไทเกิดอุ้ยอ้ายออกมา! สมัยนี้คนเขื่อง ๆ เขาต้องมีทุ่นประจำที่–แล้วก็ทุ่นลอย หลายแห่ง มาเถอะครับคุณกานดา”
เด่นแสงกำลังเอื้อมมาจะจับแขนของหญิงสาวซึ่งกลับสิ้นสติตามเดิม เพราะความหยาบคายของเหตุการณ์–ก็พอดีคอเสื้อโปโลฉูดฉาดคล้ายเสื้อฝรั่งนักท่องเที่ยวทางภาคร้อนของเด่นแสงถูกมือยาวแข็งของเผด็จดึงออกไป ร่างสูงชะลูดของชายหนุ่มหน้ารื้นและเสียงดังก็ถูกกระชากไปพร้อมกับคอเสื้อสีและลายฉูดฉาดเช่นนั้น
หน้าและน้ำเสียงเผด็จยังไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิด
“หน้าเดินได้ทุกคน!” เขาสั่ง “ออกไปที่รถพวกเราเถอะ ขอโทษที่ผมกับเด่นแสงต้องปลีกตัวไปบ้านเดโชเช่นเขาว่า เราจะไปกินกลางวันที่โน่น เชิญผู้พันตะวันกับคุณหลานลำพัง”
“คอย–” เด่นแสงพยายามขึ้นเสียงเท่าที่คอหอยของเขาจะขยับขยายได้จากนิ้วที่เหมือนคีมของเผด็จ “คอยเดี๋ยว...”
“เดิน!”
เด่นแสงก็ปลิวตามมือเผด็จโดยไม่กล้าอื้ออึงอีกเลย
ตะวันสบตากานดาและรู้สึกอยากจะโอบหล่อนไว้ในอ้อมแขนอันมั่นคงของตน แววตาหญิงสาวแสดงความว้าเหว่ หวาดสยอง และความขมขื่นของเด็ก
“หน้าเดินได้กระมังเรา”
ตะวันเอื้อมมือไปจับแขนของกานดาเพื่อปลอบโยนอย่างกันเอง แต่เขาต้องปล่อยให้ตกข้างตัวตามเดิมเพราะมีหญิงสาวสามคนเข้ามายืนอยู่หน้าประตูด้านข้าง คนยืนหน้ามีวัยสูงและท่าทางมั่นคงของผู้ใหญ่
“ขอโทษค่ะ! ครูกานดาช่วยชี้แจงบัญชีเครื่องใช้เด็กอนุบาลอีกที คุณฝากเวรไว้กับครูวรรณีแล้วใช่ไหมคะ? แต่ครูวรรณีไม่รู้เรื่องเครื่องใช้ที่คุณเบิก–ช่วยชี้แจงสักห้านาทีเท่านั้น”
ตะวันสบตาอันงงงวยของกานดาอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นหล่อนขอร้องด้วยแววตา เขาก็ก้มศีรษะให้สุภาพสตรีทุกคนก่อน ประชิดเท้ากลับหลังหันออกไปคอยที่รถโดยไม่มีเสียงมากมายเหมือนเด่นแสง
นายพันตรีเห็นเผด็จพยายามจะออกรถทั้งที่มือหนึ่งยังกดเด่นแสงไว้กับที่นั่งข้างตัว ถนนหน้าโรงเรียนเผอิญปลอดคนครู่หนึ่ง เด่นแสงจึงลงมือดิ้นรนและโต้แย้งอย่างเก่า
“ป–ล่อยน่า–แล้วกัน! กานดาจะแต่งงานกับผม–รู้ไหม? ถ้าขืนปล่อยไปเที่ยวกับเจ้าพันตรีตัวนั้น–น่ากลัวผมจะต้องเป็นมือสองเหมือนรายคุณจิตรีละคุณ! ใคร ๆ เขาว่า...”
เผด็จเข้าเกียร์ได้พร้อมกับที่ชำเลืองเห็นดวงหน้าเคร่งเครียดของตะวัน ชายทั้งสองเผชิญสายตากันอีกครู่หนึ่งในท่าสองเสือคุมเชิงเช่นเก่า
“น่ากลัวผมจะต้องปล่อยกำปั้นฟาดปากวงศ์เทวัญเสียก่อนที่คุณเผด็จจะพาเขาไปหาผู้หญิงที่เดโช” ตะวันเพิ่งแสดงความโกรธที่อ้ำอึ้งเอาไว้ “ผมเห็นใจคุณ–” เขาลากเสียง “ที่จะต้องยอม ให้ตัวยึกยืออย่างนั้นเหยียบย่ำเกียรติผู้หญิงอย่าง–เมีย! แต่ผมไม่มีเรื่องจะต้องเก็บกำปั้นของผม เมื่อต้องมายืนฟังถ้อยคำสกปรกเป็นการโจมตีต่อหน้า!”
เผด็จยิ้มเป็นครั้งแรก
“ผมไม่เคยยอมให้มนุษย์หน้าไหน วงศ์เทวัญหรือวงศ์อะไรก็ตาม...ใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือโจมตีต่อหน้าผม! เราคงพบกันอีก สวัสดี!”
แล้วเผด็จก็ปล่อยคอเสื้อเด่นแสงครู่หนึ่ง เขาหันมาสู้สายตาเคร่งเครียดของตะวันเป็นเชิงท้าทายด้วยอาการหยิ่งผยองอย่างนี้
“ถึงนายเองก็เถอะ!”
แล้วเผด็จก็กำหมัดฟาดเปรี้ยงลงไปที่กระโดงคางของเด่นแสง ชายผู้เคราะห์ร้ายนอนราบลงทันทีโดยไม่ทันออกเสียงสักคำขณะที่รถของเผด็จเผ่นปรื๋อไปด้วย
กานดาออกมายืนอยู่ข้างตะวัน และทันเห็นหมัดปรมาณูของเผด็จ ซึ่งดูเหมือนจะเหวี่ยงผิดเป้าไปมาก หล่อนเห็นนายพันตรีผู้พลาดรักยังคงกำหมัดเหมือนกัน กานดาจึงยึดแขนข้างนั้นไว้และพูดค่อย ๆ คนเดียว
“เด่นแสงเป็นคนเคราะห์ร้ายเหลือเกิน! เขาชอบโผล่เข้าไปผิดจังหวะทุกหนทุกแห่งอย่างน่าสงสาร!”
----------------------------