๕
สัปดาห์หนึ่งล่วงไปแล้ว เผด็จได้พบกับจิตรีบนเรือนจรวยหลายครั้ง ดูหล่อนสดใสเป็นปรกติตามเดิม ถ้าเขาไม่ได้อยู่กับหล่อนในคืนที่เหตุการณ์เกิดขึ้น และได้หันเข็มความรุนแรงให้หมุนมาจากขีดสุดเสียได้ เผด็จก็คงจะคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นเป็นเพียงภาพหลอนจากอารมณ์ของหญิงสาวสมัยปรมาณูเท่านั้น
แต่เหตุการณ์ที่เกือบจะกลายเป็นอุปัทวเหตุรถยนต์อย่างเคย ยังคงตรึงตราความสำนึกของชายหนุ่มแน่นอยู่ตราบใดที่เผด็จยังหวงแหนชีวิตของตนตามธรรมดา เขาก็ย่อมจะจดจำเหตุการณ์ที่เกือบจะฉุดเขาไปสู่ความตายตราบนั้น
เขาไม่อาจลืมเหตุการณ์ริมตายตอนนั้นว่า มันเกิดจากพฤติกรรมอันเหลวแหลกของหญิงสาวสมัยนี้ จริงอยู่–หญิงนี้เป็นกุลสตรีตามเผ่าพันธุ์ ทะนงในศักดิ์ ทะนงในความสาวความสวยและสมรรถภาพพร้อมมูล
แต่ทว่า หญิงนี้แตกต่างไปจากกุลสตรีธรรมดา แม้ในยุคปรมาณูนี้อีก หญิงนี้ไม่ทะนงในรักและชีวิตวันนี้เลยเพราะหญิงนี้ไม่ทะนงตัวต่อรัก!
หล่อนจึงจวนเจียนจะดับสูญเสีย เพราะรสแสลงหลายประการซึ่งกลั้วอยู่กับรักและชีวิตวันนี้ รสแสลงในรักและชีวิตก็เหมือนรสแสลงซึ่งกลั้วอยู่กับเหล้า บางรสขื่นขมคล้ายยา บ้างก็เป็นมธุรสแก่ลิ้นเหลือเกิน แต่ถึงเหล้าจะอุดมด้วยรสหวานขมแค่ไหน แสลงแก่บุคคลแค่ไหน เหล้าก็เป็นสิ่งเสพย์ติดและทำให้คนดื่มมึนเมาหมดทั้งนั้น
ก็ความรักและชีวิตมิใช่สิ่งซึ่งทำให้บุคคลผู้เกลือกกลั้วกับมันมึนเมาเหมือนกันหรือ? และบุคคลมิได้ลุ่มหลงพะวงชีวิตและความรักอย่างหมกมุ่นเหมือนกันหรือ?
อย่างไรก็ตาม ต้องมีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งสามารถคลี่คลายความมึนเมาลุ่มหลงเหล่านี้ได้ดุจเดียวกับเหล้า ซึ่งคลายฤทธิ์รุนแรงลงได้ก็ด้วยสติอันเข้มแข็งของผู้ดื่ม พร้อมด้วยโซดาหรือน้ำเปล่าเป็นต้น หาไม่แล้วผู้ดื่มสุราทั้งหลายก็คงจะถึงแก่กาลพินาศทั้งนั้น
แต่นี่นักดื่มไม่น้อยยังสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยดีได้เหมือนกัน–ทั้งในความเรียบร้อยและทุกข์เข็ญของโลก ทั้งในยุคสันติและยุคปรมาณูนี้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นความจริงที่แน่นอนนักว่าชีวิตและสิ่งซึ่งคาบเกี่ยวกับชีวิต–ความปรารถนาและความรักเหล่านี้จะต้องปลอดโปร่งไปได้ดุจกัน
