เบื้องบนเฆมมืดครื้มโอบอุ้มไอน้ำหนักอึ้ง แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเป็นหยาดฝน อากาศกรุงเทพฯ จึงเริ่มร้อนทะลักทลายเหลือเกิน คนพระนครเริ่มรู้สึกกลิ่นอายอุณหภูมิแห่งเดือนมีนาคมเข้าแล้ว บางครั้งความร้อนคร่ำเครียดของอากาศกลับปรวนแปรไปบ้าง ตอนบ่ายบางวันมีพายุอย่างหนัก เมฆมืดครื้มถูกลมต้อนแตกไป อากาศค่อยคลายร้อนลงบ้าง ตกกลางคืนเมฆจับกลุ่มกันอีก เมื่อดวงอาทิตย์ทอแสงกล้าในตอนสาย ๆ สักหน่อย กรุงเทพฯ ก็ร้อนระอุอีกใหม่

เบื้องล่าง–ผู้อยู่ในใจกลางกรุงเทพฯ ทีเดียวและเป็นทำเลยัดเยียดอยู่สักหน่อยก็รีบหาทางกระโจนจากกรุงเทพฯ ทุกคนเมื่อเขามีโอกาสจะทำได้ดังนั้น ชนบทบ้านนอกทุ่งนาป่าเขา และชายทะเลเหล่านั้นเป็นจุดหมายอันร่มเย็นยามร้อนของคนกรุงเทพฯ ที่มีโอกาสรุดออกไปสู่ความร่มเย็นอย่างนั้นได้

ส่วนผู้ที่ไม่มีโอกาสกับเขา หรือไม่อยากจะฉวยโอกาสกับเขา ก็คงอาบไอร้อนอยู่ท่ามกลางกรุงเทพฯ เท่านั้น–แม้ว่าการอาบไอร้อนเหล่านี้ จะเป็นไปด้วยดีได้บ้างและด้วยอาการระส่ำระสายเสียบ้าง

สรุปแล้วเรื่องหลบร้อนสมัยหลังสงครามคราวนี้เป็นเรื่องของโอกาสกันจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องอารมณ์หรือเรื่องสุขภาพอนามัยเหมือนเก่า สมัยนี้โอกาสเป็นสาระสำคัญของทุกอย่าง ส่วนมากโอกาสก็คือเงิน

แต่ผู้ที่มีโอกาสก็น้อย!

ดังนั้นสมาชิกทุกคนในซอยสามบ้านซึ่งเคยหลบร้อนมาหลายปีโดยไม่ได้อาศัยโอกาสกันนัก จึงจำต้องอาบไอร้อนอยู่ภายในกรุงเทพฯเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ยอมให้โอกาสแก่ใครเลย เหตุการณ์บีบบังคับทุกคนให้เร่าร้อนอยู่เพียงภายในขอบเขตของบ้าน

นับตั้งแต่วันจรวยยื่นคำขาดของหล่อนซึ่งเป็นความลับของความหลังแก่จิตรีแล้วนั้น เหตุการณ์และบรรยากาศที่เกี่ยวกับทุกคนภายในครอบครัวของหล่อนก็มีอุปมาเหมือนอากาศกรุงเทพฯ ทุกอย่าง

มันมืดครื้มและโอบอุ้มไอน้ำหนักอึ้ง เมื่อเมฆอันมืดคลุ้มไม่เปลี่ยนแปลงเป็นหยาดฝน ถึงจะมีพายุอย่างหนักถึงฟ้าจะครึมครวญขึ้นบ้างบรรยากาศก็ยังเคร่งเครียด ร้อนทะลักทลายและมืดมัวเหมือนเก่า มันมีท่วงท่าทีเดียวว่านับวันแต่จะมืดมัวมากขึ้น!

ทุกคนคอยที! ทุกคนคอยให้เหตุวิกฤติเกิดขึ้นทั้งที่ทุกคนไม่เคยรู้แน่นอนนักว่าอะไรทำให้เขาต้องการเหตุฉุกเฉินเช่นนั้น และเขาต้องการเหตุฉุกเฉินชนิดใด

แต่เขารู้แน่นอนยิ่งนัก ว่าเหตุฉุกเฉินเช่นนั้นจะทำให้ความเป็นอยู่อย่างมืดคลุ้มและอิหลักอิเหลื่อทั้งหลายสิ้นสุดเสียที

อีกสัปดาห์เดียวเท่านั้น จรวยรู้ว่าจิตรีจะต้องส่งเงินที่ขาดบัญชีให้ครบถ้วนทุกสตางค์ แต่จรวยไม่รู้ว่าน้องสาวของหล่อนเตรียมเงินไว้พร้อมหรือยัง จิตรีไปทำงานของหล่อนเรื่อยอยู่ ธนาคารไม่มีวันหยุดฤดูร้อนเหมือนโรงเรียนกานดาเดี๋ยวนี้ แต่สมุห์บัญชีสาวสามารถปลีกตัวไปเที่ยวเตร่ตามเคยของหล่อน

จิตรีมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลยในเรื่องเที่ยว

แต่หล่อนไม่ใคร่เข้าหน้าครอบครัวของตนมากเหมือนเก่า ผู้ที่จะคอยสังเกตและคอยควบคุมให้หล่อนประพฤติตัวตามเคย ก็คือพี่สาวซึ่งมีเหตุผลพอที่จะแสร้งทำเฉื่อยชาชั่วคราว

วิชัย เชาวรัตน์ ผู้พลอยร่วมรู้สาเหตุแห่งความตึงเครียดคราวนี้โดยเผอิญนั้น ก็ไม่หาญพอที่จะแก้ไขขึ้นก่อน ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าเขาพลอยมีส่วนล่วงรู้ความลับเหล่านั้นด้วย ความลับเรื่องกำเนิดของจิตรี รัถการ ก็เลยกลายเป็นพิมพ์ผนึกปากวิชัยชั่วคราวอีก–และอาจชั่วกัลปาวสานเสียด้วย

วิชัยเห็นพ้องกับจรวยเหลือเกินว่า ความลับเรื่องนั้นเป็นความลับมาแล้วหลายปี มันจะต้องเป็นความลับเรื่อยไป

เขาไม่ประสงค์ให้ใครสักคนเดียวได้รู้ว่าเขาล่วงรู้ความลับเรื่องนั้น ทั้งนี้เนื่องจากเขายังคงถือว่าจิตรีเป็นน้องสืบเนื่องในสายเลือด เขายังรักน้องสาวเสียเหลือเกิน–น้องสาวซึ่งมีกำเนิดคลุมเครือของเขา!

ความผูกพันเพิ่มขึ้น เพราะอุปนิสัยสำคัญของจิตรีและเขาคล้ายกัน ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเขาล้อหล่อนว่า

“เอ๊ว! นักเรียนแหม่มกะปิ! แหม่มปิ! แหม่มปิ!”

