(๔)

เช้านั้นไม่มีฝน ท้องฟ้าจะไม่พะยับโพยมอย่างเคย แดด ‘ขี้ฝน’ ร้อนจ้ากลับยอแสงสุกปลั่งไปทั่วถนนสนามชัย ราชดำเนิน และตลอดทางที่จะเสด็จฯ ผ่านไปดอนเมืองมีมหาชนรายทางทั่วไป ดูเหมือนถนนอื่น ๆ เปล่าเปลี่ยวไปหมด

“มาแล้ว! มาแล้ว! รถพระที่นั่งมาแล้ว! เสด็จฯ แล้ว–” คนรวนรอบด้าน

เมื่อยืนอยู่บนพื้นซิเมนต์ สะพานผ่านฟ้าลีลาศฝั่งถนนพระสุเมรุ จะเห็นภาพแก้รำคาญหลายอย่างขณะคอยเวลาเยิ่นเย้ออย่างนั้น

“โน่นภูเขาทองจ้ะทวด–ที่มองเห็นเป็นยอดเจดีย์สูงลิ่ว โบกปูนขาวแล้วห่มผ้าแดงด้วยนะ”

เสียงหนึ่งพูดขึ้น คนที่เคยเห็นทุกวันก็พลอยเพ่งไปทางภูเขาทองทุกคน

“ข้ารู้” เสียงหญิงชรารีบตอบ เสียงนั้นสูงระรัวเหลือเกิน คล้ายกับดังมาจากโลกใดหนึ่งในอดีต “ข้าอ่อนกว่าพระพุทธเจ้าหลวงแปดปีเท่านั้น ก่อนข้าจะกลับไปท่าพี่เลี้ยงข้าอยู่แถวทุ่งพระเมรุเหมือนกัน ปู่ทวดของเอ็งเป็นสายัณห์รุ่นแรกไงล่ะ อ้ายทองปลิว! ปู่ทวดเอ็งเขาโก้กว่าเอ็งเยอะ–สายัณห์ทองเปลวพาเมีย–แม่สายหยุดคือข้าเอง–มานมัสการภูเขาทองทุกเวรออก ข้านึกเห็นภูเขาทองทุกส่วน–กำแพงเมืองกับป้อมพระกาฬตรงริมคลองข้างโน้นด้วย เดี๋ยวนี้ข้ามองไม่เห็นอะไรถนัดเกินสองสามก้าวก็จริง ข้ายังเห็นของที่เคยเห็นชัดเจน ของที่ไม่เคยเห็นก็พอดูออกมัว ๆ เหมือนกัน อ้ายทองปลิวเว้ย! ทางหน้าวัดราชนัดดาเดี๋ยวนี้เขาสร้างศาลาการเปรียญหรือโบสถ์แบบใหม่หมดหรือหว่า–อ้ายที่มองมัว ๆ เหมือนรูปร่างโรงทึมทั้งหมด แต่มันพิศวงที่สูงเยี่ยมยังโง้นแล้วไม่ยักยกจั่ว หรือช่อฟ้าให้เยี่ยมเมฆเหมือนกัน ไหงถึงยกหลังคาปาดไปโม้ด–ไม่งาม!”

“ไม่ใช่โบสถ์หรือศาลาการเปรียญหรอกจ้ะทวด แถวนั้นเดี๋ยวนี้เขาปลูกเป็นอาคาร”

“ข้าไม่เคยได้ยิน พูดใหม่ถี–ไม้คานมันของคู่กับครุหรือกระบุงตระกร้า ไหงถึงมาเรียกเป็นชื่อโรงทึม–เอ้อ–ศาลาธรรมแถวนี้พอสายัณห์ทองเปลวสิ้นบุญแล้วไหล่ของข้าก็พบแต่ไม้คานท่าพี่เลี้ยงเรื่อยมา ไม่คอนครุตักน้ำหาบกระบุงข้าวเปลือกไปฉาง ไม้คานยังมีประโยชน์ยังไงกับวัดวะอ้ายหลานชาย?”