เพราะว่าชีวิต ความปรารถนา และความรักเหล่านี้สำคัญและใหญ่ยิ่งเหนือสุราหลายเท่า เพราะว่าความใหญ่ยิ่งทั้งสามซึ่งกล่าวแล้ว คือธาตุแท้ที่ประกอบกันเป็นมนุษย์นั่นเอง ดังที่นักประพันธ์ผู้หนึ่งและนักปรัชญาของชีวิตวันนี้ยืนยันด้วยข้อเขียนของเขาว่า
“ชีวิตเป็นไปตามกฎธรรมดาและธรรมชาติ–ตระหนักทางวิทยาศาสตร์ แต่ความปรารถนา เป็นตามกฎหัวใจและเอื้ออิงธรรมชาติ–ตระหนักทางปรัชญา”
“ชีวิตและความปรารถนาเป็นมูลเหตุแห่งความรักหรือนัยหนึ่งความรักเป็นผลสนองชีวิตและความปรารถนานั่นเอง เป็นตามกฎธรรมดาและโดยธรรมชาติ เป็นตามกฎหัวใจและเอื้ออิงธรรมชาติเช่นนั้นด้วย แต่ถึงกระนั้นความรักเป็นอิสระโดยตลอดเลยทีเดียว แม้จะเป็นตามกฎใด ๆ ก็ดี ความรักอยู่นอกเหนือการควบคุมของกฎ”
กระนั้นแล้วชีวิตที่ถูกครอบครองด้วยความรัก และกระเจิดกระเจิงไปตามเสรีวิสัยซึ่งกล่าวแล้ว จะยอมยุติตรงไหนเล่า? ชีวิตที่เกลือกกลั้วกับความรักเปรียบเหมือนม้าป่าลำพองไพรที่ไม่เคยวี่แววสายบังเหียน ขลุมปากและแส้สักครั้งเดียว ดังนั้นย่อมจะไม่ยอมอยู่ใต้อานุภาพผู้ใด–แม้จะเป็นอานุภาพของพรหมสี่พักตร์ผู้นั้น นอกจากจะเป็นอานุภาพผู้ขับขี่ของมันเอง–ถ้าผู้ขับขี่ของมันจะใช้ความเข้มแข็งขึ้นหลังมัน และบังคับมันไปตามวิถีปรารถนาอันเข้มแข็งของตนได้
เมื่อนั้นแหละ ชีวิตที่ลำพองรักจึงจะเป็นไปตามวิถีธรรมดาได้ตลอด และผู้สามารถควบคุมชีวิตของตนตามวิถีธรรมดาได้นั้น ก็คือผู้วาดชีวิตของตนตามธรรมชาติ
เขานั้นแหละ คือมหิทธานุภาพอันแข็งแกร่งกว่าอื่นใด เพราะเขาสามารถบันดาลชีวิตและสิ่งซึ่งคาบเกี่ยวกับชีวิตให้ดำเนินไปตามรอยลิขิตของเขาได้ ดุจพรหมผู้มีภาวะอันเลื่อนลอยสำหรับเขาและคนอื่น ๆ อีกมาก
ในคืนวันที่เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อเผด็จดึงจิตรีและตนเองออกจากทางแห่งการฆ่าตัวตายตอนนั้นแล้วเขาเชื่อได้ว่าหญิงผู้ผิดหวังในชีวิตวันนี้จะไม่พยายามประหารตัวต่อไปอีก
เขาได้พูดกับหล่อนด้วยข้อความข้างต้น–โต้ตอบและเล้าโลมหล่อนหลายประการ กระทั่งหญิงสาวสำนึกตัวตามศรัทธาที่เขาปลุก จิตรีสำแดงศรัทธาด้วยจิตราบคาบของหล่อน และยอมจากเขาคืนนั้นด้วยดุษณีภาพพอใช้
ถึงกระนั้น เช้านี้เมื่อเผด็จพบจิตรียืนรีรออยู่หน้าห้องนั่งเล่นของจรวย เขาช่างสงสัยจริง ๆ ว่าศรัทธาที่หล่อนยอมสำแดงแก่เขาคืนนั้น จะเป็นศรัทธาแท้จริงหรือ
ดูหล่อนยังเป็นจิตรีคนเก่าเกือบทุกอย่าง!–ยกเว้นที่หล่อนวางตัวสนิทสนมกับเขาขึ้นมาก และดูเหมือนจะมากกว่าที่แสดงกับคนอื่น ๆ อีกด้วย!