“ส.ก.–เสือกุ๊ย!” จิตรีร้องตอบสั่นคอสั่นคางจนสองเปียปัดเป๋ไปมา

“แหม่มบางกะปิ กินน้ำกะทิ–”

ทันใดนั้น เด็กหญิงอายุ ๗ ปี ก็ทะยานเข้าเหนี่ยวคอเขาแน่น ห่อตัว จนหัวเข่ายันอกเอาไว้ ขณะที่หล่อนอ้าปากไล่งับจมูกและลูกคางเขาพัลวัน เท้าเล็ก ๆ ของหล่อนก็รัวลงที่ท้องและแขนขาเขาอีก จิตรีร้องกรี๊ด ๆ เหมือนลูกลิงเลยทีเดียว

วิชัยแก่กว่าหล่อนหลายปี แต่เขาก็เป็นเด็กเลือดร้อนเหลือเกิน พอถูกเท้ากระทุ้งท้องและถูกปากแดง ๆ งับจมูกมากขึ้น เขาก็เหวี่ยงหล่อนลงกับพื้น

พอได้ยินเสียงหล่อนร้องไห้โฮ ๆ เขาก็หันมาฉวยตัวหล่อนขึ้นไปอุ้มเอาไว้ เขาทำตาแดง ๆ ด้วยหล่อนแล้วก็แลกจูบกับหล่อนหลายครั้ง

รุ่งขึ้นเขาอุตส่าห์เปิดกระป๋องออมสินส่วนตัวซื้อโบแดงผูกหางเปียให้หล่อนหลาหนึ่ง!

ความเป็นญาติระหว่างเขาและหล่อนแสดงอยู่ในอุปนิสัยต่อสู้และฉุนเฉียวเช่นนี้ วิชัยไม่สามารถคิดว่าจิตรีมาจากสายโลหิตอื่นอีกได้ แต่ความลับซึ่งเป็นปรากฏการณ์แก่เขาก็คงแทรกซึมอยู่ในสติใต้สำนึกนั้นด้วย มันทำให้ความนึกคิดของวิชัยระส่ำระสายสุดขีด

เขาจึงเป็นอีกผู้หนึ่งในครอบครัวที่คอยหลบหน้าพี่น้องหนักขึ้น เขามักจะขลุกอยู่สโมสรเสียจนดึก ถ้ามีเวลาอยู่บ้านบ้างเล็กน้อย มันก็เป็นเวลานอนนั่นเอง ตลอดสัปดาห์อันอ้ำอึ้งตึงเครียดด้วยเรื่องราวหลายอย่างวิชัยจึงไม่ได้รู้เหตุการณ์ต่อมามากนัก

ขณะนี้ เขารู้แต่เพียงว่า เรื่องเงินขาดบัญชีธนาคารของจิตรี เป็นเรื่องที่พูดกันเปิดเผยภายในครอบครัวของซอยสามบ้าน

ตอนบ่ายวันเสาร์ ต้นเดือนมีนาคม ปีแปดสิบเก้า อากาศกรุงเทพฯ แทบจะเป็นอากาศที่กลั่นออกมาจากเตาหลอมเหล็กเลยทีเดียว

วิชัยเดินเหงื่อโทรมตัวขึ้นไปบนเรือนมารดาด้วยความรู้สึกเร่าร้อนไม่แพ้อากาศกรุงเทพฯ

ที่ระเบียงหน้าเรือน เต็มไปด้วยสัมภาระหลายอย่าง ผู้หญิงและเด็กรับใช้สองสามคนกำลังเรียบเรียงส้อมช้อนถ้วยชามและเครื่องอุปกรณ์การกินอื่น ๆ ลงกระบุงตะกร้ากันง่วน กานดากำลังขะมักเขม้นสำรวจทวนทีละอย่างแล้วก็ลงบัญชีเล่มหนึ่งในมือ เมื่อเขาเดินโครม ๆ ขึ้นไป หล่อนชำเลืองดูเขาแวบหนึ่งแล้วก็หันไปทำบัญชีเครื่องใช้เช่นเดิมอีก

“ช้อนกระเบื้องครบแล้วเรอะยัง?”

“ครบค่ะ!” หญิงคนใช้เช็ดเหงื่อหน้าผากด้วยมือดำเมื่อม หน้าของเจ้าหล่อนก็เลยดำมะเมื่อมมากขึ้น “คุณว่าสองร้อยเรอะคะ คุณคะ?”

“ครบ!” กานดารับรอง “แล้วถ้วยข้าวต้มล่ะ?”

“ครบค่ะ! เอ้าอีหนู เรียงลงเข่งข้างโน้น”

แต่อีหนูนั่งงง เจ้าหล่อนมองไม่เห็นเข่ง

“อ้าว! นั่นพี่ชัยนั่งบนเข่งเขานี่” กานดาแลดูโดยตรง แต่เสียงเหน็ดเหนื่อยและแกมรำคาญขึ้นบ้าง “โธ่! เดี๋ยวเข่งเขาพัง จะต้องหาใหม่มาอีกละ! ใบนึงตั้งสี่-ห้าบาท ข้างนอกนี่เกะกะ เข้าข้างในแน่ะค่ะ!”

“หิวข้าว!” เป็นเสียงขุ่น ๆ ของวิชัยขณะที่ลุกจากเข่งคว่ำอยู่ เขารู้สึกว่าในยามผู้หญิงยุ่งงานเข่งใบเดียวก็มีค่ากว่าผู้ชายเช่นเขา

“คุณป้ากำลังทำขนมแน่ะค่ะ–จะเอาไปช่วยขายที่งานเมตตากลางคืน มีอร่อย ๆ หลายอย่าง วันนี้ที่บ้านไม่มีใครเข้าโต๊ะ” กานดาออกตัวต่อไป เสียงของหล่อนเริ่มแสดงกังวานห่วงใยอย่างเก่า “นึกว่าพี่ชัยทานกลางวันจากกระทรวงเสียนานแล้ว เรอะจะให้ตั้งโต๊ะ?”