มีเสียงผู้หญิงข้างเคียงหัวเราะคิกคักขึ้นบ้าง หลานทวดที่ชื่อนายทองปลิวไม่หูหนักเพราะแก่อายุอย่างทวดจึงหน้าแดงเข้มคนเดียวแต่เขาก็พยายามอธิบายแบบเดิมโดยไม่ถือสากับเสียงคิกคักของหญิงรุ่น

“อาคาร” เขาเน้นเสียง “ไม่ใช่ไม้คานของทวดหรอก อาคารคือที่อยู่–คนเขาอยู่! ไม่ใช่พระท่านอยู่”

“ยังง้าน–? ไหงเป็นเด็กไปต๊าย? เอ็งว่าคน–กระหัดอยู่สูงกว่าพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์องค์เจ้ายังงั้นรื้อ? จัญไรกินต๊าย!”

แต่เสียงนกหวีดเป่าแหวกอากาศก้องขึ้นกลบเสียงยายแก่กับหลานรวมกับเสียงอื่น ๆ อีกด้วย

“เสด็จแล้ว–เสด็จแล้ว!” คนรวนรอบด้าน

โดยเฉพาะทางหน้ากรมโฆษณาการนั้น “คลื่นคน” หลั่งไหลมาเหมือนกระแสน้ำเหนือทำนบ บาทวิถีและแถวรักษาการณ์ก็ถูกกลืนไปในความยัดเยียดอย่างนั้น กระแสคนที่ยังอยู่ในระเบียบบนสะพานผ่านฟ้า มองเห็นคลื่นคนหน้ากรมโฆษณาการกำลังไหลเลื่อนลงมา อีกไม่นานที่ซึ่งยืนอยู่ก็จะท่วมท้นเท่ากัน

“รถพระที่นั่งถูกยึด! คนแถวนั้นไม่ยอมปล่อยรถพระที่นั่งมา–”

“ไม่ปล่อย! ไม่ปล่อย!”

กระแสคนข้างนี้พลอยพูดอื้ออึงตามเสียงส่งข่าวแล้วบนสะพานผ่านฟ้าก็พลอยปั่นป่วนไปด้วย

เป็นดังนี้ที่บริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทซึ่งประดิษฐานพระโกศทอง เป็นดังนี้ที่ ‘ศาลกลางเมือง’ เป็นดังนี้ทุก ๆ แห่ง ตลอดเวลาร่วมปี ที่สองยุวกษัตริย์ซึ่งเปรียบเหมือน ‘ภูมีรังสี’ ส่องถึง เป็นธรรมดา! เมื่ออยู่ท่ามกลางความหมดหวังและความมืดมัวมานานแล้ว อะไร ๆ ก็ต้องตื่นตัวกระเสือกกระสนหาแสงแห่งความหวังอันอบอุ่นและเฉิดฉายเช่นนั้น นี่คือประชาชาติ

คลื่นคนหลั่งไหลลงมา เมื่อรถพระที่นั่งถึงที่ใด คลื่นคนก็ถั่งเทถึงด้วย–ดูประหนึ่งแม่เหล็กที่ดึงดูดเข็ม ความสนใจจากที่อื่น! ไม่มีใครเพ่งยอดภูเขาทอง ไม่มีใครเห็นอาคารอันสูงเยี่ยมอยู่ข้าง ๆ ไม่มีใครฆ่าเวลาคอยด้วยการสนใจกับของหยุมหยิมอย่างอื่น เด็ก ๆ ดูไม่สนใจตัวกินนรบนยอดเสาไฟฟ้ากลางถนนราชดำเนินตามเคย เขาไม่มองพญาครุฑแดงกระพือปีกบนผืนธงไตรรงค์ ระหว่างเสาโคมตามระยะทางเสด็จพระราชดำเนินผ่าน เขาเพ่งไปทางรถยนต์พระที่นั่งพระมหากษัตริย์ไทยเท่านั้น

ประเพณีไทยตั้งแต่โบราณกาลจนถึงสมัยนี้ ไม่นิยมการแสดงความชื่นชมความรัก และเคารพด้วยการออกท่าทางตื่นเต้น หรือส่งเสียงเอ็ดอึงออกมา เมื่อมีความรู้สึกซาบซึ้งสักเพียงไรก็ถือ ‘เอาการสงบเงียบ’ เป็นการแสดงความรักและยกย่องอย่างสูง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอุปนิสัยอ่อนโยนอย่างไทยแท้เท่านั้น มิใช่เพราะมีความรู้สึกหรือหวาดกลัวดูหมิ่นสิ่งซึ่งควรเคารพรวมทั้งตัวเองอีกด้วย–ดังที่ชาวต่างชาติหรือไทยใหม่บางคนเข้าใจผิด