ความสำนึกเช่นนี้เองที่ทำให้เผด็จเชื่อมั่นเหมือนเก่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดแก่จิตรีและเขาคืนนั้น ยังเป็นความจริงจนบัดนี้
“คุณใหญ่เห็นจะพ้นเขตเป็นนิวมอเนียนะคุณ” เขาว่า “คงเป็นหวัดธรรมดาที่กระเดียดไปทางอินฟลูเอ็นซาสักหน่อย”
จิตรีสั่นศีรษะโดยไม่ปรากฏชัดเจนว่ารับรองหรือปฏิเสธเสียทีเดียว
“ถามคุณดาเป็นรู้เรื่องเลยค่ะ! หลานสาวคุณเขาเป็นคนโปรดคุณใหญ่อยู่เดี๋ยวนี้ พอใคร ๆ เขาป่วยดิฉันเป็นเข้าหน้าเขาไม่ติดตามเคย”
เขารู้สึกอยากจะตบหน้าหญิงสาวสักครั้งหนึ่ง!
หน้านั้นอิ่มเอิบไปด้วยสุขภาพสมบูรณ์แบบใหม่ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกแยแสสักนิด ดูเหมือนความไม่แยแสกับเมตตาคุณที่คนธรรมดาจะเทิดทูนทั่วไปนั้น เป็นคุณลักษณะที่หญิงนี้สมัครใจจะโอ้อวดอย่างออกหน้า แต่เผด็จเกิดความรู้สึกฉุนเฉียวเช่นนั้นก็เนื่องจากจิตรีสำแดงลักษณะซึ่งเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ชายธรรมดาโดยมาก–ไม่ว่าเขาจะเป็นชายดีชั่วเช่นไร ลักษณะนั้นคือความริษยาหยุมหยิมอย่างที่จิตรีพูดถึงจรวยและกานดาดังนั้น ดูเหมือนว่ามันเป็นของโก้เก๋ของหล่อน
“อะไรเข้าหน้าไม่ติด! ไม่จริงจนนิดเดียว ก็คุณเป็นคนสำคัญของบ้านไม่แพ้กับที่คุณเป็นคนสำคัญตามที่อื่น ๆ อีกแยะ”
เขาย้ำยิ้มและย้ำเยาะส่งท้ายถ้อยคำของเขาอีก แต่จิตรีกำลังเหลิงความคิดของตนเอง ก็แย้งอย่างหมกมุ่นมากขึ้น
“โอ๊ย! อย่างคน ๆ นี้น่ะ–” นัยน์ตาเรียวยาวมีประกายกล้าแข็ง “ไม่สำคัญกับใครหร๊อก! คนหัวหาย! คนที่ใคร ๆ เขาโยนทิ้งทั้งนั้น! ไม่มีศักดิ์สกุลกับใคร! เป็น Miss No Name ในบ้าน ก็เลยไม่เกี่ยวข้องกับใคร!”
“นางสาวไม่มีนามในบ้าน!” เผด็จแปลถ้อยคำของจิตรี “เป็นมิสโนเนมแน่เรอะ ช่างเอาความคิดมืด ๆ มาจากไหน! แต่คุณสมัครใจจะเป็นมิสโนเนมแน่เรอะ–มิสโนเนม?”
“ก็ดิฉันไม่มีทางหลีกเลี่ยงเลยนี่คะ!”
เขาเพิ่งสังเกตเห็นหยดน้ำในตาหล่อน ทั้งที่ตานั้นมีประกายกล้าแข็ง เขาหยั่งไม่ถึงความลับลึกซึ้งภายในห้วงคิดของหล่อน เขาจึงเห็นหยดน้ำในตาหล่อนเป็นเพียงสัญญาณโกรธแค้นของผู้หญิงอย่างเดียว
เผด็จก้าวเข้าไปยืนชิดหล่อนและปรารภอย่างไม่เกรงใจจิตรีเลยสักนิด
“จริง! ไม่มีทางหลีกเลี่ยงหรอกคุณ คนที่ไม่ทำคุณกับใครเขาเลย จะคอยรับความรักใคร่นับถือจากใครเขาล่ะ คุณคงต้องเป็นมิสโนเนมแน่แล้ว!” พอหล่อนเหลือบตาซึ่งเต็มไปด้วยหยดน้ำอันมัวมนมาที่เขา เผด็จก็รีบแถมท้ายด้วยเสียงรื่นเริงเล็กน้อย “แต่ผมรักจะให้คุณเป็นผู้หญิงไม่มีนามสกุลกับใครเขาเสียแล้ว เอ!–มิสโนเนม!”
จิตรีเลิกคิ้วขึ้นสูง และหยดน้ำในตาหล่อนก็เริ่มจะเหือดหายไปในเบ้าตาตามเดิม
“ทำไมคะ?”