“ไม่ต้อง! ฉันไปขอคุณแม่กินเอง ที่นี่ฉันเป็นอ้ายตัวเกะกะเกินไป เดี๋ยวทำเข่งเขาพัง”

“พุทโธ่! ถ้าหิว–”

ไม่ทันที่วิชัยจะสวนควันขึ้นอีก จรวยถือร่มออกมาจากห้องข้างหลังร้องว่า

“พ่อชัยหิวข้าวอีกคนละซิ! มา–ไปกินกับพี่! คุณผดุงหิ้วท้องกลับมาเหมือนกัน เมื่อเช้าก็บอกแล้วว่าเสาร์นี้จะยุ่งยังไงล่ะ ให้ไปหากลางวันกินเองเอานอกบ้าน จะไม่ตั้งโต๊ะตามเคย กลายเป็นคนดีกลับมากินกลางวันบ้านเป็นแถวทีเดียว”

ผดุงเดินออกมาทันได้ยินประโยคสุดท้ายที่เมียพูดพอดี

“ผู้หญิงนี่ยังไง! ไม่กลับมากินก็เอ็ด กลับมากินก็เอ็ด อ้ายเราหมายว่าวันนี้ลูกเมียจะให้พาไปงานแต่งตัวตอนค่ำ ก็เลยรีบกลับ ไม่งั้นไปปัทโมสุโขอยู่สโมสรเสียแล้ว เรอะจะไม่ให้พาไปงานแต่งตัว–”

“ตายแล้ว–ลูกช้าง!” จรวยร้องเอ็ดอึง และคนอื่น ๆ อ้าปากไปหมดแม้แต่ ‘อีหนู’ ซึ่งกำลังนับถ้วยชามเรียบเรียงลงเข่ง “งานแต่งตัว! ใครบอกว่าเราจะไปงานแต่งตัวตอนค่ำ”

“คุณแหละ!” สามียืนยันอยู่อีก “ก็ที่ยุ่งอยู่สักสองเดือนได้แล้ว ยังยุ่งอยู่เดี๋ยวนี้น่ะ ไม่เพราะเตรียมจะไปงานแต่งตัวที่สวนอัมพรเรอะคุณ”

“ก็ใครเขาเรียกแผลง ๆ เหมือนยังคุณล่ะคะ! แหม! งานแต่งตัว!”

ผดุงมองสบตาอันเคร่งเครียดของวิชัยก็ยิ้มแหยอย่างขอความช่วยเหลือเล็กน้อย

“เธอเรียกงานยังงี้ว่าไงนะวิชัย?”

“งานแต่งตัวน่ะแหละครับ”

เขามองเห็นหางตาหญิงสาว ซึ่งก้มจดอะไรต่อมิอะไรอยู่ ตวัดมาทางเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงมีเสียงอ่อน ๆ คัดค้านขึ้นว่า

“พิลึกเหลือเกิน! พี่ชัยชวนคุณพ่อแผลง ๆ อีกแล้วใคร ๆ เขาก็เรียกงานยังงี้ว่างานเมตตาบันเทิงทั้งนั้น”

“เมตตาบันเทิงที่ไหนกัน” ชายหนุ่มฉวยโอกาสค้านขึ้นอีก แต่คราวนี้เสียงของเขามีกังวานอ่อนโยนอยู่มาก “พวกผู้หญิงยุ่งงานเมตตา แต่ปล่อยให้พวกผู้ชายหิวท้องแขวนเข้าแล้ว”

“พิลึก! จรวยพูดอย่างอารมณ์ดีด้วยเหมือนกัน “ก็กำลังนิมนต์ให้ไปทานที่โน่น นี่คุณชัย! ถ้าเธอขืนเรียกงานเมตตาบันเทิง ว่างานแต่งตัวต่อไปอีก พี่จะปล่อยให้อดข้าวคนเดียว”

“คุณใหญ่อย่าพาโลเลยน่ะ” สามีจรวยรีบห้าม “ไปกินข้าวกันทีเถอะคุณ งานอะไร ๆ มันก็ต้องแต่งตัวเต็มที่รึใครเคยจะเคยจ้ำบ๊ะไปเที่ยวงานงี้มั่ง”

คราวนี้หญิงคนรับใช้ทั้งผู้ใหญ่และดูเหมือนจะเข้าใจแจ่มแจ้งดี พวกเจ้าหล่อนเคยไปเที่ยวงานวัด สมัยเสื่อมศีลธรรมที่อุดมด้วยระบำจ้ำบ๊ะแบบต่าง ๆ ตอนนี้ ส่วน ‘อีหนู’ นั้นเล่า เคยมีความรู้เรื่องจ้ำบ๊ะกว้างขวางขึ้นอีกเพราะอ่านเกร็ดการ์ตูน ตามปกหลังหนังสือพิมพ์ที่บรรยายเรื่องจ้ำบ๊ะบ่อย ๆ ดังนั้น พอขาดคำคุณผู้ชายพวกคนรับใช้หญิงผู้ใหญ่และหญิงเด็กซึ่งสำรวมกิริยาอยู่นานตามวินัยเก่ากันนั้น ก็พากันแตกคอกด้วยเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กกันขึ้น

“ขวาง! คราวนี้ถึงเรื่องเอาสีข้างเข้าถูเท่านั้น!” จรวยรีบเอ็ดรวม ๆ เลยทีเดียว และเอ็ดอย่างไม่มีน้ำหนักมากเหมือนปรกติ การที่ระเบียบวินัยเก่าเกิดแตกคอกคราวนี้ก็เนื่องจากสามีของหล่อนเริ่มขึ้น คนรับใช้รู้ดีด้วยเหมือนกันว่า ‘คุณใหญ่’ ย่อมจะอึงกันมากไม่ได้ ดังนั้นแม้พวกเขาต้องเลิกกิ๊กกั๊กกันหมดก็ยังมีอมยิ้มแย้มอยู่ประปราย “ไปทานข้าวเถอะค่ะ”

จรวยรีบตัดบท กางร่มกระดาษดังพึ่บแล้วก็ลงบันไดดังปับ ๆ ไปก่อน ผดุงเดินตาม แต่เหลียวหลังมาพูดด้วยเสียงเอื่อย ๆ อีกว่า

“วิชัยถ้าจะหมดอยากเสียแล้วละซิ”

จรวยหันมาเห็นน้องชายยังยืนเกะกะอยู่ใกล้ ๆ กานดาดังนั้น จึงรีบพูดเท่าที่คิดขึ้นได้เดี๋ยวนั้น

“พ่อวิชัยช่วยทีเถอะน่ะ ช่วยขึ้นไปตามตัวจิตรีลงมาหน่อย ไหนว่าวันนี้จะบอกพี่ให้รู้เรื่องบ้านใหญ่ที่เขาขอจัดการของเขาเอง จะไปพบคุณเผด็จที่บ้านพี่ได้ก็ดี วันนี้เขามาพักผ่อนอยู่ที่บ้านแน่ะ แล้วเธอรีบตามไปนะ”

ไม่มีเสียงตอบจากวิชัยเช่นเคย ผดุงมองดูน้องเมียกับบุตรสาวเสียนิดหนึ่งก่อนเดินตามจรวยลงไป

“ขัดคอ!” บิดาผู้ยังหนุ่มมากเหมือนพี่พึมพำพอได้ยิน

ถ้อยคำของผดุงอาจหมายความว่า เมียของเขาขัดคอเรื่องกินข้าวของวิชัยหรือขัดคอเรื่องอื่นอีกก็ได้ โดยเฉพาะเรื่อง กานดา ดิเรกกุล ก็ได้

ดังนั้นจรวยจึงรีบเดิน กานดาก็ยังคงขะมักเขม้นอยู่กับบัญชีถ้วยชามเช่นเดิม ดูราวกับว่าในโลกอันเร่าร้อนเวลานี้ไม่มีชายหนุ่มหน้าบึ้งแบบวิชัยยืนคอยให้หล่อนเกิดความสนใจเขาขึ้นบ้าง หล่อนไม่กล้าชำเลืองตาขึ้นจากกระดาษดินสอในมือเหมือนกัน

วิชัยจึงผละเข้าไปในเรือนเลยทีเดียว กานดาได้ยินเสียงฝีเท้าเขาขึ้นบันไดดังก้อง

“แม๊–! หมายความว่าใครขึ้นมากวน!”