แต่ขณะนี้ประเพณีและความเข้าใจประจำถิ่นทุกหนทุกแห่งทั่วโลกกำลังปรับเข้าหากันเพื่อความเป็นสหพันธ์ชาวโลกหรือ ‘พลโลก’ ยิ่งกว่าการเป็น ‘พลเมือง’ มากขึ้น ความเข้าใจและขนบประเพณีบางอย่างของคนในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ จึงจำต้องหันเหปะปนกับของคนในท้องถิ่นทั่วไปด้วย เช้านี้ เมื่อจุดที่รวมความสนใจจากมหาชนผ่านไปตามระยะทางเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งเปิดประทุน บางทีก็มีแต่ความสงบเงียบงัน บางทีก็แทรกด้วยเสียงอึงอลอีกด้วย–โดยเฉพาะตอนที่มี ‘เด็ก’ และ ‘คนเดินถนน’ ยัดเยียดอยู่หน่อย

“ในหลวงเล็ก! ในหลวงเล็ก! ไชโย! ไชโย!”

เสียงชื่นชมนั้นเป็นเสียงเด็ก ๆ โดยมาก เขามีความชื่นชม เพราะได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าผู้เป็นประมุขแห่งชาติของเขานั้นมีวัยและภาวะใกล้เคียงเขาที่สุด สูงหรอก! แต่ก็เป็นเด็กด้วยกัน สวยหรอก! แต่ก็เป็นเด็กด้วยกัน โก้มากมิใช่หรือ ทั้งที่ผู้เป็นหัวหน้าและผู้เป็นกำลังได้มีโอกาสก่อตั้งอนาคตของชาติและของตนเองอีกด้วย ในวัยเด็ก ๆ ด้วยกัน?

นี่คือความจริงใจจากเด็ก นี่คือสามัญสำนึกของคนธรรมดาส่วนมาก เมื่อเห็นในหลวงเล็กกับคนเล็ก ๆ เหล่านั้น

“โน่นอะไร? รถจักรยานตึ้ก ๆ แล่นนำมาก่อนเป็นทิวแถวทีเดียว ดูแน่ะ! ฝรั่งที่ขับรถใส่หมวกมีอะไรแดง ๆ ด้วยนะ!”

“นั่นแหละตำรวจฝรั่งละ–เพราะท่านจะขี่เรือบินฝรั่งไป ตำรวจฝรั่งเลยมาดูแลละซี”

“เซอะ! ไม่ใช่ตำรวจอะไรทั้งนั้น ที่แท้ก็คนเรือบินของในหลวงหรอกน่ะ ดูแน่ะ! หน้าขึงเชียว–ชายโย้! นั้นยังไง–เสด็จแล้ว–นายหลวง! ในหลวง!”

แล้ว ‘ภูมิรังสิ’ ซึ่งเหลืออยู่ในบรรยากาศมืดคลุ้มของไทยก็ส่องถึงที่นั่น แสงเฉิดฉายชั่วครู่ได้แผ่ผ่านความหวังและความอบอุ่นไปทั่วปริมณฑลตลอดจนเสียงโจษจันผิด ๆ ถูก ๆ ทั้งหมด

“แม่ของในหลวงไงล่ะ! เล็กนิดเดียว–ดูหน้าท่านร่วงโรยเหลือเกิน”

“ท่านแก่–กับ–กับท่านคิดถึงลูกที่ตายก็ต้องร่วงโรยละซิ! สู้ในหลวงเล็กไม่ได้นะ ดูผ่องแล้วก็ขึงขังคล้ายผู้ใหญ่ อายุสิบเก้าเท่านั้นเอง แต่รู้จักสำรวมเหลือเกิน”