เขาถือวิสาสะถ้อยคำของหล่อน และมารยาที่หล่อนไม่ยอมถอยหลังเลยสักก้าว เมื่อเขายืนประชิดหล่อนในระยะใกล้เกินควร เขาตอบพร้อมกับเพ่งยิ้มด้วยตาคมที่มีแววลวนลามเหลือเกิน
“ถ้าอยากรู้ละก็ คืนนี้ไปหาข้าวเย็นกินกับเราไหมล่ะ?”
“เที่ยวกลางคืนกับคุณ! เราไม่ไปเป็นอันขาด! คุณใหญ่เอ็ดตะโรเราตาย!”
แต่น้ำตาจิตรีเหือดแห้งหายไป และเสียงหล่อนเริ่มมีกังวานแจ่มใสสดชื่น ทั้งที่หล่อนพยายามซุกซ่อนเสียงนั้น
เผด็จตระหนักน้ำเสียงนั้นด้วยความจัดเจนและไหวพริบของผู้ชายเช่นเขา
“ก็ไหนว่าไม่เกี่ยวกับใครเขาแล้ว” เสียงเขาเยาะเย้ยยิ่งขึ้น “งั้นที่อวดว่าเป็นมิสโนเนมน่ะเก๊–กลัวกระทั่งไปเที่ยวกับคนใกล้เคียงข้างบ้าน!”
นัยน์ตาหญิงสาวสุกปลั่งด้วยประกายกล้าแข็งขึ้นอีก
“โอ๊ย! เราพูดเล่นหรอกค่ะ! ที่จริงไม่อยากไปเที่ยวกับใครคืนนี้ ก็เพราะเราระวังตัวว่าเรากำลังเป็นกรรมกรไม่มีงานเท่านั้น ต้องสงวนเสื้อสวย ๆ สักหน่อยพลาดพลั้งไม่มีคนเขาให้ยื้มอย่างแต่ก่อน–”
อีกครั้งหนึ่ง เผด็จไม่สู้สนใจจริงจังนักเมื่อเขาสังเกตเห็นนัยน์ตาจิตรีบังเกิดหยดน้ำคั่งคลอขึ้นอีก เขาหยั่งไม่ถึงเรื่องเสื้อสีนวลนั่นเอง
“No ‘Siamese talk’ ที่นี่–เพราะถ้อยคำคนไทยยังมั่นคงแล้วก็ซื่อสัตย์มากเหมือนเก่า รวนไม่ได้นะ จะไปรับที่เรือนคุณป้าเป็นแน่!”
“เราไม่ไปเป็นแน่!”
“สองทุ่มเราจะรับตัวไปเป็นแน่!”
นาฬิกาเรือนใหญ่ในห้องรับแขกของวิชัยตีบอกเวลาเที่ยงคืนเศษได้สักหน่อย ก็มีเร่งคนสองคนเดินคลอกันมาตามซอย ซึ่งแยกจากถนนหน้าตึกมาบรรจบถนนหน้าเรือนเล็กของวิชัย
คืนนั้นเป็นคืนข้างแรมแก่แล้ว ดวงจันทร์จึงค้างฟ้าสาดแสงสกาวเกือบผิดปรกติไปทั่วท้องฟ้าฤดูร้อนซึ่งปลอดโปร่งเป็นส่วนมาก มองดูลอยเด่นดุจโคมบนยอดเสาสูงสักแห่งหนึ่ง ส่องให้เห็นสถานที่โล่งเตียนตามพื้นโลกหลายแห่ง แต่ในบริเวณใกล้เคียง โรงเรียนและต้นไม้ตลอดจนสุมทุมทั้งหลาย เดือนค้างฟ้าก็ทำให้เกิดมีเงามืดเหมือนกัน
เดือนดวงเดียวให้ทั้งความแจ่มจรัสและความมืดมนแก่มนุษย์ในโลก
ร่างที่เดินคลอเคลียคู่นั้น ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาภายใต้เงามืดมัวเหมือนกัน ต้นพิกุลเตี้ย ๆ ตลอดสองข้างซอยและถนนในบ้านแบบเก่า ๆ ของ จิตรี รัถการ เป็นเหมือนม่านมืดครึ้ม คอยกำบังการเคลื่อนไหวของบุคคลคู่นั้น เพราะเขาไม่ยอมเดินกลางถนน ซึ่งสว่างไสวไปด้วยแสงจันทร์เจิดฟ้า
ขโมยย่อมซุ่มซ่อมมาในความมืด เพราะขโมยไม่ปรารถนาให้มีผู้เห็นตนประพฤติผิดกฎหมายและศีลธรรมทุกอย่าง