เสียงทุ้ม ๆ ทักเขาขึ้นก่อน เมื่อสำเหนียกเสียงทุ้มทักขึ้น ความรู้สึกยุ่งเหยิงอยู่ขณะนั้นก็ค่อยคลี่คลายขึ้นบ้าง วิชัยเช็ดเหงื่อ ละลานตาด้วยสีสรรเสื้อผ้าซึ่งกองอยู่กับพื้นแขวนอยู่ในตู้เต็มราวและปกคลุมสรรพางค์กายหญิงผู้หนึ่งหน้าโต๊ะสำอางอีกด้วย

โต๊ะเครื่องแป้งมีกระจกเจียระไนหนึ่งชุด กระจกทั้งสามบานสูงท่วมศีรษะและทำเป็นบานพับลงมาเกือบถึงพื้น ตัวโต๊ะเป็นเพียงแป้นบาง ๆ กระหนาบกระจกเตี้ย ๆ ตอนหน้า บนแป้นปูด้วยกระจกเงาและวางเครื่องใช้แต่งโฉมไม่กี่ชิ้น โต๊ะเครื่องแป้งนี้ตั้งอยู่นอกห้องลับแลริมหน้าต่างตรงข้ามประตูห้องนอนชั้นนอกนั่นเอง ติดฝาห้องตรงข้ามตั้งตู้เสื้อผ้าของสองข้างประตูตอนนั้น เป็นของกานดาและจิตรีคนละหลัง แต่ละหลังมีบานตู้เป็นกระจกเจียระไนที่เก่าแก่กว่ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเป็นอันมาก

เมื่อวิชัยโผล่เข้าไปยืนอยู่ในห้อง เขาจึงยืนอยู่ระหว่างกระจกเงาบานใหญ่ ๆ อย่างเต็มที่ กระจกทั้งห้าบานฉายให้เห็นเครื่องแต่งห้องสีสรรเสื้อผ้า ภาพจิตรีลองเสื้อรวมทั้งดวงหน้าบึ้งตึงของวิชัยเองอีกแล้ว มันเป็นภาพสะท้อนทั่วไป

เขาเดินหลีกรองเท้าเต้นรำหลายคู่เข้าไปนั่งบนม้าตัวหนึ่งหน้ากระจก

“คืนนี้แต่งสีนวลนั่นเรอะ?”

“ไม่แน่นักค่ะ” ดวงตาโตกลมแต่อยู่ในเบ้าซึ่งมีรูปเรียวยาวอย่างประหลาดมีแววว่าตรึกตรองเต็มที่ “ลังเลแล้วค่ะ! งานสามัญคืนนี้จะว่าเป็นงานบรรดาศักดิ์เกือบเหมือนงานศิวาลัยหรืองานราตรีกึ่งราชการก็ได้ น้องเลยอยากจะแต่งแบบไทยแท้ทีเดียว ไม่งั้นถ้าใช้แบบราตรีสากลเกือบทุกอย่างก็อยากแต่งขาวล้วนหรือดำล้วนเลยทั้งตัว แต่น้องยังรักเสื้อสีเสียจริง ๆ อยากใส่สีอ่อน ๆ ให้ถูกพิธีเท่านั้นแต่น้องมีแต่เสื้อสีแก่เกินไปเห็นจะต้องลากสีขาวหรือดำล้วนเลยอย่างว่า จืดจะตาย! ถ้าขอยืมสีนวลของคุณดาได้ละก็–”

พี่ชายของหล่อนรีบขัด

“แล้วเจ้าของเขาจะได้อะไรแต่งล่ะ?”

“ฮื้อ! คุณดาแต่งสีแก่ ๆ ก็ได้ ขาวจ่อยจะตาย! แต่งสีแก่จะได้ช่วยให้คมคายขึ้นมั่ง”

จิตรียังพิจารณาเสื้อสีนวลแน่วอยู่ วิชัยขมวดคิ้วขัดว่า “ตัวน่ะแหละขาวมากเหมือนกัน”

“แต่น้องไม่ขาวซีดสักหน่อย แล้วผมน้องก็ดำสนิทกว่าผมคุณดาด้วยซิ”

“สวยละ! เลือกได้เลือกเอา! ก็อ้ายเสื้อสีนวลตัวนี้น่ะของกานดาหรือของน้องกันแน่?”

ตอนนี้ปรากฏกระแสเสียดแทงอยู่ในน้ำเสียงวิชัยชัดเจน จิตรีเหลียวมาพบสายตาขุ่นเคืองของพี่ชาย นัยน์ตารูปเรียวยาวอย่างประหลาด ก็พลอยขุ่นเคืองขึ้นบ้าง

“พิก๊ล! ก็ใครเขาว่าเป็นของเราล่ะคะ รู้แล้วว่าเสื้อสีนวลนี่ของ–”

“ของฉันเอง!” เสียงแจ่มใสสอดขึ้นที่หน้าประตูห้องนอนนั้นอีก

ด้วยกำลังเพ่งอารมณ์ขุ่นเคืองเข้าใส่กัน วิชัยกับจิตรีจึงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ แบบกานดาหรือแม้แต่สังเกตเห็นเงาในกระจกเจียระไนนั้นเพิ่มขึ้นด้วยหน้าขาว ๆ ที่ค่อนข้างซีดสักหน่อย กราดไปด้วยยิ้มอย่างอ่อนหวาน

“ก็นั่นน่ะซิ!” จิตรีรีบย้ำ “เสื้อสีนวลนี่คุณดาใส่เสียเก่า ใคร ๆ ก็จำได้ว่าของคุณดา แต่พี่ชัยเกิดอยากรู้ว่าใครเป็นเจ้าของขึ้นมาเมื่อกี้”

“เสื้อสีนวลนี่เหมาะกับผิวน้องดาดีจริง” วิชัยชิงตัดบท “คืนนี้น่าจะแต่งสีนวลนี่มาก” ดวงหน้าที่ค่อนข้างดีของกานดาสีแดงเรื่อ

“เรอะคะ–?”