แล้วในหลวงเล็กก็ดึงดูดความสนใจจาก ‘แม่’ อีก เด็ก ๆ ผู้ชายในเครื่องแบบนักเรียนคะมุกคะมอมและเท้าเปลือยวิ่งกรูเกรียวไปกับรถพระที่นั่ง ซึ่งแล่นช้า ๆ บนสะพาน ไม่มีใครห้ามปรามเด็ก ๆ ที่เข้าไปห้อมล้อมรถนั้น ดวงหน้าหญิงมีอายุ แต่ยังงามข้างพระองค์ยุวกษัตริย์นั้นเศร้าแสนเศร้า และเมื่อมองมาทางฝูงชนที่ปลดเครื่องทุกข์และแต่งสีส่งเสด็จเป็นการถวายพระพรเฉพาะวันนั้น–เมื่อมองมาพบความชื่นชมอย่างจริงใจจากเด็กที่ยังวิ่งติดตามต่อไปอีก ดวงหน้าแสนเศร้าก็ปรากฏรอยยิ้มอยู่บ้าง

พายุแห่งความทุกข์ได้ทิ้งรอยไว้บนดวงหน้าของหญิงซึ่งไม่มีใครอนาทรถึงนัก หญิงนี้ได้ประกอบภาระสูงลิ่วและหนักยิ่ง จนสำเร็จลุล่วงหลายประการแล้ว หญิงนี้เป็นบุตรซึ่งเป็นศรีแก่สกุลก็จริง เป็นเมียที่ทำความพึงใจแก่ผัวผู้หนึ่ง เป็นแม่ของลูกที่เป็นตัวอย่างของลูกไทยทั้งชาติ แต่เมื่อถึงคราวจะรับบำเหน็จอันเยี่ยมยอดอยู่แล้ว ก็พบแต่พายุแห่งความผิดหวังและความระทมทุกข์ทั้งสิ้น แต่หน้านั้นยังมีรอยยิ้มอย่างอดทน ทั้งที่ไม่ได้รับความสนใจจากโลกนัก!

“อะไรหนอ ทำให้หน้านั้นยิ่งมีรอยยิ้มแย้มอยู่อีก–แม้จะเป็นยิ้มที่ระเส็นระสายสักหน่อย?”

นี่คือปัญหาที่จู่จับความคิดของหญิงหนึ่งข้างถนน ดวงหน้าของแม่บนรถพระที่นั่งกลายเป็นภาพพิมพ์ใจจนทำให้ฉุกคิดอย่างเคลิบเคลิ้มคนเดียว

“คุณกานดา”

“น้องดา! ประเดี๋ยวถูกเหยียบ”

หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากการคิดเคลมเคลิ้บคนเดียว ดวงหน้าแสนเศร้า แต่มีรอยยิ้มอย่างอดทนหายวับไปแล้ว เหลือแต่ดวงหน้าชายหญิงอันกระเหี้ยนกระหือรือรอบข้าง คน! คน! คน! และเขากลายเป็นกระแสคลื่นที่แตกปั่นป่วนไปทั่ว เพราะทำนบคือองค์ยุวกษัตริย์ ซึ่งตะล่อมรวมความนึกคิดของพวกเราเคลื่อนคล้อยไปแล้วเขาจึงแตกกระจายกันอีก อารมณ์ระแวงระวังและยื้อแย่งอย่างเก่ากลับมาใหม่ แดดอ่อนก็ร้อนแรงเหลือเกิน อากาศดูพะยับพะโยมอย่างเคย

คนรวน! แล้วหลายต่อหลายคนก็ถูกเบียดเปะปะไปทั่ว ทันใดนั้นมือหนึ่งก็เอื้อมมาคว้าแขนของกานดา และดึงหล่อนไปพ้นการเบียดล้อมเหล่านั้นได้

“คุณเด่นแสง”

เสียงกานดาแผ่วเบาเพราะอ่อนแรงเหลือเกิน ชายหนุ่มผิวดำค่อนข้างผอมยังคงหนีบแขนของหล่อนไว้ เขาแต่งชุดเดินเล่นและสวมเชิ้ตสีมีลายโลดโผนโดยไม่คิดถึงผิวดำเข้มของตัว แต่เขายิ้มแย้มอยู่เสมอ

“ถ้าผมไม่อยู่ตรงนี้ด้วย คุณดาก็ถูกเบียดติดราวสะพานเป็นกล้วยปิ้งไปแล้ว”