ผู้ที่ซุ่มซ่ามมาในความมืดเหมือนขโมย–แม้จะเป็นผู้ทรงศีลสักเท่าไร ก็ย่อมอยู่ในฐานะเดียวกับขโมยเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มีเจตนาไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว
ลานลาดซิเมนต์และบันไดเรือนเล็กหลังนั้น มีซุ้มไม้เลื้อยรสสุคนธ์คร่อมอยู่ แม้ฤดูร้อนจะแผดเผาพรรณไม้หมดสีสรรและร่วงโรยหลายอย่าง รสสุคนธ์ก็ยังเขียวชอุ่มและอุตส่าห์มีดอกไม้ ประปราย ทั้งนี้เนื่องจากรสสุคนธ์เคยเป็นดอกไม้เถาทนอากาศภูมิประเทศที่เป็นดอน
คืนนั้นภายใต้ซุ้มรสสุคนธ์มืดสลัวเล็กน้อย เพราะแสงเดือนลอยลงมาไม่ทั่วถึงทีเดียว
บุคคลทั้งคู่ที่เดินคลอเคลียเข้ามาจากที่แจ้ง จึงไม่ทันสังเกตภาพภายใน เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่ข้างซุ้มและพูดค่อย ๆ ขึ้นว่า
“วันนี้ดิฉันสวมรองเท้าไม่มียางรองเส้นเสียด้วยเดี๋ยวพี่ชัยหรือเด็กของเขาที่นอนหน้ามุข ได้ยินเสียงย่องบนซิเมนต์ เลยรู้ว่า–เรากลับกันอีก”
“ผมสวมรองเท้าพื้นยางอยู่นี่!” เสียงผู้ชายบอกค่อย ๆ ขึ้นบ้าง “นี่แน่ะ! ผมเดินคนเดียวดีกว่าจะได้ไม่ทำเสียงดังให้ใครเขาได้ยิน”
แล้วผู้พูดก็ก้มลงฉวยตัวหญิง ซึ่งมาในความมืดเหมือนเขาขึ้นอุ้มไว้ หล่อนไม่โต้แย้งอย่างใดเมื่อเขาพาเดินผ่านลานซิเมนต์ไปสู่ประตูรั้วหลังบ้าน
“หนักมากไหมคะ” ผู้หญิงถามทั้งที่โอบคอเขาอยู่
“อย่าถาม! นี่ผมไม่ได้อุ้มจิตรีหรอกนะ อุ้มตุ่มตั้งใบ!”
จิตรีหัวเราะคิก ๆ คนเดียว
“ก็คุณเผด็จอจะอุ้มตุ่มตั้งใบ!” ครั้นแล้วหล่อนรำพันขึ้นอีกว่า “หมู่นี้ดิฉันไม่อ้วนอีกเลย น้ำหนักลดหลายขีดเพราะกลุ้มใจจะตาย ผอมเป็นคุณดาเดี๋ยวนี้”
“จุ๊ย! จุ๊ย์! นั่นใครวิ่งแผล็บออกไปทางประตูรั้วล่ะคุณ?” เขากระซิบ
“ตายจริง! เดี๋ยวใครเขาเห็น!”
จิตรีกอดคอเขาแน่น
“จิตรี!” วิชัยพูดออกมาจากมุมมืดซึ่งมีม้านั่งในซุ้ม “ลงเดินได้แล้วละน้อง! พี่มานั่งคอยเธอทั้งคืน!”
เผด็จปล่อยจิตรีลงกับพื้น แต่หล่อนยังยืนเคียงเขาอยู่ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นด้วย!
“ดึกไปหน่อยเพราะไปบางปู” เผด็จชี้แจงด้วยเสียงสุภาพผิดธรรมดา ดูเขาร้อนใจจะแก้ตัวต่อวิชัย “ถูกลมทะเลเลยเพลิน อากาศมันช่างผิดแถวบ้านเราเหลือเกิน ใกล้กันแค่นี้เท่านั้น กว่าจะคิดได้ดูนาฬิกาก็ดึกโข ขอโทษที่เผลอ”
“ผมเคยไปเผลอมามากเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ไปเผลอกับผู้หญิงอย่างนี้ ผมเผลอให้ค่าป่วยการแก่เขา” แล้ววิชัยเน้นเสียงสักหน่อยว่า “คุณให้ค่าจ้างจิตรีเรอะเปล่า?”