“เธอแต่งสีเขียวของฉันซิ จะได้ดูเข้มขึ้นหน่อย” จิตรีเริ่มสอดเสียงขุ่น “คืนนี้ขอยืมสีนวลฉันใส่เสียเถอะ”

“หน้าอกกับเอวไม่คับปึ๋งไปเร้อ–เราอ้วนออกจะตาย?” ดูเสื้อสีนวลนั่นเล็ก

“เซี้ยว! ส่วนนั้นของเราเกินกว่าของคุณดาไม่ถึงครึ่งเซ็นต์ซ้ำไป! ผิวฉันไม่ซีดก็เลยดูอ้วนกว่าคุณดาได้มาก ๆ ที่แท้เราแลกเสื้อกันใส่เสมอแหละ”

วิชัยเปลี่ยนวิธียุทธอย่างใหม่ แต่เขารู้ว่าเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำให้จิตรีระส่ำระสายเสียบ้าง

“เขารู้หรอกน่ะ! โดยมากเราก็แลกไปใส่เสียข้างเดียวได้เสมอไม่ใช่เรอะ”

จิตรีร้องว่า

“พี่ชัยคะ! ใครเป็นคนจะใส่เสื้อสีนวลตัวนี้ พี่ชัยหรือน้องแน่คะ! คุณดา! ฉันขอยืมคุณดาได้ไม๊?”

กานดาเกือบจะหลุดปากไปว่า “ได้” เดี๋ยวนั้น ก็พอดีแลไปสบสายตาเคร่งเครียดของวิชัย เขาอยากเห็นหล่อนสวมเสื้อสีนวลคืนนี้ และคืนนี้ก็เป็นคืนหนึ่งในจำนวนน้อยคืนที่กานดาจะได้มีโอกาสสวมเสื้อซึ่งวิชัยชมว่าสวยสักครั้ง คืนของหล่อนไม่เคยมีมากเหมือนจิตรี หล่อนว่า

“เสื้อเขียวของเธอไม่แปร๊ดไปเรอะ–สำหรับเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทแบบนี้? ไหนว่าเสด็จฯ กลับจาก ‘ไกลกังวล’ วานนี้ แล้วเลยเสด็จงานกุศลสันนิบาตคืนนี้แน่ ๆ นั่นแหละ!–ฉันก็อยากใส่เสื้อสีอ่อน”

กานดาไม่ใคร่คัดค้านใครมาก และไม่เคยคัดค้านจิตรีเรื่องเสื้อ แม้เสื้อนั้น ๆ จะเป็นสมบัติของกานดาอีกด้วย ดังนั้น เมื่อกานดาพูดเป็นเชิงคัดค้านขึ้นมา จิตรีจึงเริ่มรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและกานดาได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว

มันเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับความหลัง อันลี้ลับและขมขื่นของหล่อน!

ความหลังของ ‘แหลมเหลือ’ ซึ่งเป็นเหตุให้จรวยรื้อฟื้น ความหลังของกำเนิดกาลกิณีนั้นขึ้น จะยังคงเป็นความลับหรือเปล่า? ผู้ที่รักเหล่านี้–กานดา วิชัย คุณจำรัส และผดุงยังไม่เคยระแคะระคายถึงเรื่องลี้ลับเหล่านั้นหรือ?

จิตรีรู้สึกว่าเขาเหล่านั้นยังไม่รู้อะไรมาก แต่เมื่อภาษิตซึ่งกล่าวว่า “ความลับไม่มีในโลก” ยังเป็นที่เชื่อถือทั่วไป ความลับของหล่อนก็ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าวางใจจนตาย ถึงผู้ที่รักของหล่อนเหล่านี้ยังไม่รู้อะไรลึกซึ้ง กระแสสัญญาณอย่างหนึ่งในห้วงคิดคนเราซึ่งคอยสำแดงเหตุการณ์ก่อนสมองมักจะเป็นผู้สื่อข่าวขึ้นเอง เป็นที่แน่นอนอย่างหนึ่งว่า ในความเป็นอยู่อย่างบัดนี้ ครอบครัวของหล่อนจะต้องพากันเดาผิดเดาถูกทั่วไป

บางครั้งคงจะมีการเดาสวดสักหน่อย! นี่เองทำให้จิตรีร้อนตัว มีความคิดหวาดระแวงและครุ่นกังขาขึ้นด้วย ดังนั้น จิตใจจิตรีก็เหมือนถูกบีบคั้นให้ยอกแสยงอยู่เสมอ มีความรู้สึกไวแม้กับเหตุการณ์เล็กน้อยหนักขึ้น

พอขาดคำของกานดา จิตรีเหลือบเห็นวิชัยอมยิ้มอย่างไม่รู้ไม่ชี้เช่นเคย เขาชนะในเรื่องเสื้อสีนวลนั้นแล้ว! ซ้ำร้ายเหลือเกินก็คือเขายิ้มกับกานดาอย่างอบอุ่นอีกด้วย ดูเหมือนว่าภายในห้องนั้นไม่มีจิตรีเลยสักคน

หัวใจอันคับคั่งของจิตรีก็หลุดจากแหล่งสำรวมสติตูมใหญ่

ปากแดงเต็มแต่กว้างเกินไปเม้มเข้า นัยน์ตาเรียวยาวอย่างประหลาดมีประกายเกิดขึ้น เสียงทุ้มที่เปล่งออกมาจากลำคอของจิตรีเริ่มแหลมและเสียดสีสุดขีด

“น่าเอ็นดู๊ คุณดา! พอคุณพี่ชัยชอบสีนวลเท่านั้นคุณน้องก็รับรองเป็นปี่เป็นขลุ่ยขึ้นเลย คุณพี่ท่านอยากให้คุณน้องดาสวยเสียคนเดียว เช้อ–! ลำเอียงออกโต้ง ๆ”

กานดาได้สติก่อนวิชัยเช่นเคย

“เขาคงไม่หยุมหยิมยังงั้นหรอก” หล่อนกลบเกลื่อนด้วยเสียงค่อนข้างสั่นสักหน่อย “พี่ชัยออกความเห็นตรง ๆ ตามซื่อ แล้วก็–เขาเป็นพี่ชายคุณจิตรีมากกว่าเป็นพี่ชายฉันอีก ฉันเป็นแค่–”

“น้องในฝัน!” เสียงจิตรีระรัวด้วยกังวานหัวเราะเย้ยอยู่ด้วย “น้องในไส้ก็สู้ไม่ได้เดี๋ยวนี้” หล่อนเชิดคางประชดวิชัยเช่นเคย ทุกครั้งที่หล่อนขุ่นเคืองเขามาก “เด็กคนนี้ไม่ใช่น้องนะคะ!”