“หรือมิฉะนั้น–วิชัยชิงพูด เขาโผล่ออกมาจากกลุ่มคนข้างหนึ่ง แต่ไม่ทันถึงตัวกานดา “ก็มีโอกาสจะล้มลงไปเกาะขาคนเหยียบแทนเกาะแขนคนควบคุมมาเหมือนคุณเด่นแสง”

“สาธุ!” เด่นแสง สายโสม แห่งคณะบ้านเดโชชอบใจคำขุ่นเคืองที่เขาคิดว่าเป็นการยกย่องอย่างเดียว “คุณกานดาจะเกาะแขนผมต่อไปอีกไหม หรือคุณจะเปลี่ยนไปเกาะแขนคุณวิชัย ที่เคยเป็นผู้ควบคุมคนเก่าก็ได้”

กานดาดึงแขนออก ญาติหนุ่มคนนี้แก่กว่าเผด็จเล็กน้อย แต่ลำดับญาติเป็นลุงของหล่อนเช่นเดียวกับเผด็จผู้นับเป็นอาอีกด้วย สายใหญ่ของสกุลสายโสม ซึ่งมีบ้านกลุ่มหนึ่งที่ถนนเดโชนั้นมีหัวหน้าสกุลคือ พระยาพงศ์นริศฤๅชัย–ม.ล.เด่นดวง สายโสม ซึ่งเป็นบิดาของนายเด่นชัยผู้นี้กับบุตรธิดาอีกสามคน เด่นแสงเป็นบุตรคนที่สองที่เกิดกับอนุภรรยา นายดวงแสงเป็นพี่ใหญ่ และมีครอบครัวของตนแล้ว เด่นแสงไม่สู้มีหลักฐานเท่าพี่ เพราะยังเป็นหนุ่มทึนทึก และมีอาชีพเลื่อนลอยเรื่อยมา แม้เขาก็มีกินมีใช้เช่นคนอื่น ครอบครัวดวงแสงกับเด่นแสงยังอยู่ที่บ้านพระยาวรพันธ์พ่อของเผด็จ พระยาวรพันธ์นับเป็นน้องเขยของพระยาพงศ์นริศ จึงมีบ้านติดต่อกันอยู่ อย่างไรก็ตามคุณหญิงดวงแขแม่ของเผด็จ ได้แสดงความจำนงไว้ก่อนตายเผด็จต้องอุปการะ ม.ล.ดวงเดือน น้าสาว ซึ่งเป็นยายตัวของกานดา โดยให้อยู่บ้านนั้นต่อไปด้วย เผด็จจึงไม่ไปอยู่บ้านมรดกที่เดโช หรือจัดการโยกย้ายอย่างไร ม.ล.ดวงเดือนเป็นหม้ายมาแต่สาว สามีของเธอเป็นคนแปลกหน้าในสกุลสามัญและเลิกร้างกันก่อนที่เธอจะมีตำแหน่งสำคัญอยู่ในราชสำนักปลายรัชกาลที่ ๕ เธอจึงทิ้งบุตรหญิงคนเดียวคือดวงแก้วแม่ของกานดาไว้ในความอุปการะของพี่สาวคนกลางโดยสิ้นเชิง ชีวิต ม.ล.ดวงเดือน ดูเหมือนจะอยู่ในความอุปการะของพี่สาวคนกลางกับพี่ชายใหญ่อยู่เสมอ หม่อมหลวงหญิงดวงเดือนในบั้นปลายที่ปราศจากทั้งลูกและผัวจึงหันไปเอาใจใส่กับหลานเพื่อแทนคุณของพี่ ๆ ดังนั้นเธอจึงตั้งตัวเป็นหลักอยู่ที่บ้านเดโชส่วนที่เป็นของเผด็จ แล้วอุปการะหลานชายโดยให้ที่อยู่อาศัยแก่ครอบครัวเขาด้วย ดวงแสงกับเด่นแสงเป็น ‘ลูกเมียน้อย’ จึงมิได้รับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันออกไป นอกจากคุณหญิงเฉลา–เอกภรรยาจะยินยอมอย่างเสียไม่ได้ คุณหญิงเฉลามีบุตรหญิงสองคนซึ่งเกิดภายหลังลูกเลี้ยง คือ โสมเฉลากับศรีเสลา รุ่นนี้นับเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเผด็จแต่ก็แก่กว่ากานดาซึ่งเป็นหลานไม่กี่ปี ความเป็นไปในบ้านสายโสมกับดิเรกกุลที่เดโชจึงมีเรื่องแก่งแย่งอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครเข้าใครสนิท และนับแต่จะแตกแยกยิ่งขึ้น เพราะผดุงผู้เป็นเขยชั่วที่สองไปแต่งงานใหม่กับจรวย แล้วยังพากานดาเอาไปไว้ในการควบคุมของผู้ปรับเก่า คือคุณจำรัสแม่ของวิชัย คู่ต่อมาก็คือจิตรี ซึ่งดูเหมือนจะมีหลังฉากยุ่งเหยิงอยู่มาก กานดามีมรดกของยายใหญ่และยายตัวเองอีกบ้าง บิดาของหล่อนยังแบ่งที่ดินในซอยสามบ้านราชเทวีให้อีก กานดาจึงดูเหมือนจะถูกญาติหนุ่มในสกุลสายโสมกับซอยสามบ้าน คอยยื้อแย่งอยู่เสมอ แต่เมื่อกานดาไปฝักใฝ่เสียกับซอยสามบ้านยิ่งกว่าญาติข้างแม่มานาน พวกเดโชจึงคอยแต่คุมเชิงและรวมหัวกับพวกเทเวศร์ ญาติผัวคุณจำรัสเอาข่าวของหล่อนและพวกบ้านราชเทวีไปถกเถียงหรือนินทาเท่านั้น