“พี่ชัยคะ! น้องไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้น!”
“แต่เธอทำตัวเป็นผู้หญิงยังงั้น! คุณเผด็จก็ทำกับเธอเหมือนกับทำผู้หญิงยังงั้น!”
“ผมรับผิดที่ถือวิสาสะสักหน่อย เพราะผม–”
เผด็จพูดค้างแค่นั้น เพราะวิชัยชิงพูดด้วยเสียงขุ่นเคืองขึ้นเสีย
“ขอโทษ! ผมต้องการพูดกับน้องสาวสักหน่อย ที่นี่ไม่ใช่เขตที่คุณเช่าอยู่อย่างตึกโน้น!”
“สวัสดี!”
เผด็จพูดเป็นกลาง ๆ ก่อนหันหลังให้จิตรี และเขาเดินกลับไปสู่ถนนหน้าตึก แต่เขาไม่หลบเลี่ยงไปตามใต้ต้นพิกุลเพื่ออาศัยเงามืดเหมือนเดิม เขาเดินตากแสงเดือนค้างคนเดียวและเขาผิวปากไปด้วย
จิตรีวิ่งปราดออกไปทางประตูรั้วหลังบ้าน โดยไม่ระวังเสียสักนิด แต่พอขึ้นไปถึงเชิงบันไดเรือนคุณจำรัส วิชัยก็ตามไปทันหล่อนเลยทีเดียว เขาดึงแขนหล่อนแล้วขู่เข็ญขึ้นอีก
“เลวเหลือเกิน! บอกมาว่าทำไมถึงฉีกหน้าพี่น้องเหมือนผู้หญิงหากินกันยังงี้?”
“ทำไม!” จิตรีเสียงแหลม “ก็ฉันไม่ใช่พี่น้องใครเขานี่ หัวหายที่ไหนมาไม่รู้! ตัวจะต้องเดือดร้อนทำไมล่ะ แล้วยังมาพูดหยาบคายกับเขาอีก! ปล่อยแขนเขานะ!”
“ไม่ปล่อย! ตัวเป็นน้องเขานี่! ถ้าไม่พูดกันดี ๆ จะบิดแขนให้หลุดเลยทีเดียว–เด็กบ้า!” วิชัยเคืองที่จิตรีรื้อคำว่า “หัวหาย” ของเขาขึ้นมาอีก “เดี๋ยวแขนหลุด!”
“ลองซิ!”
หล่อนฟาดป้าบลงไปที่ต้นแขนของพี่ชาย และคงจะถูกเขาบิดแขนเข้าจริง ๆ จึงอุทานดัง ๆ ด้วยความเจ็บ แต่จิตรีได้เริ่มลิ้มรสความเสื่อมสมัยปรมาณูนี้แล้ว หล่อนจึงก้มลงกัดต้นแขนของวิชัยบ้าง
“โอ๊ย–งับยังกะหมาไม่ผิด! พอ–”
“อย่า! อย่า! พี่ชัยชอบยั่วน้องนี่คะ คุณจิตรี!–เลิกเถอะ!–โธ่!”
กานดาสวมเสื้อคลุมครึ่งท่อนทับชุดนอนขาวของหล่อน และโผออกมาจากเงามืดเหมือนกัน หล่อนดึงมือวิชัยออกจากแขนของจิตรี และดึงจิตรีออกไปจากต้นแขนของวิชัย
ทั้งสามคนมองหน้าซึ่งโชกโชนไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมองและเคืองแค้นของกันและกันก่อนพูดอีก
“อ้อ!” เสียงจิตรีเย้ยหยันและหยาบคายขึ้นก่อน “ที่คุณเผด็จเห็นวิ่งแผล็บเข้าประตูรั้วมาเมื่อกี้ก็คือคุณน้องนี่เอง ท่าจะไปนั่งชมแสงเดือนกับคุณพี่พอแล้ว–”
“จิตรี!” วิชัยชิงพูด “น้องดาเป็นห่วงเธอเท่านั้น พี่มาชวนเขาไปคอยเธอที่เรือนพี่ เพราะกลัวคุณแม่ถามหาเธอ”
จิตรีทำเหมือนไม่ได้ยินถ้อยคำของวิชัย หล่อนก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนบันไดขั้นสูงสุดเสียก่อนกล่าวข้อความเผ็ดร้อนเหล่านี้
“คุณดาน่ะเป็นครูเขานะ! ต้องระวังตัวเต็มที่ ผู้ชายชอบกินเปล่าไปก่อนเสมอ ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้นแหละ ยิ่งสนิทยิ่งเอาเปรียบไปก่อน ระวังเถอะ–ทำใจอ่อนอีกบ่อย ๆ จะต้องหมดตัว แล้วก็เจ็บใจจนตาย!”