ทุกครั้งเขาเคยขยี้หัวหล่อน และยืนยันอยู่เสมอว่าหล่อนเป็น ‘น้องรัก’ ของเขาคนเดียว แต่คราวนี้ความรู้สึกของวิชัยปั่นป่วนมาแล้วหลายวัน ทั้งที่เขายังรักจิตรีเหลือเกิน และคราวนี้เขาเพิ่งเห็นจิตรีรุกรานกานดาโดยตรงในเรื่องเกี่ยวดองดังนั้น อารมณ์ของเขาสั่นสะเทือนด้วยเสียงสั่นเครือของกานดา

“ก็ไม่ใช่น้องน่ะซิ! หัวหายที่ไหนมาก็ไม่รู้!”

เขาประชดโดยมิได้ตั้งใจจนนิดเดียว แล้ววิชัยและกานดาก็เตรียมคอยดูจิตรีร้องไห้ ทั้งสองวิตกว่าจิตรีจะต้องตรงเข้าไปหยิกข่วนวิชัยเช่นเคย แล้วเรื่องทะเลาะหยุมหยิมอย่างเด็กก็คงจะเรียบร้อยลงได้ดังเก่า เมื่อวิชัยปลอบโยนอย่างเก่า

แต่ทั้งสองคาดผิด!

หญิง ‘หัวหาย’ ตามถ้อยคำของวิชัยยืนตัวแข็งคล้ายกับถูกตอกตรึงติดพื้น ดวงหน้าอิ่มเอิบด้วยสายเลือดสลดลงจนแลดูซีดขาวคล้ายเป็นลม นัยน์ตาตื่นตะลึงแทนที่เคยกราดเกรี้ยวมาก่อน แววอ้างว้างวูบวาบในดวงตาตื่นนั้นเป็นแววอ้างว้างแบบเดียวกับที่เกิดแก่ตาเด็ก ซึ่งผวาตื่นจากฝันร้าย แล้วคว้าไม่พบวงแขนของแม่ นัยน์ตาซึ่งมีแววอ้างว้างไม่มีน้ำตาแต่สักหยด!

กานดาผู้มีมารยาทสะทกสะเทิ้นทุกอย่าง–กานดาผู้มีอายุเพียงยี่สิบเศษสักหน่อย และแก่กว่าจิตรีสองสามเดือนด้วยนั้นได้ก้าวเข้าไปยืนอยู่ข้างจิตรีด้วยอิริยาบถแบบหล่อน แขนขาว ๆ ของกานดาโอบไว้เบื้องหลังสะเอวจิตรีด้วยท่าทางของแม่มากกว่าพี่หรือเพื่อนผู้หนึ่งเท่านั้น

นัยน์ตาอ่อนโยนที่เคยยิ้มอย่างฉับไว มีแววหม่นหมองและติเตียนต่อว่า

“พี่ชัยช่างปากร้ายเหลือเกิน!” กานดากล่าวคำที่ไม่เคยกล่าวแก่วิชัย “เดี๋ยวนี้นะไม่ค่อยมีเยื่อใยกับน้องเหมือนก่อนกันแล้ว ไปจมอยู่สโมสรเสียทุกวัน หรือไปไหนมาไม่รู้–แล้วมาเกรี้ยวกราดกับน้อง! นี่คุณใหญ่วานให้มาตามคุณจิตรีลงไปทำธุระเรื่องบ้านใหม่เมื่อกี้กลับมาพูดเรื่องร้อยแปดไปเสียหมด ไม่เห็นบอกน้องสักนิด แล้วนี่ไม่หิวข้าวเรอะคะ! คนอะไร–”

เป็นครั้งแรกที่กานดาได้พูดยืดยาวและยอกย้อนอย่างนี้ มันเป็นการกระทำที่ฝืนนิสัยเสียเหลือเกิน กานดาพูดจบจึงเลยน้ำตาร่วงลงอาบแก้มก่อนจิตรี! แต่หล่อนรีบเช็ดเสีย

วิชัยถูกรุกรอบด้านดังนั้น จึงได้สำนึกว่าเขาไม่ควรเข้าไปแทรกแซงเสื้อสีนวลหรือเรื่องอารมณ์ของผู้หญิงอย่างใดเลย

“คุณเผด็จอยู่ที่เรือนคุณใหญ่ น้องจิตรีจะไปพูดกับเขาเองอีกไหมล่ะเรื่องบ้าน?”

วิชัยฉวยเรื่องกิจธุระขึ้นพูดพอรอดตัวตอนนั้น

จิตรีมิได้โต้ตอบแต่สักคำ หล่อนปลดแขนของกานดาที่โอบสะเอวออกเสีย เดินไปหยิบซองขนาดใหญ่มาจากโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วนั่งลงบนม้าเหมือนเก่า

“น้องเขียนข้อตกลงใหม่หมดแล้ว” หล่อนวางซองบนโต๊ะตรงหน้า “นี่ไงคะ พี่ชัยช่วยเอาไปให้–เขา–ดูก็ได้”

กานดาแข็งใจเตือนตอนนี้อีก

“อาเผด็จกลับมาเรือนหลายวันแล้ว ไม่ลองไปพบปะเขาเสียเลยหรือคะ ต่อไปจะได้จัดการกันเอง คุณจิตรียังไม่ได้พบอาเผด็จกับใครเขาเลย”

จิตรีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็สั่นศีรษะเสียอีก

“ไม่มีเวลาเลยค่ะ ฉันคิดว่าไม่ต้องรู้จักอา–เอ้อ–คุณเผด็จก็ได้ เพราะเราคงไม่ต้องมีเรื่องเกี่ยวกันอีกหรอก”

“ทำไมล่ะ?” วิชัยช่วยซัก “คุณเผด็จบอกพี่ว่า เขาจะเช่าเรือนหลังใหญ่อยู่อีกนาน คนอยู่ใกล้เคียงแค่นี้น่าจะคบค้าเขาไว้ แล้วเขาเป็นอาน้องดา เราก็ควรนับเขาเป็นญาติอยู่บ้าง”

“แต่–” จิตรีสวนควันขึ้นเสีย “น้องไม่มีญาติอยู่แถวนี้หรอกค่ะ”

กานดามองวิชัยด้วยแววตาติเตียนตอนนี้อีก แล้วจึงแก้ไขขึ้นว่า

“ช่างเถอะค่ะ–เรื่องญาติอย่างงั้น! น้องเองก็ไม่คุ้นเคยเขาหรอก แต่นี่ในฐานที่เขาเป็นคนเคยเช่าบ้านแล้วยังจะอยู่อีกนาน คุณจิตรีก็ควรติดต่อตามธรรมเนียมเท่านั้น”