คุณหญิงเฉลาเคยคิดว่าลูกหญิงของเธอคนใดคนหนึ่งน่าจะได้แต่งงานกับเผด็จผู้มีมรดกบ้านใกล้เคียงของเธอ แต่จิตรีผูกเผด็จไว้ได้รวดเร็วเหลือเกิน นี่ก็เป็นสาเหตุให้ขุ่นเคืองข้อหนึ่ง นี่คือบรรยากาศระหว่างครอบครัวที่มีสายเลือดหรือการสมรสเชื่อมโยงอยู่หลายชั้น วิชัยจึงเขม่นกานดาซึ่งกำลังเกาะแขนของเด่นแสง ข้างเด่นแสงก็กำลังครึกครื้นเพราะคิดว่าโชคช่วยเหลือจนเกินความคาดคิดของตนมาก เมื่อเขาช่วยฉุดกานดาออกมาจากกลุ่มคนได้ก่อนวิชัย เด่นแสงไม่สู้มีปฏิภาณละเมียดละไมมากนัก เขาไม่รู้ว่ากานดามิได้มากับวิชัยหรือญาติคนใดคนหนึ่งในซอยสามบ้าน เด่นแสงคิดว่ากานดาคงพลัดกับญาติมิตรหมู่นั้นชั่วคราวตามธรรมดาการไปเที่ยวดูอะไรตามกลุ่มคนยัดเยียดอย่างนั้น กานดาดึงแขนไปจริง แต่หล่อนยังยืนเคียงเขาอยู่

“ฉันยังไม่กลับราชเทวีละค่ะ ถ้าคุณเด่นจะตรงกลับบ้านเดโช ฉันจะไปหาคุณยายน้อยด้วย”

“ดีแล้ว! ผมจะกลับไปนอนบ้านสักวัน คุณอาหญิงน้อยคงอยู่โยงอย่างเคย คุณวิชัยจะไปกับเราเรอะครับ?”

วิชัยจึงเข้าใจเตลิดไปว่า เมื่อเขาไปชวนกานดามาส่งเสด็จฯ วานนี้ หล่อนก็หาทางออกเองได้ แต่เป็นวิธีผิดแปลกไปมาก หล่อนหันไปหาญาติหนุ่ม ๆ ในครอบครัวข้างแม่ซึ่งเป็นคู่แข่งคุณจำรัสและตัวเขาเองอีกด้วย วิชัยมองไม่เห็นความบกพร่องของตนที่มาปรากฏตัวอยู่ในที่ซึ่งเขามิได้บอกว่าจะมาเลย แรงริษยาหึงหวงซึ่งมีเรื่องกินใจเก่า ๆ เป็นทุนอยู่แล้วทำให้วิชัยลืมความเป็นธรรมและความเมตตาต่อหญิงคนรัก

“ผมมีนัดที่ทิพรสนี่เอง ถึงต้องมาเหมือนกัน คุณกานดาเห็นจะไม่ต้องการผู้นำทางถึงสองคนหรอก ลาละครับ!”