กานดาไม่โต้ตอบแต่สักคำ หน้าของหล่อนซีดขาวคล้ายกับแสงเดือนเดี๋ยวนั้น วิชัยจึงย้อนจิตรีด้วยคำคมขึ้นบ้าง
“ก็ทีตัวปล่อยให้คนอื่นที่ไม่คุ้นเคยอย่างนายเผด็จ พาไปไหนต่อไหนตลอดคืนน่ะ ไม่โดนเขากินเปล่าไปบ้างเรอะ?”
“บ้า–!” จิตรีร้องดัง “คนอื่นน่ะซิไม่มีโอกาสจะกินเปล่าไปเง่าย ๆ เพราะเขาไม่ทันเห็นชั่วดีของเรามากเหมือนพวกเรา อีกอย่างหนึ่ง–เดี๋ยวนี้ฉันไม่เซ่อเสียแล้ว ฉันยอมเที่ยวดึก ๆ กับคุณ เผด็จคืนนี้ ก็เพราะพรุ่งนี้เขาจะประกาศหมั้นของเราแล้วละ!”
“ใครหมั้น?” วิชัยสวนควันขึ้นเสีย
“เราหมั้น! ปลายเมษานี่แหละเราจะแต่งงานกัน คุณเผด็จกับฉัน”
กานดาหน้าสลดลงไปอีก วิชัยมองตาค้างครู่หนึ่ง
“แล้วนี่–เผื่อคุณใหญ่ไม่ตกลงล่ะเธอ คุณผดุงอาจจะ-”
จิตรีขัดขึ้นมาด้วยเสียงเย่อหยิ่งอย่างที่สุด
“ใครจะมามีอำนาจเหนือฉันได้! ฉันเป็นผู้ใหญ่ตามกฎหมายหมดแล้ว ใครจะมาข่มเหงฉันอย่างคนหัวหายเหมือนเก่าก็ไม่ได้ คุณเผด็จต้องคุ้มครองฉันในฐานคู่หมั้น แล้วก็–” หล่อนพูดรั้งรอเล็กน้อย “แล้วก็ในฐาน–เอ้อ–เมียในอนาคตของเขา”
เมื่อได้ประกาศภาวะปัจจุบันและอนาคตของตนต่อหน้าวิชัยและกานดาได้แล้ว จิตรีก็เงยหน้าขึ้นดูเดือนดวงนั้นอีก
แสงสกาวค่อย ๆ สลัวลง เพราะความเปลี่ยนแปลงของอากาศใกล้รุ่ง เดือนค้างฟ้าจึงทอแสงขาวมัวคล้ายหมอกและความเยือกเย็นยามดึก มาเป็นสักขีพยานถ้อยคำของจิตรี ดูราวกับเดือนดวงเท่านั้นจะเยื้อนยิ้มในภาวะปัจจุบันและอนาคตของหญิงสาว!
จิตรี รัถการ ก็เปลี่ยนเข็มชีวิตอันเคร่งเครียดของหล่อนโดยเจตนาของเผด็จและของตนเองอีกด้วย
นัยน์ตาเรียวยาวอย่างประหลาด เพ่งดูเดือนค้างคล้ายกับจะประกาศคำผยองอย่างนี้
“ผู้หญิงอย่างฉันได้ลิขิตโชคชาตาตามลำพัง ดูซิ! ฉันชนะอย่างง่ายดายด้วยความเป็นผู้หญิงอย่างฉัน!”
เดือนค้างที่ขาวสลัวและเยือกเย็นยิ่งขึ้น ดูคล้ายกับจะยิ้มตอบตามเดิมว่า
“น้องสาวเอ๋ย! ความสะดวกเป็นมายาการของทุกข์ทั้งนั้น!”
----------------------------