“เขาคงไม่อยู่นาน ถ้าเขาได้อ่านสัญญาใหม่หมดแล้ว” หญิงสาวสอดขึ้น “พี่ชัยช่วยเอาซองนั่นไปให้เขาทีเถอะค่ะ น้องจะต้องยุ่งหาเสื้อใส่อีก”

“ก็ใส่เสื้อสีนวลนั่นแหละ” กานดาอนุญาตอย่างจริงใจ “ฉันจะใส่เสื้อสีขาวของฉัน”

จิตรีปฏิเสธเสียงเย็น “ฉันก็จะใส่เสื้อสีขาวของฉัน”

ดวงหน้าบุคคลทั้งสามในกระจกเจียระไนหน้าห้องแสดงถึงความรู้สึกเจ็บใจจนเห็นชัด เขาทำร้ายความรู้สึกกันและกันเป็นครั้งแรก จนเจ็บปวดไปด้วยกันก็เพราะเขารักกันเกินไป ท่ามกลางความโกลาหลแห่งชีวิต

ชั่วโมงต่อมา วิชัยต้องนั่งหน้าขรึมอยู่ในห้องรับแขกของจรวยภายหลังอาหารกลางวัน และเมื่อเขาพากันอ่านข้อเรียกร้องใหม่ของจิตรีเรื่องค่าเช่าบ้านของหล่อนโดยทั่วถึงทุกคนแล้ว

หาจรวยไม่พยายามปิดบังความผิดคาดของตน

“ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ว่า แม่น้องสาวฉันจะเปลี่ยนโปรแกรมกันยังงี้ จริง ๆ นะคุณเผด็จ เด็กสมัยนี้ออกจะแก่เกินไป ฉันจะต้องว่ากล่าวกันใหม่”

ชายที่นั่งอยู่ข้างขวาของหล่อนพูดด้วยเสียงรื่นเริงเล็กน้อย

“เด็กสมัยปรมาณูนี่ครับ อย่าไปว่ากล่าวแกเลย แกคงจะไม่อยากให้ผมเช่า ถึงได้ขอเปลี่ยนแปลงสัญญายังงี้ เรื่องค่าเช่าผมพอจะคิดสู้ ถ้าคิดถึงว่าจะได้อยู่ใกล้คุณใหญ่กับคุณพี่ผมด้วย สะดวกดีเหลือเกิน แต่ถ้าคิดว่าเจ้าของเขารังเกียจ ก็ไม่ควรยอมทำสัญญายังงี้ –ควรไป–”

“รังเกียจกันเรื่องอะไรล่ะพ่อ?” ผดุงค้านขึ้นบ้าง “คนไม่เคยรู้จักกัน จะรังเกียจกันก็แปลก เด็กคนนี้ก็ไม่เคยเป็นคนขี้ตระแหน่นะวิชัย”

“น้องสาวผมเป็นคนใจคอกว้างขวางคนหนึ่ง” วิชัยช่วยแก้ “ถึงจะไม่สู้รอบคอบกับเขานัก นี่แกคงเข้าใจผิดหรือไม่ก็เชื่อมั่นว่า แกทำถูกเท่านั้นเอง ถ้าช่วยกันชี้แจงจนเข้าใจแล้วจิตรีคงไม่รั้นหรอกคุณ”

ทันใดนั้นนัยน์ตาคมของเผด็จมีประกายเกิดขึ้น เขาหันไปทางจรวยแล้วพูดโดยไม่อิดเอื้อนอีกเลย

“อย่าไปรบกวนแกดีกว่า พวกเราควรเคารพสิทธิเจ้าของเขาบ้าง ไม่งั้นดูจะเป็นเราเกะกะเกินไป ตกลงครับคุณใหญ่! ช่วยบอกคุณ–เอ้อ–ผมยังไม่ได้พบน้องสาวสักที ชื่ออะไรนะครับ?”

“จิตรีค่ะ! หมู่นี้เขายุ่งอยู่สักหน่อย ไม่ใคร่ได้มาบ้านนี้นานแล้ว”

จรวยรู้สึกว่าน้องผัวผู้นี้ออกจะเป็นคนเข้าใจยากอยู่ไม่น้อย ครู่หนึ่งพ่อค้าคนนี้อิดเอื้อนต่อสัญญาใหม่ด้วยเหตุผลพอเพียง แต่ต่อมาอีกครู่หนึ่งเท่านั้น เขากลับยอมเสียเปรียบไปเฉย ๆ ด้วยเหตุผลพอเพียงอีก

น้องชายต่างมารดาของผดุง ดิเรกกุล ดูเหมือนจะเป็นคนค่อนข้างแปลก

“เอาเถอะครับ” เขาย้ำอย่างเดิม “บอกคุณ–คุณจิตรีว่าผมตกลงเลยทีเดียว”

เพิ่มค่าเช่าเดือนละห้าร้อยเป็นแปดร้อย! แป๊ะเจี๊ยะสามพันก็แพงเกินไปสำหรับที่เรียกร้องอย่างวิตถารทุกอย่าง คุณเข้าใจข้อความในสัญญาใหม่ตลอดแล้วเรอะคะ?” จรวยรีบซัก

“ครับ”

“เขาบังคับให้คุณทำสัญญาเช่าถึงสองปีเป็นอย่างน้อย แล้วยังขอให้ชำระล่วงหน้าสำหรับสองปีพร้อมกับแป๊ะเจี๊ยจึงจะได้ คุณจะยอมเสียเงินตั้งสองหมื่นเศษ เพราะตึกเล็ก ๆ หลังนี้แน่เรอะคะ?”

น้องผัวของจรวยยังยืนอยู่ว่า “ครับ”

“คุณเป็นพ่อค้า คงจะรู้ดีว่าค่าของเงินอาจจะแปรปรวนไปเสมอ อีกสองปีค่าเช่าบ้านในกรุงเทพฯ อาจจะลดลงเท่าระดับเดิมได้อีก คุณมิเสียเงินค่าเช่าที่ต้องชำระล่วงหน้าเปล่า ๆ ไปเรอะ ฉันเป็นผู้ใหญ่อยู่ที่นี่ คุณเผด็จก็ไม่ใช่คนอื่น ฉันหนุนน้องสาวให้ขูดเลือดคนกันเองไม่ลงหรอกค่ะ เว้นแต่คุณเต็มใจจะถูกขูด”

“ครับ! ผมเต็มใจจะถูกขูด” เขารับรองด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย เพราะผมได้ขูดคุณใหญ่อยู่เสมอ ผมไม่ต้องหาแม่บ้านลำบากถ้าอยู่ที่นี่”