เขาเน้นเสียง เมื่อออกชื่อหญิงสาวเสียเต็มยศและเขาไม่พูดอะไรกับกานดาต่อไป วิชัยเดินดุ่มไปทางอาคาร ขณะนั้นรถยนต์ยังผ่านไปหาไม่ได้ เด่นแสงมองตามหลังชายคู่แข่งของตน เขาเกิดมีอารมณ์ที่จะตอบโต้ต่อไปอีก

“ดูอาการคุณวิชัยกลัวผมจะพาคุณตามไปกินกาแฟเช้าที่ทิพรสด้วยดีละ! เราก็มีสตางค์เหมือนกัน ถ้าคุณกานดาไม่รีบร้อนเหลือเกิน เราไปกินอะไรที่ทิพรสเสียก่อนก็จะดี ผมไม่มีอะไรในท้องเลย รถบุโรทั่งของผมอยู่แถวบ้านตะนาวตามคำสั่งของจราจร ยังไงก็ต้องเดินไปทางโน้นอยู่แล้ว นี่ผมไหลตามผู้คนเขามาหรอก หรือคุณจะคิดยังไง?”

เด่นแสงออกความคิดของตนก่อนแล้วก็ชอบลงท้ายด้วยคำถามแย้งอย่างนี้เสมอ ถ้ากานดาไม่วุ่นวายใจหรือตกอยู่ในที่คับขันคนเดียว หล่อนก็คงไม่ยอมอยู่ในสังคมของเด่นแสง กานดาเคยคุ้นแต่ชายที่เชื่อมั่นในความนึกคิดของตน หล่อนเคยได้ยินแต่คำขาดของวิชัย ผดุง หรือเผด็จหรือแม้แต่พันตรีตะวัน วงศ์วิโรจน์ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมา หล่อนอาจมีความคิดแย้งอยู่เหมือนกันและมีหลายครั้งที่กานดาอยากจะเป็นเสรีเหลือเกินเพื่อจะได้ใช้ความคิดและคำขาดของตนบ้าง หล่อนอยากเห็นผู้ชายเข้มแข็งรู้จักผ่อนปรน อะลุ้มอล่วยเล็กน้อย แต่กานดารู้สึกตะขิดตะขวงทุกครั้งเมื่อพบชายที่ไม่แน่ใจ แม้แต่ความนึกคิดของตัว แต่ขณะนั้นความคิดกานดากำลังยุ่งเหยิงยิ่งนัก

“มีนัด!” หล่อนครุ่นคิดคนเดียว “พี่ชัยจะนัดกับใครถ้าไม่ใช่คุณวันวิภาผู้คอยติดต่อตามเคย เขาคงนัดพบกันไว้แล้วที่ทิพรส พี่ชัยจึงไม่เอาธุระเราเสียเลยวันนี้ น่าน้อยใจจริงเชียว! เย็นวานนี้ยังทำปากหวานกับเราเรื่องดอกไม้เหมือนก่อน ๆ ทั้งที่ตัวก็มีนัดกับผู้หญิงอื่นเต็มอกอยู่แล้ว เราลองไปเตร่ดูบ้างจะเป็นไรนักหนา หนึ่งคุณเด่นก็เป็นญาติข้างแม่เหมือนกัน เราไม่ได้ไปกับคนแปลกหน้า แล้วเขาก็หิวเหมือนกับเราอยากรู้เหลือเกินว่า วรรณีกับคุณไสววงศ์หลุดไปไหนเดี๋ยวหลงหาเราตาย”