ผดุงสังเกตเห็นว่าน้องชายตกลงแน่นอนดังนั้นจึงพลอยตัดบทให้เรื่องสั้นเสียเลยว่า

“เห็นไหมล่ะ! คุณใหญ่อย่าไปสงสารพ่อค้าเขาเลย เขาคิดต้นทุนกำไรหมดแล้วละคุณ ถ้ามันเกินเลยไปบ้างเผด็จเขาคิดถัวให้เป็นค่าสมนาคุณแม่บ้านแบบเยี่ยมอย่างคุณที่คอยช่วยเหลือไงล่ะ”

จรวยได้ฟังคำเยินยออย่างนั้นก็ไม่อาจโต้แย้งอยู่อีก หล่อนอมยิ้มอยู่ในหน้า ส่วนวิชัยก็รู้สึกปลอดโปร่งไปด้วย เขาคิดไปไกลกว่าจรวยเพราะเขารู้จักจิตรีอย่างถ่องแท้กว่าจรวยหลายเท่า

โดยการขูดค่าเช่าเช่นนั้น จิตรีก็จะได้เงินมาชดใช้เงินขาดบัญชีธนาคารของหล่อน

ทันใดนั้นมีใครคนหนึ่งโผล่เข้ามาในห้องรับแขกโดยไม่ให้เสียงสักนิดเดียว

“คุณใหญ่คะ! ขอยื้ม–”

จิตรีเริ่มขอยืมอย่างเคย แต่ยั้งไว้ทันเมื่อเห็นคนแปลกหน้าในห้อง จรวยรีบบอก

“นี่คุณเผด็จไงล่ะ–จิตรี คุณเผด็จยอมตกลงทำสัญญาใหม่หมดละน้อง ทั้งที่เป็นสัญญาหยุมหยิมยังงั้น”

จิตรียืนตัวแข็งครู่หนึ่ง นัยน์ตาตื่นกลัว! ครั้นแล้วดูเหมือนหล่อนจะระงับความรู้สึกเสียได้

จิตรีก็ไหว้เขาพอเป็นกิริยาปฏิสันถารเท่านั้น เขายิ้มตอบหล่อนเล็กน้อยในเมื่อเขาควรจะรับไหว้สภาพสตรีตามธรรมเนียม

“ขอบใจที่คุณจิ–ต–รี” เผด็จลากเสียงสักหน่อย “ยอมให้ผมอยู่เรือนหลังนั้น”

จิตรียืนเกาะเก้าอี้ข้างประตูตอบว่า

“ดิฉันกลับใจเสียแล้วค่ะ ถ้าคุณเห็นว่าดิฉันเรียกร้องหยุมหยิมยังไงก็มีคนอื่นเต็มใจจะเช่า คุณสุชาย ชัชวาลไงคะ คุณใหญ่–”

“อุ๊ย อีตาเสี่ยไม้ซุงแถวท่าบอเนียวน่ะเรอะ! โอ๊ย! ไม่เอาแล้วขี้เกียจฟังเสียงล้งเล้งรอบบ้าน บอกเลิกเขาไปเถอะน้อง”

จิตรีตอบสายตาคมของเผด็จดังนี้

“คุณเผด็จไม่เต็มใจจะเช่า”

“ผมเต็มใจจริง ๆ แล้ว ไม่ยอมให้คุณเปลี่ยนแปลงไปอีก”

“ฉันก็ไม่ยอมให้เปลี่ยนแปลงไปอีกละ” จรวยรีบตัดบท “เอาเป็นตกลงแน่นอนนะคะคุณเผด็จ เมื่อกี้จะเอาอะไรเรอะน้อง?” หล่อนถามน้องสาวเสียใหม่

จิตรีรู้ว่าหล่อนไม่มีทางโต้แย้งอย่างใดอีก หล่อนติดแร้วซึ่งหล่อนวางไว้เองอีกด้วย

“เข็มกลัดเสื้อสีขาวของน้องคืนนี้น่ะค่ะ”

“อยู่ในลิ้นชักตู้แต่งตัว” จรวยยื่นพวกกุญแจให้น้อง เผด็จอยู่ใกล้กว่าหล่อน จึงลุกขึ้นรับไปส่งถึงมือจิตรีเลยทีเดียว “เธอเอาเข็มมรกตก็ได้ ถ้าเสื้อสีขาว”

ขณะที่จิตรีรับพวงกุญแจจากเผด็จ ดวงหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยสายเลือดแล่นซ่าน หัวใจก็ดูเหมือนพองโตคับซี่โครงของหล่อน และมันเต้นสะท้อนถี่ขึ้น จิตรีรู้สึกคล้ายจะเป็นลมเลยทีเดียว

โสตประสาทของจิตรีอึงคะนึงไปด้วยเสียงเครื่องบินแบบรังควาน ‘เสือแฝด’ ซึ่งเคยโฉบลงเล่นกว๊านพะเยาอยู่พักหนึ่ง ภาพแหลมเหลือโลดแล่นเข้ามาในมโนภาพพร้อมกับความยอกแสยงอย่างสาหัส ทั้งที่อยู่ภายในห้องรับแขกเวลาบ่าย ท่ามกลางแสงสว่างฤดูร้อนจัดจ้านจนแสบตา จิตรีก็แลเห็นดวงดาวดาษฟ้า ต้นก้ามปูเป็นเงาตะคุ่มเรียงรายริมกว๊านพะเยา หล่อนและชายแปลกหน้าผู้หนึ่งภายใต้แสงจันทร์ที่เพิ่งโคจรจากทิวไม้

และชายนั้นมีไฝดำเม็ดหนึ่งที่หางคิ้วขวาของเขา ครั้นแล้วสติอันแกว่งไกวก็สลัดหลุดจากภาพหลอนเหล่านั้นได้

จิตรีรับพวงกุญแจจากเผด็จด้วยมือมั่นคงของหล่อนไม่รับทราบสายตาซึ่งมีแววยิ้มหยันอยู่ด้วย หล่อนเดินออกไปจากห้องรับแขกของจรวย พอพ้นบริเวณประตูตอนนั้น หล่อนก็ออกวิ่งตื๋อต่อไป

หล่อนต้องการหนีไปให้พ้นไฝดำที่หางคิ้วขวาของเผด็จ ดิเรกกุล!

มันเป็นไฝดำเม็ดเดียวกับที่หางคิ้วชายแปลกหน้าผู้นั้น หรือไม่มันก็เป็นไฝแฝดที่คอยปลุกความทรงจำจากหล่อน–ความทรงจำเจ็บปวดประหนึ่งชะนักสนิมในอกอันจะไม่มีวันเลือนลางตลอดชีพ ผู้มีไฝดำดังนี้ได้มีส่วนเล็กน้อยในความหลังลี้ลับเหล่านั้น เขาพบหล่อนเวลาวิกาลที่แหลมเหลือลำพัง!

จิตรีสงสัยเสียเหลือเกิน ถ้าเผด็จ ดิเรกกุล คือชายแปลกหน้าแน่แล้ว เขาจะจำหล่อนได้ด้วยหรือไม่.

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