แต่ในนาทีนั้นเอง กานดาก็แลไปสบตาเพื่อนครูของตน วรรณีกับไสววงศ์ถูกเบียดไปยืนอยู่หน้ากรมโยธาเทศบาล และดูเหมือนจะเห็นกานดากับญาติชายของหล่อน แล้ววรรณีจึงโบกมือให้เพราะเห็นกันอยู่ว่าต่างก็จะฝ่าคลื่นคนเข้าไปหากันไม่ได้อีกนาน กานดาเกาะแขนเด่นแสงอีกและยกมืออีกข้างหนึ่งโบกตอบไปเป็นเชิงบอกไม่ให้หญิงทั้งสองเป็นห่วง ไสววงศ์จึงโบกตอบมาอีกครั้งหนึ่ง และหันข้างให้เพื่อหาทางกลับบ้านกันลำเพลง เด่นแสงเข้าใจว่าหญิงทั้งสองเป็นสมาชิกซอยสามบ้านที่พลัดกับกานดาจึงมิได้มองเต็มตานัก ขณะที่กานดาตอบตกลงตามความคิดของเขา

“ไปซิคะถ้าคุณเด่นหิวแล้วต้องไปหารถทางโน้น”

“แน่ไปเลย! เราจะฉลองการพบของเราให้แปลกไปเชียวนะ! คุณดาจะไม่เสียใจเลยที่ได้ผมเป็นผู้ควบคุมครั้งนี้”

“นั่นแน่ะ! โน.เค. หรือ โอ.เค. คะคุณดา? เดี๋ยวนี้เราดูเสื้อของคุณสีเข้มขึ้นทุกวัน แต่ก่อนขาวจ๋อย เมื่อเทอมต้นเห็นแต่เสื้อสีคล้ำ คราวนี้สีกรมท่าเกือบดำทีเดียวดีมาก! เมื่อกี้เรายืนอยู่ใกล้ๆ คุณ แต่คุณกำลังถูกยื้อแย่งอย่างหนักไม่หันมาดูเราเลย เวลานี้เรียบร้อยพอจะแนะนำเราเรอะยังคะ?”

ดวงหน้าขาว ๆ ของเจนจิราเต็มไปด้วยรอยยิ้มยั่วอย่างน่าประหลาด หล่อนยืนพิงราวสะพานอยู่กับหญิงอีกสามสี่คนซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน การแต่งตัวก็ค่อนข้างมากเหมือนกัน กานดาอดแสดงอาการประหลาดใจไม่ได้ หล่อนไม่เคยวี่แววเพื่อนครูผู้ช่างค่อนแคะคนนี้ แต่กานดาก็แนะนำเด่นแสงตามมารยาท หรือตามคำคาดคั้นของเพื่อนหญิง

“คนแน่นจนมองไม่เห็นใครเลยค่ะคุณเจนจิรา! นี่ญาติฉัน–คุณเด่นแสง มีศักดิ์เป็นลุง”

“เรอคะ! คุณดาช่างมีญาติเยอะแยะอยู่เสมอ–โอ! My! มีโชคดีด้วยนะคะ!”

เด่นแสงเสียรู้

“สวัสดีครับ! ผมไม่อยากเป็นลุงหรอกคุณง่า–เจนจิรา! คุณดากับผมก็ไม่เคยเรียกกันลุง ๆ หลาน ๆ หรอกครับ”

“ควรเช่นนั้น! นี่คุณจะไปทิพรสเรอะคะ? ฉันจะไปธุระที่บ้านหม้อ พี่ ๆ เขาไปดูเพชรไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนเผอิญมาติดขบวนนี่เสียเวลาเหลือเกิน เราไม่ได้ตั้งใจจะมายืนยัดเยียดอย่างนี้เลย เราไม่แคร์ใครหรอก Never keen on kings or–”

แต่กานดาปล่อยให้คนอีกหมู่หนึ่งรุนหล่อนลงไปเสียกลางสะพานพร้อมเด่นแสง เสียงลิ้นรัวและค่อนแคะของเจนจิราก็เลือนหายไปในเสียงเซ็งแซ่อื่น ๆ ที่ฟังเอาศัพท์ไม่ได้ ถึงกระนั้น กานดาก็สมัครจะฟังมากกว่า แม้แต่การถูกรุนอยู่ในระหว่างคนเดินถนนที่ส่วนมากขะมุกขะมอม และมีกลิ่นเหงื่อไคลก็ดูเป็นภาวะธรรมดาและปลอดโปร่งใจมากกว่าอยู่สุดเอื้อมแขนของพวกหญิงลิ้นรัวรอบทิศและมีร่างพราวไปด้วยแพรพรรณ และเพชรพลอยพวกนั้น

----------------------------

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